Thursday, 9 May 2024
จัดตั้งรัฐบาล

‘เสธหิ’ เตือน!! ‘ก้าวไกล’ อย่าใช้กระแสโซเชียลบริหารประเทศ แนะ ว่าที่นายกฯ ต้องรู้จักวางตัว เพราะสถานการณ์เปลี่ยนได้ตลอด

(3 มิ.ย. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘คุยกับ ดร.หิมาลัย’ ถึงรูปแบบการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ว่ามีมุมมองความคิดเห็นอย่างไร โดย ดร.หิมาลัย ได้กล่าวแสดงความยินดีกับพรรคก้าวไกล ที่ได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 และได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และได้กล่าวว่า รูปแบบในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ มีความแตกต่างจากที่ผ่านๆ มา เนื่องจากที่ผ่านมา พรรคแกนนำจะต้องทำการติดต่อประสานไปหาพรรคร่วมรัฐบาล และมีส่งผู้ใหญ่ของพรรคแกนนำไปเชิญพรรคร่วมมาเจรจาพูดคุยกันในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อเป็นการให้เกียรติพรรคร่วม และในระหว่างการเจรจาพูดคุยกัน ก็จะไม่มีการออกสื่อ ส่วนมากการดำเนินการค่อนข้างที่จะเป็นความลับ เพราะว่าจะต้องมีการพูดคุย การต่อรองกันในการจัดสรรดูแลกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของระบอบประชาธิไตย คือ เน้นความชำนาญ ใครเก่งด้านไหน ก็ให้ดูแลกระทรวงนั้นๆ ตามความเชี่ยวชาญกันไป ซึ่งวิธีการดำเนินการจะเป็นไปอย่างเรียบง่าย และไม่ก่อให้เกิดความกดดัน

แต่การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนึ้ นับเป็นมิติใหม่ อาจจะด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ของพรรคแกนนำ ตนอาจจะเป็นคนรุ่นเก่า เพราะคนรุ่นเก่า เวลาจะทำอะไร จะค่อนข้างระมัดระวังในการให้ข่าว และให้เกียรติผู้ที่มาร่วมงานกับเราเสมอ

“ผู้ที่เป็นว่าที่นายกฯ ในอดีต หากสังเกตดู ทุกคนจะยังไม่ออกตัวว่าจะเป็นว่าที่นายกฯ ทุกคนจะบอกว่า ต้องรอดูความชัดเจนต่างๆ ก่อน เพราะ ณ ขณะนี้ ยังอยู่ในห้วงเวลาที่สามารถมีการเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้ที่ผ่านมาจะไม่มีใครกล้าประกาศออกตัวอย่างชัดเจนว่าจะเป็นว่าที่นายกฯ แต่ครั้งนี้ สิ่งที่แตกต่างที่ผมเห็นก็คือ การใช้โซเชียลในการดำเนินการต่างๆ ที่มีผลอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการประกาศเชิญพรรคร่วม หรือการแถลงข่าวต่างๆ ผ่านสื่อ ผ่านโซเชียล ซึ่งผมมองว่าเป็นบริบทใหม่ของสังคมคนรุ่นใหม่ ที่มีต้องการแสดงความชัดเจนให้ประชาชนได้เห็น ในเรื่องการจัดสรรกระทรวง ทบวง กรม ว่าใครจะเป็นผู้ดูแลบ้าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เราไม่เคยเห็น มองในแง่ดี ก็อาจจะเป็นความเหมาะสมในเรื่องของกาลเวลาที่มันเปลี่ยนไป ในอดีต วัฒนธรรมในเวลานั้น ความรู้สึกของผู้คนในสมัยนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ดูเหมาะสม แต่ในวันนี้ ก้าวเข้าสู่ยุคของคนรุ่นใหม่ที่เป็นยุคของความทันสมัย และความรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้อาจจะเหมาะสมกับเขาในเวลานี้ก็ได้ ก็เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่ผมกังวลก็คือ การประกาศออกสื่อในการเตรียมตัวจัดตั้งรัฐบาลในลักษณะอย่างนี้ มันเหมือนกับการไปบีบบังคับพรรคร่วม ให้ยอมรับในเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งตรงนี้ก็อาจมองได้ 2 มุม แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้ได้ เพราะทั้งหมดนี้ก็เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตย” ดร.หิมาลัย กล่าว

เมื่อถามว่า คิดว่า ‘พิธา’ ออกตัวแรง แซงโค้งไปหรือไม่? ดร.หิมาลัย ตอบว่า ที่ผ่านมา คนที่จะเป็นว่าที่นายกฯ นั้น ค่อนข้างที่จะถนอมตัว แบ่งรับแบ่งสู้ และไม่ได้เปิดตัวชัดเจนแบบนี้ รวมถึงพรรคอันดับ 2 ที่ได้คะแนนเสียงห่างกันไม่มาก ผมว่าประเทศในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก พรรคอันดับ 2 มักจะตั้งรัฐบาลแข่งกันทั้งนั้น

เมื่อถามว่า พรรคเสียงข้างน้อยในระบอบประชาธิปไตย ตั้งรัฐบาลได้หรือไม่? ดร.หิมาลัย ตอบว่า ในระบอบรัฐสภา ประชาธิปไตย พรรคที่ได้เสียงข้างน้อย หากสามารถรวมเสียงได้มาก ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ในประเทศไทยรวมถึงหลายประเทศทั่วโลกก็เคยมีมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่น หรืออังกฤษ ในประเทศไทยเอง สมัยก่อนก็เคยมีมาแล้ว อย่างเช่นในสมัยของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ได้คะแนนเสียงเพียง 18 เสียง แต่ได้รับการเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่ฮือฮาอย่างมาก เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผิดในระบอบประชาธิปไตย

เมื่อถามว่า การที่ก้าวไกล แสดงเจตนารมณ์อย่างนี้ เป็นการสร้างกระแสหรือไม่? ดร.หิมาลัย ตอบว่า…

“ผมมองว่า หากเราเริ่มต้นที่จะบริหาร และปกครองประเทศด้วยการใช้กระแสนำเมื่อไรก็ตาม ย่อมน่าเป็นห่วงในหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง เพราะในกระแสเหล่านั้น มีผู้คนที่รับสื่อ รับข่าวสารต่างๆ ไม่ครบถ้วน ในบางครั้งอาจอยู่ที่การโปรโมต การทำการตลาด เพื่อให้เป็นไปในทิศทางตามที่ตัวเองต้องการ หากเราเริ่มต้นการจัดตั้งรัฐบาลด้วยการบีบบังคับพรรคร่วมโดยการใช้กระแสนำ ผมมองว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะหากบริหารประเทศโดยการใช้กระแสนำอย่างเดียว นั่นอาจหมายถึงความไม่รอบคอบ หรืออาจเกิดข้อผิดพลาดจนสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติได้ในอนาคต”

เมื่อถามถึง หลักเกณฑ์ที่ควรใช้ในการเลือกตำแหน่งประธานสภา ดร.หิมาลัย ตอบว่า ในความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยนั้น ต้องขึ้นอยู่กับเสียงส่วนมาก แต่ในเรื่องของการเลือกประธานสภานั้น ตนมองว่าควรจะต้องเลือกบุคคลมีความอาวุโส หรือเป็นบุคคลที่ในรัฐสภาให้ความเคารพนับถือ นอกจากนี้ ประธานสภาควรเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถจนเป็นที่ยอมรับ ผ่านการเป็น ส.ส.มาหลายสมัย มีประสบการณ์และความรู้ในเรื่องของกฎข้อบังคับ และสามารถแก้ไขเหตุการณ์ในขณะประชุมสภา เพราะในการประชุมสภา มักจะมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ประธานสภาจึงจำเป็นต้องเป็นบุคคลที่สามรถควบคุมสถานการณ์ได้ หากคนที่มาดำรงตำแหน่งประธานสภาคนต่อไปได้รับความเคารพจากสมาชิกฯ น้อย ก็อาจจะเกิดความวุ่นวายในการประชุมสภาได้ แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง การไม่ได้มองความสำคัญในเรื่องของความอาวุโส การให้ความเท่าเทียมกับทุกอย่าง ซึ่งไม่ใช่สิ่งผิด เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นสิ่งใหม่ที่ต้องรอดูบริบทกันต่อไป

เมื่อถามว่า มีความคิดเห็นอย่างไรกับตำแหน่งประธานสภา ว่าจะต้องเป็นของพรรคก้าวไกล ดร.หิมาลัย ตอบว่า ในความคิดเห็นของตนนั้น เป็นเรื่องของรัฐสภา หากใครรวมคะแนนเสียงส่วนมากได้ตามกฎข้อยังคับของสภาฯ ก็ควรต้องได้รับการบรรจุตำแหน่งเป็นประธานสภา

เมื่อถามว่า ตำแหน่งประธานสภา จะทำให้เกณฑ์การเมืองเปลี่ยนหรือไม่? ดร.หิมาลัย ตอบว่า…

“ผมมองว่า จริงๆ แล้วก็อาจจะสามารถดึงเกมได้ ขนาดการจัดตั้งรัฐบาลยังจัดตั้งผ่านโซเชียล ทุกอย่างชัดเจนหมด กระแสโซเชียลสามารถควบคุมได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ก็ไม่เห็นจะต้องไปกลัวการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเลย”

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด ‘SONDHI TALK’ ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ แสดงจุดยืน

เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 66 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด ‘SONDHI TALK’ ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ แสดงจุดยืน ประกาศพร้อมลงถนน ไม่ยอมให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เพื่อเอื้อสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 66 โดยระบุว่า…

“ผมไม่ยอมแน่ๆ วันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ ผมพร้อมจะลงถนนทันที พรรคก้าวไกลต้องการจะคุมกระทรวงกลาโหม เพื่อทำให้ทหารอ่อนแอ ลดงบประมาณทหาร ลดกำลังพล ผมไม่นึกเลยว่า ผมอายุขนาดนี้แล้ว จะเจอความเลวทรามต่ำช้าของคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นคนรุ่นใหม่ หากเห็นด้วยกับผม กระจายคำพูดของผมออกไปหาแนวร่วม ถามทุกคนว่า หากไม่อยากให้มีสงคราม บอกไปเลยว่า พรรคก้าวไกล จะเป็นคนนำสงครามเข้ามา นี่คือเรื่องสำคัญที่สุดในประเทศไทยตอนนี้”

จตุพร’ มั่นใจ!! ‘พิธา’ อาจก้าวไม่ไกลถึง ‘นายกฯ’ ปมถือหุ้นสื่อ-ไม่สามารถรวมเสียงได้ถึง 376 เสียง

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 66 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน ‘หนีความจริงไม่พ้น….’

นายจตุพร กล่าวตอนหนึ่งว่า คุณสมบัติสมาชิกพรรคการเมือง ผู้สมัคร ส.ส. และแคนดิเดตนายกฯ นั้น ไม่ใช่เรื่องจะนำมาวัดค่าว่า เป็นคนดีหรือไม่ดี อีกทั้งไม่เกี่ยวกับความชอบหรือไม่ชอบ แต่เป็นข้อกฎหมายห้ามไว้ให้กระทำได้หรือทำไม่ได้ ดังนั้น กฎหมายจึงเป็นหลักในการชี้ขาดคุณสมบัติทางการเมือง

กรณีการถือหุ้นสื่อไอทีวีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ล้วนเป็นต้นตอมาจากตัวเองฝ่าฝืนข้อห้ามของกฎหมาย โดยตอนแรกอาจไม่คาดคิดจะเกิดปัญหาขึ้น ส่วนวันนี้จะยอมรับความจริงหรือไม่ก็ตาม ก็หนีไม่พ้น อย่างไรก็ตาม แม้เทขายหรือโอนหุ้นออกไปจากตัวเองแล้ว แต่ไม่มีผลอะไรที่จะหนีข้อห้ามตามกฎหมาย ซึ่งได้กระทำมาตั้งแต่ต้นแล้ว

“ปมการถือหุ้นของนายพิธา ขณะนี้ทุกฝ่ายล้วนเล่นเกมกันหลายฝ่าย เป็นเกมที่เริ่มตั้งแต่การออกกติกา แล้วช่วงแข่งขันเลือกตั้งก็ยังเล่นเกมลำหักลำโค่นชิงชัยชนะกันอยู่ อีกทั้งยังมีเกมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาผสมส่วนร่วมเล่นกรณีแจกใบเหลือง แดง ส้มกับว่าที่ ส.ส. ประมาณ 30 คนด้วย หากในจำนวนนี้มีบางส่วนหรือบางคนเป็นกรรมการบริหารพรรค ก็เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาถมทับหนักเข้าไปอีก โดยอาจถึงขั้นมีความผิดอาจลามไปถึงยุบพรรค ดังนั้น จึงควรจับตาในช่วง กกต.จะประกาศรับรอง ส.ส. ในเดือน มิ.ย. นี้จะได้ครบถ้วนจำนวน 95% ของจำนวน ส.ส. 500 คนหรือไม่ เพื่อนำไปสู่การเปิดประชุมสภาได้เลือกตำแหน่งประธานสภา” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพรกล่าวว่า นายพิธา ควรต้องทำใจเย็นเอาไว้ พร้อมทั้งต้องคิดถึงการแก้ปัญหาจะเป็นอย่างไร หากจะสู้ให้รอด จะเป็นได้จริงหรือไม่ หรือถ้ารอดโดยให้มีโทษจะลดน้อยไม่ก่อกระทบกับคนอื่นอย่างไร ดังนั้น หลักคิดจึงอยู่ที่ความรับผิดชอบ ไม่ใช่เรื่องดี-ชั่ว ถึงอย่างไร แม้ไม่มีคดีหุ้นเป็นอุปสรรคในชัยชนะแล้วก็ตาม แต่โอกาสได้เป็นนายกฯ ยังยากอยู่ดี เพราะไม่ได้เสียงครบ 376 เสียงจากทั้งหมด 750 เสียงของสองสภารวมกัน

“พวก คสช.คณะยึดอำนาจชุดนี้ เหมือนทำวิจัยในช่วง 90 ปีมาอย่างดี โดยพิจารณาข้อดี ข้อด้อยของแต่ละรัฐบาลที่ผ่านมา และยังศึกษาความบกพร่องและอารมณ์ของคนไทย ดังนั้น ถ้า 3 ป. เป็นคนหักไม่ยอมงอ ประเภทคำไหนคำนั้น พวกเขาคงไปจากอำนาจนานแล้ว แต่คนพวกนี้กลับมีทั้งเล่นบทอ่อนและแข็งยึดหยุ่นกันไป เมื่อเสนอเรื่องอะไรถ้าถูกค้านก็ถอย ดังนั้นพวกเขาปกครองด้วยการไม่ใช่วิถีคนจริง แต่เป็นการลู่แรงลมต้านในบางช่วงขณะให้เกิดบรรยากาศผ่อนคลาย แล้วคนไทยก็เบาใจมาตลอด 9 ปี” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลรอบนี้ มีปัจจัยภายนอกเป็นเงื่อนไขทับซ้อนมากมาย 
วันนี้คนคิดเป็นนายกฯ ยังเห็นหน้าลอยในมุมมืดเฝ้ารอคอยอยู่ ส่วนนายพิธา ตนมั่นใจว่า ไม่ได้เป็นนายกฯ 100% เพราะมีคุณสมบัติต้องห้ามและไม่สามารถรวบรวมเสียงได้ถึง 376 เสียง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงทางกฎหมายและเกมกติกากำหนด โดยไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ตามที่อารมณ์ความรู้สึกต้องการ

ประเมินทิศทางการเมืองไทย ‘พิธา’ อาจไปไม่ถึงดวงดาว? และการนับถอยหลังสู่คราวอวสานของรัฐบาลในโลกเสมือนจริง

เลียบการเมืองส่งท้ายสัปดาห์… ‘เล็ก เลียบด่วน’ ขออนุญาตจุ๊บจิ๊บซุบซิบข่าวการบ้านการเมืองแบบห้วนๆ สั้นๆ อ่าน-ฟังกันพอเพลินๆ แต่รับประกันไม่ใช่ข่าวโคมลอย…

ประเดิมที่เรื่องร้อนสุดในสัปดาห์นี้และอีก 2-3 สัปดาห์หน้า คือ ‘หุ้นไอทีวี’ ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แม้จะงัดไม้เด็ดโดยการโอนหุ้นให้ทายาท แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าเป็นการ ‘โอน’ หรือ ‘สละมรดก’ กันแน่… ถ้าแค่โอนก็เป็นการขว้างงูไม่พ้นคอ…

เอาเข้าจริงๆ เชื่อเถอะว่าไพ่ใบสำคัญที่มือกฎหมายฝ่ายพิธาจะงัดออกมาต่อสู้ คือ ไอทีวียังเป็นสื่ออยู่หรือไม่ และการถือหุ้นแค่ 0.0035% มีนัยยะในเชิงการสั่งการครอบงำได้จริงหรือ?

มีสุภาษิตทางการเมืองที่บอกว่า ถ้าอยากรู้จักตัวเองให้หมดจดล่อนจ้อนก็จงลงเล่นการเมือง… ไม่เชื่อก็ดูกรณีพิธาที่กำลังถูกขุดอดีตในแทบทุกมิติแบบว่า “ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก” มีมากหลายเรื่องที่ถาโถมเข้ามา ทั้งเรื่องธุรกิจและชีวิตส่วนตัว สำหรับ ‘เล็ก เลียบด่วน’ แม้จะยึดมั่นในพุทธภาษิตที่ว่า “คนโกหกไม่ทำชั่วไม่มี” ก็ตาม แต่ส่วนลึกภาวนาให้พิธาฝ่าด่านต่างๆ ไปให้ถึงดวงดาว… เพียงแต่ให้ตระหนักสำนึกมั่นว่า “ไม่มีใครสมบูรณ์” ต่อไปนี้ ขอให้พูดแต่เรื่องจริง อย่าปรุงแต่งตนเองให้ดูดีดูหล่อจนเสียผู้เสียคน…

แล้วในที่สุด กกต.ก็ประกาศออกมาแล้ว 47 หน่วยเลือกตั้ง ใน 16 จังหวัดที่จะต้องนับคะแนนใหม่ เหตุเพราะ ‘คะแนนเขย่ง’ อันหมายถึง จำนวนบัตรกับคนหย่อนบัตรเท่ากัน แต่คะแนนดันไปมากกว่าหรือน้อยกว่า… ซึ่งจำนวน 47 หน่วยจากทั้งหมด 95,000 กว่าหน่วยคงไม่เป็นเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้ง เพราะแต่ละหน่วยก็มีแค่ 500-600 คะแนนเท่านั้น

อีกทั้งเมื่อส่องไปที่สนาม กทม.แล้ว ปรากฏว่าไม่มีการนับคะแนนใหม่ที่เขต 20 ลาดกระบัง ที่พรรคเพื่อไทยหลุดรอดมาได้ด้วยคะแนนที่เหนือกว่าคู่แข่งเพียง 4 คะแนน แต่อย่างใด ดังนั้น ความระทึกใจเลยแทบไม่มี และคนที่โล่งใจที่สุด นาทีนี้ก็น่าจะเป็น ดร. ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ หรือ ‘ดร.อิ่ม’ ว่าที่ ส.ส.ลาดกระบัง โฆษกพรรคเพื่อไทย นั่นแล…

ส่งท้ายหมายเหตุให้คอการเมืองไปลุ้นกันต่อ นาทีนี้ต้องสรุปว่าไทม์ไลน์โหวตเลือกนายกฯ ก็จะไปตกเอาต้นเดือน ส.ค.

ประเมินสถานการณ์ทิศทางการเมืองในความเชื่อของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ จะมี 3 แพร่ง คือ

1.) พิธาไปไม่ถึงดวงดาว ด้วยเหตุอาจจะถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ผ่านด่านโหวตของรัฐสภา

2.) ส้มหล่นใส่เท้าพรรคเพื่อไทย ได้เป็นนายกฯ ยอมผสมข้ามขั้วภายใต้ความอ่อนน้อมถ่อมตัว

3.) ลุงป้อมหรือลุงตู่ผนึกแน่น 188 เสียง จัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกฯ โดยได้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคร่วม หรือหากเพื่อไทยไม่ยอมร่วม ก็จะมีบ้านใหญ่… ระดับอนาคอนดาจากพรรคเพื่อไทยข้ามฝั่งมาร่วมรัฐบาล ดังที่ ‘เล็ก เลียบด่วน’ เคยวิสัชนามาแล้ว

สรุปว่า คณะเปลี่ยนผ่านรัฐบาลก้าวไกลที่ลงนามเอ็มโอยู 23 ข้อ 5 แนวปฏิบัติ พร้อมตั้งคณะทำงานขึ้นมาถึง 14 ชุด ในขณะนี้ จะว่าไปก็เป็นรัฐบาลในโลกเสมือนจริง คำถามสำคัญมีอยู่ว่า ณ วันที่สิ้นสุดรัฐบาลเสมือนจริง อะไรจะเกิดขึ้น?

คิดขึ้นมาแล้วก็ร้อน ๆ หนาว ๆ

ต้องขอลาไปคิดต่อ… สวัสดีครับ

‘เปลว สีเงิน’ ชี้!! ไม่มีใครขวางจัดตั้ง รบ. ทุกอย่างทำตามขั้นตอน แนะ ‘ติ่งส้ม’ ดูกลเกม ‘พท.’ เป็นตัวอย่าง อย่ามัวแต่พล่ามไปเรื่อย

วันที่ (14 มิ.ย. 66) ‘เปลว สีเงิน’ นักหนังสือพิมพ์และคอลัมนิสต์ชื่อดัง ได้นำเสนอบทความ ในหัวข้อ “พล่านกันเอง "จนพัง" โดยระบุว่า…

ท่านว่าที่นายกฯ พิธาครับ

หมู่นี้ ท่านไม่ซ่าเหมือนโซดาเปิดขวดใหม่ๆ เลยนะครับ

ไม่เอาน่า… โซดาตายไม่ดีหรอก แฟน ๆ ‘สุราเสรี’ เขาจะเซ็ง เพราะเติมลงไป ปร่าเหมือนน้ำล้างตีน!!

‘ก้าวไกล’ เป็นพรรคตรวจสอบมิใช่หรือ เห็นตรวจสอบดะ (ไม่เลือก) ไม่เว้นแม้กระทั่งงบประมาณ ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ ที่เว้นตรวจสอบ เห็นมีแต่คดี ‘แม่สมพร-ธนาธร-พี่สาว’ รุกป่าสงวน กับคดีน้องชายว่าด้วย ‘สินบน 20 ล้าน’ เจ้าพนักงานทุจริตที่ดินทรัพย์สินฯ เท่านั้น

น่าจะส่ง ‘แอลคาโปน-วิโรจน์’ ไปตรวจสอบตำรวจหรืออัยการดูหน่อยนะว่า “มันติดอยู่ขั้นตอนไหน จะสิบปีแล้ว คดีจึงยังไม่ไปถึงศาล?”

ทีคดี ‘เอ๋-ปารีณา’ รุกป่าละก็ แหม… แจ้งปุ๊บ จับปั๊บ ฟันฉับทันที พ้นสภาพ ส.ส. ถูกตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต คดีอาญาว่าด้วยโทษคุกตามมาเป็นพรวน

หรือกับ นายกฯ พลเอกประยุทธ์ ตอนเป็นรัฐบาลอำนาจเต็ม ถ้าจับแก้ผ้าตรวจได้ ก้าวไกลคงทำไปแล้ว เพราะช่วงนั้น เห็นทั้งตรวจ ทั้งสอบทุกอิริยาบถ กระทั่งจะตด ก็แทบเอาเครื่องมาตรวจจับว่า ‘สร้างมลพิษภาวะ’ เข้าข่ายผิดมาตราไหน?
.
ตรวจแค่นายกฯ ไม่พอ ยังลามปามไปถึงบิดาท่านด้วยซ้ำ!!
.
แล้วนี่ พิธา แค่เห็น ‘เงาเนื้อในน้ำ’ เที่ยวเดินสายโอ่อวดตัวเองไปทั่วบ้าน-ทั่วเมือง “ผมนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย”

แต่พอถูกตรวจสอบเรื่อง ‘ถือหุ้นสื่อไอทีวี’ เข้าหน่อยเท่านั้น เป็นไงล่ะ… แรก ๆ ยังปากแจ๋ว สื่อ, นักวิชาการ, อาจารย์มหาวิทยาลัยช่วยกันอุ้มไข่พ่อส้ม อุ้มไป-อุ้มมา ชักหนัก เพราะเป็นไข่ไส้เลื่อน

เมื่ออุ้มไม่ไหว… ขบวนการ ‘ออกลาย-ออกสันดานโจร’ ทันที

ไอ้ตาปลาดุก เจ้าของแผนชั่วร้าย ‘ปฏิวัติชนิดขุดราก-ถอนโคน’ ขู่ฟอด

ถ้าพิธา-ก้าวไกล ไม่ได้เป็นนายกฯ ไฟจาก ‘เหนือจรดใต้’ จะลุกพรึ่บ!! เหนือ-อีสานบอก ดี กูจะได้เผาข้าวหลาม ใต้บอก ไม่ต้องก็ได้ ไฟบ้านกู ลุกทุกวันอยู่แล้ว

เมื่อขู่ไม่มีใครสน ก็ไปเค้น กกต.ให้รีบประกาศรับรอง ส.ส. อยากเข้าไปเป็นรัฐบาลไว ๆ ความเจริญจะได้กระจายกลิ่นฟุ้ง กกต. (ไม่ได้บอก) ก้าวไกล มี ส.ส. 151 มิใช่หรือ?

งั้นเอาอาญา ‘มาตรา 151’ โทษคุก 1-10 ปี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี เป็นออเดิร์ฟไปก่อน

โทษฐาน “ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ”

เท่านั้นแหละ พระเอกยี่เก ‘มุดเข้าฉาก’ เงียบฉี่!! มีแต่ ติ่งส้ม สื่อ นักวิชาการ อาจารย์ สาวกส้ม ประเภท 3 โลร้อย ออกมาสร้างกระแสเบี่ยง มีขบวนการ ‘ล้มพิธา’ ไม่ให้เป็นนายกฯ บ้าง มีการ ‘ปลุกผี ITV’ ขึ้นมาใหม่บ้าง

ตอนนี้ ‘ก้าวหน้า-ก้าวไกล’ ไปถึงขั้นปลุกกระแสว่า ‘ขั้วอำนาจเก่า’ ชักใย-วางยา หวังชิงความเป็นรัฐบาล!!

โถ โถ เจ้าหนูน้อยเอ๊ย…

เม็ดพริกเจ้ายังจ้อย คิดได้-ทำได้ ตามประสา ‘เด็กมีปัญหา’ เท่านี้แหละ ตรวจสอบคนอื่นได้ พอถูกตรวจสอบบ้าง ร้องเอ๋ง โทษคนโน้นแกล้ง คนนี้วางยา แล้วคลิปกระจอก ๆ นั่นน่ะ มันช่วยฟอกผู้ร้ายให้กลายเป็นพระเอกไม่ได้หรอก บอกให้ด้วยเวทนา!!

ITV น่ะนะ อย่าปลุกผีขึ้นมาเชียว ขอร้อง ไม่ใช่อะไรหรอก ฟื้นวันไหน ก็ต้องยุบ ‘ไทย-พีบีเอส’ ไปวันนั้นน่ะซิ

แล้วแก๊งส้ม แก๊งเอ็นจีโอ แก๊งนอนกิน แก๊งปฏิวัติแบบขุดราก-ถอนโคน จะไปอาศัยสิงอยู่ที่ไหนกันล่ะ?

เพราะ ITV เป็น ‘เชื้อเกิด’ ของ ไทย-พีบีเอส สมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ยึดสัมปทานไอทีวี แล้วให้กำเนิด ไทย-พีบีเอส ขึ้นมาแทน เป็นหน่วยงานของรัฐ มีสถานะเป็นนิติบุคคลมหาชน จัดตั้งตาม พ.ร.บ. องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ใช้ ‘งบประมาณประจำปี’ จากการจัดเก็บภาษีเหล้าและบุหรี่ โดยไม่เกินปีละ 2,000 ล้านบาท

เนี่ย…

ถ้า ITV ฟื้น กลับเป็นของ ‘บริษัทไอทีวี’ ตามเดิมได้ รัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินปีละ 2,000 ล้าน ให้มีสถานีโทรทัศน์ของรัฐฯ คอยจิก-คอยกัดรัฐฯ สร้างทัศนคติโน้มน้าวให้คนเกลียดชังรัฐฯ อีกต่อไป เพราะ ITV เมื่อฟื้นมา เขาก็อาจทำหน้าที่นั้นแทนได้ โดยรัฐบาลไม่ต้องจ่ายค่าชังชาติให้ 2,000 ล้าน/ปี ตรงกันข้าม จะได้ค่าสัมปทานเข้ารัฐแทนด้วยซ้ำ!!

นี่พูดเล่นใน ‘เรื่องจริง’ หรอกนะ แต่สำนึกกันบ้างก็ดี พวกจิตคดไม่ต้องกลัว ยังไงๆ รัฐบาลเขาก็ไม่ ‘ทุบหม้อข้าว’ ใบนี้แน่

ในความดูเหมือนบ้านเมืองตอนนี้สับสนอลหม่าน คล้ายว่า รัฐบาล 8 พรรคที่มี ‘ก้าวไกล-พิธา’ เป็นแกนนำ มีปัญหาจนเกิดมลพิษภาวะทางการเมือง เผิน ๆ ก็ประมาณนั้น แต่ถ้าเรามีสติ ถอยห่างจากข่าวสารบิดเบี้ยวและเลอะเทอะจากพวกปัญญาเชิงปฏิบัติสักนิด จากนั้น ใช้สายตาด้วย ‘กฎเกณฑ์-กติกา’ มองกลับเข้าไป ก็จะเห็นว่า มันไม่มีอะไรที่เป็นอุปสรรค-ปัญหาเลย!!

เอ้าดู… เลือกตั้ง 14 พฤษภาคม รุ่งขึ้นก็รู้คร่าวๆ แล้ว ก้าวไกล ได้รับเลือกตั้งมากสุด 151 เสียง ทุกพรรค ‘ทั้งหมด’ ไม่มีใครเกี่ยงงอน ไม่มีใครขี้แพ้ชวนตี ไม่มีใครออกมาพูดจากวนตีนพรรคชนะอันดับ 1 ก้าวไกล ประกาศเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลได้ราบรื่น เพื่อไทย พรรคอันดับ 2 ด้วยเสียง 141 เมื่อก้าวไกลชวนร่วม 8 พรรคตั้งรัฐบาล ก็พับเพียบรับสนอง มีข้อแม้เพียงว่า “ร่วมด้วย แต่ไม่ขอร่วมในการพูดจาดำเนินการอะไรกับการทำหน้าที่จัดตั้ง”

ฝ่ายรัฐบาลเดิม คือ รัฐบาลประยุทธ์ ทั้งพลังประชารัฐ ภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา รวมไทยสร้างชาติ เข้าแถว-เปิดทาง ผายมือให้ก้าวไกล

“เชิญจัดตั้งได้ตามสบาย ไม่เกี่ยงงอน ไม่เล่นแง่ ไม่ยื่นแข้งขัดขา ด้วยประการทั้งปวง”

สรุป ทุกอย่างราบเรียบ ทางเปิดโล่งให้ก้าวไกลตั้งรัฐบาล มีเพียงเสียง ‘จิ้งจกทัก’ เท่านั้น นายเรืองไกร เขาทำหน้าที่ตรวจสอบตามวิถีของเขา พบหลักฐาน ‘พิธาถือหุ้นสื่อไอทีวี’ จึงไปร้องให้ กกต. ตรวจสอบ!!

เท่านั้นแหละ… ทั้งพรรคส้ม ทั้งติ่งส้ม พล่านกันเอง ประหนึ่งสิ่งมีชีวิตแต่ไร้สมอง เช่น ราเมือก พ่นพิษตลบกลบเมือง แล้วก็พาโลไปถึง กกต.ว่าประกาศช้าบ้าง จะฟ้อง-จะปลด กกต. บ้าง ต่าง ๆ นานา ทั้งที่มีกติกาเป็นกรอบให้ กกต. ทำงานอยู่แล้ว 2 เดือน คือ หลังเลือกตั้ง ภายใน 2 เดือน เมื่อตรวจสอบผลได้ ส.ส. ถึง 95% แล้ว ให้ประกาศรับรองไปก่อน เพื่อเปิดประชุมสภา

แล้วนี่กี่วันล่ะ? วันนี้ 14 มิ.ย. ก็ 1 เดือนพอดี!! ไม่ถือว่าช้า ยังเหลือเวลาอีกตั้งเป็นเดือนด้วยซ้ำ แต่ กกต. ก็บอกแล้ว ว่าจะประกาศรับรองภายใน มิ.ย. นี้

เอ้า… แล้วบอกสิ ตรงไหน-ใคร ‘จัดฉาก’ หวังไม่ให้พิธาเป็นนายกฯ และตรงไหน ที่ว่า ‘ขั้วอำนาจเก่า’ เดินเกม หวังชิงส้มหล่น?

ไม่เห็นมี มีแต่ก้าวไกลและพวกเดียวกันเองนั่นแหละ ที่ ‘ร้อนตัว-ร้อนท้อง’ เรื่องหุ้นสื่อ แล้วเที่ยวพล่าน พาลโทษคนโน้น-คนนี้ ถึงขั้นปลุกระดม ‘ลงถนน’

พูดถึง ‘ส้มหล่น’ จะสอนให้… ไอ้หนู

ดูและศึกษากลเกม ‘เพื่อไทย’ เขาโน่น เห็นมั้ย พิธาจะแถลงอะไร เพื่อไทยเออออตามไปทุกเรื่อง เพื่อไทย 141 เสียงน่ะหรือ เขาจะมากินน้ำใต้ศอกเด็กวานซืน?

โธ่เอ๊ย เจ้าเด็กน้อย…

รู้ไหม? ทำไมเพื่อไทยจึงเล่นบท ‘พี่ชายที่แสนดี’ เพราะเขารู้น่ะสิ ว่ารายการนี้ ‘นอนรอ’ ได้เลย เดี๋ยว ‘ส้มก็หล่น’ เข้าปากเอง!!

กูรูหลักทรัพย์มอง ‘เพื่อไทย’ จัดตั้งรัฐบาล เพิ่มแรงส่ง ‘ตลาดหุ้น-คลายกังวลขึ้นภาษี’

(20 ก.ค. 66) หลังจากเมื่อวานนี้ มติศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องคดีหุ้นสื่อไอทีวี และสั่งให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ไว้ก่อน ขณะที่ที่ประชุมรัฐสภาลงความเห็นห้ามนำญัตติที่ตกไปแล้วเสนอซ้ำ จึงเสนอชื่อพิธาโหวตนายกฯ รอบ 2 ไม่ได้ โดยเตรียมโหวตนายกฯ ครั้งต่อไปในวันที่ 27 ก.ค. 66 นั้น

ด้าน นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและนักกลยุทธ์ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นมีความชัดเจนด้านการเมืองพอสมควร ปัจจุบันเหลือเพียง 2 scenario คือ…

1. พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมี ‘ก้าวไกล’ ร่วมรัฐบาล และ
2. มีพรรคเพื่อไทยแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน

แต่ไม่ว่าผลจะออกมาทางใด มองเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น จากการที่ตลาดมีความเชื่อมั่นในทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ทั้งยังลดแรงกดดันจากความกังวลนโยบายพรรคก้าวไกล ในเรื่องการเก็บภาษีหุ้น Capital Gain Tax  ภาษีความมั่งคั่งเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ภาษีนิติบุคคล ฯลฯ การปรับลดราคาพลังงาน ทำให้เราประเมินว่าว่าภาพโดยรวมของตลาดหุ้น จะมีแรงส่งจากทิศทางการเมืองที่มีความชัดเจนขึ้น และน่าจะเป็นปัจจัยดึงดูดโฟลว์จากต่างประเทศเข้าไทยได้ต่อเนื่องไประยะหนึ่ง

นายกิจพณ กล่าวอีกว่า หากมองเปอร์เซนต์โอกาสที่ ‘พรรคก้าวไกล’ จะมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแค่ 30% แต่หากได้ทั้ง 2 พรรคมาร่วมรัฐบาล จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นมากกว่าในแง่ความเป็นเอกภาพ แต่หากเป็นการดึงจากหลายพรรค มาแทนที่ ‘ก้าวไกล’ เพื่อให้ได้เสียงเพียงพอ อาจมีความเสี่ยงเรื่องอำนาจต่อรอง เก้าอี้ รมต. และผลประโยชน์การบริหารกระทรวงต่างๆ

ทั้งนี้หากมองถึงปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกว่า ปัจจุบันมีความนิ่งพอสมควร ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ย อีกทั้งราคาน้ำมันดิบที่เคยกดดันในครึ่งปีแรก ปรับลดลงจนส่งผลต่อกำไรหุ้นพลังงานที่คิดเป็น 1 ใน 3 ของกำไรตลาด แต่ครึ่งปีหลัง เข้าสู่ฤดูหนาว เศรษฐกิจสหรัฐก็ไม่ได้ถดถอยอย่างรุนแรง และประเทศจีนเปิดประเทศ ทั้งหมดนี้ทำให้ภาพของราคาน้ำมันดิบมีโอกาสการฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นผลดีต่อกำไรตลาดในครึ่งปี มีโอกาสจะปรับขึ้นด้วย

สำหรับ บล.ยูโอบีฯ ให้กรอบเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 66 ที่ 1450- 1630 จุด พีอี 16 เท่า พร้อมมองการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลัง จากปัจจัยการเมืองในประเทศ และผลประกอบบริษัทจดทะเบียนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว อีกทั้งกลุ่มพลังงานที่จะมีแรงส่งจากราคาน้ำมันดิบที่เริ่มขยับขึ้น จะทำให้ดัชนี SET ค่อยๆ ฟื้นจากระดับ 1500 จุด ในปัจจุบันได้

>> ทรีนีตี้ จับตา ‘ภูมิใจไทย’ มาแรงร่วมรัฐบาล
ด้าน บล.ทรีนีตี้ จำกัด โดยนายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ได้เผยบทวิเคราะห์ล่าสุด ว่า มองกรณีที่ประชุมรัฐสภา (19 ก.ค.) ลงมติเห็นด้วยกับข้อบังคับการประชุม 41 ที่ห้ามมีการเสนอญัตติซ้ำเป็นครั้งที่สอง เป็นตัวจุดประกายให้ ‘พรรคเพื่อไทย’ ซึ่งจะเป็นพรรคลำดับถัดไปในการเสนอชื่อนายกฯรัฐมนตรีนั้น เดินเกมส์ที่ปลอดภัยมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการโหวตนายกฯ ที่มาจากแคนดิเดตพรรคนั้น จะประสบความสำเร็จตั้งแต่รอบแรก ด้วยวิธีการ 2 แบบ ดังต่อไปนี้…

1) การไปดึงพรรคอื่นมาเพิ่มเติมเสียงให้กับกลุ่มจัดตั้งรัฐบาลที่มีอยู่ 8 พรรคเดิม อาทิ การจับมือกับพรรคภูมิใจไทยเข้ามา ซึ่งก็จะทำให้มีคะแนนเสียงส.ส.ในมือรวมกันใหม่เป็น 384 ที่นั่ง เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา
2) การตัดสินใจข้ามขั้วไปจับมือกับแกนนำฝั่งพรรคอนุรักษ์นิยมทันที เช่นพรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ เพื่อเรียกคะแนนเสียงจากสว.ให้ลงมติหนุนนายกที่มาจากแคนดิเดตเพื่อไทย รวมกันเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา

Winner : ไม่ว่าในกรณีไหน มองโอกาสในการก้าวขึ้นมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคอันดับ 3 ตอนนี้มีสูงมาก ประเด็นนี้อาจทำให้เห็นแรงเก็งกำไรต่อเนื่องไปยังกลุ่มหุ้นที่ STEC, STPI, เชื่อมโยงกับพรรคดังกล่าวอย่างเช่น PTG เป็นต้น

สำหรับใน 3 ตัวนี้มี PTG ที่อยู่ภายใต้ Coverage ของเรา โดยในเชิงพื้นฐานแม้แนะนำ ‘ถือ’ แต่มีประเด็นเชิงบวกล่าสุดได้แก่ การที่กบน.มีมติใช้กองทุนน้ำมันฯ ตรึงราคาดีเซลให้อยู่ที่ 32 บาทต่อลิตร หลังมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลจะสิ้นสุดลงในวันที่ 20 ก.ค.

>> เอเซียพลัส : มองการเมืองบวกกับตลาดหุ้น คาดได้รัฐบาลใหม่ช่วงส.ค.66
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่ามีความเป็นไปได้สูงที่พรรคที่ได้ ส.ส.มากเป็นอันดับ 2 อย่าง ‘พรรคเพื่อไทย’ จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ในการประชุมรัฐสภา 27 ก.ค.66 ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าพรรคเพื่อไทย จะต้องดำเนินการให้เรียบร้อยในครั้งนี้ (27 ก.ค. 66)

เนื่องจากการประชุมสภารอบที่ผ่านมา มีข้อสรุปว่าไม่สามารถเสนอรายชื่อ บุคคลเดิมเป็นแคนดิเดตนายกฯซ้ำได้ ภายใต้สถานการณ์อื่นไม่เปลี่ยนเป็น ‘ญัตติต้องห้าม’ ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 41 ในเบื้องต้น โดยเชื่อว่ามีโอกาสที่จะได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศในช่วง ส.ค.66 โดย Scenario ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ มีดังนี้…

- พรรคเพื่อไทย จับมือพรรคร่วมรัฐบาลเดิมทั้ง 8 พรรค และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
- พรรคเพื่อไทย จับมือพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ โดยไม่มีพรรคก้าวไกล และยังเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร

นอกจากนี้ ยังได้ประเมินภาพการเมืองในช่วงนี้ว่า อยู่ในวิสัยที่สามารถคาดการณ์ได้มากขึ้น และน่าจะทำให้ดาวน์ไซด์ของ SET Index จำกัด โดยเชื่อว่าน่าจะได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศได้ในช่วงเดือน ส.ค. 66 จะมีก็แค่ ‘ความเสี่ยงนอกสภาฯ’ ที่หากมีความรุนแรงและยืดเยื้อขึ้น จะเป็นปัจจัยกดดัน SET Index อีกครั้ง ซึ่งหากพิจารณา Google Trends คำว่า ‘ม็อบ-ประท้วง-Protest’ ในปัจจุบันยังอยู่ระดับต่ำกว่าในอดีตมาก

‘ประเสริฐ’ ย้ำ!! ยังจับมือ ‘ก้าวไกล’ ไม่เปลี่ยนแปลงรับกังวลเงื่อนไข ม.112 ต้องรอฟังก้าวไกลแถลง

(21 ก.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทยให้สัมภาษณ์ถึงผลการหารือระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า เป็นการประเมินผลการโหวตนายกฯ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา และพูดถึงการโหวตเลือกนายกฯ ครั้งต่อไปในวันที่ 27 ก.ค.นี้ ซึ่งต่างฝ่ายได้นําข้อแลกเปลี่ยนไปหารือในพรรค ซึ่งเดิมจะมีการนัดหมายกับพรรคก้าวไกลในวันนี้ เวลา 10.00 น. แต่ทางพรรคก้าวไกลได้ประสานงานมาว่าจะขอมีการแถลงข่าวในช่วงเช้าวันนี้ก่อน จึงมีการเลื่อนออกไป ซี่งยังไม่มีการนัดหมายรอบใหม่  

เมื่อถามว่าจากท่าทีการพูดคุยพรรคก้าวไกลพร้อมส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยหรือยัง นายประเสริฐ กล่าวว่า ขอให้ดูสาระสำคัญการแถลงข่าวก่อน หลังจากรู้ว่ามีประเด็นหรือรายละเอียดอย่างไร คงจะทํางานร่วมกันต่อได้ 

เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลยังคงจับมือกันต่อเพื่อร่วมกันตั้งรัฐบาลอยู่หรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่ายังร่วมมือกันอยู่ ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน 

เมื่อถามถึงการที่พรรคเพื่อไทยให้การบ้านกับพรรคก้าวไกล ประเด็นที่ ส.ว.ไม่ให้การสนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 นายประเสริฐ กล่าวว่า เป็นข้อกังวลของพรรคเพื่อไทยที่ได้บอกกับพรรคก้าวไกลไป ทั้งที่ได้ฟังจากการอภิปรายในสภาก็ดี หรือการแสดงความคิดเห็นของ ส.ว.ส่วนหนึ่ง และพรรคการเมืองหลายพรรค จึงฝากเรื่องนี้เป็นข้อคิดให้ทางพรรคก้าวไกลได้ไปหารือภายในพรรค 

เมื่อถามว่าหากมีพรรคก้าวไกลและการแก้ไขมาตรา 112 ส.ส. และ ส.ว. ก็จะนํามาเป็นเหตุผลที่จะไม่โหวตให้กับ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล นายประเสริฐ กล่าวว่า ขอประเมินดูก่อนว่าเสียงที่บอกมานั้น เป็นเสียงส่วนมากหรือทั้งหมด ถ้าเรามีความชัดเจนแล้ว คิดว่าจะทําให้การตัดสินใจสะดวกขึ้น 

เมื่อถามอีกว่าพรรคก้าวไกลได้รับปากว่าจะนําเรื่องนี้ไปหาทางแก้ไขหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ไม่ทราบ ทราบแต่เพียงว่าพรรคก้าวไกลมีการประชุมในช่วงเย็นเมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา ฉะนั้นขอให้ฟังการแถลงข่าวของพรรคก้าวไกลก่อน ส่วนหลังจากนั้น พรรคเพื่อไทยจะมีท่าทีอย่างไรนั้น ขอให้แกนนำพรรคได้มีการพูดคุยกันก่อน

เปิดสูตรใหม่ 312 ผสานเสียง 9 พรรค กึ่งรัฐบาลปรองดอง เชื่อ ‘ส.ว.’ หนุนพรึ่บ

หลังจากเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 66 ที่ทั้ง 8 พรรคนำโดย ‘พรรคก้าวไกล’ ลงนามในแถลงการณ์ร่วมหรือ ‘MOU’ จนถึงวันนี้ 22 ก.ค. 66 รวมสองเดือนพอดี… ก็ต้องฟันธงว่า MOU ที่ว่า กำลังจะถูกฉีกลงในไม่กี่เพลาข้างหน้านี้… ถูกฉีกลงพร้อมกับพรรคอย่างน้อย 2 ใน 8 พรรค คือ ‘ก้าวไกล’ และ ‘ไทยสร้างไทย’ ที่จะต้องออกจากสมการ

ถ้าทวนความทวนสถานการณ์สั้น ๆ จะพบว่า...

เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 66 นายเศรษฐา ทวีสิน แสดงความพร้อมมากที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย และเป็นครั้งแรกที่เขาพูดเสียงดังฟังชัดว่า… การแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะ ส.ว.ไม่เล่นด้วย

จนกระทั่ง ในวันศุกร์ที่ 21 ก.ค. 66 พรรคก้าวไกลยกธงขาวเลิกเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โยนเผือกร้อนให้พรรคเพื่อไทย โดยที่ตัวเองขอลงเรือร่วมรัฐบาลต่อไป ขณะที่พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์รับลูก 4 ข้อ โดยมีข้อสำคัญที่แสดงความเหนือชั้นว่า ถ้าหาเสียงจาก ส.ว.ไม่พอที่จะได้รับเลือกนายกฯ จะไปขอเสียงจากพรรคการเมืองอื่นเพิ่มเติม

วันเดียวกันกับที่ประชุม 8 พรรค… แถลงที่จะเดินหน้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลต่อไป พรรคก้าวไกลขอให้พรรคเพื่อไทยไปสอบถาม ส.ว.ว่าจะให้พรรคก้าวไกลลดเพดานเรื่องมาตรา 112 แค่ไหน อย่างไร… ขณะที่คุณหมอชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศว่า คำตอบสุดท้าย หากดำเนินการอย่างเต็มที่แล้วยังไม่สำเร็จ อาจจะมีบางพรรคต้องออกจากสมการนี้… 

ไม่เพียงเท่านั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยยังแถลงตบท้าย… โดยมีสาระสำคัญฟังได้ว่า อยากให้พรรคก้าวไกล ‘เสียสละ’

เป็นอย่างไรบ้างครับ ท่านผู้อ่านคุณผู้ฟัง มันชัดยิ่งกว่าชัดว่า พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล ไปด้วยกันลำบากแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่มีใครกล้าเอ่ยปากบอกเลิก เลยต้องลากลู่ถูกังกันไป เหมือนคู่รักหนุ่มสาวที่ไปด้วยกันไม่ได้แล้ว แต่อยากให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อนเท่านั้นแหละ

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด ก็ถึงจุดแยกทาง บนทาง 3 แพร่ง เหมือนที่นายสุทิน คลังแสง ขุนพลพรรคเพื่อไทยบอกกับบางสำนักนั่นแหละว่า… จำเป็นต้องตัดพรรคก้าวไกลออก เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไปได้ แบบว่า ‘เจ็บแต่จบ’ และพยายามจบให้ได้ภายในวันที่ 27 ก.ค.นี้

สายข่าวเปิดเผยกับ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ว่า นาทีนี้สูตรรัฐบาลใหม่มีทั้งหมด 9 พรรค รวมกันได้ 312 เสียง โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย

- พรรคเพื่อไทย 141 เสียง
- พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง
- พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง
- พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง
- พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง
- พรรคประชาชาติ 9 เสียง
- พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2 เสียง
- พรรคชาติพัฒนากล้า 2 เสียง
- พรรคเสรีรวมไทย 1 

ส่วนผสมนี้ มีความเป็นไปได้มากที่สุด เป็นการผสมข้ามขั้ว ทุกพรรคไม่มีใครแตะต้องข้องแวะมาตรา 112 เป็นกึ่งๆ รัฐบาลปรองดอง สูตรนี้รับประกันซ่อมฟรีว่า ส.ว.หนุนพรึ่บ อย่างน้อย 200 เสียง เพราะมีทั้งพรรคลุงป้อมและพรรคลุงตู่ผสมอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าวันนี้ลุงตู่จะวางมือแล้ว และบางกระแสระบุว่าลุงป้อมเองอาจไม่รับตำแหน่งใด ๆ อีกก็ตาม

ทั้งนี้ เหตุที่ยังไม่นับพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในสูตรผสม เพราะหากในวันที่ 6 ส.ค. 66 หัวหน้าพรรคคนใหม่เป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่เข้าร่วมรัฐบาล

แต่ก็นั่นแหละ สูตรนี้เกิดขึ้นวันไหน พรรคเพื่อไทยก็ต้องยอมเจ็บแต่จบเพื่อชาติ เพราะม็อบด้อมส้มคงจะพรึ่บหน้าพรรคเพื่อไทยหรือหน้ารัฐสภา

อย่างไรก็ตาม สายข่าวรายงานว่า หากพรรคเพื่อไทยยังไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในวันที่ 27 ก.ค.นี้ ที่ประธานรัฐสภานัดประชุมไว้ ก็อาจจะประสานงานให้เลื่อนไปเป็นสัปดาห์ต่อไป ราว ๆ วันที่ 2 หรือ 3 ส.ค.

ซึ่งเมื่อได้ตัวนายกฯ คนใหม่แล้ว ก็เดินหน้าฟอร์มรัฐบาล...

ขณะที่ราว ๆ กลางเดือน ส.ค. เขาปิดกันให้แซ่ดว่า… ได้เวลา ‘คนแดนไกล’ จะเดินทางกลับบ้าน!!

‘ส.ว.สมชาย’ โพสต์เย้ยพรรคส้ม หม้ายขันหมาก พร้อมโชว์สูตรจัดตั้งรัฐบาล ‘เหลือง+แดง=น้ำเงิน’

(23 ก.ค. 66) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)​ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

“เพื่อไทยจัดขันหมากรัฐบาลใหม่ชวนพรรค 2 ลุง 1 หนู ยิ้มกันหน้าระรื่น ไฉนหม้ายขันหมากก้าวไกล ยังขอทนร่วมรัฐบาลสูตรเหลือง+แดง=น้ำเงิน

มีก้าวไกลไม่มีลุง #มีลุงไม่มีก้าวไกล #ด้านไว้ก่อนพ่อสอนไว้?”

‘ฟลุค เดอะสตาร์’ ทวีตจวก ‘ก้าวไกล’ เป็นภาระ!! ชี้!! ถ้าตั้งรัฐบาลสำเร็จตั้งแต่แรก ‘เพื่อไทย’ ก็ไม่ซวย

(23 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพชร ธรรมมล หรือ ‘ฟลุค เดอะสตาร์’ นักร้อง นักแสดง ที่ผันตัวมาเล่นการเมืองภายใต้สังกัดพรรคเพื่อไทย ได้ทวีตข้อความ โดยระบุว่า…

“ถ้าก้าวไกลมีปัญญาทำให้สำเร็จแต่แรก วันนี้เพื่อไทยไม่ซวยนะ ภาระชิบหาย”

ทั้งนี้ ชาวทวิตเตอร์ต่างเข้ามารีทวีตข้อความดังกล่าว พร้อมกับแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก

ต่อมา ฟลุค ยังทวีตเพิ่มเติมอีกว่า…

“แล้วไง? ใครจะเถียงว่า พท.ไม่ได้กำลังเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวความล้มเหลวที่ กก.ทิ้งไว้พา 8 พรรคไปต่อให้ไกลที่สุด ซึ่งผลมันก็มาจากคำโกหกว่า ส.ว.เป็นเสือกระดาษโหวตให้ 100 เสียง ชัวร์ไหน? วันนี้ พท.พยายามหาเสียงโหวตเพิ่ม แล้วก้าวไกลทำอะไรครับนอกจากปล่อย ส.ส.มาทวิตแขวะ? ทำตัวแบบนี้ก็ภาระจริงนะ ยืนยัน”

“ถ้าไม่เดินต่อในทางที่เดินได้ตามกติกาเพื่อร่าง รธน.ใหม่ตัดอำนาจ ส.ว.ในรอบหน้า อินฟลูทั้งหลายที่เอาข้าพเจ้าไปแขวนกับทัวร์ส้มจะออกมานำมวลชนปฏิวัติก็ได้นะครับ เชื่อว่าทำได้ จิตใจมันสู้กว่าใครอยู่แล้ว จะรอนะ💋🧡”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top