Monday, 13 May 2024
จีน

‘มาเลเซีย’ หวังคว้าประโยชน์จาก ‘เทคโนโลยีจีน’ ภาคส่วนการบิน เชื่อ!! จะนำโอกาสมาให้ พร้อมก้าวสู่บทบาทห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

เมื่อวานนี้ (19 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เหลียวชินตง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซีย กล่าวว่ามาเลเซียต้องการคว้าประโยชน์จากเทคโนโลยีของจีนในภาคส่วนการบิน เพื่อมีบทบาทมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกในภาคส่วนดังกล่าว

ทั้งนี้ เหลียวชินตง ได้ขึ้นกล่าวที่การประชุมการบินมาเลเซีย-จีน ปี 2024 (Malaysia-China Aviation Forum 2024) ระบุว่า อุตสาหกรรมการบินและอวกาศที่เติบโตอย่างรวดเร็วของจีนจะนำมาซึ่งโอกาสและพลวัตใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่มาเลเซียหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์ด้วย

ซึ่ง เหลียวชินตง กล่าวเสริมว่ามาเลเซียมีสถานะที่น่าเชื่อถืออยู่แล้วในด้านวัสดุการบิน รวมถึงการผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบของเครื่องบิน แต่เราต้องการเดินหน้าทำงานมากกว่านี้และมีส่วนสำคัญมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

การประชุมฯ เน้นย้ำถึงความร่วมมือที่ผสานรวมความเชี่ยวชาญของจีน และความปรารถนาของมาเลเซียในการเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมการบินและอวกาศระดับโลก

ทั้งนี้ แบบพิมพ์เขียวอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของมาเลเซีย ปี 2030 ระบุว่ามาเลเซียตั้งเป้าเป็นประเทศด้านการบินและอวกาศแห่งหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นส่วนสำคัญของตลาดโลกภายในปี 2030 โดยคาดการณ์ทำรายได้ต่อปี 5.52 หมื่นล้านริงกิต (ราว 4.16 แสนล้านบาท) และสร้างตำแหน่งงานที่มีรายได้สูงกว่า 32,000 อัตรา

'ฝูเป่า' แพนด้ายักษ์ชื่อดัง เตรียมกลับ ‘จีน’ เม.ย.นี้ หลังอาศัยอยู่ที่ ‘เกาหลีใต้’ มานานเกือบ 4 ปี

(22 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า แพนด้ายักษ์ ‘ฝูเป่า’ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ที่เอเวอร์แลนด์ รีสอร์ต สวนสนุกในเมืองยงอินของเกาหลีใต้มานานเกือบ 4 ปี มีกำหนดถูกนำพากลับจีนในเดือนเมษายนนี้

ทั้งนี้ ฝูเป่า ซึ่งเกิดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2020 เปรียบเป็นดาราชื่อดังในเกาหลีใต้ ผู้สร้างความสุขใจแก่ผู้เยี่ยมชมนับไม่ถ้วนด้วยความน่ารักน่าเอ็นดูและเสน่ห์เฉพาะตัว

สตม.รวบนักลงทุนชาวจีนตามหมายจับเลี่ยงภาษีมูลค่าเกือบ 20 ล้านบาท

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์  รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.อรรถพล มีเสียง รอง ผบก.กต.10 ปฏิบัติราชการ บก.ตม.3, พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงชัย ผกก.สส.บก.ตม.3, พ.ต.อ.ปกฉัตร ชัยสุกวัฒน์ ผกก.ตม.จว.สมุทรสาคร, พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.ตม.จว.ชลบุรี พ.ต.ท.รัฐไกร ประยูรศร รอง ผกก.สส.บก.ตม.3 และ พ.ต.ท.วิรชา สนั่นศิลป์ รอง ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้
สตม.รวบนักลงทุนชาวจีนตามหมายจับเลี่ยงภาษีมูลค่าเกือบ 20 ล้านบาท

ตม.จว.ชลบุรี ร่วมกับ กก.2 บก.ปอศ. จับกุม Mr.Wang (นามสมมุติ) อายุ 53 ปี  สัญชาติจีน ตามหมายจับศาลจังหวัดพัทยาที่ 60/2567 ลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันเคลื่อนย้ายของออกไปจากเขตปลอดอากรโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.ปอศ. ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ภายในบริษัทแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง จว.ชลบุรี   

พฤติการณ์แห่งคดี Mr.Wang ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่ ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จว.ชลบุรี ได้ร่วมกันกับพวกนำสินค้าเบ็ดเตล็ด อาทิเช่น กระเป๋า ผ้าพันคอ ชุดผ้าปูที่นอน กรอบโทรศัพท์ เก้าอี้ กล่องพลาสติก โคมไฟ ไม้เซลฟี่ ข้าวโพด (ป๊อบคอร์น) ฯลฯ เข้ามาในราชอาณาจักร ตามใบขนสินค้าขาเข้า จำนวน 31 ฉบับ โดยสำแดงการใช้สิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อนำเข้าไปในเขตปลอดอากร ตามมาตรา 151 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 จำนวน 31 ฉบับ เป็นใบขนสินค้าสั่งการตรวจ "ให้เปิดตรวจ" เพื่อนำไปทำการตรวจปล่อยที่เขตปลอดอากรเอ็มที ฟรีโซน โดยวิธีการมัดลวด และพนักงานศุลกากร ที่กำกับดูแลเขตปลอดอากรได้บันทึกการตรวจรับของดังกล่าวเข้าไปเก็บในเขตปลอดอากรแล้ว แต่ในระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2562 ถึงวันที่ 17 ธันวาคม 2562 พนักงานศุลกากรได้เข้าทำการตรวจสอบหลังการตรวจปล่อย ณ เขตปลอดอากร เอ็มที ฟรีโซน 

ในบริษัทดังกล่าว พบข้อเท็จจริงว่าสินค้าเบ็ดเตล็ดที่บริษัทฯ ได้นำเข้ามาตามใบขนสินค้าขาเข้าทั้ง 31 ฉบับนั้น ไม่ได้มีการเก็บรักษาไว้หรือคงเหลืออยู่ในเขตปลอดอากร เอ็มที ฟรีโซน และจากการตรวจสอบข้อมูลการนำเข้าและส่งออกของบริษัทฯ จากระบบ CUSTOMS INFORMATION SYSTEM (CIS) ไม่พบว่าบริษัทฯ ได้มีการจัดทำใบขนสินค้าขาเข้าโอนย้ายชำระภาษีอากร (ประเภท P) เพื่อนำของออกจากเขตปลอดอากรเพื่อใช้หรือจำหน่ายในราชอาณาจักร และไม่มีการจัดทำใบขนสินค้าขาออก เพื่อส่งของออกไปนอกราชอาณาจักร อีกทั้งไม่พบหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรหรือหลักฐานการชำระภาษีอากรสำหรับของดังกล่าวเพื่อนำของออกจากเขตปลอดอากรในกรณีอื่นใด 

โดยได้ประเมินราคาและค่าภาษีอากร สินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้า จำนวน 31 ฉบับ ดังกล่าวมีราคารวมทั้งสิ้น 15,337,963.62 บาท อากรขาเข้ารวม 2,701,946.79 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่มรวม 1,262,793.72 บาท ซึ่งพนักงานศุลกากรได้แจ้งให้บริษัทฯ จัดส่งเอกสารเพิ่มเติมเพื่อชี้แจงในประเด็นดังกล่าวแล้ว แต่บริษัทฯ ก็ไม่สามารถนำเอกสารหลักฐานมาแสดงต่อพนักงานศุลกากรเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงได้ และได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของบริษัทฯ เป็นความผิดฐานเคลื่อนย้ายของออกไปจากเขตปลอดอากร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร ตามมาตรา 242 ประกอบมาตรา 166 และมาตรา 252 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 เมื่อบริษัทฯ ได้รับทราบผลการตรวจสอบแล้ว มิได้แจ้งความประสงค์จะขอทำความตกลงระงับคดีในชั้นศุลกากร แต่บริษัทฯ เพิกเฉย ไม่มาติดต่อขอทำความตกลงระงับคดีในชั้นศุลกากร กรมศุลกากรจึงร้องทุกข์ดำเนินคดีกับบริษัทฯ และ Mr.Wang รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทั้งในฐานะนิติบุคคลและฐานะส่วนตัว 

หลังจากที่ศาลจังหวัดพัทยาได้ออกหมายจับแล้ว จากการสืบสวนของ ตม.จว.ชลบุรี ทราบว่า Mr.Wang ได้เดินทางไปที่บริษัทแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง จว.ชลบุรี จึงได้ร่วมกับ กก.2 บก.ปอศ. ไปตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบ Mr.Wang จึงได้แสดงหมายจับและทำการจับกุม  

จีนระทึก!! เรือท้องแบนพุ่งชนสะพานใกล้ ‘กว่างโจว’ ทำสะพานบางส่วนถล่ม รถยนต์หลายคันร่วงลงแม่น้ำ

(22 ก.พ. 67) เกิดอุบัติเหตุเรือท้องแบนขนาดใหญ่พุ่งชนกับสะพานข้ามแม่น้ำใกล้กับนครกว่างโจวของจีนเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ส่งผลให้สะพานบางส่วนพังถล่ม และมีรถยนต์หลายคันร่วงตกลงไปในแม่น้ำ

ซึ่งภาพสถานีโทรทัศน์ CCTV ของจีนได้เผยให้เห็นสภาพเรือท้องแบนที่ปราศจากสินค้าติดอยู่ระหว่างเสาตอม่อ 2 จุดของสะพานลี่ซินซา (Lixinsha Bridge) โดยส่วนหนึ่งของสะพานที่เป็นถนน 2 เลนขาดหายไป และเจ้าหน้าที่ต้องสั่งปิดการจราจรข้ามแม่น้ำเป็นการชั่วคราว

สำนักงานบริหารความปลอดภัยทางน้ำแห่งนครกว่างโจวแถลงผ่านบัญชี WeChat ว่า เรือท้องแบนลำนี้มุ่งหน้าจากเมืองฝอซาน (Foshan) จะไปที่เขตทางใต้ของนครกว่างโจว ทว่ามาประสบอุบัติเหตุพุ่งชนสะพานเมื่อเวลา 5.30 น.

ซึ่ง CCTV รายงานว่า เหตุการณ์นี้ทำให้รถบัสอย่างน้อย 1 คันร่วงตกลงไปในแม่น้ำ โดยบนรถมีเพียงคนขับ ซึ่งยังไม่สามารถติดต่อได้

โดยทางการจีนได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัย รวมถึงนักประดาน้ำ 6 คนเข้าไปยังจุดเกิดเหตุแล้ว และกำลังเร่งสืบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตยังอยู่ระหว่างตรวจสอบยืนยัน

สำนักงานบริหารความปลอดภัยทางน้ำแห่งนครกว่างโจวยังแนะนำให้ผู้ขับขี่เรือหรือยานพาหนะอื่นๆ อ้อมไปใช้เส้นทางอื่น

ทั้งนี้ นครกว่างโจวซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลกวางตุ้งถือเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญของเขตสามเหลี่ยมเศรษฐกิจปากแม่น้ำจูเจียง และเป็นหนึ่งในฮับการค้าและการคมนาคมขนส่งทางเรือที่คับคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของจีน

'พีระพันธุ์' หารือ 'ผู้ว่าฯ ยูนนาน' ยกระดับ 'ความสัมพันธ์-ร่วมมือ' ไปอีกขั้น เตรียมต่อยอด 'เศรษฐกิจ-พลังงานสะอาด-อุตสาหกรรมสีเขียว'

เมื่อวานนี้ (22 ก.พ. 67) ณ ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นายหวัง หยู่โป (H.E. Mr. Wang Yubo) รองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิวนิสต์จีนประจำมณฑลยูนนาน ผู้ว่าการมณฑลยูนนาน และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำรัฐบาลมณฑลยูนนาน เข้าเยี่ยมคารวะ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

รองนายกรัฐมนตรีฯ ยินดีที่ได้พบผู้ว่าการมณฑลฯ อีกครั้ง ขอบคุณมณฑลยูนนานในความร่วมมือระหว่างกันที่ดีมาตลอด ซึ่งตั้งแต่จีนกลับมาเปิดประเทศในปี 2566 ได้มีคณะผู้แทนระดับสูงของไทยเดินทางไปกระชับความสัมพันธ์และศึกษาดูงานที่มณฑลยูนนานอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นว่า หากทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกันในทุกด้าน ทั้งในเชิงภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม การท่องเที่ยว และการแลกเปลี่ยนระดับประชาชน จะสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทวีความสัมพันธ์ระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้นต่อไป 

ด้านผู้ว่าการมณฑลฯ ยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสเยือนไทย การต้อนรับอย่างอบอุ่นจากไทย แสดงให้เห็นว่าไทยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างจีน-ไทย ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างเคารพและไว้วางใจร่วมกัน เอื้อประโยชน์แก่กันในทางเศรษฐกิจ เข้าใจซึ่งกันและกันในทางวัฒนธรรม ดังนั้น จีนและไทยจึงเปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน ที่ได้หยั่งรากลึกลงในหัวใจของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะการเยือนไทยของ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อปี 2565 ที่ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก มีความหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์ สอดคล้องกับที่ได้ประกาศแถลงร่วมว่าด้วยการดำเนินการเพื่อมุ่งสู่การเป็นประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันไทย-จีน เพื่อนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ร่วมกัน

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือต่าง ๆ ที่สำคัญ ดังนี้

ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เห็นพ้องส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกันผ่านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจีนพร้อมให้การสนับสนุนไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน โดยจีนจะส่งเสริมแถบเส้นทาง R3A ไทย - ลาว - จีน ต่อเนื่อง ถือเป็นเส้นทางสำคัญในการนำเข้า - ส่งออกสินค้าระหว่างไทยและจีน ซึ่งผู้ว่าการมณฑลฯ ชื่นชมว่า หลังจากการเปิดแถบเส้นทาง R3A แล้ว ได้ประหยัดเวลาขนส่งสินค้าและลดต้นทุนทางธุรกิจได้มาก โดยเมื่อปี 2566 มีจำนวนการนำเข้าสินค้ากว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ไทยพร้อมพัฒนา เส้นทางสายไหม (One Belt One Road) ให้ต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันส่งเสริมด้านการใช้พลังงานสะอาดในเส้นทางด้วย

ด้านการใช้พลังงานสะอาด เห็นพ้องที่จะผลักดันการใช้พลังงานสะอาด พลังงานสีเขียว ผ่านการแลกเปลี่ยนทางเทคโนโลยีของหน่วยงานที่ภาครัฐเกี่ยวข้องด้านพลังงาน โดยรองนายกรัฐมนตรีเห็นศักยภาพของมณฑลยูนนาน ที่มีการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) จำนวนมาก ซึ่งผู้ว่าการมณฑลฯ เห็นพ้องที่จะนำศักยภาพด้านการใช้พลังงานน้ำและพลังงานแสงอาทิตย์ของมณฑลยูนนานมาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ร่วมกัน

ด้านความร่วมมือทางวิชาการ ทั้งสองพร้อมต่อยอดจากความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาของไทยและมณฑลยูนนาน โดยผู้ว่าการมณฑลฯ ยินดีกับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและทางวิชาการ ซึ่งปัจจุบันมีนักศึกษาชาวไทยจำนวนกว่า 1,000 คน ศึกษาอยู่ ณ มณฑลยูนนาน

ด้านการท่องเที่ยวและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ทั้งสองฝ่ายยินดีกับการลงนามความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ ไปเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา โดยจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่ วันที่ 1 มีนาคม 2567 ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนทั้งสองฝ่าย มีการไปมาหาสู่กันเพิ่มขึ้น โดยรองนายกรัฐมนตรียืนยันว่า ไทยพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากมณฑลยูนนานและให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ขณะที่ผู้ว่าการมณฑลฯ เชื่อมั่นว่า จะเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ขยายโอกาสและฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

‘จีน’ เตือน!! ‘สหรัฐฯ’ หยุดขายอาวุธให้ ‘ไต้หวัน’ ชี้!! เป็นการบ่อนทำลายอธิปไตย - ละเมิดหลัก ‘จีนเดียว’

เมื่อวานนี้ (22 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เหมาหนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กระตุ้นเตือนสหรัฐฯ หยุดจำหน่ายอาวุธและติดต่อสื่อสารทางทหารกับไต้หวัน

รายงานระบุว่าแถลงการณ์จากกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ กล่าวถึงกรณีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ อนุมัติการจำหน่ายระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธีขั้นสูง (TDL) มูลค่า 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.68 พันล้านบาท) แก่ไต้หวัน

เหมาแถลงข่าวต่อกรณีดังกล่าวว่าการที่สหรัฐฯ จำหน่ายอาวุธแก่ภูมิภาคไต้หวันของจีนได้ละเมิดหลักการจีนเดียวและข้อกำหนดของแถลงการณ์ร่วมจีน-สหรัฐฯ ทั้งสามฉบับอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะแถลงการณ์ร่วม 17 สิงหาคม 1982

“การจำหน่ายอาวุธดังกล่าวบ่อนทำลายอธิปไตยและผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของจีน และส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ตลอดจนสันติภาพและเสถียรภาพทั่วช่องแคบไต้หวัน” เหมากล่าว พร้อมชี้ว่าจีนคัดค้านเรื่องนี้อย่างจริงจัง

เหมากล่าวว่าจีนกระตุ้นเตือนสหรัฐฯ ปฏิบัติตามหลักการจีนเดียวและแถลงการณ์ร่วมจีน-สหรัฐฯ ทั้งสามฉบับ หยุดจำหน่ายอาวุธและติดต่อสื่อสารทางทหารกับไต้หวัน รวมถึงหยุดสร้างปัจจัยอันอาจทบทวีความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวัน

“จีนจะดำเนินมาตรการคุ้มครองอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศอย่างแน่วแน่และมั่นคง” เหมากล่าวเสริม

บ็อกซ์ออฟฟิศของจีน ยอดพุ่ง!! กวาดรายได้ 1 หมื่นล้านหยวน หลังหยุดยาวเดือน ก.พ. ช่วยปลุกอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฟื้นตัว

(24 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานข่าวว่า รายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมภาพยนตร์ (Box Office) ของจีน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์สูงเกินหลัก 1 หมื่นล้านหยวน (ราว 5 หมื่นล้านบาท) แล้ว

รายงานระบุว่า ช่วงหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน (10-17 ก.พ.) มีส่วนสร้างรายได้ดังกล่าวกว่า 8 พันล้านหยวน (ราว 4 หมื่นล้านบาท) ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์

ข้อมูลจากเมาเหยียน (Maoyan) และบีคอน (Beacon) 2 แพลตฟอร์มภาพยนตร์ เผยว่า รายได้ดังกล่าวในเดือนกุมภาพันธ์สูงถึง 1.018 หมื่นล้านหยวน (ราว 5.09 หมื่นล้านบาท)

ทั้งนี้ รายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมภาพยนตร์ของจีน เมื่อวันศุกร์ที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 243 ล้านหยวน (ราว 1.21 พันล้านบาท)

‘จีน’ ส่งดาวเทียม ‘Long March-5 Y7’ สู่วงโคจรสำเร็จ สานต่อการทดลอง-พัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารความเร็วสูง

เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 67 สำนักข่าวซินหัว, เหวินชาง รายงานข่าวว่า จีนประสบความสำเร็จในการส่งดาวเทียมทดลองเทคโนโลยีการสื่อสาร จากศูนย์ปล่อยยานอวกาศเหวินชาง มณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางตอนใต้ของประเทศขึ้นสู่ห้วงอวกาศ เมื่อช่วงค่ำของวันศุกร์ที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า ‘จรวดขนส่งลองมาร์ช-5 วาย7’ (Long March-5 Y7) นำส่งดาวเทียมข้างต้นสู่วงโคจรที่กำหนดไว้ โดยดาวเทียมดวงนี้จะถูกใช้ทดลองเทคโนโลยีการสื่อสารความเร็วสูง และหลายย่านความถี่เป็นหลัก ส่วนการส่งดาวเทียมครั้งนี้นับเป็นภารกิจที่ 509 ของจรวดขนส่งตระกูลลองมาร์ช

อนึ่ง ‘ลองมาร์ช-5’ เป็นจรวดขนส่งแบบอุณหภูมิต่ำขนาดใหญ่ที่สุดที่ใช้งานในจีน พัฒนาโดยสถาบันเทคโนโลยีจรวดขนส่งแห่งประเทศจีน ตัวแกนหลักมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 เมตร ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไฮโดรเจน-ออกซิเจนวายเอฟ-77 (YF -77) 2 ตัว และเครื่องยนต์ออกซิเจนเหลวและน้ำมันก๊าดวายเอฟ-100 (YF-100) 8 ตัว พร้อมแรงขับทะยานมากกว่า 1,000 ตัน

‘โหลวลู่เลี่ยง’ รองหัวหน้านักออกแบบ กล่าวว่า ปีนี้มีแนวโน้มปล่อยจรวดขนส่งลองมาร์ช-5 ราว 4-5 ครั้ง และจะรักษาความถี่นี้ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้าต่อไป

‘จีน-สหรัฐฯ’ เตือนภัย แบตเตอรี่รถยนต์ EV  ต้นเหตุเพลิงไหม้ ตูมเดียว วอดทั้งตึก!!

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 67 กลายเป็น ‘ศุกร์อาถรรพ์’ โดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งที่เมืองหนานจิง ในมณฑลเจียงซู ของจีน และที่มหานครนิวยอร์ก ของสหรัฐอเมริกา เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้อะพาร์ตเมนต์สูงในย่านใจกลางเมือง ในวันเดียวกัน และยังเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากทั้ง 2 แห่ง ซึ่งสาเหตุเพลิงไหม้ ทั้ง 2 เหตุการณ์ก็เหมือนกันอย่างเหลือเชื่อ ว่าเกิดจากแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าระเบิด เผาวอดอะพาร์ตเมนต์ทั้งหลังในพริบตา

โดยเหตุการณ์แรก เกิดขึ้นในย่านหยูฮวาไถ ทางฝั่งตะวันออกของเมืองหนานจิง เมืองเอกของมณฑลเจียงซู ต้นเพลิงเกิดขึ้นบริเวณอาคารจอดรถจักรยานยนต์ชั้น 1 ของอะพาร์ตเมนต์ 30 ชั้น ที่มีห้องพักรวมกันถึง 400 ยูนิต ได้เกิดเพลิงลุกไหม้ และลุกลามขึ้นไปยังตัวอาคารชั้นบนอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุไฟไหม้ครั้งนี้มากถึง 15 ราย และบาดเจ็บอีก  44 ราย

หลังจากที่ทางการหนานจิงได้ระดมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง และตำรวจเข้าสืบสวนหาสาเหตุ เชื่อว่าเกิดจากรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าคันหนึ่ง ที่จอดชาร์จไฟอยู่ภายในอาคารจอดรถ ซึ่งมักมีแท่นชาร์จไฟตั้งไว้ให้บริการสำหรับผู้ใช้รถยนต์ EV ภายในอาคาร แต่เมื่อเกิดแบตเตอรี่ระเบิด ประกอบกับพื้นที่บริเวณลานจอดรถมันเปิดโล่ง จึงทำให้ไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปชั้นบนของอาคารที่มีผู้พักอาศัยหนาแน่น จึงกลายเป็นเหตุเศร้าสลดดังข่าว

ข้ามฝั่งมาที่มหานิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาในวันเดียวกัน ก็เกิดเหตุเพลิงไหม้อะพาร์ตเมนต์ 6 ชััน 31 ยูนิต ในเขตฮาร์เลม ย่านแมนฮัตตัน ที่มีต้นเพลิงมาจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนของรถจักรยานไฟฟ้า ที่จอดชาร์จไฟที่ชั้น 3 ของอาคาร ระเบิดจนเกิดเพลิงไหม้วอดเกือบทั้งอาคารเช่นเดียวกัน และเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 17 ราย ส่วนผู้พักอาศัยรายอื่นต้องหนีตายโดยการโรยตัวด้วยเชือกออกมานอกอาคาร

‘อีริค อดัมส์’ นายกเทศมนตรีมหานครนิวยอร์ก ยอมรับว่า นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เหตุไฟไหม้เกิดจากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าระเบิด ซึ่งเคยเกิดมาแล้วหลายครั้งในนิวยอร์ก นับตั้งแต่หลังยุค Covid-19 เป็นต้นมา

โดยเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะเกิดเหตุไฟไหม้จากแบตเตอรี่ไฟฟ้า เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 18 รายมาแล้ว ทำให้นายกเทศมนตรีอดัมส์ พยายามที่จะจัดระเบียบกฎหมายธุรกิจการให้บริการด้านการขนส่งอาหาร และสินค้าใหม่

เช่นเดียวกันกับที่ประเทศจีน พบว่ามีเหตุไฟไหม้ที่เกิดจากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าตลอดทั้งปี 2023 ที่ผ่านมาทั่วประเทศถึง 21,000 เคส เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 17.4%

และจากสถิติอุบัติเหตุแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าระเบิดกว่า 80% มักเกิดขณะชาร์จไฟทิ้งไว้ และโดยเฉพาะการชาร์จแบตเตอรี่ทิ้งไว้ค้างคืนโดยไม่มีใครเฝ้า พอเกิดเหตุระเบิดไฟไหม้ จึงยากที่จะดับได้ทัน

ยิ่งไปกว่านั้น ในประเทศจีน ยังมีธุรกิจรับดัดแปลงรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ ให้วิ่งได้เร็วขึ้น หรือบรรทุกน้ำหนักได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการใช้งานเกินศักยภาพเครื่องยนต์ และแบตเตอรี่ และยังเกินกว่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ และระเบิดได้เมื่อมีการชาร์จไฟนานๆ

อีกทั้งประเทศจีน ยังเป็นผู้ผลิตรถจักรยานไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก ที่มีผู้ใช้ในประเทศเป็นจำนวนมาก โดยเฉลี่ย 1 ใน 4 ของชาวจีนมีรถจักรยานไฟฟ้าใช้ และความนิยมในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกก็ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ที่เป็นผลพวงจากการรณรงค์เรื่องการลดการใช้รถยนต์พลังงานฟอสซิลที่ปล่อยก๊าซคาร์บอน ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน

จากเหตุการณ์เพลิงใหม่อะพาร์ตเมนต์ที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน ทั้งในจีนและสหรัฐอเมริกา จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นภัยใกล้ตัวที่มาจากรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น คงถึงเวลาแล้วที่ต้องมีมาตรการเรื่องการจัดระเบียบ การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายในอาคารที่เข้มงวดมากขึ้น และให้ข้อมูลการดูแลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันการชาร์จผิด มีสิทธิ์ดับหมู่ยกตึก อย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในต่างประเทศนั่นเอง

‘จีน’ เปิดตัว ‘Walker S’ พนักงานใหม่แห่งวงการอุตสาหกรรม พร้อมรับตำแหน่งหุ่นยนต์ภาคปฏิบัติการ ประจำสายผลิตรถอีวี

เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 67 สำนักข่าวซินหัว, เซินเจิ้น รายงานว่า วิดีโอที่เผยแพร่โดย Ubtech บริษัทหุ่นยนต์ในนครเซินเจิ้น เผยให้เห็นว่า ‘วอล์กเกอร์ เอส’ (Walker S) หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์เวอร์ชัน เพื่อการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมของบริษัทกำลัง ‘ฝึกอบรมภาคปฏิบัติ’ อยู่ในโรงงานของนีโอ (NIO) บริษัทยานยนต์พลังงานไฟฟ้าสัญชาติจีน นับเป็นความสำเร็จในการใช้หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ ร่วมกับมนุษย์ในสายประกอบของโรงงานผลิตรถยนต์ เพื่อการประกอบและตรวจสอบคุณภาพของยานยนต์

‘หุ่นยนต์วอล์กเกอร์ เอส’ สูง 170 เซนติเมตร มีข้อต่อ 41 ชิ้น เพียบพร้อมด้วยระบบการรับรู้ที่ครอบคลุม เช่น การรับรู้แรงกระทำหลายมิติ, การมองเห็นสามมิติ, การได้ยินรอบทิศทาง และระบบการวัดระยะทาง เป็นต้น มันจึงสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในสายประกอบ เพื่อประกอบและตรวจสอบคุณภาพของรถยนต์

นอกจากนี้ หุ่นยนต์รุ่นนี้ยังมีเทคโนโลยีที่ได้รับการอัปเกรดอย่างครอบคลุม เช่น ระบบระบุพิกัด (VPS) การทำงานอย่างสอดประสานระหว่างมือกับตา การควบคุมการเคลื่อนไหว และโมเดลวางแผนการเคลื่อนที่ (Path Planning) แบบหลากหลาย จึงสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top