‘ก้าวไกล’ ซัด รัฐบาลทำเรื่องน่าอาย จัดหารือไม่เป็นทางการเชิญรัฐบาลทหารเมียนมาเข้าร่วม เทียบไทย-เมียนมาคล้ายกัน มีรัฐบาลทหาร-เลือกตั้งสืบทอดอำนาจ แนะ จะเป็นประเทศตัวกลางชอบธรรม เริ่มจากทำตามข้อตกลงอาเซียนให้ได้ก่อน

วันที่ 25 ธันวาคม 2565 นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการหารืออย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา เมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีนายดอน ปรมัติวินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วันนา หม่อง ลวิน (U Wunna Maung Lwin) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมา และผู้แทนจากชาติสมาชิกอาเซียนเข้าร่วม ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ในขณะที่อีก 5 ประเทศไม่เข้าร่วม ประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และบรูไน

นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า เมียนมากำลังเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง แต่เมื่อดูปัจจัยแวดล้อมในการเมืองเมียนมาปัจจุบัน ไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าการเลือกตั้งจะเสรีและเป็นธรรม เพราะนักโทษการเมืองยังไม่ได้รับการปล่อยตัว ความรุนแรงบริเวณชายแดนยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ นางพรพิมล กาญจนลักษณ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากดอน ให้เป็นผู้แทนพิเศษของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในด้านสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เคยออกมาแถลงขอให้ประชาคมโลกมั่นใจในการเลือกตั้งของเมียนมา แต่ความมั่นใจนี้สวนทางกับฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน (Five-Point Consensus) ที่ต้องการให้เมียนมาเดินหน้าไปสู่สันติภาพก่อนการเลือกตั้ง

นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ตอนนี้ไทยไม่อยู่ในจุดที่มีความชอบธรรมจะเป็นเจ้าภาพหรือตัวกลางพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมาอีกต่อไป เนื่องจากการแสดงจุดยืนหลายครั้งที่ผ่านมามีลักษณะสวนทางกับการนำไปสู่สันติภาพในเมียนมา เช่น งดออกเสียงมติของสหประชาชาติกรณีระงับขายอาวุธให้เมียนมา หรือที่ทางการไทยส่งผู้ลี้ภัยการสู้รบกลับเมียนมาในปี 2564 รวมถึงการจัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้ ก็ไม่เป็นไปตามฉันทามติ 5 ข้อและการตัดสินใจของอาเซียนที่จะไม่ให้เมียนมาเข้าร่วมในการประชุมระดับสูง ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ดังนั้น ตอนนี้ไทยกำลังใช้จุดยืนเดียวกันกับเมียนมาในการละเมิดข้อตกลง หากต้องการกลับมามีสถานะผู้นำในภูมิภาคอย่างชอบธรรม รัฐบาลไทยต้องเริ่มจากทำตามฉันทามติ เปลี่ยนจุดยืนของประเทศไทยบนเวทีโลกเสียก่อน

“เป็นความน่าอับอาย และเป็นการกระทำที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอีกครั้งหนึ่งของรัฐบาลไทย ไม่ว่าฝ่ายการเมืองจะพยายามส่งเสียงให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างไร แต่เพราะทั้งไทยและเมียนมาปัจจุบัน มีรัฐบาลทหารที่กำลังเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งและการสืบทอดอำนาจแบบเดียวกัน ผลเลยออกมาเป็นแบบนี้ เชื่อว่าถ้ารัฐบาลไทยเป็นรัฐบาลที่ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย จะต้องทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป ด้วยการทำให้ไทยเป็นผู้นำในการส่งเสริมการเจรจาสันติภาพในเมียนมา เพื่อผลประโยชน์ของเมียนมาและของอาเซียนเอง” นายปดิพัทธ์กล่าว