Wednesday, 3 July 2024
ประเทศไทย

‘โบวี่ อัฐมา’ เผยความในใจ รักประเทศไทยอย่างยั่งยืน ต้องรักไป พัฒนาไป แต่ยังคงไว้ซึ่งมนต์เสน่ห์อันดีงาม

เมื่อไม่นานมานี้ อัฐมา ชีวนิชพันธ์ หรือ ‘โบวี่’ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงความรักที่ตนนั้นมีต่อประเทศและผืนแผ่นดินไทย โดยรุบะว่า…

“การรักประเทศไทย ไม่ได้หมายความว่าเราจะหยุดพัฒนาประเทศ แต่ ยิ่งเรารักประเทศเราก็ยิ่งอยากจะพัฒนาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น (ตามความสามารถที่เราทำได้) ประเทศไทยเรายังมีส่วนที่พัฒนาได้มากกว่านี้อีกเยอะ แต่เสน่ห์ดีๆ ที่เรามีและน่ารักษาไว้ ก็มีมากมายเช่นกัน

ตัวโบเองก็ไม่ได้เกิดมาสบายนะ เคยสมัครเป็นพนักงานเซเว่นแต่เขาไม่รับ มาแล้วเหมือนกัน พ่อแม่โบเข้ามาจาก ตจว.อยู่บ้านเช่ารวมๆ กันกับญาติตอนเด็กๆ เห็นพ่อแม่ลำบากดิ้นรน ก็คิดว่าจะทำยังไงดีที่จะช่วยให้ครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้จึง ‘พยายาม’ พัฒนาตัวเอง พยายามตั้งใจเรียน เพื่อจะได้มีความรู้ความสามารถไปทำงานที่ดี ได้เงินเดือนที่ดีช่วงจบ ม.6 เคยไปสมัครเป็น พนักงานเซเว่น แต่เขาไม่รับเพราะอายุไม่ถึง เลยไปทำงานเป็นพนังงานยืนเฝ้าร้านขายของในห้าง วันนึงได้ประะมาณ 250 บาท นั่งรถเมล์ไปทำงาน หลับน้ำลายยืดบนรถเมลล์เพราะรถติดมาก และเราก็เหนื่อยพอเข้ามหาวิทยาลัยได้”

“ไปโพสต์รับจ้างสอนพิเศษให้เด็กเตรียมสอบเอ็นทรานซ์ ได้เงินดีขึ้นมาก ได้ ชม.ละ 200/สอนวันละ 2 ชม. รวมได้ 400 บาท (มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำแล้ว) ตอนนั้นเลยเลิกขอเงินพ่อแม่ใช้ตัวโบเองตอนนั้นเห็นเพื่อนที่เขาเกิดมาสบายเลย เพราะพ่อแม่มีฐานะ ก็คิดเหมือนกันว่าเขาโชคดี ทำบุญมาดีจัง เราทำบุญมาเท่านี้ เกิดมาได้เท่านี้ ก็ต้อง ‘พยายาม’ มากกว่าเขาเราอาจทำบุญมาไม่เท่าเขา แต่เราก็มาสร้างเอาใหม่ได้ พยายามทำความดี คิดดี พูดดี ทำดี กตัญญู สร้างกุศลให้มาหนุนนำชีวิต ให้มันเจริญขึ้นได้

ซึ่งโบก็ได้พิสูจน์มาแล้ว ทุกวันนี้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ นอกจากความ ‘พยายาม’ แล้ว ก็เพราะกุศลที่ได้ทำมาหนุนนำชีวิตนี่แหละ อธิฐานบุญอะไรก็มักจะสำเร็จเสมอโบคิดว่าการที่เราเกิดมาลำบาก และต้องพยายามฝ่าฝัน มันก็เป็นกระบวนการหนึ่งที่เราต้องผ่านเพราะโบก็เห็นอีกหลายๆคนเขาก็ผ่านมาแบบนี้เหมือนกัน หลายๆคนตอนเด็ก ลำบากกว่าโบอีกมากกกก แต่เขาก็พยายาม ‘พัฒนา’ ตัวเอง ดิ้นรนหาความรู้ เพิ่มทักษะให้ตัวเอง หาช่องทางโอกาสให้กับชีวิต ไม่หยุดนิ่ง และเขาก็ผ่านจุดนั้นมาได้ปัจจัยภายนอกก็ส่วนหนึ่งที่ต้องพัฒนาแก้ไข แต่อีกส่วนก็อยู่ที่ตัวเราเองที่ก็ต้องมีความพยายามพัฒนาตัวเองด้วย” โบวี่ กล่าวทิ้งท้าย

Cr. โบวี่ อัฐมา ชีวนิชพันธ์

หนุ่มอัดคลิประบายความในใจ ขอคนไทยหยุดทะเลาะกัน ชี้!! หากไม่เลิกแบ่งแยก ประเทศชาติก็ไม่มีวันเปลี่ยน

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อ ‘tulipsincere’ ออกมาโพสต์คลิป ระบายความในใจ พร้อมดึงสติคนไทย ให้หยุดทะเลาะ เลิกแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน เพราะสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในตอนนี้ มีความคุกรุ่นอย่างมาก ตนจึงอยากให้คนไทยตระหนักถึงว่า แก่นแท้ของประชาธิไตย ว่า แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร โดยผู้ใช้ติ๊กต็อกได้ระบุว่า…

“สวัสดีพี่น้องชาวประชาธิปไตย ชาวเพื่อไทย ชาวก้าวไกล แอบแปลกใจ เพราะตอนที่เรามีลุง พวกเรารักกันดี แต่ตอนที่ไม่มีลุง พวกเราเอาแต่ทะเลาะกัน นับเป็นความน่าเหนื่อยใจที่หากเราแข่งกันทั้งคู่ ไม่ยอมอ่อนให้กัน ในฐานะที่ผมไม่ได้แบ่งฝักแบ่งฝ่าย และมองแบบเป็นกลาง ทุกพรรคต้องเคลียร์ใจกันคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นก้าวไกล เพื่อไทย ไทยสร้างไทย หรือพรรคอื่น ๆ ไม่ใช่ปล่อยให้ลูกพรรคของทุกฝ่ายออกมาคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้นในสถานการณ์ตอนนี้ แล้วจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน เพราะประชาชนคงจะไม่สามารถไว้ใจหรือเชื่อใจได้ เพราะฉะนั้น ควรกลับไปมีลุงเหมือนก่อนหน้านี้คงจะดีกว่า แล้วเราทุกคนก็เป็นฝ่ายค้านกันให้หมด ทุกพรรคก็ดูจะสามัคคีกันดีกว่าตอนนี้”

ผู้ใช้ติ๊กต็อก ยังได้กล่าวเพิ่มเติม อีกว่า หากไปมองย้อนกลับไป ทุกคนต่างว่าลุงเป็นเผด็จการ แต่ตอนนี้พวกเราทุกคนในวันนี้ ก็อยากให้พรรคแต่ละพรรคเป็นไปในแบบที่ตัวเองชอบ เหมือนหลงลืมไปว่า การบังคับคนอื่น ด่าทอคนที่เห็นต่าง ไม่ยอมรับสิ่งต่างๆ นั้น ทำให้พวกเราเป็นประชาธิปไตยอย่างไร หรือว่าตอนนี้ พวกเรากำลังเป็นเผด็จการในแบบที่พวกเราเคยด่า?

“หากยังเป็นแบบนี้กันอยู่ ไม่มีทางที่ประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลง หรืออาจจะกลับไปหนักกว่าสถานการณ์เดิม ฝากให้พวกเราทุกคนกลับไปคิดอีกครั้ง ว่าประชาธิปไตยคืออะไร ความเห็นต่างคืออะไร และการแยกแยะคืออะไร เพราะพวกเราอาจจะกำลังเป็นคนในแบบที่พวกเราด่ากันอยู่”

‘Mastercard’ จัดอันดับ ‘ไทย’ ติด 1 ใน 10  ปลายทางยอดฮิตในเอเชียแปซิฟิก ปี 66

(19 มิ.ย. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานของสถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์มาสเตอร์การ์ด (Mastercard Economics Institute) ถึงแนวโน้มการท่องเที่ยวทั่วโลกประจำปี 2566 จากรายงาน Travel Industry Trends 2023 พร้อมยินดีที่ไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของจุดหมายปลายทางยอดนิยม ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์มาสเตอร์การ์ด (Mastercard Economics Institute) ระบุในปี 2566 ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของจุดหมายปลายทางยอดนิยม Travel Industry Trends 2023 Mastercard Data & Services เพราะเสน่ห์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยจัดอันดับจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตั้งแต่ปลายปี 2565 นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์ด้านวัฒนธรรม และสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ขณะเดียวกันก็มีนักท่องเที่ยวที่ต้องการกลับมาสัมผัสกับเสน่ห์ของประเทศไทยที่คุ้นเคยเป็นจำนวนมาก ไทยจึงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการใช้จ่ายด้านประสบการณ์การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 40.5% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 ในขณะที่การใช้จ่ายเพื่อซื้อสิ่งของเพิ่มขึ้น 24%

นายอนุชา กล่าวว่า รายงานของมาสเตอร์การ์ดระบุข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้แก่ 

1.) การท่องเที่ยวพักผ่อนและการเดินทางเชิงธุรกิจมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกัน ซึ่งในช่วงเดือนมีนาคมมีอัตราการจองเที่ยวบินเพิ่มสูงขึ้น 31% เมื่อเทียบกับปี 2562 และยังพบว่าช่วงต้นปี 2566 อัตราการจองเที่ยวบินขององค์กรมีการเติบโตเทียบเท่ากับการจองเที่ยวบินเพื่อการพักผ่อนส่วนบุคคล

2.) การเปิดประเทศของจีนมีผลดีต่อการท่องเที่ยว เศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิกจะได้ประโยชน์อย่างชัดเจนจากการเปิดประเทศของจีน เพราะเป็นประเทศที่มีความเชื่อมโยงอย่างมากกับการค้า การท่องเที่ยว และการเชื่อมต่อทางภูมิศาสตร์กับประเทศอื่น ๆ ของโลก

3.) นักท่องเที่ยวออกท่องโลกไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ซึ่งเสน่ห์ที่โดดเด่นและประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ไทยติดอันดับหนึ่งในสิบของจุดหมายปลายทางยอดนิยม ซึ่งจัดอันดับจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

4.) นักท่องเที่ยวยังต้องการเดินทางเพื่อสัมผัสประสบการณ์ โดยเดือนมีนาคม 2566 ยอดการใช้จ่ายต่อการท่องเที่ยวเพื่อประสบการณ์ทั่วโลกสูงขึ้นถึง 65% ในขณะที่การใช้จ่ายในสิ่งของเพิ่มขึ้นเพียง 12% เมื่อเทียบกับปี  2562 

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวประจำปี 2566 จะสร้างประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศไทย พร้อมมั่นใจในศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของไทย ทั้งด้านสถานที่ และการจัดการ รวมทั้ง เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนติดตามกระแสการท่องเที่ยว สกัดเอกลักษณ์ความเป็นไทย วิถีชีวิต ภูมิปัญญา และศิลปวัฒนธรรม มาประกอบกับแนวทางการท่องเที่ยวสมัยใหม่ ปรับตัวและออกแบบบริการการท่องเที่ยวให้สอดคล้อง และตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลง

เปิด 3 เหตุผลดัน ‘อีสาน’ ศูนย์กลาง BCG อาเซียน ทรัพยากรสมบูรณ์-พร้อมต่อยอดการวิจัย-เชื่อมโยงเพื่อนบ้าน

(19 มิ.ย. 66) นโยบายการพัฒนาเชิงพื้นที่ถือว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในภาพรวม โดยการขับเคลื่อน ‘ระเบียงเศรษฐกิจ 4 ภาค’ จะเป็นหนึ่งในกลไกที่จะช่วยกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และสร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน รวมทั้ง เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน

ทั้งนี้ การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) หรือ Northeastern Economic Corridor (NeEC) กำหนดพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา อุดรธานี หนองคาย และขอนแก่น ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพและโอกาสที่จะพัฒนาเป็นฐานอุตสาหกรรมชีวภาพ (Bioeconomy) แห่งใหม่ของประเทศและเป็นผู้นำในระดับอาเซียน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ตลอดห่วงโซ่การผลิต

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (พ.ศ. 2566-2570) และมาตรการส่งเสริมการลงทุนชุดใหม่ที่สนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เน้นการลงทุนในอุตสาหกรรม BCG ทำให้มียอดการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.- มี.ค.) ของปี 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 24 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 3,800 ล้านบาท โดยการลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร

โดยมี 3 เหตุผลที่ภาคอีสานเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ ได้แก่

1.) ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ภาคอีสานมีพื้นที่มากที่สุด คิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ หรือกว่า 160,000 ตารางกิโลเมตร และมีขนาดประชากรคิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ กว่า 22 ล้านคน ทั้งยังเป็นพื้นที่เพาะปลูกสูงถึง 43% ของประเทศ โดยมีการปลูกพืชเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อย ข้าว และยางพารา ซึ่งวัสดุเหลือใช้จากพืชเหล่านี้ จะกลายเป็นวัตถุดิบล้ำค่าในการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ

2.) มีความพร้อมพัฒนาต่อยอดงานวิจัย ภาคอีสานเป็นถิ่นกำเนิดของศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงเป็นที่ตั้งของสถาบันการศึกษาที่มีขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และหน่วยงานวิจัยจำนวนมาก 

3.) ตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ ภาคอีสานอยู่ในจุดที่มีความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน สามารถเป็นประตูเศรษฐกิจสู่ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่มีศักยภาพการเติบโตสูงได้อย่างดี 

จุดแข็งและสินทรัพย์เหล่านี้ ทำให้ภาคอีสานจะเป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญในการดึงดูดการลงทุน และมีบทบาทช่วยขับเคลื่อนประเทศไปสู่เศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแปรรูปอุตสาหกรรมชีวภาพ 

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับอุตสาหกรรมในอนาคต รวมถึงบทบาทของภาคเอกชนในการร่วมขับเคลื่อนการลงทุน 

“ด้วยศักยภาพอันโดดเด่นของพื้นที่ NeEC ผนวกกับสิทธิประโยชน์บีโอไอที่มุ่งเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย และกระตุ้นให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม” 

โดยบีโอไอมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในรูปแบบคลัสเตอร์ ซึ่งจะมีการเชื่อมโยงตั้งแต่วัตถุดิบต้นน้ำโดยเฉพาะวัตถุดิบการเกษตรท้องถิ่น ไปสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำมูลค่าสูง จะส่งผลให้ NeEC สามารถสร้างฐานการลงทุนอุตสาหกรรมชีวภาพแบบครบวงจร หรือไบโอคอมเพล็กซ์ และก้าวไปสู่การเป็นเมืองหลวง BCG (Bio-Circular-Green Industry) ของภูมิภาคอาเซียนได้ในที่สุด

‘สมเด็จพระสังฆราช’ ขอบิณฑบาตคนไทย ไม่ทิ้งลักษณะพิเศษ ช่วยกันรักษาเอกลักษณ์ของชาติ ให้คงไว้ซึ่งเมืองแห่งรอยยิ้ม

(22 มิ.ย. 66) เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จลงพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ประทานพระวโรกาสให้นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้แทนคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 26 มิถุนายน 2566 เฝ้าถวายสักการะ ขอประทานอาราธนาให้ทรงประพรมน้ำพระพุทธมนต์และทรงโปรยดอกไม้บนเข็มที่ระลึกส่วนที่ได้มีการผลิตเพิ่มเติมอันเป็นส่วนครบจำนวนผลิต เพื่อเป็นสวัสดิมงคลแก่ผู้ได้บริจาคบูชา และเฝ้าถวายปัจจัยหลังหักค่าใช้จ่ายจากการจำหน่ายเข็มที่ระลึกเพื่อโดยเสด็จพระกุศลตามพระอัธยาศัย เมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา

โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระสัมโมทนียกถา ความตอนหนึ่งว่า “อาตมภาพขออนุโมทนาสาธุการ ที่ท่านปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและท่านสาธุชนทุกท่าน มีเมตตามาแสดงมุทิตาจิตในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของอาตมภาพ และยังนำเข็มที่ระลึก และปัจจัยมามอบให้ ขอแจ้งให้ทราบว่าปัจจัยเหล่านี้ที่ถวายมาทั้งหมด จะให้ไว้เป็นของส่วนรวม เพื่อประโยชน์ในการสร้างสถานปฏิบัติธรรม และการกุศลต่างๆ ไม่ใช่ของส่วนตัว ซึ่งก็ได้ทำเช่นนี้ตลอดมา

คนไทยเรามีลักษณะพิเศษ คือ ‘รอยยิ้ม’ เวลาเรามอง เราก็มองกันตรงๆ ด้วยความปรารถนาดี เสียดายที่สมัยนี้คนชอบมองกันแบบไม่เป็นมิตร จ้องจะหาเรื่องกัน มองด้วยหางตา มองอย่างตาขวาง อาตมาขอบิณฑบาตเถิด อย่าได้มองกันและกันด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร ขอให้ยิ้มแย้มแจ่มใสให้กัน หัวเราะสนุกสนานกัน ด้วยสายตาที่เป็นมิตร ถ้าจะมองก็มองตรงๆ อย่างตรงไปตรงมา จะไม่ทะเลาะกัน ช่วยกันรักษาเอกลักษณ์ของชาติไทย คือความปรารถนาดี ไมตรีจิต และรอยยิ้มไว้ให้ได้ตลอดไป ให้เด็กรุ่นต่อๆ ไปได้มีคุณสมบัติของความปรารถนาดีในแววตา ให้แผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินแห่งรอยยิ้ม

อย่างที่เรามาพบกันนี้ ทุกคนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส นี่คือลักษณะคนไทย อาตมาเคยเดินทางไปมาหลายที่ทั่วโลก ทั้งใกล้และไกล บางทีเห็นผู้คนมองกันอย่างหวาดระแวง เป็นพวกเขา เป็นพวกเรา เป็นกลุ่มนั้น เป็นกลุ่มนี้ ไม่ไว้ใจกัน อยู่กันอย่างอึดอัดไม่สบายใจ ไม่มองกันด้วยท่าทีเป็นมิตรแบบตรงไปตรงมา ขออย่าให้ลักษณะแบบนั้นเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราเลย ขอบิณฑบาต และขอให้ทุกท่านซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่สำคัญกันทั้งนั้น ช่วยกันทำให้บ้านเมืองของเราเป็นเมืองยิ้มต่อไป อย่าให้เปลี่ยนแปลงไป”

อนึ่ง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม จะเปิดให้สาธุชนเข้าถวายเครื่องสักการะและลงนามถวายสักการะหน้าพระรูปเจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ในวันจันทร์ ที่ 19 ถึงวันอาทิตย์ ที่ 25 มิถุนายน 2566 เวลา 09.00 ถึง 16.00 น. ณ พระวิหาร พร้อมทั้งมีโต๊ะให้ร่วมบริจาคเพื่อรับเข็มที่ระลึกดังกล่าว สำหรับผู้โดยเสด็จพระกุศลเข็มละ 300 บาท หรือร่วมบริจาคโดยเสด็จพระกุศล และรับเข็มที่ระลึกได้ที่ห้างบิ๊กซีทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

และวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ยังเปิดให้เข้าบริจาคโดยเสด็จพระกุศล บูชาพระกริ่งและพระชัยวัฒน์ ‘อายุวัฒน์’ ณ อาคารภุชงค์ประทานวิทยาสิทธิ์ 1 ทุกวันตั้งแต่วันที่ 19 ถึง 30 มิถุนายน 2566 และทุกวันเสาร์-อาทิตย์ของเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2566 เวลา 13.00 ถึง 17.00 น.

‘ประเทศไทย’ ติดอันดับ 2 ปลายทางยอดนิยม นทท. ทั่วโลก ‘กรุงเทพฯ’ คว้าอันดับ 1 เมืองถูกจองเข้าพักมากที่สุด

วันที่ (22 มิ.ย. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าประเทศไทย เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยผลสำรวจ เดือนม.ค. - พ.ค.ปี 2566 ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นอันดับต้นบนหลายแพลตฟอร์มด้านการท่องเที่ยว ทั้ง Agoda และ Klook สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยสะสม 5 เดือน กว่า 10.6 ล้านคน สะท้อนศักยภาพด้านการท่องเที่ยวไทย และการดำเนินมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาล

โดย Agoda แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยวระดับโลก เปิดเผยสถิติข้อมูลนักท่องเที่ยวบนแพลตฟอร์มในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 พบว่า การท่องเที่ยวโดยรวมของไทยฟื้นตัวได้รวดเร็วกว่าประเทศอื่น จากการที่ไทยเปิดประเทศเร็ว โดยเฉพาะการเปิดรับนักท่องเที่ยวจีน ประกอบกับ ไทยมีเที่ยวบินรองรับนักท่องเที่ยวเพียงพอ

ประเทศไทยได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกเป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น และมีนักท่องเที่ยวเดินทางภายในประเทศมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 รองจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และมาเลเซีย

นอกจากนี้ กรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีการจองเข้าพักบนแพลตฟอร์มมากที่สุดในโลก โดย Agoda เชื่อมั่นว่า กรุงเทพฯ สามารถพัฒนาเป็น ศูนย์กลางเทคโนโลยีของเอเชียได้ ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ และสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมที่ทำให้ไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

นายอนุชา กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กับ Klook แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวชั้นนำของเอเชีย ในการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดภายใต้แคมเปญ ‘Let Your Journey be THAI’ โดยส่งเสริมต่างชาติให้เดินทางมาเที่ยวไทย ผ่านการประชาสัมพันธ์ 5F Soft Power ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากนักท่องเที่ยว

โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติจองกิจกรรมในไทยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 1,200 จากช่วงเดียวกันของปี 2565 โดย ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และมาเลเซีย มีการจองกิจกรรมไทยบนแพลตฟอร์ม Klook มากที่สุดเป็น 5 อันดับแรก กิจกรรมยอดนิยม ได้แก่ ทัวร์แบบ Day trip กิจกรรมชมความสวยงามของเมืองไทย และสปา เป็นต้น

‘คิม พร็อพเพอร์ตี้’ ชี้ ซาอุ จ่อสร้างคลังน้ำมัน  ภาคใต้ของไทย ให้ใหญ่เทียบชั้นได้กับสิงคโปร์

ยูทูปช่อง Kim Property Live ได้โพสต์คลิปอธิบายถึง การที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย สนใจจะมาลงทุนครั้งใหญ่ในภาคใต้ของไทย โดยมีใจความว่า ...

ประเทศไทยเนื้อหอม ซาอุดิอาระเบีย เล็งที่จะลงทุนใหญ่ในภาคใต้ของประเทศไทย โดยจะทำเป็นคลังน้ำมันให้ใหญ่ให้เทียบเท่ากับสิงคโปร์ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ซาอุดิอาระเบีย จะลงทุนในภาคใต้ของเรา ประเทศไทยของเรานั้น มีข้อดีอะไรหรือ ต้องบอกก่อนว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและซาอุดิอาระเบียนั้นก็ไม่ได้รักกันมาก่อน ความสัมพันธ์นั้นร้าวฉานมากว่า 32 ปีแล้ว จากการฆาตกรรมนักธุรกิจของซาอุดิอาระเบียหรือการขโมยเพชร ความบาดหมางจากตรงนี้ทำให้ประเทศซาอุดิอาระเบียตัดความสัมพันธ์กับไทย แต่พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย ก็ได้มีความพยายามในการเชื่อมสัมพันธ์กับประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยประเทศไทยได้เชิญซาอุดิอาระเบียมาในงานเอเปค ในฐานะแขกของรัฐบาลไทย ซึ่งประเทศซาอุดิอาระเบีย ก็ได้ให้เกียรติตอบรับตามคำเชิญมาร่วมงาน ถือว่าเป็นผลงานทางการทูตที่ยอดเยี่ยมมาก ซึ่งต่อมาซาอุดิอาระเบียนั้นก็มีแผนที่เตรียมจะมาลงทุนในประเทศไทยโดยเฉพาะพื้นที่ eec ซึ่งในพื้นที่ของไทยบริเวณ eec ก็เป็นจุดที่เป็นฮับของการผลิตรถ EV ซึ่งตรงกับความต้องการของซาอุดิอาระเบียที่ต้องการจะผลิตรถไฟฟ้าด้วย

ในระยะหลังนี้ ประเทศซาอุดิอาระเบียก็ได้วางตัวออกห่างจากสหรัฐอเมริกา และ เอนเอียงไปในทางของประเทศจีนมากขึ้น รวมถึงมีการจับมือกับอิหร่านโดยมีประเทศจีนนั้นเป็นตัวกลาง ในการที่จะเชื่อมความสัมพันธ์กัน

หากพูดถึงเรื่องของพลังงานในแถบเอเชีย ประเทศซาอุดิอาระเบียก็ได้มีการลงทุนซื้อหุ้นของโรงกลั่นในประเทศจีน ซึ่งนี่คือการร่วมมือกันระหว่าง 2 ประเทศแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่น แล้วการลงทุนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์พลังงานและน้ำมันนั้นเกี่ยวอะไรกับประเทศไทยอย่างนั้นหรือ มันมีความจำเป็นอย่างไร ที่ซาอุดิอาระเบียจะต้องมาตั้งคลังน้ำมันในภาคใต้ของประเทศไทย จีนนั้นเป็นประเทศบริโภคน้ำมันรายใหญ่ของโลกและก็ได้ซื้อน้ำมันจากหลายช่องทางรวมทั้งน้ำมันจากอิหร่าน โดยอิหร่านนั้นใช้มาเลเซียเป็นตัวกลางในการส่งออก อธิบายให้ง่ายก็คืออิหร่านนั้นส่งน้ำมันมายังประเทศมาเลเซีย และมาเลเซียก็แปะป้ายให้เป็นน้ำมันของมาเลเซียแล้วก็ส่งไปขาย ที่ประเทศจีน แล้วเพราะเหตุใดประเทศจีนถึงไม่ซื้อน้ำมันผ่านประเทศสิงคโปร์หรือเพราะว่าประเทศจีนและประเทศสิงคโปร์นั้นเป็นคนละพวกกัน แทนที่จะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจการลงทุนการคุ้มค่ากลับกลายเป็นแฝงด้วยประเด็นทางการเมือง มีการแบ่งพวก แบ่งฝ่าย แล้วเพราะเหตุใดประเทศซาอุดิอาระเบียจึงได้เล็งมายังภาคใต้

ที่จริงแล้ว ภาคใต้ของประเทศไทยนั้น ถือได้ว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ในการขนส่งค้าขาย เพราะแทนที่เรือขนส่งจะแล่นไปทางช่องแคบ มะละกา ซึ่งก็จะต้องใช้ระยะเวลานานในการขับเรืออ้อม แต่ถ้ามาขนส่งผ่านทางภาคใต้ของประเทศไทยก็จะง่าย กว่า รวดเร็วกว่ากันมาก

แล้วประเทศไทย จะสามารถรองรับการขนส่งนี้ได้หรือไม่ ประเทศไทยนั้นมีโครงการ Land Bridge ในการเชื่อมโยงระหว่าง 2 ท่าเรือ ก็คือท่าเรือระนอง และท่าเรือชุมพร ซึ่งการก่อสร้างโครงการนี้มีมูลค่า มากถึง 500,000 ล้านบาท ซึ่งประเทศซาอุดิอาระเบียนั้นสนใจมากที่จะมาลงทุนในโครงการ Land Bridge ของประเทศไทย ด้วยการจัดตั้งคลังน้ำมันในภาคใต้ของประเทศไทย น้ำมันจากซาอุดิอาระเบียจะถูก ส่งมาเก็บไว้ที่ภาคใต้ของไทยก่อนจะนำไปขายต่อให้กับประเทศจีน

ไทยรับอานิสงส์ ต่างชาติจ่อย้ายฐานการผลิต หลังการแข่งขันเทคโนโลยี ‘จีน-สหรัฐฯ’ ยืดเยื้อ 

สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผย สถานการณ์การแข่งขันเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 ยังคงยืดเยื้อ และคาดการณ์ว่าจะยังไม่สิ้นสุดในระยะเวลาใกล้นี้ ส่งผลให้บริษัทรายสำคัญในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของโลกเริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนไปยังแหล่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่ประเทศคู่แข่งขันในสงครามเทคโนโลยี โดยมองว่า ‘ไทย’ จะได้รับอานิสงส์ หลังมีการวางตัวเป็นกลางระหว่างทั้งสองประเทศ 

นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจเข้าไปลงทุนของบริษัทต่างชาติในไทย พบว่า ปัจจัยด้านห่วงโซ่อุปทานของไทยเมื่อเทียบกับคู่แข่งยังสามารถแข่งขันได้ เนื่องจากประเทศคู่แข่งยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีความไม่ซับซ้อนคล้ายคลึงกับไทย ในแง่ของการเป็นฐานการผลิตสินค้าแต่ละประเทศมีสินค้าที่คล้ายคลึงกัน หรือก็คือ เป็นฐานการผลิตสินค้าขั้นสุดท้ายที่ใช้ส่วนประกอบจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเหมาะแก่การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน ขณะเดียวกัน ไทยมีโอกาสที่จะถูกเลือกเป็นประเทศปลายทางในการตั้งฐานการผลิต โดยหลายบริษัทมีแนวโน้มที่จะย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศคู่ขัดแย้งในสงครามเทคโนโลยีครั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะเกิดกับกิจการของตน และไทยเองมีศักยภาพที่จะดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเหล่านี้ได้

อย่างไรก็ตาม ภาครัฐและเอกชนต้องเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยไปสู่อุตสาหกรรมการผลิต ที่มีความซับซ้อนและใช้เทคโนโลยีขั้นสูงให้ได้โดยเร็ว ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้งานได้จริงมากขึ้นกว่าปัจจุบัน ผู้ประกอบการควรวางแผนการกระจายความเสี่ยง กรณีห่วงโซ่อุปทานของโลกหยุดชะงัก โดยการจัดหาวัตถุดิบที่มาจากหลายแหล่ง ซึ่งขณะนี้ภาครัฐได้เร่งส่งเสริมให้เกิดพันธมิตรทางการค้าใหม่ๆ

🔍สุดยอด!! ซอยรมณีย์ ย่านเมืองเก่า จ.ภูเก็ต ของประเทศไทย

🔍สุดยอด!! ซอยรมณีย์ ย่านเมืองเก่า จ.ภูเก็ต ของประเทศไทย ติดอันดับ 19 The World's 20 Most Beautiful Streets (ถนนที่สวยที่สุดในโลก) ซึ่งเป็นซอยเล็ก ๆ ที่เชื่อมระหว่างถนนถลาง และถนนดีบุก เต็มไปด้วยตึกเก่าศิลปะชิโนโปรตุกีส อันเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของศิลปะแบบภูเก็ต มีร้านกาแฟ ร้านขายของฝาก เกสท์เฮ้าส์ บางส่วนก็ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยด้วย ซอยรมณีย์จึงยังคงมีชีวิตชีวา มีสีสัน และมีเสน่ห์อยู่เสมอ

เปิดสถานะ ‘การเงิน-การคลังไทย’ แข็งแกร่ง  8 เดือนแรกปีงบฯ 66 จัดเก็บรายได้กว่า 1.22 แสน ลบ.

(27 มิ.ย. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ฐานะการเงิน-การคลังของไทยมีความแข็งแกร่ง หลังรับทราบรายงานการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 สูงกว่าประมาณการ และรายงานฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 เงินคงคลัง ณ เดือนพฤษภาคม 2566 มีจำนวนกว่า 2.57 แสนล้านบาท

นายอนุชา กล่าวว่า กระทรวงการคลังเผยผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2565 - พฤษภาคม 2566) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิจำนวน 1,643,075 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 122,378 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.0 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.9 โดยหน่วยงานที่จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการที่สำคัญ ได้แก่…

(1.) กรมสรรพากร โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ขยายตัวได้ดีตามเศรษฐกิจ 

(2.) ส่วนราชการอื่น เนื่องจากมีรายได้พิเศษจากการนำส่งทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนเป็นรายได้แผ่นดิน รายได้จากสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ เงินส่วนเกินจากการจำหน่ายพันธบัตรกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล เงินเหลือจ่ายปีเก่าส่งคืนของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม และรายได้จากใบอนุญาตคลื่นความถี่วิทยุระบบ FM 

(3.) กรมศุลกากร เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าขยายตัวได้ดีประกอบกับมีการชำระอากรขาเข้าย้อนหลังตามคำพิพากษาคดี 

และ (4.) รัฐวิสาหกิจ เนื่องจากมีการนำส่งรายได้ที่เหลื่อมมาจากปีงบประมาณก่อนหน้า 

อย่างไรก็ดี การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตต่ำกว่าประมาณการจากการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลตั้งแต่ต้นปีงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนเป็นการชั่วคราวจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ หากไม่รวมรายได้พิเศษของส่วนราชการอื่นและกรมศุลกากร ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิสูงกว่าประมาณการ 69,248 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.6 และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.5 

นายอนุชา กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้รายงานฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2565 - พฤษภาคม 2566) รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น จำนวน 1,569,515 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้นจำนวน 2,221,328 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลจำนวน 384,243 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ เดือนพฤษภาคม 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 256,857 ล้านบาท 

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง และมีสัญญาณเป็นไปในทิศทางบวก สถานะการเงินการคลังของไทยแข็งแกร่ง และมีเสถียรภาพ โดยตัวเลขดังกล่าวสะท้อนทิศทางการทำงานที่ถูกต้องของรัฐบาลภายใต้วินัยทางการเงินการคลังที่เคร่งครัด รวมถึงความมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนตลอดมา โดยยึดหลักของความมั่นคง มั่งคั่งอย่างยั่งยืน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top