Thursday, 16 May 2024
นายกรัฐมนตรี

‘อรุณี’ อัด ‘ประยุทธ์’ แก้ยาเสพติดล้มเหลว เหตุแก้เศรษฐกิจพลาด - ช่องโหว่กฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ทำสังคมเสื่อม ไม่จบสิ้น

ดร.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การระบาดของยาเสพติดขณะนี้กำลังแพร่หลาย ปัญหายาเสพติดได้ลุกลามกัดกินประเทศไปทั่วทุกพื้นที่ จากปัญหาสังคมกลายเป็นปัญหาครอบครัวขั้นรุนแรง มีเหตุพ่อฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อ พ่อ-แม่หนีตายเพราะลูกติดยาจะทำร้ายร่างกาย เพราะการเข้าถึงยาเสพติดทำได้ง่าย ผู้เสพเพิ่มจำนวนมากขึ้นพร้อมกับจำนวนผู้เสพที่กลายเป็นผู้ขายได้ง่ายมากขึ้นตามไปด้วย ยืนยันได้จากตัวเลขชี้วัดที่สะท้อนได้จากจำนวนผู้ถูกจับกุมในคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติด ในปี 2564 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงเท่าตัว อยู่ที่เกือบ 400,000 ราย ซึ่งการแพร่ระบาดของยาเสพติด อาจมาจากสาเหตุสำคัญ 2 ประการ

1. การบริหารราชการแผ่นดินที่ผิดพลาดมาโดยตลอดนับตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อต้องมาเจอกับสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่ไม่มีความสามารถอยู่แล้วยิ่งล้มเหลว ทำให้เศรษฐกิจอยู่ภาวะชะงักงัน ปัญหาปากท้องส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชนอย่างรุนแรง หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง ประชาชนตกงานกลายสภาพเป็นคนจนโดยเฉียบพลัน บางส่วนจึงหันมาพึ่งพายาเสพติด หลายคนกลายเป็นผู้ขายเพื่อหารายได้ หลายคนเป็นกลายผู้เสพเพื่อคลายทุกข์ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ปล่อยปละละเลยปัญหายาเสพติด จนมีวาทะ ‘กี่ร้อยนายกฯก็แก้ปัญหายาเสพติดไม่ได้’ ที่เกิดขึ้นมาก่อนการระบาดของโควิด-19 และล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบันก็ยังคงพูดในวาทกรรมเดิม แสดงถึงความไม่จริงจังในการแก้ไขปัญหา  

2. พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่2) พ.ศ.2564 ที่มีการปรับโทษให้ผู้ต้องหายาเสพติดที่เป็น ‘ผู้ค้าตัวจริง’ ได้รับโทษเบาลง จากเดิมตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522  หากผู้ใดครอบครองยาเกินปริมาณที่กำหนดให้สันนิษฐานว่า ‘ครอบครองเพื่อจำหน่าย’ และจะได้รับโทษรุนแรง แต่ปัจจุบันได้มีการปรับการชี้วัดผู้ค้าออกจากผู้เสพด้วยปริมาณการครอบครองยาเสพติด เปลี่ยนมาเป็นการพิจารณาจากพฤติการณ์การครอบครองยาแทน กลายเป็นช่องโหว่ทำให้  ‘ผู้ค้ารายย่อยกลายเป็นคนเสพ’ ได้ง่าย เพราะได้รับโทษเบาลง ผู้ขายยอมทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก คนขายตัวจริงยอมถูกจับติดคุกหรือเข้าศูนย์บำบัด เกิด ‘วงจรอุบาทว์’  ในการแก้ปัญหายาเสพติด ที่ทำให้การแยก ‘ผู้ค้าตัวจริง’ ออกจาก ‘ผู้เสพ’ ทำได้ยากมากขึ้น จึงไม่แปลกหากการจับกุมยาบ้าจะทยอยลดลงเรื่อย ๆ ในภาพรวม จากที่จับกุมได้ 543 ล้านเม็ดในปี 2561 ลดลงเหลือ 334 ล้านเม็ดในปี 2564   สวนทางกับความเป็นจริงที่ยาบ้าได้ระบาดไปทั่วทุกระแหงและราคาถูกลงเหลือเพียงเม็ดละ 10-20 บาท เพราะมีตัวแทนขายตรงในทุกชุมชน

'เพื่อไทย' ติง 'ประยุทธ์' อย่าพูดเกินจริง เศรษฐกิจขยายตัวยังไม่ถึงระดับที่ได้ตกลงมา ชี้ เศรษฐกิจไทยอยู่ในแดนลบมา 3 ปีแล้ว แนะ ฟื้นฟูเศรษฐกิจดีกว่าแจกเงิน คนอยากมีรายได้ที่มั่นคง

นางสาวจุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร สส. กทม. เขตบางรัก และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แย่งซีน สภาพัฒน์ ฯ เร่งแถลงการขยายตัวในไตรมาสที่สองว่าจะขยายตัวได้ 3.3% ทั้งที่โดยมารยาทแล้วต้องให้สภาพัฒน์ฯ แถลงข่าวก่อนในช่วงกลางเดือนสิงหาคมนี้ อย่างไรก็ตาม อาจจะเป็นเพราะพลเอกประยุทธ์ถูกโจมตีเรื่องความล้มเหลวด้านเศรษฐกิจจึงพยายามหาเรื่องเพื่อมากลบปมด้อย โดยที่อาจจะไม่ทราบเลยว่าการขยายตัวได้ 3.3% ไม่ได้แปลว่าดี ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ทรุดหนักติดลบไปถึง - 6.2% และปี 2564 เศรษฐกิจไทยแทบไม่ฟื้นเลย โดยขยายได้แค่ 1.6% ซึ่งบวกลบกันแล้ว ยังคงติดลบอยู่ถึง - 4.6% ดังนั้น การขยายตัว 3.3% ก็ยังฟื้นไม่ถึงระดับที่ได้ตกลงมา แถมไตรมาสแรกปีนี้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 2.2% เท่านั้น ดังนั้น ครึ่งปีแรกปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เพียงประมาณ 2.8% ซึ่งถือว่าต่ำมาก ไม่เห็นน่าจะภูมิใจถึงกับต้องเร่งแย่งแถลงข่าวแต่อย่างไร ทั้งที่ตอนต้นปีพลเอกประยุทธ์ยังโม้เองว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายได้ 4% ซึ่งคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้บอกแต่แรกแล้วว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์จะทำได้ไม่ถึงแน่ 

การที่ในปีนี้เศรษฐกิจไทยก็ยังขยายตัวได้ต่ำยังไม่ฟื้นกลับไปถึงระดับที่ได้ตกลงมา ทำให้เศรษฐกิจไทยอยู่ในแดนลบเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ขนาดนักวิชาการของทีดีอาร์ไอยังยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นช้าที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ส่งผลทำให้ทำไมประชาชนถึงรู้สึกลำบากกันอย่างมาก เพราะเศรษฐกิจติดลบทำให้รายได้ของประชาชนลดลง คนหาเงินไม่พอค่าใช้จ่ายที่จะเลี้ยงตัวเองแลครอบครัว หาเงินไม่พอผ่อนบ้าน ไม่พอผ่อนรถ ต้องกู้เงินมาประคองชีวิต กู้มาจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูกหลาน ทำให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง อีกทั้งธุรกิจก็ย่ำแย่ หนี้สินรุงรังและพุ่งสูงขึ้นเพราะรายได้เข้ามาน้อยแต่รายจ่ายเพิ่ม แถมยังต้องมาเจอกับภาวะเงินเฟ้อ ข้าวของแพง ไข่แพง หมูแพง น้ำมันแพง ก๊าซหุงต้มแพง ไฟฟ้าแพง ปุ๋ยแพง ค่าขนส่งแพง ฯลฯ ซ้ำเติม ยิ่งทำให้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ไม่รู้จะหารายได้ที่ไหนมาประคองชีวิตให้เพียงพอ อีกทั้งหากดอกเบี้ยขึ้นอีก ภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเดิมอยู่แล้วให้ยิ่งหนักขึ้น ซึ่งพลเอกประยุทธ์ไม่ได้มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้เลย ปัญหาจะเพิ่มหนักขึ้น และ ประชาชนจะทนกันไม่ไหว

‘บิ๊กตู่’ ย้ำเป้าหมาย Net zero ภายในปี พ.ศ. 2608 วอนคนไทยร่วมรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ

‘บิ๊กตู่’ กล่าวปาฐกถาพิเศษงาน TCAC ยืนยันเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มุ่งใช้นโยบายเศรษฐกิจ BCG เป็นกลไกหลักในการสร้างความสมดุลแห่งการพัฒนา เดินหน้าสร้างความเติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนทุกคน

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 5 สิงหาคม ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดและกล่าวปาฐกถาพิเศษในการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย (Thailand Climate Action Conference: TCAC) จัดโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด“อนาคตไทย อนาคตโลก: โอกาสและความรับผิดชอบ (Our Future: Our Responsibility, Our Opportunity)” โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงาน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยินดีที่มาเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมฯ เป็นการยืนยันเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลักดันไทยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2608 ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบทวีความรุนแรงมากขึ้นต่อทุกภูมิภาคทั่วโลก ตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา กิจกรรมของมนุษย์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นประมาณ 1.1 องศาเซลเซียส 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประชาคมโลกต้องเร่งยกระดับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิจะส่งผลให้นานาประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตการผลิตสินค้าอาจส่งผลกระทบรุนแรงถึงขั้นที่ประชากรทั่วโลกจะประสบกับภาวะขาดแคลนอาหาร และภัยธรรมชาติรูปแบบต่าง ๆ จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นด้วย ดังนั้น World Economic Forum : WEF จึงได้กำหนดให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามระยะยาวของโลกที่มีแนวโน้มจะส่งผลต่อการดำเนินเศรษฐกิจระดับมหภาค ที่ผ่านมา ประชาคมโลกได้พยายามยกระดับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และมุ่งบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีสจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส  และพยายามควบคุมให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเท่ากับต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกลงร้อยละ 45 ภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิต้องเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 พร้อมทั้งสร้างขีดความสามารถในการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้น ควบคู่กันไปอย่างสมดุล

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงและกระทันหัน เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย ซึ่งล้วนแต่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน ในปี 2564 ไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อผลกระทบระยะยาวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูงสุด เป็นลำดับที่ 9 ของโลก ซึ่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา มีมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมแล้วนับแสนล้านบาท ในวันนี้ ประเทศไทยจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวรับผลกระทบที่เกิดขึ้นในมิติต่าง ๆ อย่างจริงจัง

นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า นโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยได้กำหนดทิศทางการพัฒนาสู่ความยั่งยืนในทุกมิติร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนแม่บทต่าง ๆ ที่มุ่งสู่การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ ครอบคลุม 3 องค์ประกอบที่สำคัญ การลดก๊าซเรือนกระจกระยะยาวที่สอดคล้องกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ,การปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ สนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐและเอกชน รวมถึงการพัฒนามาตรการทางเศรษฐศาสตร์ การเงิน และการคลัง เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับตัวสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะเป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายตามที่แสดงเจตนารมณ์ต่อ United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC 

'บิ๊กตู่' พอใจ ช่วยประชาชนไกล่เกลี่ยหนี้สำเร็จ กว่า 5.6 หมื่นราย  พร้อมชม 'สมศักดิ์' จัด มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ ได้ผล ขณะที่กระทรวงยุติธรรม เตรียมจัดต่ออีก 7 จังหวัด

เมื่อวันที่ 7 ส.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ติดตามข้อสั่งการในการดำเนินงานแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน ตามที่ได้ประกาศให้ปีนี้เป็น “ปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน” โดยกระทรวงยุติธรรมได้ดำเนินการ “มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สิน หนี้ครัวเรือน”  ผลการไกล่เกลี่ยล่าสุดข้อมูลวันที่ 6 สิงหาคม 2565 มีผู้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย รวมทั้งสิ้น 59,436 ราย ไกล่เกลี่ยสำเร็จ จำนวน 56,674 ราย คิดเป็นร้อยละ 95.35 รวมทุนทรัพย์ 11,995 ล้านบาท ลดค่าใช้จ่ายประชาชน 5,114 ล้านบาท ภายในงานได้จัดนิทรรศการและบริการให้คำปรึกษาทางกฎหมายเกี่ยวกับการบังคับคดีให้แก่ประชาชนที่มาร่วมงาน ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นจำนวนมาก

นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายในการช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะการแก้ปัญหาหนี้ กยศ. หนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล และหนี้เช่าซื้อรถยนต์ (ลิสซิ่ง) ทั่วประเทศ การจัดมหกรรมยุติธรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือนฯ ทั่วประเทศ จะเหลืออีก 7 ครั้ง  ที่จังหวัดสระแก้ว นครนายก สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ตราด จันทบุรี และชลบุรี เสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคม ซึ่งการจัดงานแต่ละครั้งจะมีการไกล่เกลี่ยของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ที่เป็นหนี้ก่อนฟ้อง และการไกล่เกลี่ยของกรมบังคับคดี ที่เป็นหนี้ภายหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว โดยมีกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และสถาบันการเงิน หลายหน่วยงาน อาทิ ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์  ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซส จำกัด (มหาชน)  บริษัท บริหารสินทรัพย์ เจ จำกัด บริษัท โตโยต้า ลิสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมด้วย

'ส.ว.สมชาย' กางรธน. ชี้ 8 ปีนายกฯ นับถึงวันไหน!! ทางกฎหมายเป็นได้แค่ 2 ทาง นับถึง 2568 และ 2570

นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ '8 ปีนายกลุงตู่นับถึงวันไหน' ระบุว่า...

ความเห็นทางกฎหมายเป็นได้แค่ 2 ทาง คือ...

1) แบบที่ 1 คือนายกลุงตู่ พลเอกประยุทธ หัวหน้าคสช. ที่มาจากรัฐประหารและขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐถาธิปัตย์ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. เมื่อ 24 ส.ค. 2557 ไม่อาจนับเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาตามกรอบมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ได้ เพราะไม่ได้มาจากการเลือกกันในรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

แต่หากยังต้องนำบทเฉพาะกาล มาตรา 264 มานับวันที่ให้ ครม. ที่บริหารราชการแผ่นดินก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 ทำหน้าที่เป็นครม.ได้ต่อไป ซึ่งรวมถึงนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ด้วย  

>> ดังนั้นการนับครบ 8 ปีแบบนี้ จึงต้องนับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญ2560 ใช้บังคับคือ 6 เม.ย. 2560 และนับตามบทเฉพาะกาลมาตรา 264 

>> #นายกลุงตู่จะครบ 8 ปี วันที่ 5 เม.ย. 2568...

‘บิ๊กตู่’ ลั่น ยังไม่สรุปขึ้นค่าไฟฟ้างวดใหม่ ชี้ หากปรับขึ้น ก็แค่หน่วยสตางค์เท่านั้น

‘บิ๊กตู่’ ยันยังไม่ขึ้นค่าไฟ แต่ถ้าจะขึ้นก็เป็นแค่หน่วยสตางค์ อ้างราคาต่อหน่วยปัจจุบันก็ 3 บาทกว่าอยู่แล้ว วอน เข้าใจเหตุผลและความจำเป็น เผย กรรมการฯหารือแล้ววานนี้

เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ (9 ส.ค. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ ถึงความคืบหน้าการพิจารณาขึ้นค่าไฟฟ้าว่า วานนี้ (8 ส.ค. 65) ได้มีการหารือกันซึ่งเป็นการวางแผนล่วงหน้าที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ซึ่งเขาต้องดำเนินการกันอยู่แล้ว ก็จะต้องมีการพิจารณากันในช่วงต่อไป ในเดือน ก.ย.-ธ.ค.เป็นระยะเวลา 4 เดือนซึ่งก็ต้องพิจารณาว่าทำอย่างไรจะให้เดือดร้อนน้อยที่สุดก็ต้องคำนึงถึงเหตุผลและความจำเป็นต่าง ๆ

“ขอยืนยันเนื่องจากมีหลายคนเอาไปพูดว่าในเรื่องของค่าไฟ จะขึ้นไปหน่วยละ 4 บาท ก็ปัจจุบันราคาก็อยู่ที่ 3 บาทกว่าอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการขึ้นในตรงนี้ ซึ่งจะขึ้นหรือไม่ขึ้นยังไม่รู้ แต่ถ้าจะขึ้นก็จะขึ้นเป็นสตางค์เท่านั้น เพราะฉะนั้นอย่าไปบิดเบือนว่าค่าไฟจะขึ้นเป็น 4 บาทต่อหน่วย เพราะปัจจุบันราคาก็ 3 บาทกว่าอยู่แล้ว และถ้าจำเป็นต้องขึ้นก็ต้องดูว่าขึ้นเพราะอะไรต้องหาสาเหตุให้เจอ วันนี้เราก็ใช้เงินกองทุนพลังงานมาอุดหนุนเกือบทุกส่วน ทั้ง ไฟฟ้า พลังงาน แก๊ส ใช้เงินเป็นแสนล้านบาทไปแล้ว ก็ต้องไปดูว่าจะดูแลช่วยเหลือได้อย่างไรมากน้อยกันแค่ไหน ก็ขอให้เข้าใจในภาพรวมด้วย  อะไรก็ตามที่ประชาชนเดือดร้อน ผมก็ไม่อยากที่จะทำให้ทุกคนเดือดร้อน แต่ก็ขอให้รับฟังเหตุผลและความจำเป็นกันบ้าง ยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด” นายกรัฐมนตรีกล่าว

'อดีตบิ๊กศรภ.' ถาม "ทำไมต้องไล่ลุงตู่" ฟันเปรี้ยงยิ่งโหมยิ่งบ่งชี้ถึงความ ‘กลัว’

(9 สิงหาคม 2565) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2565 แสดงความคิดเห็นทางการเมือง ผ่านทางเฟซบุ๊ก “พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์” มีเนื้อหาดังนี้....

ทำไมต้องไล่ลุงตู่

ปัจจุบันไม่มีใครรู้อนาคตว่าเลือกตั้งครั้งใหม่นั้น ลุงตู่ จะกลับมาเป็นนายกฯได้อีกหรือเปล่า เพราะถ้าวิเคราะห์ตามคำทำนายของทั้งสื่อ ทั้งกลุ่มพลังต่าง ๆ รวมถึงโพลนิด้าเอง ก็ว่า ลุงตู่ ตกยุคไปแล้ว ประชาชนหมดความนิยมไปแล้ว 3ป. ก็แตกแยกกัน พรรค พปชร.ก็แตก ออกหลายส่วน

ดังนั้น ตามคำทำนายต่าง ๆ จะเห็นได้ชัดเจนว่า ลุงตู่ ไปไม่รอดแน่ ดังนั้นจะไปกลัวอะไรกับ ลุงตู่ อีก

นอกจากนั้นในแนวทางการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว ถ้า ลุงตู่ มีสิทธิที่จะไปต่อไป ก็ต้องให้แกลงสมัครแข่งขัน เป็น ส.ส. ต่อไป (คราวนี้ลุงตู่ลงสมัครรับเลือกตั้งแน่นอน)

จะไปขัดขวางไม่ได้ นอกจากนั้น กระแสข่าวที่ทุ่มเทกันออกมา ชี้ให้เห็นว่าประชาชนไม่เอา ลุงตู่ แล้ว แล้วจะไปกีดขวาง ขู่เข็ญ ลุงตู่ ให้เสียชื่อไปทำไม

การออกมาไล่ ลุงตู่ มากขึ้น ๆ แบบนี้ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าทุกฝ่ายยังกลัว ลุงตู่ อยู่ จึงเท่ากับไปหาเสียงให้ ลุงตู่ ในทางอ้อม

ทำอย่างนี้เมื่อไร ลุงตู่ จะได้ไปอยู่บ้านเฉย ๆ ละครับ

ส่วนเรื่อง 8 ปีของ ลุงตู่ นับถึงวันไหนนั้น ผมยกข้อเขียนของคุณ สมชาย แสวงการ มาลงไว้ให้อ่านกัน เพื่อจะได้หาวิธีเคลื่อนไหวไล่ ลุงตู่ ให้เข้าตา “ศาลรัฐธรรมนูญ” บ้าง

คุณสมชาย ว่า ความเห็นทางกฎหมายเป็นได้แค่ 2 ทาง คือ

1.) แบบที่1 คือนายกลุงตู่ พลเอกประยุทธ์ หัวหน้าคสช.ที่มาจากรัฐประหารและขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐถาธิปัตย์ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. เมื่อ (24 ส.ค. 2557) ไม่อาจนับเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาตามกรอบมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญ2560 ได้ เพราะไม่ได้มาจาการเลือกกันในรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

แต่หากยังต้องนำบทเฉพาะกาล มาตรา 264 มานับวันที่ให้ ครม. ที่บริหารราชการแผ่นดินก่อนรัฐธรรมนูญ2560 ทำหน้าที่เป็น ครม.ได้ต่อไป ซึ่งรวมถึงนายกรัฐมนตรีพลเอกประยุทธ์ด้วย ดังนั้นการนับครบ8ปีแบบนี้จึงต้องนับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญ2560 ใช้บังคับคือ 6 เม.ย. 2560 และนับตามบทเฉพาะกาลมาตรา264

‘นายกฯ’ ตั้งเป้า!! ไทยขึ้นเทียร์ 1 เดินหน้าแก้ปัญหาค้ามนุษย์ให้สิ้น

(10 ส.ค. 65) รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี 2564 และชื่นชมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ จนทำให้สถานะการค้ามนุษย์ (TIP) ประจำปี 2022 ของไทย ที่รายงานโดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อยู่ในระดับ เทียร์ 2 ดีขึ้นกว่าสองปีที่ผ่านมา และเป็นกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานทุกภาคส่วนสำเร็จเป้าหมาย เลื่อนสถานะสู่ เทียร์ 1 และขจัดการค้ามนุษย์ให้หมดไปในที่สุด

น.ส.รัชดา กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ (พม.) รายงาน ผลดำเนินงาน ว่า สามารถจับกุมและเริ่มการดำเนินคดีอาญา 188 คดี เพิ่มจากปี 2563 ร้อยละ 41.75 ในจำนวนนี้ เป็นคดีที่มาจากการสืบสวนสอบสวนช่องทางออนไลน์มากที่สุด จำนวน 107 คดี คิดเป็นร้อยละ 56.91 ของจำนวนคดีค้ามนุษย์ในชั้นสืบสวน และสามารถดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น 17 คน นอกจากนั้นยังช่วยเหลือและคุ้มครองผู้เสียหาย 414 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 79.22 เช่น คุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการที่เข้ารับการคุ้มครองในสถานคุ้มครอง 148 คน ลดระยะเวลาการคุ้มครองผู้เสียหายในสถานคุ้มครองจาก 158 วัน ในปี 2563 เป็น 143 วัน ในปี 2564 ทำให้ผู้เสียหายไม่ต้องอยู่ในสถานคุ้มครองนานเกินความจำเป็น และเตรียมความพร้อมให้กับผู้เสียหายเข้าสู่กระบวนการทางศาลอย่างเหมาะสม รวมทั้งสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการคุ้มครองพยาน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึงร้อยละ 153.02 และผู้เสียหายได้รับเงินเยียวยาชดเชยในฐานะผู้เสียหายและพยานในคดีอาญา เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 123.9 และดำเนินการพัฒนากฎหมายสำคัญที่เกี่ยวกับสิทธิคนต่างด้าวในการจัดตั้งสหภาพแรงงาน เพื่อยกระดับมาตรฐานด้านแรงงานสัมพันธ์ให้เหมาะสม

‘เต้’ ล่าชื่อยื่นศาลรธน.ตีความ ‘นายก8ปี’ ลั่นพ้นเที่ยงคืน 23 ส.ค. หมดเวลา ‘บิ๊กตู่’

‘เต้ มงคลกิตติ์’ ลั่นพ้นเที่ยงคืน 23 ส.ค. หมดเวลา8ปี ‘บิ๊กตู่’ เซ็นอะไรไม่ได้อีก ชี้ ‘บิ๊กป้อม’ นั่งรักษาการนายกฯโดยตำแหน่ง เหน็บถ้าอยากให้ เป็นต่อ ให้แก้ รธน.เขียนไว้ว่า ‘เป็นจนตาย และตายแล้วให้ใครเป็นต่อ’

10 สิงหาคม 2565 ที่รัฐสภา นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กล่าวถึงการตีความการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่า ตนได้ร่างหนังสือเพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในเรื่องนี้ โดยมีพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็นที่ปรึกษาและช่วยดูรายละเอียดให้เรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้ยังขาดรายชื่ออีก 47 รายชื่อ โดยตนได้ปรึกษา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรจะช่วยรวบรวมส.ส.มาช่วยกันเซ็นชื่อ

นายมงคลกิตติ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ตนได้ดูบันทึกการประชุมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานได้เขียนรายละเอียดเพิ่มเติมก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญไว้ว่า การตีความ 8 ปี ให้นับรวมนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญ หมายความว่าถ้าตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรค 4 และมาตรา 264 เขียนครอบคลุมไว้หมดแล้ว โดยไม่ได้ละเว้นคนใดคนหนึ่ง แม้แต่นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบก็กลับมาเป็นได้แค่สั้น ๆ เนื่องจากก่อนหน้านี้เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 2 สมัย

‘ชัยวุฒิ’ นำทีมเด็กเก่งเข้าพบ ‘บิ๊กตู่’ หลังคว้ารางวัลแข่งหุ่นยนต์ระดับโลก

วันนี้ (11 สิงหาคม 2565 ) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม (ดีอีเอส) นำคณะผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก World RoboCup 2022 โดยมีคณะผู้จัดงาน World RoboCup 2022 และตัวแทนนักเรียนนักศึกษาทีมหุ่นยนต์ประเทศไทยที่ได้รับรางวัล ทีมต่าง ๆ เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

กระทรวงดิจิทัลฯ ให้การสนับสนุนการจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก ภายใต้ชื่องาน “World RoboCup 2022, Bangkok, Thailand” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 17 กรกฎาคม 2565 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพมหานคร มีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 3,000 คน จาก 45 ประเทศทั่วโลก และเยาวชนไทย ได้แสดงศักยภาพในการแข่งขันจนได้รับรางวัลในการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลกในครั้งนี้หลายรายการ

ทั้งนี้ตัวแทนเยาวชนของไทย 7 ทีม จาก 6 สถาบันการศึกษา ได้รับหลายรางวัลสำคัญในประเภทหุ่นยนต์ในบ้าน/เพื่อการศึกษา และหุ่นยนต์กู้ภัย โดยมีรายชื่อทีมที่คว้ารางวัล ดังนี้

1. ทีม SeaSky จาก โรงเรียน มอ. วิทยานุสรณ์ 
2. ทีม iRAP ROBOT จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 
3. ทีม BART LAB Rescue Robotics จากมหาวิทยาลัยมหิดล 
4. ทีม E-TECH All DAY จากวิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค) 
5. ทีม E-TECH All NIGHT จากวิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค) 
6.ทีม SMT robot จาก โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว 
7. ทีม TPA – TOA Witthaya จาก โรงเรียนทีโอเอวิทยา เทศบาล ๑  วัดคำสายทอง 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top