Friday, 28 June 2024
พรรคก้าวไกล

‘ก้าวไกล’ ซัด รัฐบาลทำเรื่องน่าอาย จัดหารือไม่เป็นทางการเชิญรัฐบาลทหารเมียนมาเข้าร่วม เทียบไทย-เมียนมาคล้ายกัน มีรัฐบาลทหาร-เลือกตั้งสืบทอดอำนาจ แนะ จะเป็นประเทศตัวกลางชอบธรรม เริ่มจากทำตามข้อตกลงอาเซียนให้ได้ก่อน

วันที่ 25 ธันวาคม 2565 นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการหารืออย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา เมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีนายดอน ปรมัติวินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วันนา หม่อง ลวิน (U Wunna Maung Lwin) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมา และผู้แทนจากชาติสมาชิกอาเซียนเข้าร่วม ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ในขณะที่อีก 5 ประเทศไม่เข้าร่วม ประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และบรูไน

นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า เมียนมากำลังเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง แต่เมื่อดูปัจจัยแวดล้อมในการเมืองเมียนมาปัจจุบัน ไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าการเลือกตั้งจะเสรีและเป็นธรรม เพราะนักโทษการเมืองยังไม่ได้รับการปล่อยตัว ความรุนแรงบริเวณชายแดนยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ นางพรพิมล กาญจนลักษณ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากดอน ให้เป็นผู้แทนพิเศษของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในด้านสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เคยออกมาแถลงขอให้ประชาคมโลกมั่นใจในการเลือกตั้งของเมียนมา แต่ความมั่นใจนี้สวนทางกับฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน (Five-Point Consensus) ที่ต้องการให้เมียนมาเดินหน้าไปสู่สันติภาพก่อนการเลือกตั้ง

‘โรม’ จี้ ‘สมศักดิ์-กรมราชทัณฑ์’ ต้องมีคำตอบ กรณี ‘ประสิทธิ์ เจียวก๊ก’ หลบหนี

(26 ธ.ค. 65) นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ผู้เคยอ้างตัวเป็นจิตอาสาทำความดีเพื่อแผ่นดิน แต่กลับกลายเป็นผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงความเสียหายรวมนับพันล้านบาท ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้ก่อเหตุพยายามหลบหนีระหว่างเข้าพิจารณาคดีที่ศาลอาญา

นายรังสิมันต์กล่าวว่า กรณีนี้ร้ายแรงและต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นที่ชัดเจนว่าการจะกระทำเช่นนี้ได้ต้องมีผู้ให้การช่วยเหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ผู้ก่อเหตุได้รับกุญแจให้ไขโซ่ข้อเท้าออกไปได้ ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์อ้างว่ากุญแจนี้มีแค่ 2 ชุดเท่านั้น ชุดหนึ่งอยู่กับเรือนจำ อีกชุดหนึ่งอยู่กับเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมตัว ดังนั้นแล้วงานนี้จะต้องมีเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์เองเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างแน่นอน ทั้งนี้ตามรายงานข่าว ทางอธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้กล่าวไว้ตั้งแต่วันที่เกิดเหตุว่าจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน

'ปิยบุตร' ฟันธง! ‘ก้าวไกล’ จะได้ส.ส.ลดลง เพราะกระแสไม่เอา 'ประยุทธ์' เทคะแนนแลนด์สไลด์

27 ธ.ค.2565- นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล หัวข้อ พรรคก้าวไกลกับการเลือกตั้ง 2566 โดยระบุรายละเอียดดังนี้

1 –
สู้ในระบบเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลเสียเปรียบ

พรรคใหญ่ฝ่ายรัฐบาลและพรรคใหญ่ฝ่ายค้านมีฉันทามติร่วมกันว่าต้องแก้ไขระบบเลือกตั้ง จากเดิมทุกคะแนนมีความหมายนำไปคำนวณเป็นที่นั่ง ส.ส.และจำนวนคะแนนเสียงทั่วประเทศสอดคล้องกับจำนวนที่น้่ง ส.ส. มาเป็น แข่งกันในเขตเลือกตั้งเอาที่หนี่งคนเดียวรวม 400 ที่นั่ง เหลืออีก 100 ที่นั่งมาจากการคำนวนคะแนนสัดส่วนทั่วประเทศ

พรรคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดกับการเปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้งครั้งนี้ คือ พรรคก้าวไกล เพราะ ฐานคะแนนของผู้นิยมพรรคก้าวไกลกระจายออกไปทั่วประเทศ ไม่ได้ฝังอยู่ในพื้นที่เขตเลือกตั้งใดเลือกตั้งหนี่งโดยเฉพาะ และส่วนใหญ่ ผู้ลงคะแนนเสียงให้พรรคก้าวไกล น่าจะเป็นเรื่องเชิงประเด็น นโยบาย มากกว่าตัวบุคคลผู้สมัครในพื้นที่ นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลเป็นพรรคใหม่ ผ่านการเลือกตั้งมาหนึ่งครั้ง ไม่ได้มีเครือข่ายหัวคะแนนหรือเครือข่ายเชิงอุปถัมภ์ในพื้นที่ ดังนั้น การชนะเลือกตั้งในเขตในจำนวนมาก กวาดยกจังหวัด กวาดหลายๆเขตหลายๆจังหวัดในภาคต่างๆ จึงแทบเป็นไปไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้

เมื่อผู้ลงคะแนนเสียงให้พรรคก้าวไกลมีลักษณะเช่นนี้ หากใช้ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนที่ทุกคะแนนมีความหมาย ถูกนำมาคำนวณเป็นที่นั่ง ส.ส. แบบปี 62 ก็ดี หรือแบบ MMP ของเยอรมนีก็ดี พรรคก้าวไกลย่อมมีโอกาสได้ ส.ส.ทะลุ 100 ที่นั่งก็เป็นได้

แต่เมื่อระบบเลือกตั้งเปลี่ยนไปคล้ายแบบปี 2544/2548 ที่ ส.ส.เขต 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน โดยแยกการคำนวณขาดออกจากกัน น้ำหนักคะแนนที่ส่งผลต่อจำนวนที่นั่ง สส ก็ไปอยู่ที่เขตเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลอาจได้คะแนนรวมทั่วประเทศไม่น้อยกว่าที่พรรคอนาคตใหม่ได้ในปี 62 แต่เมื่อพิจารณารายเขต อาจมีหลายเขตที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนจำนวนมาก แต่ไม่มากพอที่จะได้ลำดับที่ 1 ในเขตเลือกตั้งนั้น และคะแนนเหล่านั้นทั้งหมดต้องถูก “ทิ้งน้ำ” ไป

แล้วพรรคก้าวไกลจะทำอย่างไร?

ในฐานะพรรคการเมืองในระบบ พรรคก้าวไกลต้องพร้อมต่อสู้กับการเลือกตั้ง ต้องพร้อมปรับวิธีการต่อสู้ในทุกระบบการเลือกตั้ง

หากพิจารณาเฉพาะเรื่องคะแนนเสียง เดิมพันของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งถัดไป ก็คือ

หนึ่ง การได้คะแนนรวมทั่วประเทศมากกว่าพรรคอนาคตใหม่ได้ในการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562

พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนรวมทั่วประเทศประมาณ 6.3 ล้านเสียง การเลือกตั้งในปี 2566 พรรคก้าวไกลต้องทำให้ได้มากกว่าเดิม ส่วนจะคำนวณเป็น ส.ส.แล้วได้กี่ที่นั่งนั้น แน่นอนว่าจำนวนน้อยลงกว่าเดิมอยู่แล้ว เพราะ ระบบเลือกตั้งเปลี่ยนไป แต่อย่างน้อยๆพรรคก้าวไกลต้องทำให้ได้คะแนนรวมทั่วประเทศมากกว่าครั้งก่อน ไปให้ถึงร้อยละ 20 หรือร้อยละ 25 เพื่อยืนยันว่า ยังมีผู้นิยมแนวทางของพรรคก้าวไกลอยู่ถึง 1 ใน 5 หรือ 1 ใน 4 ของประเทศ แม้กลไกรัฐจะพร้อมใจกันบดขยี้พรรคอย่างต่อเนื่อง แต่พรรคก็ยังสามารถยืนระยะต่อไปได้

การเลือกตั้งครั้งที่สองสำคัญกว่าการเลือกตั้งครั้งแรก

ครั้งแรก หากไม่ได้ตามเป้า ได้มาน้อย เรายังอธิบายได้ว่าเราเป็นพรรคใหม่ กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ผู้คนก็พอจะเข้าใจและเอาใจช่วยต่อไป

แต่ครั้งที่สอง หากไม่ได้ตามเป้า คะแนนรวมทั้งประเทศน้อยลงกว่าเดิม สิ่งซึ่งจะตามมา จะมีมากมายสารพัด ไล่ตั้งแต่ ข้อวิจารณ์ว่าแนวทางที่พรรคใช้นั้นผิดพลาด นโยบายหาเสียงก้าวหน้าเกินไป ยุทธศาสตร์การสื่อสารผิดพลาด ความขัดแย้งกันในหมู่แกนนำและผู้สมัคร ส.ส.ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ความท้อแท้สิ้นหวัง เป็นต้น

พรรคก้าวไกลต้องพิสูจน์ให้ได้ในการเลือกตั้ง 2566 ว่า ประเทศนี้ สังคมนี้ ยังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยให้การสนับสนุนพรรคก้าวไกล

สอง การเพิ่มจำนวน ส.ส.เขตให้มากขึ้น

พรรคอนาคตใหม่ได้ ส.ส.เขต 30 ที่นั่ง เกจิอาจารย์กูรูทางการเมืองต่างบอกว่านี่คือเซอไพรส์ ผู้สมัครที่ไม่เคยเป็นนักการเมืองมาก่อน ไม่เคยลงเลือกตั้ง ไม่มีเครือข่ายหัวคะแนน แต่สามารถใช้ “กระแส” ของธนาธร จนชนะในเขตเลือกตั้งได้ถึง 30 คน ถึงกระนั้น ก็มีบางฝ่ายเห็นว่าส่วนหนึ่งมาจากอานิสงส์ที่พรรคอนาคตใหม่ได้รับจากกรณีพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบพรรค ทำให้หลายเขต ไม่มีผู้สมัครทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคไทยรักษาชาติ ทำให้ประชาชนหันมาเลือกพรรคอนาคตใหม่แทน

การเลือกตั้งในปี 2566 คงไม่มีอุบัติเหตุแบบกรณียุบพรรคไทยรักษาชาติ และทุกพรรคการเมือง “เอาจริง” ไม่มีใครประมาทพรรคก้าวไกลอีกแล้ว การต่อสู้ในระบบแบ่งเขต 400 คน จะเข้มข้นมากกว่าเดิม แต่ละพรรคมุ่งหวังกับการมี สส เขต เพราะ หากไปลุ้นบัตรใบที่สองให้มี สส แบบบัญชีรายชื่อ ก็ไม่มีหลักรับประกันแน่นอนว่าจะได้หรือไม่ ได้มาจำนวนเท่าไร

ประกอบกับพรรคเพื่อไทยชูคำขวัญ “แลนด์สไลด์” ย่อมทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องการเปลี่ยนรัฐบาล ไม่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีชื่อประยุทธ์อีกต่อไป แม้พวกเขาอาจเอาใจช่วยพรรคก้าวไกลอยู่ แต่ก็พร้อมที่จะเลือกพรรคเพื่อไทย เพราะเห็นว่า มีความเป็นไปได้มากกว่าที่พรรคเพื่อไทยจะชนะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หากไม่เทคะแนนให้พรรคเพื่อไทย สุดท้าย เราจะไม่ได้เปลี่ยนรัฐบาล ไม่ได้เปลี่ยนนายกรัฐมนตรี

ปัจจัยเหล่านี้ ย่อมทำให้ การต่อสู้ในเขตเลือกตั้งรอบนี้ พรรคก้าวไกลเหนื่อยกว่าพรรคอนาคตใหม่หลายเท่า
พรรคก้าวไกลจะทำอย่างไร?

จะตีโพยตีพายกับการเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่างไรเสีย การเลือกตั้งครั้งหน้าก็เป็น 400:100

จะใช้ยุทธวิธีสู้ด้วยกระแสภาพใหญ่แบบเดิม? ครั้งนี้ก็ไม่มีธนาธร และไม่สามารถสร้างกระแสได้เทียบเท่า “ธนาธรฟีเวอร์” แล้ว

จะหันเหไปใช้การเมืองแบบเครือข่ายอุปถัมภ์ในพื้นที่ การเมือง “บ้านใหญ่” แบบพรรคอื่นๆ? ก็เป็นสนามที่ตนเองไม่ถนัด ทำให้ตายก็ไล่ตามเขาไม่ทัน และยังจะทำให้คนที่เลือกพรรคก้าวไกลเพราะต้องการการเมืองแบบใหม่ผิดหวังด้วย

นักการเมืองผู้นำที่ยิ่งใหญ่จะต้องไม่ปล่อยไปตามยถากรรม ไม่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเองตามธรรมชาติ แต่ต้องควบคุมสถานการณ์เพื่อกำหนดชะตากรรมตนเอง

การเลือกตั้ง 2566 พรรคก้าวไกลมีเดิมพันสำคัญ นอกจากต้องมี ส.ส.เขตให้มากกว่าเดิมแล้ว ยังต้องสร้างโมเดล ส.ส.เขตแบบก้าวไกล ขึ้นมาให้ได้

2 –
ส.ส.เขตแบบก้าวไกล
การเลือกตั้งในปี 2566 พรรคก้าวไกลต้องทดลองสร้างโมเดล ส.ส.เขตในแบบก้าวไกลขึ้นมา มีลักษณะที่แตกต่างจาก ส.ส.เขตของพรรคอื่นๆ แต่ก็พร้อมเข้าใจและสามารถทำงานกับวัฒนธรรมการเมืองแบบดั้งเดิมได้ด้วย

แม้เราต้องการการเปลี่ยนแปลง ต้องการการเมืองแบบใหม่ แต่ในสนามการเลือกตั้งยังคงมีวัฒนธรรมการเมืองแบบดั้งเดิมฝังอยู่ ความสัมพันธ์ทางอำนาจในพื้นที่ เครือข่ายระบบอุปถัมภ์ในพื้นที่ ยังคงมีอยู่มาก การต่อสู้กับการเลือกตั้งเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องหารสูตรส่วนผสมให้กลมกล่อม มีความใหม่ แต่เป็นใหม่ที่พร้อมทำงานในโครงสร้างแบบเดิม และโครงสร้างแบบเดิมก็ไม่อาจกลืนกินลบล้างความใหม่ของเราไปได้

ส.ส.เขตแบบก้าวไกล ต้องมีส่วนผสมสองข้อ

หนึ่ง ความขยันขันแข็งในการเข้าหาประชาชนในพื้นที่เขตเลือกตั้ง

ผู้สมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่มาพรรคก้าวไกล ต่างก็ทราบกันดีว่า ที่นี่ ไม่เหมือนที่อื่น ที่นี่ ไม่มีกลไกหัวคะแนน ที่นี่ ไม่มีกลไกกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน/อสม/ข้าราชการในพื้นที่ สนับสนุนเท่าไรนัก ที่นี่ ไม่มีเงินทอง ทรัพยากรให้มากมายในการ “ทำพื้นที่” ที่นี่ ไม่มีระบบ “วิ่งแย่งหางบประมาณแผ่นดิน” มาลงพื้นที่ตนเอง
ต่อให้ทำแบบที่อื่น ก็ไม่มีทางที่จะทำได้เท่ากับหรือเหนือกว่าที่พรรคอื่นๆเขาทำกันมา

แต่ในเมื่อประชาชนประสบปัญหาเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน ในขณะที่รัฐบาลก็ไม่สามารถบำบัดทุกข์บำรุงสุขได้ทั่วถึงทั่วประเทศ และการกระจายอำนาจและงบประมาณไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับหน้าที่เรื่องเหล่านี้ ก็ยังคงไปไม่ถึงไหน เมื่อประชาชนมาร้องเรียน หรือเดือดร้อน ผู้สมัคร ส.ส. และ ส.ส.จึงต้องร้บบทบาทในการช่วยเหลือประชาชน

ในเมื่อไม่มีเงิน ทรัพยากร อำนาจกลไกรัฐ แล้วผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกลจะทำอย่างไร?

ต้องทดแทนด้วยความขยัน มานะพยายามมุ่งมั่น เข้าถึงประชาชน ประชาชนเข้าถึงง่าย

เดินพบปะพี่น้องประชาชนให้มาก ให้เวลากับพี่น้องประชาชน นำปัญหาของพี่น้องประชาชนมาติดต่อประสานหาหนทางช่วเหลือ

อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่กร่าง ไม่เบ่ง เคารพประชาชน รับฟังประชาชน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน

สอง มีความรู้ในงานนิติบัญญัติ งานสภา นโยบายพรรค และมีจุดยืนมั่นคงชัดเจนตามอุดมการณ์แนวทางพรรค

ภารกิจของ ส.ส. คือ การตรากฎหมาย การอภิปราย การตรวจสอบรัฐบาล ส.ส.จึงไม่อาจเชี่ยวชาญเฉพาะในงานพื้นที่เขตเลือกตั้งได้เท่านั้น แต่ต้องทำงานในระดับชาติ มีภารกิจในภาพใหญ่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงประเทศด้วย

ผู้สมัคร ส.ส.เขตแบบก้าวไกลโมเดล ต้องหมั่นฝีกฝนค้นคว้าหาความรู้ในประเด็นต่างๆ ทั้งนโยบายพรรค ความรู้รอบตัวเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์การเมืองไทย นโยบายสาธารณะ เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น กฎหมาย รัฐธรรมนูญ ติดตามข่าวสารให้ทันโลก

ผู้สมัคร ส.ส.เขตแบบก้าวไกลโมเดล ต้องอภิปรายในสภาได้ มิใช่ ทำงานพื้นที่ดี แต่ไม่เคยพูดอะไรเลยในสภา

ผู้สมัคร ส.ส.เขตแบบก้าวไกลโมเดล ต้องยึดมั่นในแนวทางอุดมการณ์ของพรรค มิใช่ ย้ายพรรคทุกการเลือกตั้ง เพียงเพราะ ต้องการหาที่ลง ส.ส. หรือหาที่ให้ประโยชน์ทรัพยากรและอำนาจแก่ตนเอง

สิ่งเหล่านี้ จะทำให้ ส.ส.เขตแบบก้าวไกลโมเดล มีจุดเด่นที่แตกต่างจาก ส.ส.เขตแบบเดิม และทดแทนสิ่งที่เราสู้เขาไม่ได้

3 –
ส.ส.บัญชีรายชื่อแบบก้าวไกล

ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ ต่อเนื่องมาสู่พรรคก้าวไกล ส.ส.แบบบัญชี่รายชื่อ ไม่ต้องจ่ายเงินให้พรรค ไม่ต้องเป็นหัวหน้ามุ้ง ส.ส. ไม่ต้องเป็นนักการเมืองอาวุโสหลายพรรษามาก่อน

ภายหลังเลือกตั้ง มีนาคม 2562 นักการเมืองอาวุโสหลายคนได้ปรารภกับผมว่า ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ คือ “สามล้อถูกหวย” ได้เป็น ส.ส.เพราะธนาธร

ระบบเลือกตั้งในปี 2566 เหลือ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่มาจากการคำนวณคะแนนสัดส่วนทั่วประเทศ เพียง 100 คน จำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้ง 66 ย่อมหายไปเกินครึ่ง จะให้ได้ 25 ที่ ก็ยากแสนสาหัส

ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้เอง ย่อมนำมาซึ่งปัญหาความขัดแย้งกันภายในพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะประเด็นการแย่งชิงเป็นผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในลำดับปลอดภัย 1-20 หรือ 1-25

ผมมีความเห็นและข้อสังเกตฝากไปถึงแกนนำและผู้มีอำนาจตัดสินใจการคัดเลือกและจัดลำดับผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคก้าวไกล 3 ประการ ดังนี้

ประการที่หนึ่ง Set Zero ลำดับใหม่ทั้งหมด

การคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อต้องไม่ยึดกับลำดับบัญชีรายชื่อของพรรคอนาคตใหม่ตอนปี 62 และต้องไม่มีธรรมเนียมปฏิบัติให้ลำดับที่ดีแก่ผู้อาวุโสก่อน (ทั้งในแง่อายุ และในแง่เป็น ส.ส.ในปี 62 มาก่อน)

สมัยพรรคอนาคตใหม่ เรามีโอกาสในการคัดเลือกผู้สมัครน้อยมาก ปัจจุบัน พรรคก้าวไกลมีชื่อเสียงและความนิยมมากกว่าเดิม คนมีความรู้ความสามารถอาจเข้ามาเสนอตัวมากขึ้น มีโอกาสไปทาบทามคนมีความรู้ความสามารถหน้าใหม่ๆให้มาลงสมัครได้มากขึ้น

การ Set Zero จึงช่วยเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆที่มีความรู้ความสามารถ ช่วยหาคะแนนให้พรรคได้มากขึ้น หากสร้างธรรมเนียม “ผู้มาก่อนได้ก่อน” ขึ้นมา เมื่อผ่านการเลือกตั้งไปหลายครั้ง ก็จะเกิด “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” นั่งทับลำดับต้นๆไว้ตลอด จนเหลือลำดับสำหรับคนใหม่ๆได้ไม่กี่คน แบบที่พรรคเก่าแก่หลายพรรคกำลังเผชิญปัญหาอยู่

ประการที่สอง ใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกและจัดลำดับ 5 ข้อ ได้แก่

ข้อแรก การอุทิศตนให้พรรค

เช่น การทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไม่เกี่ยงงาน ไม่เทงาน

การไปช่วยหาเสียงทั่วประเทศ ไปแล้วได้คะแนนเสียง มิใช่ไปแล้วสร้างภาระให้ผู้สมัครแบบแบ่งเขตและทีมงานในจังหวัดต่างๆ

ความสามารถในการระดมทุนหรือทรัพยากรให้พรรค

การขับเคลื่อนแบกพรรคได้ในภาพรวม มิใช่สร้างภาระให้พรรค หรือให้พรรคต้องตามแบกให้ เป็นต้น

ข้อสอง ความสามารถในการทำงานทางการเมือง

ได้แก่ มีความรู้ความเชี่ยวชาญในงานสภาและการบริหารราชการแผ่นดิน มีความรู้ความเชี่ยวชาญในประเด็นของตนเอง สามารถอภิปรายในที่สาธารณะ สามารถทำงานได้ด้วยตนเอง ริเริ่มด้วยตนเอง โดยไม่ต้องให้พนักงานพรรคมาแบกมาก

‘ณัฐชา’ ชี้ ฉายานายกฯ ‘แปดเปื้อน’ เรื่องเล็ก ฝาก ‘บิ๊กตู่’ ละอายใจบ้าง ทำปชช.มืดแปดด้าน

(27 ธ.ค. 65) ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กรุงเทพฯ เขตบางขุนเทียน พรรคก้าวไกล กล่าวถึงฉายารัฐบาล 2565 จากผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลว่า ฉายานายกฯ ‘แปดเปื้อน’ ยังน้อยไป เพราะตลอดระยะเวลาที่ประเทศไทยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยและพี่น้องประชาชนยังต้องตกอยู่ในสถานการณ์มืดแปดด้านกับอนาคตของประเทศ 

นอกจากนี้ มองว่าการตั้งฉายาให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีไม่ใช่สีสันทางการเมือง แต่เป็นการรวบยอดคำจำกัดความของการทำงานที่ผ่านมา จึงขอฝากไปยังรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีว่า กรุณาละอายใจต่อเสียงสะท้อนของสังคมเสียบ้างไม่ว่าจากสื่อมวลชนหรือพี่น้องประชาชน

‘ก้าวไกล’ ยัน ไม่จับมือพรรคสืบทอดอำนาจทหาร ย้ำ!! ขอถอนรากถอนโคนทั้ง ‘ประยุทธ์-ประวิตร’

(27 ธ.ค. 65) รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล แสดงความคิดเห็นต่อกรณีมีกระแสข่าวตั้งคำถามว่าพรรคก้าวไกลพร้อมจับมือกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อล้ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือไม่ ซึ่งรังสิมันต์ กล่าวว่า พรรคก้าวไกลไม่มีวันจับมือกับพรรคที่สืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐหรือรวมไทยสร้างชาติ

‘หมอวาโย’ ชงมาตรการรองรับ นทท.จีน แนะ เร่งฉีดเข็มกระตุ้น – เปลี่ยนวัคซีน - สุ่มตรวจเชื้อ

‘วาโย’ เสนอมาตรการรับนักท่องเที่ยวจีน แนะรัฐระดมฉีดเข็มกระตุ้น อัปเดตเป็นวัคซีน bivalent สต๊อกยาให้พร้อม เปลี่ยนจาก molnupiravir เป็น Paxlovid และสุ่มตรวจเชื้อนักท่องเที่ยว-น้ำเสียเครื่องบิน ชี้ ยังไร้แหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือยืนยันโควิดระบาดแรงในจีนหรือไม่ แต่เข้าใจความกังวลของประชาชน ไทยควรเตรียมการรองรับ

วันที่ (6 ม.ค. 66) วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เสนอมาตรการป้องกันเพื่อรองรับการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมีความกังวลว่าอาจนำไปสู่การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิดที่มีเชื้อรุนแรงกว่าปัจจุบัน โดยระบุว่าจากการสืบค้นและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหลายคน พบว่าข้อมูลที่มีการพูดถึงกันว่ามีการติดเชื้อโควิดอยู่ในประเทศจีนสูงมากและยังเป็นสายพันธุ์ที่มีความรุนแรง เป็นข้อมูลที่ยังไม่มีการยืนยันออกมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือใด ๆ แต่ความกังวลที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจากประเทศจีนไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ดังนั้น ประเทศไทยก็ควรจะมีมาตรการป้องกันเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ทั้งมาตรการด้านวัคซีน การลดอัตราการเสียชีวิต และมาตรการเกี่ยวกับการเข้าเมือง

วาโยกล่าวว่า สำหรับมาตรการวัคซีน รัฐบาลควรเร่งฉีดวัคซีนบูสเตอร์หรือเข็มกระตุ้นที่ 3 - 4 ให้แก่ประชากรเพิ่มโดยเร็วที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยได้รับวัคซีนเข้มกระตุ้นไม่ถึง 50% หากรู้ว่าจะมีการรับนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา ก็ควรเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตั้งแต่ก่อนปีใหม่แล้ว อย่างไรก็ตาม การเร่งฉีดตอนนี้อาจยังทันอยู่ เนื่องจากวัคซีนบูสเตอร์ใช้เวลาเพียง 5 วันเท่านั้นในการกระตุ้นภูมิต้านทาน ต่างจากวัคซีนเข็มหลักสองเข็มแรกที่ใช้เวลา 2 - 4 เดือน โดยควรฉีดให้ได้อย่างน้อย 80% ของประชากรทั่วไป และไม่น้อยกว่า 90% ของกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตจากโควิดสูงกว่าคนทั่วไป

วาโยกล่าวต่อว่า ส่วนประเภทของวัคซีนนั้น อย่างแย่ที่สุดต้องเป็นวัคซีน mRNA แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดควรต้องเป็นวัคซีนรุ่นใหม่ที่ผสมสายพันธุ์โอไมครอนลงไปด้วย หรือที่เรียกว่าวัคซีนแบบ Bivalent ซึ่งยังไม่มีการนำเข้ามาในประเทศไทยแม้แต่เข็มเดียว แต่หากไม่สามารถจัดหาได้ อย่างน้อยที่สุดก็ยังสามารถเอาวัคซีน Monovalent มาฉีดกระตุ้นก่อนได้ แต่หลังจากนี้ไม่ควรสั่งซื้อวัคซีนแบบ Monovalent มาใช้อีกแล้ว ควรปรับมาใช้วัคซีน Bivalent แทน

วาโย กล่าวด้วยว่า สิ่งที่น่ากังวลสำหรับโควิดในปัจจุบัน ไม่ใช่การติดเชื้อ แต่คือการเสียชีวิต ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตในประเทศไทยอยู่ที่ 0.1 - 0.2% หรือประมาณ 15 คนต่อสัปดาห์ ซึ่งยังเป็นอัตราที่น้อยมาก และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ เราสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ด้วยการใช้ยา ซึ่งปัจจุบันยาที่มีหลักฐานทางการแพทย์ออกมาแล้วว่าลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างดีที่สุด คือยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) ส่วนยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ที่ประเทศไทยใช้เป็นยาหลักอยู่ตอนนี้ หลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าลดอัตราการตายได้น้อยกว่า ดังนั้น รัฐบาลควรต้องสั่งซื้อ Paxlovid มาใช้เป็นยาหลักหลังจากนี้ และควรจะทำให้บุคลากรสาธารณสุขที่อยู่หน้างานสามารถจ่ายยาให้กับผู้ป่วยได้ง่ายขึ้นกว่าระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันด้วย

‘หมอเก่ง วาโย’ ชี้ ‘อนุทิน’ ไม่ยอมเซ็นงบป้องกันโรคกองทุน สปสช. เป็นการตีความกฎหมายผิดพลาด ทำประชาชนเข้าถึงยาป้องกัน HIV ลำบากกว่าเดิม ถาม บ้านอยู่อวกาศหรือยังไง ถึงชอบสร้างสุญญากาศ จี้กล้าหาญเซ็นอนุมัติงบโดยเร็ว

วันที่ 8 มกราคม 2566 นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีหน่วยให้บริการด้านการป้องกันเชื้อ HIV ของภาคประชาสังคมจำนวนมาก ไม่สามารถให้บริการด้านการป้องกันเชื้อ HIV เนื่องจากงบประมาณในส่วนของการป้องกันโรคของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 4 รายการ ได้แก่ การบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (PP), ค่าบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ (PP-HIV), ค่าบริการผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน (LTC) และค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) งบประมาณรวม 5,146.05 ล้านบาท ไม่ถูกอนุมัติ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยอ้างว่าการนำงบที่เกี่ยวกับโครงการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ (Prevention and Promotion: P&P) จากกองทุนบัตรทอง ไปใช้ดูแลทั้งผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการนั้น อาจไม่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่และภารกิจตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ทำให้กองทุน สปสช. ต้องออกหลักเกณฑ์การให้บริการใหม่แก่หน่วยบริการสุขภาพ ให้หน่วยให้บริการร่วม จัดสรรสิทธิ์ในการป้องกันเชื้อ HIV ให้เฉพาะคนที่มีบัตรทองเท่านั้น คนที่ต้องการรับยาเพร็พหรือยาเป๊ป (PrEP, PEP) ซึ่งเป็นยาป้องกัน HIV หรือแม้แต่การแจกถุงยางอนามัยฟรี ต้องไปใช้บริการโรงพยาบาลตามสิทธิ์ โดยคนที่มีสิทธิบัตรทองและข้าราชการไปรับได้ที่โรงพยาบาล ส่วนคนที่ไม่มีสิทธิบัตรทองหรือสิทธิข้าราชการ อาจต้องจ่ายค่ายา

นพ.วาโย กล่าวว่า การตีความกฎหมายของอนุทิน ผิดอย่างสิ้นเชิง เพราะโดยหลักการตาม พ.ร.บ.กองทุน สปสช. ถือว่าบุคคลทุกคนมีสิทธิ์ได้รับบริการตามกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติ กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่มีสิทธิรักษาพยาบาลตามสิทธิอื่น โดยเฉพาะประกันสังคมและสิทธิข้าราชการ ให้ใช้เงินจากสิทธิที่ตนเองมีก่อน

“การป้องกันเชื้อ HIV และโครงการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพอื่น ไม่ครอบคลุมอยู่ในสิทธิรักษาพยาบาลของข้าราชการและกองทุนประกันสังคม ดังนั้นคนไทยที่ต้องการใช้สิทธิตรงนี้จึงอยู่ในหน้าที่ของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างชัดเจน” นพ.วาโย กล่าว

‘ว่าที่ผู้สมัครก้าวไกล’ ควงนักปั้นคำฮิตให้ ‘ชัชชาติ’ ออกสำรวจปัญหา ‘คูคต-ลำสามแก้ว-รังสิต’

‘เชตวัน’ ก้าวไกล ปทุมฯ ควง ‘ประกิต’ ครีเอทีฟผู้คิดคำ ‘ทำงาน ทำงาน ทำงาน’ ลุยพื้นที่สำรวจปัญหาคูคต-ลำสามแก้ว-รังสิต 

(9 ม.ค. 66) เชตวัน เตือประโคน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จ.ปทุมธานี พร้อมด้วย ประกิต กอบกิจวัฒนา ครีเอทีฟผู้คิดคำว่า ‘ทำงาน ทำงาน ทำงาน’ ที่ใช้ในการรณรงค์เลือกตั้งให้กับ ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลุยพื้นที่สำรวจปัญหาในพื้นที่ ต.คูคต อ.ลำลูกกา และ ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 

เชตวัน กล่าวว่า วันนี้ตั้งใจที่จะพาพี่แมว ประกิต มาดูปัญหาในพื้นที่ที่ตัวเองเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.โดยใช้เวลาช่วงบ่ายของวันนี้ ราว 3 ชั่วโมง ไปยังจุดต่าง ๆ ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าครอบคลุมถนนเส้นหลัก พร้อมกันนี้ก็ได้บอกเล่าแนวนโยบายที่อยากจะทำให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เพิ่มทางเลือกในการขนส่งสาธารณะ, การแก้ปัญหา ถ.เสมาฟ้าคราม, การขอสนามกอล์ฟของกองทัพมาเป็นพื้นที่สาธารณะให้ประชาชน เป็นต้น และถัดจากนี้ จะเขียนแนวนโยบายเหล่านี้ออกมาและส่งให้คิดเรื่องของแคมเปญการสื่อสารต่อไป 

"สำหรับการทำงานในพื้นที่ ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล ของผม ขณะนี้ถือว่าเข้าสู่เฟสที่ 2 สิ่งที่กำลังจะทำในเฟสนี้มี 2-3 เรื่องใหญ่ ๆ ได้แก่ การเดินแบบปูพรมในพื้นที่ การจัดกิจกรรมระดมทุน และการทำป้ายประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จัก ซึ่งในเรื่องสุดท้ายนี้ ก็ได้พี่แมว ประกิต มาช่วยกันออกแบบและทำงาน ในฐานะที่เป็นครีเอทีฟ และเป็นผู้ที่คิดคำว่า 'ทำงาน ทำงาน ทำงาน' ให้กับ อ.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก็มั่นใจว่า พี่แมว ประกิตจะมาช่วยทำให้ชาวปทุมธานี ได้รู้จักกับเชตวันพร้อมทั้งการสื่อสารแคมเปญดี ๆ และทำให้ชนะเลือกตั้ง" เชตวัน กล่าว

'ก้าวไกล' โว นโยบายก้าวไกลแก้ทุจริต กำจัดปัญหาได้ หลัง ปชช.ร้อง ถูก ขรก.กองทัพ ชิ่งเงินฝากเข้าราชการ

ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ลาดพร้าวก้าวไกล เผยประชาชนร้องเรียน ถูกข้าราชการกองทัพเรือหลอกเอาเงิน อ้างฝากเข้าราชการ ก่อนเบี้ยวเชิดเงินหนี เชื่อ มีหลายคนตกเป็นเหยื่อ พร้อมยกนโยบายก้าวไกลแก้ทุจริต กำจัดปัญหาได้

(9 ม.ค. 66) ธนเดช เพ็งสุข ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ เขตลาดพร้าว-วังทองหลาง พรรคก้าวไกล เปิดเผยกรณีได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการฉ้อโกง โดยมีข้าราชการกองทัพเรือที่ใช้ยศ ‘ว่าที่นาวาตรี’ คนหนึ่ง เรียกรับเงินโดยอ้างว่าสามารถฝากให้คนเข้าทำงานหรือสอบเข้าราชการได้ ต่อมาเมื่อไม่สามารถทำตามที่สัญญา ก็ไม่ยอมจ่ายเงินคืน

ธนเดช กล่าวว่า สำหรับรายละเอียดข้อร้องเรียน กรณีแรก เป็นของบุคคลชื่อ ว. (นามสมมุติ) ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2562 ต้องการสมัครเข้าทำงานที่การไฟฟ้านครหลวง ต่อมามีคนชักชวนว่าสามารถช่วยให้เข้าทำงานดังกล่าวได้ ก่อนพาไปรู้จักกับว่าที่นาวาตรีคนนี้ ซึ่งได้ขอเรียกเงินค่าดำเนินการ 230,000 บาท พร้อมกับทำสัญญากู้ยืมเงิน จนผ่านไปหนึ่งเดือน เมื่อคนชื่อ ว. ทวงถามถึงการพาไปสมัครงาน ก็ถูกว่าที่นาวาตรีคนดังกล่าวบ่ายเบี่ยงเลื่อนนัดมาเรื่อย ๆ จนรู้ตัวว่าถูกโกงเงินเข้าแล้ว และได้ติดต่อไปขอเงินคืน แต่ว่าที่นาวาตรีคนดังกล่าวเลื่อนบ่ายเบี่ยง จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้เงินคืนแม้แต่บาทเดียว

ธนเดช กล่าวต่อว่า กรณีที่สอง เป็นของบุคคลชื่อ ท. (นามสมมุติ) ซึ่งได้พาหลานชายไปสมัครสอบเข้านักเรียนจ่าทหารเรือเมื่อปี 2564 ระหว่างที่รอสอบอยู่ ว่าที่นาวาตรีคนเดียวกันได้เข้ามาชักจูงว่ามีเส้นสาย สามารถช่วยให้สอบผ่านการคัดเลือกได้ จึงได้ทำสัญญากู้ยืมเงินพร้อมนำเงินสดจำนวน 500,000 บาทมามอบให้ โดยฝ่ายว่าที่นาวาตรีได้ขอเลขประจำตัวผู้เข้าสอบของหลานชายไป อ้างว่าจะดำเนินการให้ แต่เมื่อผลการสอบออกมา ปรากฏว่าหลานชายไม่ผ่านการสอบรอบแรก จึงได้ติดต่อขอเงินคืนจากว่าที่นาวาตรีคนนั้น แต่ถูกบ่ายเบี่ยงทุกครั้งที่ทวงถามจนถึงทุกวันนี้

‘ก้าวไกล’ เตือน!! เดือนนี้คนไทยเสียค่าไฟเพิ่ม หลังรัฐขึ้นค่าไฟแบบเนียนๆ ไม่ยอมแก้ที่ต้นเหตุ

(12 ม.ค. 66) วรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเตือนประชาชนผู้มีรายได้น้อยเตรียมจ่ายค่าไฟแพงอย่างถ้วนหน้าในเดือนมกราคม 2566 เหตุเพราะมาตรการตรึงราคาค่าไฟให้กับผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาลหมดอายุ ซึ่งมาตรการตรึงค่าไฟเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น จะแก้ที่ต้นเหตุต้องปรับนโยบายพลังงานให้มีการกำหนดสัดส่วนค่าไฟที่เป็นธรรม

วรภพ กล่าวว่า เดือนแรกปี 2566 ประชาชนเตรียมจ่ายค่าไฟแพงกันถ้วนหน้า หลังการทบทวนค่าเอฟทีของ กกพ. แม้ได้ข้อสรุปว่าจะยังคงตรึงค่า Ft ของบ้านอยู่อาศัยไว้ที่ 93.43 สตางค์/หน่วย ในราคาเดียวกับปลายปี 2565 (ในขณะที่ภาคธุรกิจจ่ายแพงขึ้นไปอีก 61.49 สตางค์/หน่วย) แต่สิ่งที่ทำให้ประชาชนครัวเรือนจะต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้นกว่าเดิม เพราะรัฐบาลใจป๋าได้แค่ 4 เดือน เนื่องจาก งวดเดือน ก.ย. - ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา รัฐบาลมีมติ ครม. ใช้งบกลาง เพื่อมาช่วยเหลือค่าไฟ 8,000 ล้านบาท โดยให้ส่วนลดค่า Ft บ้านเรือนที่ใช้ไฟไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน ทำให้ค่าไฟที่บ้านเรือนจ่ายในงวดสิ้นปี 65 ไม่ใช่ราคาจริง

โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นไป รัฐบาลจะไม่ออกมาตรการควักเงินช่วยลดค่าไฟบ้านเรือนแล้ว นั่นเท่ากับว่าประชาชนผู้ใช้ไฟที่ใช้ไฟน้อยกว่า 500 หน่วยต่อเดือน จะต้องกลับมาจ่ายค่าไฟฟ้า Ft ในราคาจริงที่แพงขึ้น เช่น ถ้าครัวเรือนใช้ไฟฟ้า 300 หน่วย งวดสิ้นปี 65 Ft หลังส่วนลดรัฐบาล คือ 1.39 สตางค์/หน่วย แต่ต้นปี 66 Ft จะกลายเป็น 93.43 สตางค์/หน่วย ซึ่งหมายถึงทำให้ค่าไฟฟ้าจะต้องจ่ายแพงขึ้น 276 บาท/เดือน หรือ 22% คือจากเดิมที่เคยเสียค่าไฟ 1,264 บาท จะต้องจ่าย 1,539 บาทในเดือนนี้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top