Sunday, 23 June 2024
พรรคก้าวไกล

‘วิโรจน์’ ยัน!! พร้อมร่วมมือผู้ว่ากทม. หาทางออกรถไฟฟ้าสายสีเขียว

(27 ต.ค. 65) วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่ากทม.ในฐานะประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล กล่าวถึงการประชุมสภากรุงเทพมหานครเพื่อพิจารณาปัญหาการดำเนินการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเมื่อวานนี้ (26) แม้สภากทม.ไม่รับเข้าพิจารณา ว่า...

ตนขอชื่นชมและขอบคุณ คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่ากทม. ที่หยิบยกเอาคำสั่ง คสช.ที่ 3/2562 มาอ้าง จนนำไปสู่การตีความว่าไม่อยู่ในอำนาจของสภากรุงเทพมหานครที่จะพิจารณาบรรจุเป็นวาระการประชุมได้ ตามข้อบังคับการประชุมข้อที่ 28 วิโรจน์มีความเห็นว่า คำสั่ง คสช.ที่ 3/2562 หากพิจารณาในข้อที่ 5 ก็จะทราบว่า อำนาจของคณะกรรมการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว นั้นได้ยุติไปแล้ว และเป็นอำนาจของ รมว.มหาดไทย ที่จะแสวงหาแนวทางอื่นเพื่อนำเสนอต่อที่ประชุม ครม. ต่อไป 

ในทางปฏิบัติแค่รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ทำหนังสือตรงให้ผู้ว่ากทม.จากนั้นผู้ว่ากทม. มีอำนาจเต็มที่จะตอบหนังสือฉบับนั้นได้เอง โดยไม่ต้องผ่านสภากรุงเทพมหานครก็ได้ แต่คุณชัชชาติเลือกที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมสภากทม. สำหรับตนถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพราะนี่คือการสร้างบรรยากาศการทำงานให้สมาชิกสภากทม.ได้มีส่วนร่วมในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน

‘พิธา’ จี้รัฐเร่งจัดการน้ำโดยไว หลังท่วมนานหลายเดือน ชี้!! ต้องมีแผนเยียวยา บรรเทาปัญหา ‘น้ำลด หนี้ผุด’

(27 ต.ค. 65) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงสถานการณ์การน้ำที่ยังท่วมในหลายพื้นที่ บางพื้นที่น้ำท่วมต่อเนื่องเป็นระยะเวลาร่วมสองเดือนแล้ว หลายพื้นที่สถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้หนักกว่าปี 62 หลายเท่า แต่กลับไม่เห็นท่าทีของรัฐบาลในการแก้ปัญหารวมถึงเยียวผู้ประสบภัยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว 

พิธากล่าวเพิ่มเติมว่า ในพื้นที่ภาคอีสานอย่างจังหวัดอุบลราชธานีตนได้เข้าไปเยี่ยมพี่น้องประชาชน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าได้รับความเดือดร้อน มีความเครียดเนื่องจากพื้นที่ทำกินได้รับความเสียหาย ไม่รู้ว่าจะสามารถฟื้นได้เมื่อไร ในขณะที่น้ำท่วมทำมาหากินไม่ได้แต่รายจ่ายไม่หยุดนิ่ง ดอกเบี้ยก็ยังต้องจ่าย หลายพื้นที่ถึงแม้ว่าน้ำจะเริ่มลดแล้ว แต่ปัญหาที่ตามมาหลังน้ำลดคือปัญหาเศรษฐกิจ ‘น้ำลด หนี้ผุด’ เพราะชาวบ้านไม่สามารถออกไปทำมาหากินได้เป็นเวลากว่า 1-2 เดือน ไร่นาและบ้านเรือนประชาชนเสียหาย

ตนเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเยียวยาพี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบภัยโดยเร็ว ความจริงแล้วจนถึงตอนนี้ก็ล่าช้าไปมากเทียบกับความเดือดร้อนที่ประชาชนต้องแบกรับ 

พรรคก้าวไกลเสนอให้นำเทคโนโลยีมาใช้ด้วยการใช้ดาวเทียมเพื่อลดเวลาในการดำเนินการ นอกจากนี้ รัฐบาลต้องดำเนินการระบุพื้นที่ให้ชัดเจนว่าพื้นที่ไหนเป็นพื้นที่น้ำท่วมชั่วคราวหรือท่วมแบบชั่วโคตร เพื่อจะได้วางแผนในการรับมือทั้งในชีวิตประจำวันและการทำการเกษตรรวมถึงสนับสนุนเมล็ดพันธุ์การการเกษตรหลังน้ำลด

‘ส.ส.ก้าวไกล’ ชี้!! รฟม.กีดกัน BTS ร่วมประมูลสายสีส้ม ยัน!! ส่วนต่าง 68,000 ล้านบาทมีจริง แต่ไม่รู้เข้ากระเป๋าใคร

(29 ต.ค. 65) สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ออกมาตอบโต้ รฟม. ที่ชี้แจงว่าการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ‘โปร่งใส-ตรวจสอบได้’ และบอกว่าส่วนต่าง 68,000 ล้านบาทไม่มีจริง 
โดยสุรเชษฐ์กล่าวว่าคำชี้แจงของ รฟม. ฟังไม่ขึ้น เพราะ รฟม. ไม่เปิดให้ BTS เข้ามาแข่งขันประมูล ทำให้ราคาที่ประชาชนต้องจ่ายแพงกว่าความเป็นจริง เป็นความจริงนอกสำนวนที่เกิดจากการเล่นตุกติกกีดกัน BTS

สุรเชษฐ์กล่าวว่า หาก รฟม. ‘โปร่งใส-ตรวจสอบได้’ จริง เหตุใดจึงเบี้ยว! ไม่กล้ามาตอบคำถามซึ่ง ๆ หน้า ต่อหน้าคณะอนุกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งได้มีการเรียกมาชี้แจงถึง 2 ครั้ง แต่รฟม. เลือกที่ตอบแบบเลี่ยงคำถาม โดยชี้แแจงแบบต่างคนต่างพูดผ่านสื่อ ควรกล้าเผชิญหน้ากับตัวแทนของประชาชนและคู่กรณี (BTS) ให้ประชาชนได้รับรู้ว่า ‘ใครแถ’

วรภพ-วิโรจน์ ก้าวไกล วิจารณ์นโยบายรัฐบาลอนุมัติต่างชาติ 4 กลุ่มซื้อที่ได้ 1 ไร่ ชี้ไม่เป็นธรรมต่อคนไทยหลายล้านที่ไม่มีโอกาสซื้อบ้านเป็นของตัวเอง หวั่นกติกาหละหลวม ผุด “นอมินี” กว้านซื้อที่เอาเปรียบคนไทย

วรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล วิจารณ์กรณีคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ ให้ชาวต่างชาติ 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง 2) กลุ่มผู้เกษียณอายุ 3) กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และ 4) กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ ให้สามารถซื้อบ้านพร้อมที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ โดยต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาทไม่น้อยกว่า 3 ปี

โดยในส่วนของวรภพ ระบุว่าข้อน่ากังวลหลักของเรื่องนี้ คือเป้าหมายของรัฐบาลในการเพิ่มชาวต่างชาติ 4 กลุ่มเป้าหมายให้ได้ 1 ล้านคน ภายใน 5 ปี ซึ่งจะนำไปสู่ความต้องการซื้อบ้านและที่ดินเพิ่มขึ้นในประเทศไทยอีกเป็นหลายแสนยูนิต ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือราคาบ้านและที่ดินที่จะสูงขึ้น โดยเฉพาะในหัวเมืองใหญ่ที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก  ขณะที่คนไทยอีกจำนวนมากไม่มีโอกาสแม้แต่จะซื้อบ้านเป็นของตัวเองได้ จากราคาบ้านที่แพงขึ้นทุกวัน

ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรจะมาควบคู่กันคือ สวัสดิการช่วยผ่อนบ้าน สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท เพื่อช่วยให้คนไทยที่มีรายได้น้อย สามารถมีบ้านเป็นสินทรัพย์ของตนเองได้ เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อย สามารถกู้ซื้อบ้านได้ การสนับสนุนให้คนไทยมีบ้านเป็นของตัวเองจะสร้างความมั่นคงในชีวิต และความเข้มแข็งในสังคม ซึ่งสิงค์โปร์เคยวิธีการนี้เป็นแนวนโยบายที่ทำให้ประชากรมากกว่า 90% มีบ้านเป็นของตัวเองได้มาแล้ว

“ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะคิดถึงคนไทยกลุ่มนี้หรือไม่ ที่จะได้รับผลกระทบ ทำให้โอกาสการซื้อบ้านยิ่งยากขึ้นไปอีก จากทั้งราคาบ้านที่จะแพงขึ้นจากความต้องการของต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ถ้ารัฐบาลจะเปิดช่องให้คนต่างชาติ ซื้อบ้านและที่ดินได้ ช่วยมาพร้อมกับมาตรการสวัสดิการอุดหนุนให้คนไทยซื้อบ้านได้ด้วยบ้าง” วนภพกล่าว

ขณะที่วิโรจน์ ระบุว่าในปัจจุบันการถือครองที่ดิน อาคาร และกิจการของชาวต่างชาติ มีการใช้คนไทยมาเป็นตัวแทน หรือ “นอมินี” กันเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว จึงไม่ได้กังวลว่านโยบายนี้จะเป็นการ “ขายชาติ” ได้แบบเทน้ำเทท่า แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่า คือการนำไปสู่ความต้องการซื้อที่ดินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้คนไทยต้องซื้อที่ดินในราคาที่แพงขึ้น เป็นเจ้าของที่ดินได้ยากลำบากมากขึ้น

นอกจากนี้ อาจจะทำให้เกิดการตั้งบริษัทนอมินีที่เอารัดเอาเปรียบคนไทยมากขึ้น ในลักษณะของการทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และรับเหมาก่อสร้าง เพื่อสร้างบ้านขายชาวต่างชาติเดียวกัน โดยที่คนไทยได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อยจากการจ้างงานพื้นฐานเท่านั้น

'ก้าวไกล' ขอทุกฝ่ายวางอคติทางการเมือง ผ่าน 'สุราก้าวหน้า' เพื่อผลประโยชน์ประชาชน

'เท่า-พิธา' แถลงขอสังคมร่วมจับตาโค้งสุดท้าย 'สุราก้าวหน้า' ร่วมส่งเสียงเรียกร้อง ส.ส. ผ่านกฎหมายปลดล็อกสุราออกจากมือคน 1% ย้ำการผ่านร่างจะเป็นชัยชนะสำหรับประชาชนทุกคนและทุกพรรคการเมือง

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส. กรุงเทพ พรรคก้าวไกล ร่วมแถลงข่าวเพื่อส่งสารถึง ส.ส. พรรคต่าง ๆ และสังคมไทย เพื่อขอแรงสนับสนุนร่างแก้ไข พ.ร.บ.สรรพสามิต หรือกฎหมาย 'สุราก้าวหน้า' ที่กำลังจะมีการพิจารณาวาระสุดท้าย ในวันพุธที่ 2 พ.ย. นี้

พิธา ระบุว่าสุราก้าวหน้า คือนโยบายเศรษฐกิจที่จะช่วยยกระดับราคาสินค้าทางการเกษตร ทำให้เกิดความยุติธรรมระหว่างผู้เล่นรายใหญ่และรายย่อย และการนำเข้า-ส่งออกสินค้าแอลกอฮอล์ของประเทศ เป็นผลดีต่อประชาชนทุกคน ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ เช่น มาลัยรัม ฉลองเบย์ ไอรอนบอล นิกกิ ล้านนา บางกอกว๊อดก้า ฯลฯ ซึ่งชนะการแข่งขันในระดับโลกมาแล้วหลายรายการ ทั้งที่มีกฎหมายกดทับอยู่และไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ มีการนำมาเสิร์ฟอยู่ในโรงแรม 5-6 ดาว ล้วนผลิตจากอ้อย ข้าว ขิง ตะไคร้ และผลไม้ของเกษตรกรไทย บางรายส่งออกไปถึง 17 ประเทศทั่วโลกด้วยซ้ำ

สำหรับกระแสข่าวที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ อ้างข้อกังวลเรื่องเหล้าเถื่อนและสุขลักษณะ ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลร่วมออกเสียงคว่ำกฎหมายนั้น พิธาระบุว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจ ที่ความกังวลกับสุราของชาวบ้าน ไม่เท่าเทียมกับความกังวลต่อสุราของนายทุนและสุรานำเข้า ซึ่งเรื่องของสุขลักษณะเป็นหน้าที่ของรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และองค์การต่าง ๆ อยู่แล้ว ที่จะคอยมาช่วยควบคุมให้ผู้ประกอบการผลิตได้ผ่านมาตรฐาน ส่วนเรื่องของอุบัติเหตุและอัตราการดื่มสุรานั้น แน่นอนว่าจำเป็นต้องมีกระบวนการให้ความรู้ การศึกษา และการรณณรงค์ลดอุบัติเหตุจากการเมาและขับ ซึ่งภาษีจากสุราที่จะเพื่มมากขึ้นสามารถนำมาใช้เพื่อการนี้ได้

“สิ่งที่เถื่อนไม่ใช่เหล้า แต่คือกฎหมายและการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่มารังแกผู้ประกอบการ และการที่นายทุน ขุนศึก ศักดินา รวมหัวกันเพื่อทำให้เกิดการผูกขาดของอุตสาหกรรมสุรา กดทับตลาดของคนธรรมดาทั่วไปต่างหาก” พิธากล่าว

พิธา ยังได้ใช้โอกาสนี้ส่งสาสน์ไปถึง ส.ส. ต่างพรรค โดยระบุว่าเรื่องนี้เป็นชัยชนะของประชาชน ไม่ใช่พรรคใดพรรคหนึ่ง สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ที่ดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพานิชย์อยู่ นี่คือโอกาสในการทำผลงาน เพิ่มการส่งออกสินค้าสุราไทย ทำงานร่วมกับแต่ละจังหวัดที่พานิชย์จังหวัดมีเครือข่ายอยู่ เพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตรได้ ส่วนพรรคภูมิใจไทยที่ดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงสาธารณสุขอยู่ การมีผู้ประกอบการสุราระดับโลกอยู่ทั่วทุกประเทศ สอดรับกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งนโยบายสุราก้าวหน้าจะช่วยส่งเสริมในส่วนนี้ได้เช่นกัน และจะยังทำให้เกิดเม็ดเงินภาษีที่จะมาช่วยเหลือในงบประมาณด้านสาธารณสุข สำหรับการดูแลปัญหาสุขภาวะจากสุราเพิ่มมากขึ้นได้ด้วย

และยังได้ส่งสาสน์ไปถึง ส.ส. จากพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย โดยระบุว่าตัวเองจำได้ดีว่าในเดือน ก.ย. 2545 รัฐบาลพรรคไทยรักไทยของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เคยจัดมหกรรมสุราไทยและโอท็อป จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกระแสธารที่ส่งต่อกระบวนการปลดล็อกสุราไทยให้สามารถเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมและตัวเองหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะเดินหน้าสานต่อวิสัยทัศน์นี้ของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณต่อไปให้เกิดผลสำเร็จ ในการโหวตวันที่ 2 พ.ย. นี้

สำหรับนายทุนสุรารายใหญ่ พิธากล่าวว่าไม่มีความน่ากังวลเลยในเรื่องของส่วนแบ่งตลาด เนื่องจากมีข้อมูลยืนยันออกมาแล้ว ว่าประเทศต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการปลดล็อกสุรา ไม่เคยทำให้กลุ่มทุนสุราขนาดใหญ่ในประเทศไหนที่สูญเสียส่วนแบ่งตลาดเกิน 1% ขณะเดียวกันนี่คือโอการในการพัฒนาธุรกิจสุราของตัวเอง ด้วยการใช้เครือข่ายการส่งสินค้า การลงทุนร่วม สร้างหุ้นส่วน เพิ่มทุน ขยายกิจการร่วมกัน มาช่วยเหลือและต่อยอดเติบโตไปพร้อมกันได้

ในส่วนของเท่าพิภพ ระบุว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาระหว่างกระบวนการทำร่าง พ.ร.บ. นี้ ได้มีเสียงสะท้อนมาจากหลายภาคส่วน รวมทั้งระหว่างการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการโดย ส.ส. หลายคน ส่วนใหญ่เป็นความกังวลในเรื่องของมาตรฐาน อีกทั้งเมื่อไม่กี่วันมานี้ ยังมีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะให้แทรกแซงให้ล้มกฎหมายฉบับนี้ ด้วยข้อกังวลเดียวกัน

ในการนี้ ตัวเองได้อธิบายไปหลายครั้งแล้ว และขออธิบายอีกครั้ง ว่าเนื้อหาในกฎหมายฉบับนี้ ไม่ได้เข้าไปเปลี่ยนแปลงการควบคุมมาตรฐานอะไรแม้แต่น้อย และประเทศไทยก็มีกฎหมายควบคุมอย่างเข้มแข็งและเข้มงวดอยู่แล้ว ยิ่งกว่าประเทศมุสลิมบางประเทศด้วยซ้ำ ในทางกลับกัน นี่คือเรื่องที่เป็นประโยชน์กับคนส่วนมาก ไม่ใช่แค่ผู้ผลิต แต่รวมถึงคนทำงานในบาร์ คนทำงานในระบบโลจิสติกส์ เกษตรกร ธุรกิจสุรามีซัพพลายเชนที่ครอบคลุมหลายส่วนและจะนำไปสู่การจ้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล

‘พิธา’ แง้ม ‘ก้าวไกล’ เตรียมเปิดเกมรุกเสนอสภาฯ พ่วงคำถามประชามติแก้ รธน.60 ใหม่ทั้งฉบับทันที

'พิธา' แง้ม 'ก้าวไกล' เตรียมเปิดเกมรุกเสนอพ่วงคำถามประชามติในบัตรเลือกตั้งทันทีหลังสภาโหวตสุราก้าวหน้า

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกมาให้ความเห็นถึงการขับเคลื่อนของพรรคก้าวไกลหลังจบการพิจารณากฎหมายสุราก้าวหน้าว่า ภายหลังจากที่ลงมติกฎหมายสุราก้าวหน้าในวันพุธ พรรคก้าวไกลเตรียมขับเคลื่อนต่อผลักดันให้มีการเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา ขอให้สภามีมติให้ ครม. พ่วงคำถามประชามติแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ใหม่ทั้งฉบับทันที 

พิธากล่าวว่า ในเดือนพฤษจิกายน 65 นี้เชื่อว่าจะเป็นเดือนแห่งประเด็นที่ก้าวหน้าในสังคม สำหรับกรณีการพ่วงคำถามประชามติในการแก้รัฐธรรมนูญ ทุกพรรคเคยพูดเอาไว้ตรงกันว่าการแก้รัฐธรรมนูญคือนโยบายหลักที่จะคืนประเทศไทยกลับสู่ระบอบประชาธิปไตย

‘พิธา’ วอนขอ ส.ส. โหวตหนุน ‘สุราก้าวหน้า’ ชี้!! เพื่ออนาคตเกษตรกร-ผู้ประกอบการรายย่อย

พิธา อภิปรายโค้งสุดท้าย ‘สุราก้าวหน้า’ เทียบกฎกระทรวงกับร่างสุราก้าวหน้าแตกต่างชัดเจน ยังคงกีดกันการค้ารายย่อยหนุนทุนใหญ่ผูกขาดเหมือนเดิม พร้อมกระตุกจิตสำนึก ส.ส. โหวตเสร็จคงจะกลับไปกินเหล้านอกต่อไม่ว่ากัน แต่ขอโหวตเพื่ออนาคตของเกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยด้วย

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายสนับสนุนร่างแก้ไข พ.ร.บ.สรรพสามิต หรือร่างกฎหมาย ‘สุราก้าวหน้า’ ที่กำลังมีการอภิปรายในวาระ 2 และจะมีการลงมติวาระ 3 ในวันนี้ พร้อมชี้ข้อเปรียบเทียบกับกฎกระทรวง ว่าด้วยการผลิตสุรา ที่ออกมาใหม่โดยรัฐบาลเมื่อวานนี้

พิธาระบุว่าหลักการที่สำคัญที่สุดในการพิจาราเรื่องนี้ คือการเอาสภาพข้อเท็จจริงและศักยภาพของผู้ประกอบการ มาเทียบกับร่างกฎหมายสุราก้าวหน้า และกฎกระทรวงที่ออกมาเมื่อวานนี้ ว่าสิ่งใดที่เหมาะสมกับข้อเท็จจริงของประเทศและศักยภาพของผู้ประกอบการมากกว่ากัน

ซึ่งหากเป็นกฎกระทรวงที่ออกมาเมื่อวานนี้ กล่าวได้ว่าเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนจากล็อกเก่ามาเป็นล็อกใหม่เท่านั้น หากพิจารณาตามข้อเท็จจริง ผู้ประกอบการจินหรือรำ ทั้งที่เชียงใหม่ หนองคาย สงขลา สุราษฎร์ธานี ที่เป็นผู้ประกอบการระดับโลก ส่งออกไปได้ 17 ประเทศ ชนะการประกวดทั้งที่ปารีส โตเกียว ฮ่องกง ชนะคู่แข่งจากออสเตรเลีย อาร์เจนติน่าจะไม่ได้รับการปลดล็อกจากกฎกระทรวงฉบับนี้ ด้วยการกำหนดกำลังการผลิตขั้นต่ำ 30,000 ลิตรต่อวันที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลย รวมทั้งการที่ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็น

‘สุราก้าวหน้า’ กระสุนสั่งลาของ ‘ก้าวไกล’ แค่คนไม่ได้หน้าในฐานะผู้เคาะนโยบาย

หลังจาก พรบ. ภาษีสรรพสามิต ฉบับที่ .. พ.ศ. …. ที่พรรคก้าวไกลเสนอเข้าสภาวาระ 2 – 3 ในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 (เรียกย่อว่า พรบ. สุราก้าวหน้า) ถูกกฎกระทรวงการอนุญาตผลิตสุรา พ.ศ. 2565 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 ออกตัดหน้า พรบ. สุราก้าวหน้า ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง

บรรดา ‘หัวก้าวหน้า’ ต่างก็ออกมาร่วมซัด กฎกระทรวงฉบับใหม่ ที่ว่ากันว่า ออกมาแย่งซีนบ้าง กันท่าบ้าง สาระสำคัญยังอวยยศให้นายทุนเหล้าเบียร์อยู่บ้าง แม้จะเป็นการออกมาร่วมกันสำทับแบบกลืนน้ำลายในคอ เพราะรู้ตัวดีว่ากฎกระทรวงใหม่นี้ ก็ไม่ได้มีอะไรที่หลุดจากพรบ.สุราก้าวหน้ามากมายก็ตาม 

ทั้งนี้ หากลองย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของกฎหมายสุราก้าวหน้าในสภา โดย เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.พรรคก้าวไกล แถลงเปิดตัวร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า อธิบายว่าร่างนี้แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต มาตรา 153 เพื่อให้มีการ ‘ปลดล็อกการผลิตสุรารายย่อย’ อีกทั้งยังรวมถึงการ ‘ปลดล็อกอนุญาตให้ทำสุราเพื่อบริโภคเองภายในครัวเรือน’ (แต่จริงๆ ก็เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายที่ทำให้ตัวเองไม่สามารถทำคราฟต์เบียร์ได้เสรีแล้วก็โวยวายจนกลายเป็นร่างเสนอ) ซึ่งหากมองจากกฎกระทรวงใหม่ ก็มีการ ‘ปลดล็อก’ เงื่อนไขในแบบที่สอดคล้องกับ พรบ.สุราก้าวหน้า ในระดับหนึ่งกันเลยทีเดียว

ว่าแต่ การเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า ‘ปลดล็อก’ ของกฎกระทรวงใหม่ 2565 มีความต่างจากปี 2560 และสอดคล้องกับ พรบ.สุราก้าวหน้าอย่างไรบ้าง?

1.
กฎกระทรวง 2560 >> บริวผับ (บรรจุขวดขายไม่ได้) ต้องมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท
พรบ. สุราก้าวหน้า >> ห้ามกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ
กฎกระทรวง 2565 >> ไม่กำหนดทุนจดทะเบียน

2.
กฎกระทรวง 2560>> บริวผับ (บรรจุขวดขายไม่ได้) ต้องมีกำลังผลิตขั้นต่ำ 100,000 ลิตร ไม่เกิน 1 ล้านลิตรต่อปี
พรบ. สุราก้าวหน้า >> ห้ามกำหนดกำลังผลิตขั้นต่ำและการกีดกันอื่นใด
กฎกระทรวง 2565 >> ไม่กำหนดกำลังผลิตขั้นต่ำ แต่ต้องมีเครื่องจักรที่ได้มาตรฐานตามที่กำหนด และ ***ปฏิบัติตาม กม. สิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข***

3.
กฎกระทรวง 2560 >> โรงเบียร์ ต้องมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท
พรบ. สุราก้าวหน้า >> ห้ามกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ
กฎกระทรวง 2565 >> ไม่กำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ

4.
กฎกระทรวง 2560 >> โรงเบียร์ ต้องมีกำลังผลิตขั้นต่ำ 10 ล้านลิตรต่อปี
พรบ. สุราก้าวหน้า >> ห้ามกำหนดกำลังผลิตขั้นต่ำและการกีดกันอื่นใด
กฎกระทรวง 2565 >> ไม่กำหนดกำลังผลิตขั้นต่ำ ***แต่ต้องมีสายการผลิตที่ติดตั้งระบบพิมพ์เครื่องหมายการเสียภาษี และผ่านความเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม***

‘พิธา’ ซัดขายที่ดินให้ต่างชาติเป็นทางลัดโบราณ หวั่นราคาบ้านในไทยพุ่งสูงเหมือนอังกฤษ - ฮ่องกง

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้สดถามนายกฯ นโยบายต่างชาติซื้อที่ดินได้ มีการประเมินข้อดี-ข้อเสีย ของนโยบายหรือไม่ ชี้ มาตรการดึงต่างชาติลงทุน-อาศัยในไทยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นแนวคิดสุดโบราณ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตั้งกระทู้ถามสดถึงนโยบายต่างชาติซื้อที่ดินว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีกฎกระทรวงที่ย้อนหลัง ไปถึงรัชกาลที่ 4 ที่มีบันทึกเรื่องของกฎหมายให้ชาวต่างชาติมาใช้ที่ดินในประเทศไทย แต่ในภาวะปัจจุบันนโยบายนี้เป็นนโยบายที่ผิดที่ผิดทาง เพราะผลบวกที่ได้ทางเศรษฐกิจยังไม่มีการประเมินที่แน่ชัด ในขณะที่ประชาชนชาวไทยจำนวนมากที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน

ปัญหาข้อแรก ตั้งคำถามถึงเป้าหมายที่ชัดเจนของการแก้กฎกระทรวงเพื่อให้ต่างชาติเข้ามาถือครองที่ดินในประเทศไทยคืออะไร เพราะจากข้อมูลพบว่าในรอบ 20 ปี มีต่างชาติเพียง 8 คน เป้าหมายจากคำสัมภาษณ์ที่เห็นมีเพียงระบุกว้าง ๆ ว่า ต้องการดึงดูดชาวต่างชาติ 1 ล้านคน ซึ่งว่าการเปลี่ยนกฎกระทรวงในครั้งนี้ยังมองไม่เห็นเป้าหมายและความชัดเจนว่าต้องการอะไรกันแน่ แล้วตลอดหลายเดือนที่ผ่านมามีการเปลี่ยนตัวเลขกลับไปมา จึงไม่แน่ใจในเป้าหมาย

ปัญหาข้อที่สอง พิธา ตั้งคำถามถึงผลกระทบและข้อเสียงของการแก้ไขกฎกระทรวงว่าได้คำนึงถึงผลกระทบในทางลบที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ ยกตัวอย่างประเทศอังกฤษ ว่าหลังจากการปล่อยให้ต่างชาติเข้าไปซื้อที่ดินทำให้ราคาบ้านสูงเพิ่มขึ้นถึง 19% และตัวอย่างในประเทศฮ่องกงที่การเปิดเสรีเข้าซื้อที่ดินทำให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้นจนคนในประเทศที่มีรายได้น้อยต้องอาศัยอยู่ในที่พักเล็ก ๆ ที่เป็นเหมือน “อพาร์ทเมนท์โรงศพ”

ทั้งนี้ พิธา ระบุว่า ตนกังวลเรื่องความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงที่ดิน ขณะที่ทางรัฐบาลพยายามจะให้ชาวต่างชาติ 1 ล้านคนเข้ามาซื้อที่ดิน แต่ 75% ของคนไทยยังไม่สามารถเข้าถึงที่ดินทำกินของประเทศบ้านเกิดตัวเองได้ คนไทยธรรมดาที่มีที่ดินจริง ๆ มีเพียง 20 เปอร์เซ็นเท่านั้น โควตาของต่างชาติคนละ 1 ไร่ก็ไปเบียดเบียนที่ดินของพี่น้องประชาชนแล้ว ยังมีประชาชนที่มีรายได้น้อยที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ยกตัวอย่างข้อมูลจากกระทรวงพัฒนาสังคมและมนุษย์ 1 ใน  5 ของคนจนไม่มีที่อยู่ และ 15 ปีต่อมา 1 ใน 3 ของคนจนไม่มีที่อยู่อาศัย พร้อมตั้งคำถามว่านายกรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องเรียงลำดับความสำคัญ ในขณะที่ประชาชนป่าสงวนหรือในพื้นที่อุทยานเงื่อนไขและข้อจำกัดในการเข้าถึงที่ดินจำนวนมาก ต่างชาติกลับมีเงื่อนไขเพียง 5 บรรทัดเท่านั้น ก็ต้องตั้งคำถามถึงรัฐบาลว่าจะให้ความสำคัญกับการให้ต่างชาติมีที่ดินก่อน หรือประชาชนมีที่ทำกินก่อน

'ครูธัญ' ร้อง พม.รับผิดชอบกรณีมูลนิธิทำร้ายเด็ก ดักคอ!! อย่าอ้างเป็นมูลนิธิที่เปิดมายาวนานและมีประวัติดี

ธัญวัจน์ ก้าวไกล เรียกร้อง พม.รับผิดชอบกรณีมูลนิธิทำร้ายเด็ก ทำร้ายร่างกาย บังคับทำงาน และใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก 

(4 พ.ย. 65) ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวถึงประเด็นข่าวของมูลนิธิเด็กแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสงคราม ที่มีการนำเสนอข่าวประเด็นการร้องเรียน มีเด็กในความดูแลของมูลนิธิถูกทำร้ายร่างกาย เช่น ต่อยตี ใช้ไม้ไผ่ฟาด ไม้ม็อบฟาด จนเลือดออก บางรายโดนจับกดน้ำ และให้อาบน้ำคลอง รวมถึงการนำเด็กไปทำงานในรีสอร์ทแห่งหนึ่งโดยให้ค่าแรงวันละ 10 บาท รวมถึงคลิปที่มีการถือไม้เรียว ใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก 

เมื่อมีภาพเหล่านี้ออกไปพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสมุทรสงครามได้ให้ความเห็นต่อสื่อมวลชนว่า เป็นมูลนิธิที่เปิดมายาวนานและมีประวัติดี เพราะได้เข้ามาตรวจสอบ พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ และมีการสุ่มการพูดคุยกับเด็ก 

ธัญวัจน์ กล่าวว่า "ตนมีความสงสัยอย่างมากว่าท่านมีการวิธีการ ระเบียบวิธีปฏิบัติ และขั้นตอนตรวจสอบคุณภาพอย่างไร และไม่ว่าขั้นตอนจะเป็นอย่างไรคงต้องถึงเวลาทบทวนและพิจารณาระเบียบวิธีปฏิบัติในการตรวจสอบดังกล่าวทั้งหมด 

"และคำถามต่อไปที่สังคมอยากรู้ว่าระเบียบวิธีการปฏิบัติและขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพนั้นเป็นเช่นเดียวกับมูลนิธิเด็กทั่วประเทศหรือไม่ ซึ่งรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จุติ ไกรฤกษ์ ก็ควรออกมาตอบคำถามอย่างชัดเจน ว่ากระบวนการการช่วยเหลือและเยียวยาจะเป็นอย่างไรต่อไป

"สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้อย่างชัดเจน คือ ความสัมพันธ์ทางอำนาจ เพราะเมื่อเด็กพูดคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐนั้น ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ในทางกลับกันการที่มีกลุ่มคนจิตอาสาเข้าไปทำกิจกรรมเด็กที่อยู่ในมูลนิธิกลับพูดคุยเรื่องราวอีกด้าน ที่เป็นความรุนแรงทั้งทางกายและจิตใจ นั่นหมายถึงว่า มีบางอย่างที่ปิดปากเด็กไม่ให้พูด หรือถ้าพูดไปก็กลัวที่จะถูกลงโทษซ้ำ จึงเลือกที่จะอยู่เงียบ ๆ และเลือกพูดกับคนที่เข้ามาทำงานจิตอาสาสมัครคิดว่าพวกเขาปลอดภัยและน่าจะให้การช่วยเหลือได้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top