รายงานพิเศษการไม่แต่งตั้ง 'นริศ ขำนุรักษ์' เป็น รัฐมนตรี ตามมติ พรรคประชาธิปัตย์ สุดท้ายผู้ที่เสียหาย อาจจะเป็น 'บิ๊กตู่' ที่ถูกมองว่า เล่นการเมือง ด้วยการเอาเปรียบพรรครวมรัฐบาล

การออกมาแสดงความอึดอัดของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์,รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่มีท่าทีที่จะปรับ ครม.เพื่อแต่งตั้งนายนริศ ขำนุรักษ์ สส.เขต 3 จ.พัทลุง เป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย แทนนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค ที่ได้ลาออกจากตำแหน่ง รมช.มหาดไทย มาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และพรรคประชาธิปัตย์ก็มีมติส่ง นายนริศ ขำนุรักษ์ เป็น รมช.มหาดไทยแทน ซึ่งตำแหน่ง รมช.มหาดไทย เป็นโควต้า ของพรรคประชาธิปัตย์ และนายจุรินทร์ ก็ได้นำมติพรรคไปแจ้งให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้รับทราบมติของพรรคฯ เพื่อให้มีการปรับ ครม.ในส่วนของโควต้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่เป็นโควต้าของพรรครวมรัฐบาลอื่น ๆ

แต่รอแล้วรอเล่า การปรับ ครม.ไม่ว่าจะเป็นทั้งคณะ หรือเป็นเพียงตำแหน่งเดียวที่เป็นโควต้าของประชาธิปัตย์ก็ไม่เกิดขึ้น นริศ ขำนุรักษ์ กลายเป็น แม่สายบัว ที่แต่งตัวเก้อเพราะบิ๊กตู่ไม่มีท่าที่ในการปรับ ครม.ไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่งเดียว ที่เป็นของประชาธิปัตย์ หรือของพรรคอื่นๆ ที่ยังว่างอยู่ ทั้งโควต้าของ 'พลังประชารัฐ' และ 'ภูมิใจไทย' ซึ่งแน่นอนว่า เป็นความอึดอัดของคนในพรรคประชาธิปัตย์ เพราะตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย ย่อมมีความสำคัญในการขับเคลื่อนงานเพื่อ ช่วยประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนและการขับเคลื่อนงานในส่วนที่ 'นิพนธ์ บุญญามณี' ได้ดำเนินการไว้ แต่ไม่ได้รับการสานต่อซึ่งเป็นเรื่องของความเสียหายทั้งเรื่องของการบ้านและเรื่องของการเมือง โดยเฉพาะการเมืองที่เหลือวาระการเป็นรัฐบาลอีกไม่กี่เดือน ตำแหน่ง รมต.จึงเป็นตำแหน่งที่สามารถให้คุณกับพรรคในการเลือกตั้งที่จะมาถึง

หลังการเสร็จสิ้นการประชุมเอเปคจึงเห็น 'แกนนำ' และ สมาชิกของ 'ประชาธิปัตย์' จึงได้ชักแถวออกมาทวงถามกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม ในการที่จะมีการปรับครม.ในส่วนของประชาธิปัตย์เพราะรัฐบาลเหลือเวลาในการทำหน้าที่ไม่ถึง 4 เดือน และหากมีการยุบสภาก่อนครบวาระ ก็ยิ่งเหลือเวลาเพียงน้อยนิด แต่ก็ไม่มีการตอบรับหรือมีสัญญาณจากบิ๊กตู่แต่อย่างใด

สิ่งที่เห็นจากบิ๊กตู่หลังเสร็จจากการประชุมเอเปคคือเรื่องของการเมืองในส่วนของการช่วงชิงความได้เปรียบของบิ๊กตู่ในการเตรียมพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปในการเลือกตั้งสมัยหน้า ตั้งแต่การปิดบ้านให้แกนนำสายต่าง ๆ นำ สส. เข้าพบเพื่อทำการเช็คชื่อว่า จะมี สส.จากพรรคไหน กี่มากน้อย ที่จะเข้ามาสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่า เป็นพรรคการเมืองใหม่ ที่จะเป็นนั่งร้านในการส่ง พล.อ.ประยุทธ์ ให้เป็น นายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 3 ในการ เลือกตั้งในปี 2566 โดยที่มี พล.อ.ประยุทธจะมีตำแหน่งในพรรครวมไทยสร้างชาติ นั่นเอง

วันนี้บิ๊กตู่กำลังช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง ในห้วงที่ใกล้ยุบสภาหรือใกล้หมดวาระการเป็นรัฐบาล เช่นการไปตรวจราชการที่ เพชรบูรณ์ และถือโอกาส ในการคิ๊กออฟจ่ายเงินประกันราคาข้าวที่เหมือกับเป็นการแย่งซีนจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ที่มีการ คิ๊กออฟจ่ายเงินประกันราคาข้าวให้ชาวนาในวันเดียวกัน

แน่นอนว่า เวลาที่เหลืออยู่ของสภาผู้แทนฯ ก่อนการ 'ยุบสภา' หรือการอยู่ครบวาระของรัฐบาล คือการ แย่งชิง ความได้เปรียบ ของทุกพรรคการเมือง แต่ในฐานะของ 'นายกรัฐมนตรี' พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะทำแบบพรรคการเมือง หรือ สส.ไม่ได้ แม้ว่าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจแล้วที่จะเป็นผู้นำพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็จริง แต่เมื่อยังไม่มีการประกาศที่ชัดเจน วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็น นายกรัฐมนตรี ที่มาจากบัญชีรายชื่อ ของพรรคพลังประชารัฐ และเป็นนายกรัฐมนตรี ที่เป็นรัฐบาลผสม จึงต้องทำหน้าที่ด้วยความเที่ยงธรรม และที่สำคัญคือต้องมีจริยธรรมและไม่ใช้ ตำแหน่ง หน้าที่ ในการช่วงชิงความได้เปรียบต่อพรรครวมรัฐบาล และที่สำคัญต้องเคารพต่อพรรครวมรัฐบาลร่วมรัฐบาล ด้วยกัน

การที่ บิ๊กตู่ทำเฉยๆ กับการออกมาเรียกร้องของ แกนนำ พรรคประชาธิปัตย์ ในการให้ ทำตามมติพรรคเพื่อให้นายนริศ ขำนุรักษ์ ได้ทำหน้าที่ รมช.มหาดไทย แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญแต่อาจะถูกมองจากประชาชนว่าเป็นการเพิกเฉยเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมืองให้กับ พรรคการเมืองที่ตนจะเข้าไปสังกัดหรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องความสง่างามของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการที่จะไปต่อทางการเมือง เพื่อการเป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 3 ที่ ทีมงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องคิดให้มาก อย่าใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิง ความได้เปรียบให้ ประชาชนเห็นถึงการเอาเปรียบพรรคการเมืองด้วยกัน อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับอยู่ในขณะนี้  เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้ที่จะเสียหายมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์คือ 'บิ๊กตู่'เอง


นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา