Friday, 10 May 2024
จีน

HUAWEI Pura 70 Ultra ขายหมดเกลี้ยงใน 1 นาที ส่งสัญญาณยอดขาย iPhone ทรุดกว่าเดิมในจีน

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย. 67) HUAWEI เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในตระกูล HUAWEI Pura 70 ที่รีแบรนด์มาจาก P-series เดิม รวม 4 รุ่น ประกอบด้วย HUAWEI Pura 70, Pura 70 Pro, Pura 70 Pro+ และตัวท็อป Pura 70 Ultra ซึ่งได้กลายมาเป็นที่จับตามองของสื่อต่างประเทศทันที ด้วยความที่มือถือเหล่านี้เปรียบเสมือนเป็น ‘ตัวแทน’ ของจีน ท่ามกลางสงครามการค้ากับสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น ความก้าวหน้าในการพัฒนาชิปเซตของจีน และการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนในจีนที่เป็นสมรภูมิสำคัญของโลก

โดยปีที่แล้ว HUAWEI ส่งสัญญาณคัมแบ็กระลอกแรก และเป็นระลอกใหญ่ โดยการเปิดตัว HUAWEI Mate 60 Pro+ ในจีน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับถล่มทลาย สินค้าขาดตลาดทุกช่องทางทั่วประเทศอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่นาน จนทำให้ยอดขาย iPhone 15 Pro Max ลดลงทันตาเห็น และ Apple ต้องอัดโปรฯ ลดราคาสู้ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว

แต่ HUAWEI Mate 60 Pro+ ก็แฝงไปด้วยปริศนาที่ทำให้ทั้งโลกมึนงง เกี่ยวกับชิป Kirin 9000S ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งมีการเก็งกันว่าจีนไม่น่าจะผลิตเองได้ภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ที่กีดกันไม่ให้จีนเข้าถึงเครื่องมือที่ทันสมัยได้ จนรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องเข้ามาตรวจสอบในช่วงต้นปี พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า SMIC ที่เป็นผู้ผลิตชิป อาจมีการละเมิดมาตรการคว่ำบาตรด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง และจนถึงตอนนี้สถานการณ์ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ในขณะที่ HUAWEI เองก็รูดซิปปิดปากเงียบ พยายามไม่พูดถึงตัวชิปในทุกวิถีทาง และเลี่ยงการตอบคำถามกับสื่อ

นอกจากนี้ หน่วยงาน Semiconductor Industry Association (SIA) ยังตรวจเจออีกว่า HUAWEI พยายามใช้วิธีซิกแซก โดยการเข้าซื้อหุ้นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์และหน่วยความจำในจีนหลังได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาล โดยการปกปิดความเกี่ยวโยงกับบริษัทแม่ เพื่อหลบเลี่ยงการแซงก์ชันจากสหรัฐฯ โดยทางสหรัฐฯ ก็แก้เกมด้วยการเพิ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าไปในบัญชีดำ Entity List เรียบร้อย แต่ยังไม่ดำเนินการใด ๆ เพิ่มเติม เพราะเกรงว่าจะทำให้สถานการณ์ทางการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจจะตึงเครียดกว่าเดิม

สำหรับ HUAWEI Pura 70 Ultra หนนี้ HUAWEI ยังคงใช้แนวทางเดิมเป๊ะ คือไม่มีการโปรโมตเรื่องชิปอีกเช่นเคย รวมถึงประเด็นเรื่องการรองรับ 5G ก็หลีกเลี่ยงโดยการไม่ระบุข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับภาคการเชื่อมต่อเซลลูลาร์เลย แม้จะมีการนำเสนอถึงจุดขายว่าตัวเครื่องรับสัญญาณมือถือได้ดีมากก็ตาม

เบื้องต้นสื่อต่างประเทศให้ข้อมูลว่า HUAWEI Pura 70 Ultra น่าจะมาพร้อมชิปตัวใหม่ ที่อาจใช้ชื่อว่า Kirin 9010 ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่ทางการสหรัฐฯ จะยื่นมือเข้ามาตรวจสอบเหมือนเดิม

แต่ไม่ว่าชิปข้างในจะเป็นอะไร ก็ดูเหมือนจะไม่ได้กระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าในจีนแม้แต่น้อย เพราะล่าสุดมีรายงานว่า HUAWEI Pura 70 Ultra และ Pura 70 Pro ที่เปิดขายวันนี้เป็นวันแรก ต่างขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึง 1 นาทีตั้งแต่ช่วงสาย (ตามเวลาท้องถิ่น) ส่วน HUAWEI Pura 70 Pro+ และ Pura 70 รุ่นมาตรฐาน จะวางขายตามมาภายหลังในวันที่ 22 เมษายน 2024

มีเกร็ดน่าสนใจเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย คือ ลูกค้าที่ซื้อ HUAWEI Pura 70 จะต้องทำการแกะกล่อง เปิดเครื่อง เพื่อทำการลงทะเบียนกับทาง HUAWEI ให้เรียบร้อยตั้งแต่หน้าร้าน ทั้งนี้คาดว่า HUAWEI ต้องการป้องกันพ่อค้าที่นำเครื่องไปรีเซลขายโก่งราคาในภายหลัง

วิเคราะห์ทุนนิยมสไตล์ 'อเมริกัน' VS 'จีน' ฝ่ายหนึ่งละ ฝ่ายหนึ่งแทรกแซงกิจการชาติอื่น

เมื่อพูดถึงเรื่องของ ‘ทุนนิยม’ ผู้คนต่างก็มักจะมองไปยังโลกตะวันตกโดยเฉพาะ ‘สหรัฐอเมริกา’ โดยลืมไปว่า ‘สาธารณรัฐประชาชนจีน’ ก็มีระบบเศรษฐกิจที่มีความเป็น ‘ทุนนิยม’ เฉกเช่นเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่มีระบอบการปกครองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือ ‘คอมมิวนิสต์’ กับ ‘ประชาธิปไตย’ 

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับสองตามติดสหรัฐอเมริกาชนิดหายใจรดต้นคอได้ก็ด้วยเพราะ ระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทุนนิยม’ นับตั้งแต่ท่านเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำจีนในยุค 1980 ได้นำหลักการตามแนวคิด ‘ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ ก็คือแมวที่ดี’ มาใช้ขับเคลื่อนประเทศ

ด้วยระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทุนนิยม’ นี้เองที่ทำให้จีนใช้เวลาเพียงไม่ถึง 40 ปี ในการเปลี่ยนแปลงประเทศจากความล้าหลังมากมาย จนกลายเป็นความล้ำสุด ๆ และที่สำคัญที่สุดคือ ‘กลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมของโลก’ ได้เกือบทุกชนิดในราคาที่ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ โดยมี ‘สหรัฐอเมริกา’ ประเทศที่ขนาดเศรษฐกิจอันดับหนึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด

ทั้งนี้ หากนำความหมายของคำว่า ‘ทุนนิยม’ (Capitalism) อันเป็นระบบเศรษฐกิจซึ่งนายจ้างเป็นเจ้าของปัจจัยในการผลิต ควบคุมการค้า อุตสาหกรรม และวิถีการผลิต โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรในเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี จะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้...

(1) เอกชนสามารถถือครองทรัพย์สินได้มากเท่าที่จะหามาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 
(2) การแข่งขันเสรี ซึ่งจะทำให้ผู้ขายเสนอราคาที่เหมาะสมที่สุดด้วยศักยภาพการผลิตที่ดีที่สุด 
(3) ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ซึ่งอนุญาตให้เอกชนสามารถลงทุนในการผลิตหรือใช้จ่ายเงินเพื่อหาซื้อสินค้าและบริการได้ตามความสามารถและความต้องการ โดยไม่มีกฎระเบียบหรือข้อบังคับจากรัฐบาล ด้วยเชื่อว่าที่สุดแล้วจะทำให้ราคาของสินค้าและบริการอยู่ในจุดสมดุลที่ผู้ซื้อและผู้ผลิตเห็นตรงกันว่าราคาอยู่ในช่วงที่เหมาะสม 
(4) มีความอิสระในการบริหาร โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาล 

ด้วยบริบทดังกล่าวนี้ที่ว่ามานี้ ทำให้ระบบ ‘ทุนนิยม’ ของจีนและสหรัฐอเมริกา จึงไม่ได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใดเลย

นับตั้งแต่จีนปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปตามแนวทาง ‘ทุนนิยม’ ระบบเศรษฐกิจของทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็เกื้อหนุนกันมาโดยตลอด ระบบเศรษฐกิจของจีนโดยรวมก็เติบโตและมีความแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สหรัฐฯ เองบรรดาผู้ประกอบการ ผู้นำเข้า และนักลงทุนในจีนต่างก็ได้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องเช่นกัน 

ทว่า ก็มีความแตกต่างจากประโยชน์ของสองประเทศที่ได้รับ อาทิ จีนเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจโดยภาพรวมกับประชาชนทุกระดับชั้น ในขณะที่สหรัฐฯ กลับอยู่กับเพียงคนกลุ่มเดียว (ผู้ประกอบการ ผู้นำเข้า และนักลงทุนในจีน) ในขณะที่ประชาชนชาวอเมริกันได้ประโยชน์เพียงการได้บริโภคสินค้าราคาถูกจากจีน 

อย่างไรก็ตาม ระบบ ‘ทุนนิยม’ ของสองประเทศนี้ต่างก็สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชาวโลก 

ถึงกระนั้น หากดูหากภูมิหลัง ความต่อเนื่อง และบริบท ฯลฯ จะพบบทบาทและลักษณะที่เกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจของโลกที่มีความแตกต่างกันจากทั้งสองประเทศ ดังนี้...

ความเป็น ‘ทุนนิยม’ ของสหรัฐฯ มีมาต่อเนื่องยาวนานกว่าร้อยปี จึงมีพัฒนาการและการแผ่ขยายและแพร่กระจายที่เห็นได้ชัดเจนกว่า โดยสหรัฐฯ ตั้งอยู่บนทวีปอเมริกาเหนือและเชื่อมต่อกับทวีปอเมริกาใต้ การขยายตัวด้านเศรษฐกิจและการค้าทางภาคพื้นดินจึงทำได้เพียงสองประเทศ 

ในขณะที่จีนตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและประชากรมากที่สุด ทั้งยังสามารถขยายตัวด้านเศรษฐกิจและการค้าทางภาคพื้นดินได้จนถึงทวีปยุโรปซึ่งอยู่ติดกัน อันเป็นที่มาของนโยบาย ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative (BRI) หรือ One Belt One Road (OBOR))’ เพื่อเชื่อมจีนกับสังคมโลกด้วยระบบเศรษฐกิจเครือข่าย

กลับกัน สหรัฐฯ ซึ่งหากจะเชื่อมต่อกับทวีปอื่น ๆ จำเป็นต้องใช้การขนส่งทางน้ำและทางอากาศ สหรัฐฯ จึงยังคงใช้นโยบาย ‘เรือปืน’ (Gunboat Diplomacy) ด้วยการมีฐานทัพทางทหารอยู่ทั่วโลกกว่า 800 แห่ง มีกำลังทางเรือและกำลังทางอากาศที่สามารถปฏิบัติการได้ทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง 

ดังนั้น หากมองพัฒนาการ ‘ทุนนิยม’ ของสหรัฐฯ ที่มีความต่อเนื่องยาวนานกอปรกับนโยบาย ‘เรือปืน’ ปฏิสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ทั่วโลก จึงมีความเป็นระบบมากกว่า และดำเนินการโดยบริษัทการค้าข้ามชาติของสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ และได้รับการสนับสนุนด้านนโยบายที่เอื้อประโยชน์ในด้านต่าง ๆ จากรัฐบาลอเมริกัน 

จากนั้น บริษัทอเมริกันต่าง ๆ จึงสามารถดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศได้อย่างสะดวกสบายโดยมีรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหลังพิง (Back-up) ตราบใดที่ยังคงเสียภาษีให้กับรัฐอย่างถูกต้อง ไม่ทำผิดกฎหมายสหรัฐฯ (และให้การสนับสนุนพรรคการเมืองใหญ่ของอเมริกันทั้งสองพรรค) 

ทั้งนี้ หากมองปฏิสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า ซึ่งเป็นไปในระดับบนหรือระดับชาติเป็นส่วนใหญ่นั้น เพราะสหรัฐฯ เองเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่มากเกือบเท่ากับจีน แต่กลับมีประชากรเพียงหนึ่งในสี่ของประชากรจีน ประกอบด้วยรัฐต่าง ๆ จึงแทบจะไม่เห็น พ่อค้า นักธุรกิจ ชาวอเมริกันมาประกอบธุรกิจขนาดเล็กในประเทศต่าง ๆ 

ขณะที่จีน ซึ่งมีพลเมืองกว่า 1.4 พันล้านคน จะพบว่ามีพ่อค้า นักธุรกิจ ชาวจีนออกมาประกอบธุรกิจมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยของเรา

ฉะนั้น ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ พ่อค้า นักธุรกิจ ชาวจีน จะออกมาประกอบธุรกิจการค้าในต่างแดน โดยไม่มีรัฐบาลจีนเป็นหลังพิง (Back-up) เหมือนกับบรรดาบริษัทอเมริกันทั้งหลาย จึงต้องทำตามกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติของตามแต่ละประเทศนั้น ๆ 

แน่นอนว่า ในประเทศที่ผู้บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดในการปฏิบัติ ก็จะไม่มีปัญหาในการลักลอบกระทำผิดกฎหมายของคนเหล่านั้น แต่กลับกันในประเทศที่ในประเทศที่ผู้บังคับใช้กฎหมายหย่อนยาน ไม่เคร่งครัด ในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ละโมบ โลภมาก ก็จะมีปัญหาในการลักลอบกระทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น ดังเช่นเรื่อง 'จีนเทา' ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ซึ่งต้องยอมรับว่า เกิดจากความหย่อนยานในการปฏิบัติ ความละโมบโลภมาก เห็นแก่อามิสสินจ้าง ความเกรงกลัวต่ออิทธิพลของผู้มีอำนาจ ฯลฯ ของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเหล่านั้น 

อันที่จริงเรื่องของการกระทำผิดกฎหมาย อาชญากรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม หากเราทราบเรื่อง มีเบาะแส เกี่ยวกับความไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นทั้งหลายทั้งปวง ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินการทันที 

...และหากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพิกเฉยละเลย ในปัจจุบันก็มีช่องทางมากมายในการติดตามหรือเร่งรัด ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัด, กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.), คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องของรัฐสภา, สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลปกครอง เป็นต้น

สำหรับบ้านเราแล้ว ปัญหาจาก ‘ทุนนิยม’ จีน สามารถจัดการแก้ไขได้ง่ายกว่าปัญหาจาก ‘ทุนนิยม’ อเมริกัน เพราะในเรื่องของการทำผิดกฎหมายแล้ว รัฐบาลจีนจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวแทรกแซงกับกิจการภายในของประเทศที่ชาวจีนหรือบริษัทไปสร้างปัญหาหรือทำผิดกฎหมาย ถ้ากระบวนการยุติธรรมของประเทศนั้น ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้องและเที่ยงธรรม 

หากแต่ถ้าเป็นประเทศตะวันตกอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาแล้ว รัฐบาลอเมริกันพร้อมที่จะเข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศที่ชาวอเมริกันหรือบริษัทอเมริกันไปสร้างปัญหาหรือทำผิดกฎหมายในเรื่องของเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ไม่ว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศนั้น ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้องและเที่ยงธรรมหรือไม่ก็ตาม 

'จีน' สั่งกวาดล้างเหล่าอินฟลูฯ 'สร้างข่าวลือ-ปั่นคอนเทนต์ลวง' ลั่น!! โลกโซเชียลไม่อยู่เหนือกฎหมาย ทำผิด ก็มีสิทธิติดคุก

รัฐบาลมณฑลหังโจว ประเทศจีนจัดหนัก สั่งแบนอินฟลูเอ็นเซอร์สาว ดาวโซเชียลคนดัง 'สู เจียอี๋' ผู้ใช้ชื่อบัญชีในโลกออนไลน์ว่า 'Thurman Maoyibei' ที่มีผู้ติดตามถึง 40 ล้านคน แต่ตอนนี้ถูกแบนจากทุกแพลตฟอร์มโซเชียลที่เธอใช้ ทั้ง Tiktok, Weibo และ Wechat ด้วยความผิดฐาน 'สร้างความปั่นป่วนในสังคม' และมีสิทธิ์ถูกดำเนินคดีได้ทั้งจำและปรับ 

'สู เจียอี๋' หรือ 'Thurman Maoyibei' เป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้านแฟชัน ความงาม และไลฟ์สไตล์คนดังใน Douyin หรือ Tiktok ของจีน ที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก 

แต่ราวเดือนกุมภาพันธ์ เธอได้โพสต์คลิปขณะกำลังเที่ยวในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ว่ามีบริกรเข้ามาทัก บอกว่าพบสมุดการบ้าน 2 เล่มที่น่าจะเป็นของเด็กจีน ลืมไว้ในห้องน้ำที่ร้าน อยากให้ตามหาเจ้าของเพราะเห็นว่าเธอเป็นคนจีนเหมือนกัน

จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นภารกิจตามหาเจ้าของการบ้านของ Thurman Maoyibei เมื่อเธอไลฟ์ผ่านโซเชียลที่มีผู้ติดตาม 40 ล้านคน ตามหา 'ชิน หลาง' ชั้น ป.1 ห้อง 8 ที่ปรากฏชื่อบนสมุดการบ้านที่ลืมไกลถึงกรุงปารีสให้มารับสมุดคืนได้ที่เธอ จนกลายเป็นไวรัลอย่างกว้างขวาง และมีผู้แอบอ้างว่าเป็นญาติ หรือ คนรู้จัก ชิน หลาง มากมายในโลกโซเชียลจีน

หลังจากผ่านไปไม่นาน มีการตรวจสอบข้อมูลจากด่านตรวจคนเข้าเมืองของจีน ย้อนไปถึงช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน ก็ไม่พบว่ามีเด็กในช่วงวัยประถมที่ชื่อ ชิน หลาง เดินทางไปต่างประเทศแต่อย่างใด 

และคดีก็พลิกทันที จน สู เจียอี๋ ต้องออกมายอมรับว่าเธอกุเรื่อง ชิน หลาง ขึ้นมา เพื่อสร้างคอนเทนด์ในช่องของเธอ โดยสมุดการบ้านนี้เธอซื้อมาทางออนไลน์ และมี 'เสว่' เพื่อนร่วมทีมอีกคนเขียนบทเรื่องราวการบ้านหายในฝรั่งเศสให้ และช่วยกันปั่นให้เกิดกระแสทั้งใน Douyin และ Weibo จนมียอดแชร์นับล้านวิว

หลังความแตก สู เจียอี๋ ออกมากล่าวขอโทษสังคมผ่านทางโซเชียล ด้วยความ 'รู้เท่าไม่ถึงการณ์' แค่ต้องการเพียงสร้างกระแสให้ช่องทางออนไลน์ของเธอเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่น ซึ่งเธอสำนึกแล้ว ต้องการให้การกระทำของเธอเป็นกรณีตัวอย่าง และต่อไปเธอสัญญาว่าจะทำแต่คอนเทนด์เพื่อสร้างสรรค์สังคมคุณภาพ

แต่ไม่ทันแล้ว เพราะวันนี้รัฐบาลหังโจวได้สั่งแบนบัญชีออนไลน์ของ สู เจียอี๋ ในทุกแพลตฟอร์ม สูญเสียผู้ติดตามหลายสิบล้านในพริบตา และมีสิทธิ์ถูกดำเนินคดีในข้อหาสร้างความปั่นป่วนในสังคมด้วย

คดีของ สู เจียอี๋ เป็นอีกหนึ่งในหลายหมื่นคดี ที่กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ได้ออกมาประกาศจะกวาดล้างเหล่าบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ที่กุข่าวเท็จ ปั่นข่าวลือ เพื่อดึงกระแสให้ช่องทางออนไลน์ของตัวเอง และถือเป็นภัยสังคมอย่างหนึ่ง แม้จะไม่ใช่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองก็ตาม

และตั้งแต่ธันวาคม 2566 เป็นต้นมา มีการจับปรับเจ้ากรมข่าวลือที่ปล่อยข่าวเท็จในเน็ตไปแล้วมากกว่า 10,000 ราย และถูกจำคุกอีกกว่า 1,500 ราย 

รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะย้ำว่า โลกโซเชียลไม่ใช้พื้นที่ที่อยู่นอกกฏหมาย ชาวเน็ตจีนจึงควรตระหนักถึงกฏ ระเบียบ ในการใช้คำพูด หรือแสดงพฤติกรรมในโซเชียลให้จงหนัก เพราะรัฐบาลตามจับได้ และปรับจริง ติดคุกจริง แน่นอน

ส่วนชาวโซเชียล จำเป็นต้องมีสติในการเสพข่าวสาร ข้อมูลต่าง ๆ ควรเช็กให้ชัวร์ก่อนแชร์ จะได้ไม่เจ็บใจทีหลัง

‘เพจตี๋น้อย’ ยก ‘บิวกิ้น’ นักร้องไทยครองหัวใจแฟนคลับชาวจีน โด่งดังสุดๆ จนร้านคาราโอเกะต้องมีเนื้อร้องเป็นภาษาไทย

(19 เม.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ตี๋น้อย’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกระแสความดังของ บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล ในประเทศจีน โดยระบุว่า…

นี่ไม่ใช่คาราโอเกะที่ไทย แต่เป็น KTV จีน (ร้านคาราโอเกะในจีนจะเรียกว่า KTV) ซึ่งโดยปกติร้าน KTV จะมีแต่เพลงจีน เพลงฝรั่ง เพลงเกาหลี หรือเพลงไทยบางเพลงที่เป็นเวอร์ชั่นภาษาจีนเท่านั้น ตี๋น้อย ไม่เคยเจอเพลงไทยที่เป็นเวอร์ชั่นภาษาไทย ในร้าน KTV จีนมาก่อน

การที่มีเพลงไทยใน KTV จีน นั่นแสดงว่า นักร้องคนนั้นต้องดังสุด ๆ ในจีนเท่านั้นถึงจะมีเพลงในร้านคาราโอเกะจีนได้ และที่สำคัญคือนี่เป็นเพลงแรก ๆ ที่เป็นเพลงภาษาไทยในร้านคาราโอเกะจีนด้วย และไม่ใช่แค่เพลง ‘แปลไม่ออก’ เท่านั้นที่มีในคาราโอเกะจีน นอกจากเพลงนี้ยังมี เพลง MR.EVERYTHING, กีดกัน ที่เป็นเพลงภาษาไทยของ คุณบิวกิ้น ใน KTV อีกด้วย

ส่วนคู่จิ้น อย่าง คุณพีพี เองก็ดังไม่น้อยหน้าในจีนเช่นกัน ในร้าน KTV มีทั้งเพลงเส้นเรื่องเดิม, FIRE BOY เป็นเพลงภาษาไทยในร้านเช่นกัน

ล่าสุดคุณบิวกิ้น ทำเมืองจีนแตก แสดงคอนเสิร์ตทั้งในเมืองหูโจว และฝูโจว ทั้งสองที่ คือสเตเดี้ยมทั้งสองเมืองเต็มความจุ กว่า 40,000 ที่นั่ง ก็เต็มทั้งสองที่ครับ

ปล.ภาพนี้ตี๋น้อยถ่ายเอง ณ ร้าน KTV แห่งหนึ่ง ณ เมืองอุรุมชี เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีนครับ

แผนร้าย Jimmy Lai จุดชนวนการล่มสลายของจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อสถาปนาประชาธิปไตยตามแบบสหรัฐฯ

Jimmy Lai เจ้าพ่อสื่อชาวฮ่องกงวัย 76 ปี ผู้ก่อตั้ง Giordano International แบรนด์เสื้อผ้าชื่อดัง, Next Digital (เดิมชื่อ Next Media) บริษัทสื่อที่จดทะเบียนในฮ่องกง และ Apple Daily หนังสือพิมพ์ของฮ่องกงและไต้หวัน 

เขาเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ และเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนสำคัญในค่ายสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตย โดยเฉพาะต่อพรรค Democratic ที่เป็นชนวนเหตุให้เกิดการประท้วงกระทั่งกลายเป็นการจลาจลทางการเมืองของฮ่องกง 

ทั้งนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้จักว่า เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองของฮ่องกง แต่จริง ๆ แล้วเขาถือสัญชาติอังกฤษมาตั้งแต่ปี 1996 

Lai ซึ่งมักจะวิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่เสมอ ถูกตำรวจฮ่องกงจับกุมเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2020 ในข้อหาละเมิดกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ ต่อมาได้รับอนุญาตให้ประกันตัวเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม แต่ในวันที่ 3 ธันวาคม 2020 Lai ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกง และถูกเพิกถอนการประกันตัว ศาลฮ่องกงตัดสินจำคุก Lai จนถึงเดือนเมษายน 2021 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เขาถูกควบคุมตัว แต่ตัว Lai เองกลับมองว่า การจำคุกของเขาเป็น 'จุดสูงสุดในชีวิตของเขาเอง'

ในเดือนกรกฎาคม 2019 Lai ได้พบกับ Mike Pence รองประธานาธิบดี Mike Pompeo รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ และ John Bolton ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ของสหรัฐฯ Lai กล่าวว่า "พวกเราในฮ่องกงกำลังต่อสู้กับจีนเพื่อค่านิยมร่วมกันของสหรัฐฯ เรากำลังต่อสู้ในสงครามของพวกเขาในพื้นที่ของศัตรู"

ในเดือนธันวาคม 2020 Lai ได้รับรางวัล 'Freedom of Press Award' จาก Reporters Without Borders ภายหลังการก่อตั้ง Apple Daily สำนักข่าวภายใต้การนำของ Lai ที่สนับสนุนประชาธิปไตย ซึ่งกล้าวิพากษ์วิจารณ์ระบอบการปกครองของจีนอย่างเปิดเผย ทั้งยังสนับสนุนการประท้วงเพื่อประชาธิปไตยโดยครอบคลุมอย่างกว้างขวาง 

ในวันที่ 29 ธันวาคม 2020 Lai ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการและประธานคณะกรรมการของ Next Digital ในเดือนเมษายน 2021 เขาถูกตัดสินจำคุกเพิ่มอีก 14 เดือนจากการจัดชุมนุมประท้วงโดยผิดกฎหมาย Lai ถูกจำคุกในห้องขังเดี่ยวที่เรือนจำ Stanley ของฮ่องกง

ระหว่างการไต่สวนคดีความมั่นคงที่ Lai ตกเป็นจำเลย Wayland Chan (Chan Tsz-wah) นักกฎหมายซึ่งเป็นพยานในการดำเนินคดีให้การว่า Lai ได้เล่าถึงแผนการที่จะโน้มน้าวรัฐบาลต่างประเทศระหว่างการพบปะหารือกันที่บ้านพักของ Lai ในเมืองหยางหมิงซาน กรุงไทเปในเดือนมกราคม 2020 โดยขณะนั้น Jimmy Lai ได้บอกว่า "จากประสบการณ์ในอดีต เขาเชื่อว่า การล่มสลายทางการเมืองและเศรษฐกิจของจีนแผ่นดินใหญ่จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากรัฐบาลจีนระดมทรัพยากรจำนวนมากเพื่อใช้ในการติดตามตรวจสอบพลเมือง" 

ขณะที่ Chan เสริมว่า "การล่มสลายดังกล่าวมีอิทธิพลต่อนโยบายต่างประเทศของประเทศตะวันตก ซึ่งที่สุดจะเป็นการปูทางไปสู่การนำประชาธิปไตยแบบอเมริกันมาใช้ในจีน"

นอกจากนั้น Chan ยังให้การด้วยว่า Lai ต้องการที่จะ 'ฟอกตัว' ผู้ประท้วงหัวรุนแรงในฮ่องกงปี 2019 เนื่องจากเกรงว่า จะสูญเสียการสนับสนุนจากนานาชาติ โดย Lai กังวลว่า การกระทำที่รุนแรงของบรรดาผู้ประท้วงในฮ่องกงบางคนจะทำให้ขบวนการประท้วงสูญเสียการสนับสนุนจากนานาชาติ โดยเฉพาะการสนับสนุนจากสหรัฐฯ 

ถึงตรงนี้ คงพอจะเห็นได้ว่า ‘ประชาธิปไตย’ ยังคงเป็นคำที่ถูกใช้เครื่องมือที่ชาติตะวันตกใช้ในการแทรกแซงประเทศต่าง ๆ ที่รัฐบาลของประเทศนั้น ๆ เห็นต่าง ไม่ยอมปฏิบัติตามนโยบายและเอื้อผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจตะวันตก จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนที่มีภูมิคุ้มกันทางการเมืองน้อยและยอมเชื่อตาม ซึ่งก็มีบทเรียนที่เกิดขึ้นในประเทศตะวันออกกลางหลายประเทศให้เห็นชัดเจนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสงครามกลางเมืองใน อิรัก, ลิเบีย และซีเรีย ที่ยังไม่สามารถใช้ ‘ประชาธิปไตย’ สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้กับประเทศเหล่านั้นได้จนทุกวันนี้

โซเชียลรุมแซว ‘สถานีรถไฟหนานจิง’ หน้าตาเหมือนผ้าอนามัย แท้ที่จริง ตั้งใจจะออกแบบให้เหมือน ‘ดอกเหมย’

(20 เม.ย.67) เป็นประเด็นที่กำลังร้อนแรงในขณะนี้ เมื่อโลกออนไลน์กำลังให้ความสนใจกับการออกแบบของ ‘สถานีรถไฟหนานจิง’ ในประเทศจีน โดยผู้ใช้โซเชียลมีเดียชาวจีนจำนวนมากมีความคิดเห็นว่า สถานีที่มีมูลค่ากว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์นี้ มีหน้าตาเหมือนกัน ‘ผ้าอนามัยยักษ์’

ตามรายงานเผยว่าการออกแบบ ‘สถานีรถไฟหนานจิง’ ได้แรงบันดาลใจมาจาก 'ดอกเหมย' หรือ 'ดอกบ๊วย' ซึ่งเป็นสิ่งที่ขึ้นชื่อในเมืองนี้

ทว่าชาวเน็ตจีนหลายคนอาจไม่เห็นด้วย และชี้ว่า สถานีแห่งนี้มีหน้าตาคล้ายกับ ‘ผ้าอนามัยยักษ์’ มากกว่า โดยมีชาวเน็ตจีนรายหนึ่งตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ว่า “นี่มันผ้าอนามัยขนาดยักษ์ชัด ๆ มันน่าอายนะที่จะบอกว่ามันดูเหมือนดอกบ๊วย”

โพสต์ดังกล่าวกลายเป็นกระแสไวรัลทันที มีคอมเมนต์วิจารณ์มากมาย อาทิ

เห็นก็รู้เลยว่าผ้าอนามัย ทำไมสถาปนิกไม่สังเกต
ไม่ว่าผู้โดยสารจะเข้ามามากขนาดไหน ก็สามารถดูดซึมได้เต็มที่และแห้งได้ตลอดทั้งวัน
สไตล์นี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันการรั่วซึมด้านข้างหรือไม่
ขณะที่คอมเมนต์บางส่วนเข้ามาปกป้องสถานี จนเกิดการถกสนั่น อาทิ

ทำไมผ้าอนามัยถึงมีความหมายไม่ดี ?
อย่าปากร้ายขนาดนั้น ถ้าแม่ของคุณไม่มีประจำเดือน เธอก็ไม่สามารถให้กำเนิดคุณได้ 

สำหรับ ‘สถานีรถไฟหนานจิง’ เป็นการลงทุนมหาศาลสำหรับเมืองที่มีประชากร 8.5 ล้านคน และจะกลายเป็นสถานีที่ใหญ่ที่สุดของเมือง สถานีนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ 14 ตารางไมล์ (37.6 ตารางกิโลเมตร) จะให้บริการผู้โดยสารประมาณ 36.5 ล้านคนต่อปี และคาดว่าสถานีรถไฟแห่งนี้จะมีมูลค่าราว 2 หมื่นล้านหยวนจีน (2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น การออกแบบเบื้องต้นได้รับไฟเขียวโดยรัฐบาลและกลุ่มการรถไฟแห่งรัฐจีน การก่อสร้างมีกำหนดจะเริ่มในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 และคาดว่าสถานีแห่งนี้จะได้รับผู้โดยสารคนแรกภายในต้นปี 2571

‘ตำรวจจีน’ ออกจับเหล้า ที่ถูกสวมฉลากเป็น ‘สินค้าจัดสรรพิเศษ’ ย้ำ!! ทำเพื่อ ‘ผลประโยชน์อันชอบธรรม’ ตามกฎหมายของผู้บริโภค

(20 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนเริ่มต้นดำเนินการรณรงค์เพื่อปราบปรามอาชญากรรมเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปลอม ซึ่งถูกสวมฉลากเป็น 'สินค้าจัดสรรพิเศษ' แก่หน่วยงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รัฐบาล หรือกองทัพ

รายงานระบุว่าปฏิบัติการนี้มีเป้าหมายปราบปรามการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบอย่างผิดกฎหมาย ปกป้องคุ้มครองชื่อเสียงของพรรคฯ รัฐบาล และกองทัพ พร้อมกับรับประกันสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมตามกฎหมายของผู้บริโภค

หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วจีนจะปราบปรามการค้าขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปลอมทุกขั้นตอน ตั้งแต่ผลิต จำหน่าย ขนส่ง และจัดเก็บ รวมถึงการกระทำผิดเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายวัสดุบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปลอม และการทำผิดกฎหมายอันเกี่ยวกับการพิมพ์เครื่องหมายการค้าและสัญลักษณ์ของหน่วยงานพรรคฯ รัฐบาล และกองทัพโดยไม่ได้รับอนุญาต

นอกจากนั้นกระทรวงฯ เน้นย้ำความจำเป็นในการตรวจตราโลกออนไลน์อย่างเข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น โดยเฉพาะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ช่องทางไลฟ์สตรีมมิงหรือไลฟ์สด และแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อรวบรวมเบาะแสอันนำสู่การกระทำผิดดังกล่าว

ทั้งนี้ สำนักสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมอาหารและยาของกระทรวงฯ จะเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและลงโทษผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาดตามกฎหมาย

‘จีน’ ออกมาตรการหนุน ‘ต่างชาติ’  ดันให้ลงทุนด้าน ‘วิทย์-เทคโนฯ’ 

(21 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กลุ่มหน่วยงานทางการจีนออกเอกสารแจกแจงมาตรการชุดใหม่ ซึ่งส่งเสริมบรรดาสถาบันในต่างประเทศเข้ามาลงทุนในกลุ่มผู้ประกอบการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภายในประเทศจีน

เอกสารข้างต้นร่วมออกโดยกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานรัฐบาลอีก 9 แห่ง ประกอบด้วย 16 มาตรการที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการบริการจัดการ การสนับสนุนทางการเงิน การแลกเปลี่ยนและความร่วมมือ รวมถึงยกระดับกลไกการถอนตัว

จีนจะอนุมัติคำขอของนักลงทุนต่างชาติประเภทสถาบันที่ใช้สกุลเงินดอลลาร์และมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ (QFII) รวมถึงนักลงทุนต่างชาติประเภทสถาบันที่ใช้สกุลเงินหยวนและมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ (RQFII) ตามกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนั้นจีนจะสนับสนุนสถาบันในต่างประเทศเข้ามาลงทุนในกลุ่มผู้ประกอบการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภายในประเทศผ่านโครงการหุ้นส่วนจำกัดต่างชาติที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ (QFLP)

กองทุนร่วมลงทุนภายในประเทศที่จัดตั้งโดยสถาบันจากต่างประเทศจะได้รับการกำกับดูแลอย่างเท่าเทียมกับกองทุนร่วมลงทุนภายในประเทศที่จัดตั้งโดยนักลงทุนภายในประเทศ

จีนจะส่งเสริมสถาบันจากต่างประเทศที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ออกตราสารหนี้สกุลเงินหยวนในจีนและลงทุนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงขยับขยายโครงการนำร่องทั่วประเทศที่เกื้อหนุนการเงินข้ามพรมแดน

ขณะเดียวกันจีนจะสนับสนุนธนาคารภายในประเทศเพิ่มความร่วมมือกับสถาบันจากต่างประเทศด้วย

สภาสหรัฐฯ โหวตท่วมท้น 'แบนติ๊กต็อก' ไม่สนเสียงคัดค้าน-ปิดกั้นเสรีภาพผู้ใช้

เมื่อวานนี้ (21 เม.ย. 67) สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ โหวตรับรองร่างกฎหมายบังคับให้ไบต์แดนซ์ขายติ๊กต็อก หรือปล่อยให้แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นยอดนิยมนี้ถูกแบนจากตลาดอเมริกา ด้านติ๊กต็อกออกแถลงการณ์ร้องเรียนทันควันชี้เป็นการเหยียบย่ำสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีของชาวอเมริกัน 170 ล้านคน ทำลายธุรกิจ 7 ล้านแห่ง และปิดแพลตฟอร์มที่สร้างรายได้ปีละ 24,000 ล้านดอลลาร์ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ

เจ้าหน้าที่อเมริกาและตะวันตกกังวลว่า ความนิยมในติ๊กต็อกในหมู่หนุ่มสาวจะเปิดโอกาสให้จีนสอดแนมข้อมูลผู้ใช้ เฉพาะอเมริกามีผู้ใช้แอปนี้ถึง 170 ล้านราย

เจ้าหน้าที่เหล่านั้นยังกล่าวหาว่า ติ๊กต็อกอยู่ใต้อำนาจของปักกิ่ง และเป็นช่องทางเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของจีน ซึ่งทั้งรัฐบาลจีนและติ๊กต็อกต่างปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้

ร่างกฎหมายที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ให้ความเห็นชอบด้วยคะแนนท่วมท้น 360 ต่อ 58 เสียงเมื่อวันเสาร์ (20 เม.ย.) ซึ่งอาจนำไปสู่ขั้นตอนที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักในการกีดกันไม่ให้บริษัทเอกชนทำธุรกิจในอเมริกานั้น จะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาในสัปดาห์นี้

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ระบุว่า จะลงนามรับรองร่างกฎหมายนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ย้ำความกังวลเกี่ยวกับติ๊กต็อกระหว่างหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเมื่อต้นเดือน

การยื่นคำขาดต่อติ๊กต็อกครั้งนี้รวมอยู่ในร่างกฎหมายการให้ความช่วยเหลือยูเครน อิสราเอล และไต้หวัน

ทางด้านติ๊กต็อกร้องเรียนทันควันโดยออกแถลงการณ์ ระบุว่า น่าเสียดายที่สภาล่างสหรัฐฯ อาศัยร่างกฎหมายความช่วยเหลือต่างประเทศและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพื่อเร่งรัดร่างกฎหมายแบนติ๊กต็อก ซึ่งจะเป็นการเหยียบย่ำสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีของชาวอเมริกัน 170 ล้านคน ทำลายธุรกิจ 7 ล้านแห่ง และปิดแพลตฟอร์มที่สร้างรายได้ปีละ 24,000 ล้านดอลลาร์ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ

ภายใต้ร่างกฎหมายนี้ ไบต์แดนซ์ บริษัทไฮเทคสัญชาติจีน ต้องเลือกระหว่างขายกิจการติ๊กต็อกในอเมริกาภายใน 1 ปี หรือติ๊กต็อกถูกถอดออกจากแอปสโตร์ของแอปเปิลและกูเกิลในอเมริกา

เดือนที่แล้ว สภาล่างสหรัฐฯ อนุมัติร่างกฎหมายแบนติ๊กต็อกที่กำหนดให้ไบต์แดนซ์ต้องขายหุ้นติ๊กต็อกให้บริษัทสัญชาติอเมริกันภายใน 6 เดือน หรือถูกแบนในอเมริกา ซึ่งขณะนี้ร่างกฎหมายนี้อยู่ในการพิจารณาของสภาสูง

สตีเวน มนูชิน อดีตรัฐมนตรีคลังในคณะบริหารของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความสนใจซื้อกิจการติ๊กต็อก และขณะนี้กำลังรวบรวมกลุ่มนักลงทุน

ติ๊กต็อกตกเป็นเป้าหมายการเพ่งเล็งของทางการสหรัฐฯ มานานหลายปี ภายใต้ข้อกล่าวหาว่า แพลตฟอร์มยอดฮิตนี้ช่วยให้ปักกิ่งสอดแนมผู้ใช้ในอเมริกา

อย่างไรก็ตาม กฎหมายแบนติ๊กต็อกอาจนำไปสู่การฟ้องร้อง โดยกฎหมายนี้ให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุแอปพลิเคชันที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ หากแอปดังกล่าวควบคุมโดยประเทศที่ถือเป็นศัตรูของอเมริกา

วันศุกร์ที่ผ่านมา (19 เม.ย.) อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มเอ็กซ์ หรือทวิตเตอร์ในอดีต ออกมาต่อต้านการแบนติ๊กต็อกโดยระบุว่า แม้การดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลดีต่อเอ็กซ์ แต่เป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของผู้คน

‘จีน’ นำตัวผู้ต้องสงสัยเอี่ยว ‘การพนัน-ฉ้อโกง’ จากกัมพูชากลับประเทศ ชี้ ครบหมด!! 680 คน หลังเดินหน้าภารกิจปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้

(22 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนเปิดเผยว่าตำรวจจีนนำตัวผู้ต้องสงสัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพนันและการฉ้อโกง จากกัมพูชาจำนวนกว่า 680 ราย กลับจีนครบทั้งหมดแล้ว หลังมีการเริ่มส่งตัวผู้ต้องสงสัยช่วงก่อนหน้านี้ในเดือนเมษายนโดยแบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ

เที่ยวบินเช่าเหมาลำสองเที่ยวนำผู้ต้องสงสัยกลุ่มสุดท้าย จำนวน 135 คน กลับถึงนครอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของจีนในวันอาทิตย์ (21 เม.ย.) ถือเป็นการเสร็จสิ้นการส่งตัวผู้ต้องสงสัยกลับจีนในปีนี้ หลังจากตำรวจจีนและกัมพูชาออกปฏิบัติการร่วมเพื่อปราบปรามอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการพนันและการฉ้อโกง

ซึ่งตำรวจจีนได้กระชับความร่วมมือระหว่างประเทศในการต่อสู้กับอาชญากรรมต่าง ๆ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาทิ การพนันข้ามพรมแดน และการหลอกลวงทางโทรคมนาคม โดยกระทรวงฯ ให้คำมั่นว่าจะจัดการอาชญากรรมประเภทนี้อย่างเข้มงวดต่อไป พร้อมเตือนประชาชนให้ระมัดระวังตัวมากขึ้น

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนได้นำตัวผู้ต้องสงสัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้างต้นจำนวนหลายหมื่นคนจากประเทศต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงเมียนมา ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กลับไปยังจีนในปีนี้


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top