Monday, 1 July 2024
ประเทศไทย

'ซาอุดีอาระเบีย' ปักหมุด EEC ลงทุนในไทย ร่วม 3 แสนล้านบาท!!

สำหรับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ราชอาณาจักร ‘ไทย-ซาอุดีอาระเบีย’ ที่ห่างหายมานานกว่า 32 ปี ได้สำเร็จนั้น ส่งผลในทางบวกที่ประชาชนทั้ง 2 ประเทศต่างรอคอย และชาวโลกก็เฝ้าติดตามเช่นกัน ในที่สุดความหวังที่มีมาอย่างยาวนานถึง 14 รัฐบาล ก็เกิดขึ้นจริงในปี 2565 มีการแลกเปลี่ยนการเยือนอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล (Official Visit) 

โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 25 ม.ค.65 และเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด มกุฎราชกุมาร และนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เสด็จเยือนไทย เมื่อวันที่ 18 พ.ย.65 

2 เหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์นี้นำมาสู่การยกระดับความร่วมมือเบื้องต้นที่สำคัญ ๆ ได้แก่ ด้านพลังงาน, ด้านการท่องเที่ยว และด้านการค้า-การลงทุน

อีกทั้งมีการจัดตั้ง ‘สภาความร่วมมือไทย-ซาอุดีอาระเบีย’ และการแต่งตั้ง ‘เอกอัครราชทูต’ ในเวลาต่อมา ถือเป็นการสิ้นสุด 3 ทศวรรษแห่งหมองมัว เพื่อเริ่มต้นศักราชใหม่แห่งความร่วมมือ สร้างสรรค์ และพัฒนาร่วมกัน

และแม้ยังไม่ทันข้ามปี...ผลสัมฤทธิ์ในการผูกมิตร ฟื้นสัมพันธ์ของ ‘2 ราชอาณาจักร’ ก็เกิดขึ้น คือ ภาคเอกชนไทย-ซาอุดีอาระเบีย รับลูกการเจรจาการค้า-การลงทุนในอนาคตทันที แล้วข่าวดีก็ปิดไม่มิด เมื่อฝ่ายซาอุดีอาระเบียประกาศว่า ในปี 2566 ปีเดียวจะขยายการลงทุนขนานใหญ่ กว่า 300,000 ล้านบาท ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว, อุตสาหกรรมเมดิคัลแคร์, อุตสาหกรรมน้ำมัน และอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่รัฐบาลนี้ ได้เตรียมความพร้อมไว้รอการลงทุนจากทั่วโลกแล้ว

เวลาเปลี่ยน เมืองไทยเปลี่ยน: สะพานเกาะคอเขา-บ้านน้ำเค็ม จังหวัดพังงา

รัฐบาลมุ่งพัฒนาทุกพื้นที่ในประเทศไทยให้เกิดความเจริญ และเป็นประโยชน์แก่พี่น้องประชาชน ได้สร้างสะพานเกาะคอเขา-บ้านน้ำเค็ม ที่จังหวัดพังงา เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ให้ไปมาหาสู่กันได้สะดวก ลดข้อจำกัดแพขนานยนต์ ลดระยะเวลาการเดินทาง อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวในพื้นที่อีกด้วย

8 ปีรัฐบาล พัฒนา ‘คมนาคม - เศรษฐกิจ’ ไม่หยุดยั้ง

8 ปีที่ผ่านมา 'รัฐบาล' เดินหน้าพัฒนา 'คมนาคม-เศรษฐกิจ' แบบไม่หยุดยั้ง!! จะมีอะไรบ้าง ไปดูกัน!!!

>> พลิกโฉมคมนาคม
-มอเตอร์เวย์ สร้างเพิ่ม 3 เส้นทางสำคัญ
-รถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทาง
-รถไฟราง แผนสร้างเพิ่ม 20 ปี รวมระยะทาง 8,900 กิโลเมตร
-โครงการรถไฟทางคู่ ขอนแก่น-หนองคาย คาดเปิดให้บริการ ปี 2569

>> เศรษฐกิจเติบโต
-มูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 ต่อปี
-EEC เริ่มลงทุนแล้ว 4,925 โครงการ
-ปี 2558 - 2565 รัฐได้สนับสนุน SMEs ไทย 5,111 โครงการ มูลค่าลงทุนรวม 214,174 ล้านบาท

เวลาเปลี่ยน เมืองไทยเปลี่ยน: สนามบินบึงกาฬ สนามบินแห่งใหม่ของไทย

‘สนามบินบึงกาฬ’ ถือเป็นอีกหนึ่งประตูบ้านของไทยที่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก สามารถรองรับนักท่องเที่ยวปีแรกกว่า 1.5 แสนคน พร้อมทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจ และการท่อเที่ยวอีกด้วย

‘ผบ.ตร.’ ส่งหน่วยงานฯ ประชุมที่จีน ถกปัญหา-พร้อมหาแนวทาง กวาดล้าง ‘คนจีน’ เข้ามาสร้างเรื่อง โดยใช้ไทยเป็นแหล่งก่อเหตุ

(10 พ.ค 66) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการผ่าน พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์   สัจจพันธ์ุ ผบช.สตม. ให้หาแนวทางมาตรการในการแก้ไขปัญหาจากสถานการณ์ปัจจุบัน มีเหตุชาวจีนเข้ามากระทำความผิด ต่อชาวจีนด้วยกันในประเทศไทย แล้วหลบหนีออกนอกประเทศ รวมถึงมีบางส่วนเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อหลบหนีการกระทำความผิดมาจากประเทศจีน รวมถึงประเทศต่างๆ เข้ามาในประเทศไทย อีกทั้งบางส่วนมีพฤติกรรมเข้ามาก่อตั้งรกรากและประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย

มอบหมายให้ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. และคณะ เดินทางไปประชุมหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจีน ระหว่างวันที่ 5-11 พฤษภาคม 2566 เพื่อประชุม แสวงหาความร่วมมือ แลกเปลี่ยนข้อมูล กับเจ้าหน้าที่ตำรวจมณฑลต่างๆที่สำคัญในประเทศจีน เพื่อหาแนวทางในการสกัดกั้น และป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีประวัติในการกระทำความผิด หลบหนีเข้ามาในประเทศไทยผ่านตามช่องทางสนามบินและช่องทางด่านต่างๆทั่วประเทศ รวมถึงติดตามจับกุมผู้ที่มีหมายจับของประเทศจีน

ผลการประชุมหารือได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจตามมณฑลต่างๆ เป็นอย่างดี โดยทางตำรวจจีนได้ส่งข้อมูลผู้ต้องหาที่มีหมายจับที่สำคัญและมีข้อมูลว่าหลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทยให้ทางสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของไทยช่วยติดตามจับกุมให้ จำนวนหลายเป้าหมายและมีการประสานงานร่วมกันผ่าน contact person เพื่อส่งข้อมูลผู้ต้องหาที่มีหมายจับในจีนเพื่อให้ทางสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไทยลงข้อมูลในระบบเพื่อแจ้งเตือน เมื่อพบว่าผู้ต้องหาเหล่านี้เข้ามายังพรมแดนประเทศไทย ซึ่งเชื่อว่าจะเกิดประโยชน์ในการสกัดกั้นไม่ให้คนจีนเข้ามาก่อเหตุในประเทศไทย ในลักษณะดังกล่าวได้

นอกจากนี้ทาง ตำรวจจีนได้ขอบคุณในความร่วมมือเป็นอย่างดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย รวมถึงสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ในอดีตที่ผ่านมาที่ได้ช่วยจับกุมผู้ต้องหาที่มีหมายจับคดีสำคัญสำคัญในจีนมาดำเนินคดีได้เป็นจำนวนมาก 

‘พัดลมน้ำแข็ง’ อุปกรณ์คลายร้อนที่ไม่เหมาะกับอากาศในไทย แม้ช่วยลดความร้อนได้ แต่อาจเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค ‘บัคเตรี’

(11 พ.ค. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘ยอดเยี่ยม เทพธรานนท์’ สถาปนิกชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องการใช้ ‘พัดลมน้ำแข็ง’ ในสภาวะอากาศร้อน-ชื้น โดยระบุว่า…

อย่าใช้ ‘พัดลมน้ำแข็ง’ ในห้องนะครับ (แต่การเปิดพัดลมปกติเป็นเรื่องดีมาก ๆ ครั้ง ทั้งในห้องปกติ ห้องร้อน ๆ หรือห้องแอร์ครับ) เหตุผลก็คือ

เพราะ ‘พัดลมน้ำแข็ง’ คือพัดลมที่ใส่น้ำแข็งลงไปด้านหลัง แล้วให้น้ำแข็งละลายเป็นน้ำเย็น และพัดลมก็จะเป่าน้ำเย็นเป็นละอองออกมา เพื่อลดอุณหภูมิ 

แต่เพราะเมืองไทยเราเป็นเมือง ‘ร้อน - ชื้น’ ที่ไม่ต้องการความชื้นเพิ่ม หากใช้พัดลมน้ำแข็งจะเป็นการเพิ่มความชื้น แม้จะได้ความเย็นมา ลดความร้อนได้ แต่จะทำให้เราไม่สบายตัวเมื่อเวลาผ่านไป เพราะความชื้นจะไปอุดต่อมเหงื่อ จนความชื้นในตัวเราระบายไม่ออก และเหล่าความชื้นจะสะสมในห้อง เป็นการเพาะเชื้อโรค ‘บัคเตรี’ นะครับ 

‘สภาวะน่าสบาย’ เป็นสิ่งที่ทำให้เราสบายครับ ศัพท์เทคนิคภาษาฝรั่งเรียกว่า Comfort Zone นั้น จะเกี่ยวข้องกับ อุณหภูมิ - ความชื้น - แรงลม ที่จะต้องมีความพอดีกัน จะมากไป จะน้อยไปก็ไม่ดีครับ

พัดลมจึงเป็นอุปกรณ์สำคัญอย่างหนึ่ง ที่สร้างสภาวะน่าสบายให้กับเราครับ (โดยการเพิ่มแรงลม ในขณะที่อุณหภูมิไม่ลดครับ) แต่ ‘ความชื้น’ จาก ‘พัดลมน้ำแข็ง’ จะทำให้เรารู้สึกแย่ เพราะ ‘สภาวะน่าสบาย’ จะลดลงครับ

พัดลมน้ำแข็งใช้ได้ในประเทศแถบทะเลทราย ที่เป็นอากาศที่ ‘ร้อน - แห้ง’ จะดีมากเลยครับ แต่อย่าใช้ในบ้านเราดีกว่าครับ

วิเคราะห์ฉากทัศน์ ‘ทิศทางประเทศไทย’ ภายใต้ขั้วรัฐบาล ‘อนุรักษ์นิยม vs เสรีนิยม’

นับถอยหลังจากนี้เหลือเวลาเพียงไม่อีกกี่วันก็จะถึง 'การเลือกตั้งปี 2566' ที่จะมีขึ้นวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ขณะที่มีการประเมินว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนจะตื่นตัวออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งอย่างคึกคัก มากกว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2562  

ทั้งนี้ เห็นได้จากการเลือกตั้งนอกเขตเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา มีผู้ลงทะเบียนกว่า 2 ล้านคน และมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์กว่า 90%

ขณะที่ ในสนามการเลือกตั้งต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือด โดยในภาพใหญ่เป็นการแข่งขันกันระหว่าง 2 ขั้วที่เรียกว่า ฝ่ายอนุรักษ์นิยม หรือ พรรคฟากรัฐบาล ที่นำโดยพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับฝ่ายเสรีนิยม หรือ ฟากฝ่ายค้าน ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล

เมื่อดูตามผลโพลของสำนักต่าง ๆ ที่ออกมาก่อนหน้านี้ พบว่าฝ่ายเสรีนิยมมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมสูงกว่าฝ่ายอนุรักษ์นิยมค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกระแสความนิยมในตัวนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ที่มีคะแนนนิยมพุ่งอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันฝ่ายเสรีนิยม 2 พรรคที่ได้รับความนิยมสูงสุดได้รับความนิยมรวมกันมากถึง 68-84%

แต่ทว่า การจัดตั้งรัฐบาลนั้น มีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา เพราะพรรคที่ได้จำนวน ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 อาจไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ได้ ซึ่งได้ปรากฏให้เห็นแล้วเมื่อครั้งเลือกตั้งปี 2562 ที่ผ่านมา 

ส่วนการฉากทัศน์หลังการเลือกตั้งในครั้งนี้ จะเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองประเทศไทยอย่างไร หากพรรคอย่างกระแสแรงอย่าง พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

หากว่ากันตามระบอบประชาธิปไตย ที่เปิดโอกาสให้พรรคมีคะแนนเสียงมากเป็นอันดับ 1 เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็เป็นไปได้ที่ พรรคเพื่อไทย จะได้เป็นรัฐบาล แต่จากการประเมินกระแสล่าสุด แม้ว่า เพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงเยอะที่สุด แต่ก็ยังไม่ถึงกับแลนด์สไลด์ตามเป้า 

ดังนั้น หากเพื่อไทย อยากเป็นรัฐบาล ต้องได้ ส.ส. 376 ขึ้นไป จึงจำเป็นต้องไปดึงพันธมิตรฝ่ายที่คุยกันรู้เรื่องมาก่อน ซึ่งก็น่าจะเป็น ‘ก้าวไกล’ เพราะอย่างน้อยเคยร่วมเป็นฝ่ายค้านมาถึง 4 ปี และถือว่าอยู่ในขั้วเสรีนิยมด้วยกัน รวมถึงพรรคเล็ก ๆ ในฝั่งเดียวกัน แต่หากเสียงยังไม่พอ อาจต้องถึงพรรคต่างขั้วมาร่วม เพราะมีพรรคที่พร้อมเข้าร่วมแต่ขอให้ได้เป็นรัฐบาล

ถ้าเสียงยังไม่พอ อาจจะต้องพึ่งเสียง สว.มาเพิ่มอีก เพื่อรวมเสียงทั้งหมดให้ได้ 376 ขึ้นไป แต่อย่างไรก็ดี หากเพื่อไทยได้เก้าอี้ ส.ส. ไม่เยอะจริง อาจจะถูกต่อรองเก้าอี้กระทรวงสำคัญ ไปถึงขั้นเก้าอี้ ‘นายกรัฐมนตรี’ และเป็นไปได้ที่เพื่อไทยอาจจะยอม เพราะต้องการเป็นรัฐบาลไว้ก่อน เนื่องจากห่างหายมานาน และยังมีเรื่องสำคัญคือ การพา ‘ทักษิณ ชินวัตร’ กลับบ้านมาเลี้ยงหลาน ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้คือความหวังและอาจจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของทักษิณ หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล

ท้ายที่สุด ถ้าเพื่อไทย - ก้าวไกล และพรรคร่วมสามารถตกลงจัดสรรตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีได้อย่างลงตัว ในแง่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาจจะทำได้ทันที ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน อาจจะเกิดเหตุชุมนุมทางการเมืองขนาดเล็ก จากกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามบ้างในช่วงแรกของการเป็นรัฐบาล 

แต่ในกรณีที่ฝั่งอนุรักษ์นิยม นำโดยพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลเดิมรวมเสียงกันได้เกิน 126 เสียง บวกกับ สว.อีก 250 เสียง จัดตั้งรัฐบาลเหมือนเมื่อครั้งปี 2562 ในกรณีนี้ มีความเป็นไปได้ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้เป็นนายกฯ ต่อไป เพราะมีแต้มต่ออยู่ที่ สว. เพียงแต่มีเงื่อนไขพรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องได้ ส.ส. 25 เสียงขึ้นไป

ถ้าโฉมหน้าการเมืองหลังเลือกตั้งออกมาเช่นนี้ ในแง่การบริหารราชการแผ่นดินคงไม่ต่างไปจากเดิม แต่จะเกิดการต่อรองทางการเมืองสูง และเสถียรภาพของรัฐบาลจะไม่มั่นคง เพราะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย การผลักดันกฎหมายจะทำได้ยาก มีความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลจะอยู่ไม่ครบ 4 ปี แม้ว่าจะหลังจากตั้งรัฐบาลเสร็จ จะมี ส.ส.ย้ายพรรคมาร่วมด้วยก็ตาม 

และที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า พลเอกประยุทธ์ จะเหลือวาระการดำรงตำแหน่งอีกเพียง 2 ปีเท่านั้น ยกเว้นจะไปแก้รัฐธรรมนูญ เมื่อครบวาระแล้ว หลังจากนั้นจะให้ใครขึ้นมานั่งเก้าอี้นายกฯ แทน ตรงนี้อาจจะต้องกำหนดให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

แน่นอนว่า รัฐบาลจะมีความเปราะบางสูง เป็นต้นว่า หาก พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีไม่ผ่าน ก็ความเสี่ยงที่จะต้องยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่ อีกทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมีความเสี่ยงถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจสูง นอกจากนี้ ยังมีโอกาสเกิดการชุมนุมทางการเมืองขนาดใหญ่เหมือนที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต เพราะภาพความเป็นผู้นำที่มีความเด็ดขาดของพลเอกประยุทธ์ เชื่อว่าจะไม่ยอมเจรจากับฝ่ายใดง่าย ๆ และหากเกิดภาพเช่นนี้จริง จะยิ่งส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจประเทศไทย ที่อยู่ระหว่างการฟื้นตัว

แต่หากฝ่ายอนุรักษ์นิยม มองว่า พลเอกประยุทธ์ เหลือเวลาอีกเพียง 2 ปี ไม่เหมาะนั่งนายกฯต่อ หันมาสนับสนุนให้พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ แคนดิเดตนายกฯ พรรคพลังประชารัฐ ขึ้นมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแทน ก็จะเป็นการวนไปสู่ภาพของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ แต่จะต่างกันที่ในครั้งนี้ฐานเสียงไม่แน่นเหมือนครั้งที่ผ่านมา เพราะอดีต ส.ส. จำนวนหนึ่งได้ย้ายออกไปสังกัดพรรคอื่นแล้ว 

เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ การต่อรองทางการเมืองที่สูงมาก เสถียรภาพรัฐบาลไม่มั่นคง และอาจจะมีการชุมนุมใหญ่ทางการเมืองตามมา แต่ความรุนแรงอาจจะแตกต่างกัน เพราะด้วยบุคลิกของพลเอกประวิตร ที่มีความประนีประนอมมากกว่านั่นเอง  

แต่อย่างไรก็ตาม ผลสรุปของการเมืองหลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ และโฉมหน้ารัฐบาลจะออกมาอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหน้าใหม่ หรือหน้าเก่า อำนาจส่วนหนึ่งอยู่ที่ปลายปากกาของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่จะเป็นส่วนสำคัญร่วมกำหนดทิศทางของประเทศ

ร่างมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114 และร่างมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369 จี้ รบ.ไทย ‘ปกป้อง-สนับสนุน’ ประชาธิปไตย เสรีภาพการชุมนุม-แสดงออก

ร่างมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114 และ ร่างมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369 เรียกร้องหรือแทรกแซง ให้รัฐบาลไทยปกป้อง-สนับสนุนประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน-เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ-เสรีภาพในการแสดงออก

 

Edward Markey วุฒิสมาชิกมลรัฐ Massachusetts พรรค Democratic 
ผู้ซึ่งเคลื่อนไหวเพื่อที่จะออกมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114

จากเอกสารที่คนไทยกลุ่มหนึ่งได้กล่าวหาให้ร้ายประเทศไทย โดยส่งถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และวุฒิสมาชิก (Edward Markey วุฒิสมาชิกมลรัฐ Massachusetts พรรค Democratic) และส.ส. (Susan Wild ส.ส. มลรัฐ Pennsylvania พรรค Democratic) ของสหรัฐฯ ซึ่งได้มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องที่จะออกมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114 และมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369 อันมีเนื้อหาเป็นการกล่าวหาและมีลักษณะเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยนั้น 

Susan Wild ส.ส. มลรัฐ Pennsylvania พรรค Democratic
ผู้ซึ่งเคลื่อนไหวเพื่อที่จะออกมติสภาผู้แทนสหรัฐฯ ที่ 369

รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มอบให้เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ประสานกับทั้งสำนักงานของวุฒิสมาชิก Ed Markey และ ส.ส. Susan Wild โดยตรงแล้ว และอยู่ระหว่างชี้แจงประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ไทยด้วยข้อเท็จจริง ร่างข้อมติทั้งสอง (วุฒิสภาที่ 114 และสภาผู้แทนที่ 369) ซึ่งมีถ้อยคำคล้ายคลึงกันมาก ยังคงเป็นเพียงร่างข้อมติที่รอการพิจารณาของคณะกรรมาธิการต่างประเทศของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งขึ้นอยู่กับประธานของคณะกรรมาธิการฯ จะยกขึ้นพิจารณาหรือไม่ จึงยังไม่มีการเสนอไปที่วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนฯ แต่อย่างใด และวุฒิสมาชิกและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฯ ที่กระทรวงการต่างประเทศถือว่าเป็น “มิตรแท้ของไทย” ยังไม่มีผู้ใดร่วมอุปถัมภ์ (Sponsor) ร่างข้อมติแต่อย่างใด ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงการต่างประเทศกำลังมีหนังสือไปถึงวุฒิสมาชิก Markey โดยตรงแล้ว และความพยายามในการขับเคลื่อนเพื่อให้วุฒิสภาและสภาผู้แทนสหรัฐฯเชื่อว่า มีการดำเนินการผ่าน Lobbyist อย่างแน่นอน

เนื้อหาเต็มของร่างมติวุฒิสภาที่ 114 ดังกล่าว มีใจความดังนี้ :
ร่างมติเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องและสนับสนุนประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม สิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและเสรีภาพในการแสดงออก และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น

(ร่างมติวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่ 114) เร่งเร้าให้รัฐบาลไทยปกป้องและสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม สิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและเสรีภาพในการแสดงออก และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ ในวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา นาย MARKEY (สำหรับตัวเขาเองและนาย DURBIN) ได้ยื่นมติดังต่อไปนี้ ซึ่งได้อ้างถึงคณะกรรมาธิการมติ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้องและผดุงไว้ซึ่งประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม สิทธิในเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและเสรีภาพในการแสดงออก และเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ โดยที่ราชอาณาจักรไทย (ครั้งหนึ่งรู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘ราชอาณาจักรสยาม’) และสหรัฐอเมริกาได้สถาปนาความสัมพันธ์กันครั้งแรกในปี พ.ศ. 2361 และได้ทำสนธิสัญญาทางไมตรีและการค้า ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2376 ซึ่งได้ลงนามอย่างเป็นทางการ ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง 2 ประเทศ; โดยที่ไทยเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญารายแรกของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ค่านิยมสากล และยังคงเป็นมิตรที่มั่นคงของสหรัฐอเมริกา 

ในขณะที่ผ่านสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งทำ ณ กรุงมะนิลา เมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2497 (หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘สนธิสัญญามะนิลา’) สหรัฐอเมริกาและไทยแสดงความปรารถนาร่วมกันที่จะ ''เสริมสร้างโครงสร้างแห่งสันติภาพและเสรีภาพและเพื่อ ยึดมั่นในหลักการของประชาธิปไตย เสรีภาพส่วนบุคคล และหลักนิติธรรม'' โดยที่ในปี พ.ศ. 2505 สหรัฐอเมริกาและไทยได้ลงนามในแถลงการณ์ Thanat-Rusk โดยสหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศไทยหากต้องเผชิญกับการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยผ่านสนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยและสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำ ณ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2509 พร้อมกับความสัมพันธ์ทางการค้าที่หลากหลายและเพิ่มมากขึ้น 

สหรัฐอเมริกาและประเทศไทยได้พัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้น โดยที่สหรัฐอเมริการับรองประเทศไทยในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ประธานาธิบดี Joseph R. Biden และผู้นำอาเซียนได้ยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับอาเซียนให้เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม เพื่อเปิดขอบเขตความร่วมมือใหม่ที่สำคัญต่อความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงในอนาคตของสหรัฐอเมริกาและประเทศสมาชิกอาเซียน โดยที่ไทยประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิกในปี 2565 (1) เพื่อฟื้นฟูการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ (2) เพื่อฟื้นฟูการเชื่อมต่อหลังจากการหยุดชะงักจากการระบาดของ COVID–19 และ (3) เพื่อบูรณาการวัตถุประสงค์ของการมีส่วนร่วมและความยั่งยืนควบคู่กับเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ไทยถูกกำหนดให้เป็นพันธมิตรหลักที่ไม่ใช่สมาชิก NATO ในปี พ.ศ. 2546 และเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนด้านความมั่นคงที่แข็งแกร่งที่สุดของสหรัฐฯ 

ความสัมพันธ์ดังกล่าวยืนยันอีกครั้งโดยแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมปี พ.ศ. 2563 สำหรับพันธมิตรด้านการทหารระหว่างสหรัฐฯ-ไทย ในขณะที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจัดการฝึกซ้อมทางทหารร่วมกันหลายครั้ง รวมถึง Cobra Gold ซึ่งเป็นการฝึกซ้อมทางทหารระดับนานาชาติประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่มีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ในขณะที่รัฐบาลไทยยังคงเป็นพันธมิตรในการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและผู้ลี้ภัย รวมถึงความพยายามในการบรรเทาทุกข์ข้ามชาติหลังจากเหตุการณ์สึนามิในมหาสมุทรอินเดียในปี พ.ศ. 2547 และแผ่นดินไหวในประเทศเนปาล พ.ศ. 2558 

โดยที่ประเทศไทยสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบอบรัฐธรรมนูญในปี พ.ศ. 2475 และได้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาแล้ว 19 ครั้ง รวมทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ซึ่งกำหนดให้มีผู้แทนจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในสภาสองสภาและมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล โดยที่ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 กองทัพไทยได้ก่อการรัฐประหารโดยยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ประกาศกฎอัยการศึก และแทนที่รัฐบาลพลเรือนด้วยคณะทหาร ซึ่งเรียกว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่ง (ในคำนำนี้เรียกว่า ‘คสช.’) ซึ่งนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก

โดยที่ในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559 คสช. ได้เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญ และในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 คสช. ได้จัดให้มีการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งมีข้อบกพร่องอย่างมาก คือ เจตนาทำให้เอกสารถูกต้องตามกฎหมาย ในขณะที่การลงประชามติในปี พ.ศ. 2559 ถูกทำลายโดยการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมอย่างสงบอย่างกว้างขวาง ขณะที่ คสช. เมินเสียงเรียกร้องจำนวนมากจากสหประชาชาติและรัฐบาลต่างประเทศให้เคารพสิทธิของประชาชนในการแสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญอย่างเสรี และตัดทอนเสรีภาพอย่างรุนแรงในช่วงก่อนทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ดำเนินคดีกับนักข่าวและผู้วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ เซ็นเซอร์สื่อและป้องกันการชุมนุมในที่สาธารณะเกินห้าคน ในขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งให้สัตยาบันเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2017

(1) ยึดอำนาจโดยกองทัพไทยทำให้พลเรือนไม่สามารถควบคุมทางการเมือง
(2) บังคับเรียกร้องให้รัฐบาลและสมาชิกรัฐสภาชุดต่อมาปฏิบัติตาม ‘แผนปฏิรูป 20 ปี’ ที่ออกโดยรัฐบาลทหาร
(3) มีบทบัญญัติที่ทำให้สภาผู้แทนราษฎร 500 คนอ่อนแอ และมีการสงวนที่นั่งวุฒิสมาชิก 250 ที่นั่งในวุฒิสภาสำหรับสมาชิกวุฒิสภาที่ คสช.แต่งตั้ง และหัวหน้า คสช. รวมทั้งผู้นำสูงสุดของทหารและตำรวจ และ
(4) ให้อำนาจเกินขอบเขตแก่สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือกโดยรัฐบาลทหารที่ไม่ได้รับเลือกในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนต่อไป; 

โดยที่ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 ประเทศไทยจัดการเลือกตั้งโดย 
(1) กลุ่มตรวจสอบอิสระหลายกลุ่มที่อ้างว่ามีปัญหาทั้งกระบวนการและระบบ ประกาศว่า การเลือกตั้งไม่เสรีและยุติธรรมอย่างเต็มที่ และเอียงข้างอย่างหนักเพื่อเข้าข้างรัฐบาลทหาร และ
(2) ส่งผลให้พรรคการเมืองของ คสช. ซึ่งนำโดยประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่และแต่งตั้งประยุทธ์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีก ขณะที่ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 พรรคอนาคตใหม่ฝ่ายค้านถูกยุบและถูกสั่งห้ามตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ สืบเนื่องจากกระบวนการทางกฎหมายที่มีข้อบกพร่องจากการตั้งข้อหาเท็จ ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญยังวินิจฉัยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไม่ได้ฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้อยู่ในตำแหน่ง 8 ปี ทั้งที่ยังคงอยู่ในอำนาจตั้งแต่การรัฐประหารในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2557

ในขณะที่รัฐบาลไทยยังไม่มีความคืบหน้าในการสืบสวนการโจมตีอย่างรุนแรงต่อนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยบางคน การลักพาตัวและสูญหาย และการสังหารผู้เห็นต่างทางการเมืองของไทยทั่วเอเชีย โดยที่ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 รัฐบาลไทยได้ชะลอการออกกฎหมายต่อต้านการทรมานที่สำคัญอีกครั้ง ซึ่งแม้ว่าจะมีข้อบกพร่อง แต่จะช่วยให้ทั้งความชัดเจนเกี่ยวกับความผิดทางอาญาของการทรมานและการป้องกันการทรมาน 

ขณะที่ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ผู้ประท้วงหลายหมื่นคนทั่วประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษาและเยาวชนเป็นหลัก ได้เรียกร้องอย่างสันติให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ และเคารพสิทธิมนุษยชน ในขณะที่รัฐบาลไทยตอบโต้การประท้วงอย่างสันติเหล่านี้ด้วยมาตรการปราบปราม ซึ่งรวมถึงกลยุทธ์การข่มขู่ การใช้กำลังมากเกินไประหว่างการประท้วง การสอดแนม การคุกคาม การจับกุม การใช้ความรุนแรง และการจำคุก โดยที่ระหว่างปี พ.ศ. 2563 ถึง พ.ศ. 2566 หน่วยงานของรัฐบาลไทยได้ยื่นฟ้องคดีอาญาต่อกลุ่มนักเคลื่อนไหวกว่า 1,800 คนเข้าร่วมเดินขบวนและแสดงความคิดเห็น โดยมีเด็กกว่า 280 คน โดย 41 คนเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี 

ในขณะที่รายงานที่เผยแพร่ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2565 โดยองค์กรพัฒนาเอกชนพบว่า ทางการไทยใช้สปายแวร์ Pegasus กับนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยอย่างน้อย 30 คนและบุคคลที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และต่อต้านนักวิชาการและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทยอย่างเปิดเผย และในขณะที่รัฐบาลไทยยังคงพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งหากมีการประกาศใช้ (1) จะเป็นกฎหมายที่เข้มงวดที่สุดกฎหมายหนึ่งต่อองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในเอเชีย และ (2) จะมีผลที่ไม่อาจย้อนกลับได้ต่อภาคประชาสังคมในประเทศไทยและทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยทั่วไป 

ดังนั้น บัดนี้ จึงมีมติว่าวุฒิสภา (1) ยืนยันความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง 2 สหรัฐอเมริกาและไทย ความสัมพันธ์บนพื้นฐานของค่านิยมประชาธิปไตยและผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์ร่วมกัน 

(2) เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับประชาชนชาวไทย ในการแสวงหารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย การปฏิรูปการเมือง สันติภาพในระยะยาว และความเคารพ ต่อจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ

(3) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยสนับสนุน 10 ประการและสนับสนุนประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน กฎ ของกฎหมายและสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ 1 เสรีภาพในการแสดงออกและความเป็นส่วนตัว

(4) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยสร้าง 3 เงื่อนไขสำหรับการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือและยุติธรรมในวันที่ 4 พฤษภาคม 2566 รวมถึง
(A) เปิดโอกาสให้พรรคฝ่ายค้านและผู้นำทางการเมือง สามารถดำเนินกิจกรรมได้โดยปราศจาก การแทรกแซงที่ไม่เหมาะสมจากรัฐ เจ้าหน้าที่
(B) ทำให้สื่อ นักข่าว และสมาชิกภาคประชาสังคมสามารถใช้เสรีภาพในการกดขี่ ชุมนุมโดยสงบ และการสมาคมได้ โดยปราศจากผลกระทบและความกลัวต่อการดำเนินคดี
(C) ทำให้มั่นใจว่าการนับคะแนนเสียงเป็นยุติธรรมและโปร่งใส

(5) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินการอย่างเข้มงวด ปล่อยตัวและยกเลิกข้อกล่าวหาอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและงดเว้นจากการก่อกวน ข่มขู่หรือประหัตประหารผู้ที่มีส่วนร่วมในความสงบ การประท้วงเต็มรูปแบบและกิจกรรมของพลเมืองในวงกว้างมากขึ้น โดยการดูแลสิทธิและความเป็นอยู่ของเด็กและนักเรียนโดยเฉพาะ

(6) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรไม่แสวงผลกำไรและการปฏิรูป กฎหมายและข้อบังคับอื่น ๆ ที่บ่อนทำลายการแสดงออกอย่างเสรีและการเข้าถึงข้อมูล

(7) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยลงทุน ระงับและยุติการโจมตีด้วยสปายแวร์ที่มุ่งเป้าไปที่นักวิชาการ 4 คน นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และหลักของกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยต่าง ๆ

(8) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกใหม่และยุติการประกาศใช้กฎหมายและกฤษฎีกาที่ใช้ในการเซ็นเซอร์เนื้อหาและคำพูดออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้ง รวมถึงประเทศไทย
(A) ในต่างประเทศ และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่คลุมเครือ
(B) พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
(C) กฎหมายยุยงปลุกปั่นในวงกว้าง

(9) สื่อสารไปยังรัฐบาลไทยว่ามีการละเมิดสิทธิอย่างต่อเนื่องต่อ ประชาชนชาวไทยที่จะอยู่อย่างสันติและเป็นประชาธิปไตย กำหนดอนาคตของพวกเขา ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้ที่สหรัฐฯ จะยอมรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไปอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์

(10) กล่าวอย่างชัดเจนว่า การแทรกแซงทางทหารหรือราชวงศ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมก่อน ระหว่าง หรือหลังการเลือกตั้งทั่วไปจะ
(A) บั่นทอนความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทยเป็นอย่างมากและ
(B) เป็นอันตรายต่อความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและความมั่นคงต่อประเทศไทยและการดำเนินการร่วมกันในระดับภูมิภาคและเศรษฐกิจ

ที่มา : https://www.markey.senate.gov/imo/media/doc/thailand_resolution_-_032023pdf.pdf

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

กี่ครั้งกี่หนแล้วที่ม็อบสามนิ้วแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ข่มขู่คุกคามเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยอ้างสิทธิเสรีภาพอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย กระทำการต่างๆ ด้วยความรุนแรง ซ้ำอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า การกระทำลักษณะนี้ในสหรัฐฯ จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการอย่างเด็ดขาด ด้วยมาตรการที่รุนแรงที่สุด

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

เหตุเกิดที่สถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฏร์ เมื่อ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

อันที่จริงแล้ว เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจนปานปลายเป็นความรุนแรงนั้น ล้วนแล้วแต่เกิดจากการกระทำของผู้ชุมนุมซึ่งอ้างสิทธิเสรีภาพ (อย่างไม่มีขอบเขต) ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ต่างไปจากเหตุจลาจลจนกลายเป็นความรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นภายในรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 ทำให้มีผู้เสียชีวิตขณะเกิดเหตุ 5 ราย โดย 1 รายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภาสหรัฐฯ ยิง 1 รายจากการใช้ยาเกินขนาด 3 รายจากสาเหตุธรรมชาติ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภา 4 รายเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายภายในเจ็ดเดือนหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว (ซึ่งเหตุการณ์วันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 นี้ ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่ได้ใช้คำว่า ‘ประท้วง(Protest)’ แต่กลับใช้คำว่าเป็นเหตุการณ์ ‘โจมตี(Attack)’) ซึ่ง ส.ส.และ สว.ของรัฐสภาไทยก็ไม่เคยออกมติแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด เพราะมีมารยาทด้วยเห็นว่าเป็นกิจการภายในของสหรัฐฯ เอง เช่นนี้แล้วจะไม่เรียกว่า ร่างมติทั้งสองร่างดังกล่าว เป็นการกล่าวหาและมีลักษณะเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย ได้อย่างไร!!!

เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภาสหรัฐฯ ใช้อาวุธปืนสงครามจี้คุมตัวผู้ก่อเหตุประท้วงในรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อ 6 มกราคม ค.ศ. 2021

เรื่อง: ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล 
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top