Sunday, 19 May 2024
ก้าวไกล

'สมชัย' ฟันโชะ!! 4 ข้อชง ‘ยุบพรรคก้าวไกล’ แนวโน้มมีแต่ข่าวร้าย ควรรั้ง สส.ไว้ให้มากที่สุด

(12 มี.ค. 67) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘สมชัย ศรีสุทธิยากร’ ดังนี้…

กรณี กกต. ส่งเรื่องยุบพรรคก้าวไกล

1. ระยะเวลาที่ กกต.พิจารณา ไม่ช้า ไม่เร็วเกินไป คือ ใช้เวลาราว 1 เดือน 10 วัน หลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 31 มกราคม 2567

2. ขั้นต่อไป ในขั้นศาลรัฐธรรมนูญ ไม่น่าจะเกิน 2 เดือนจากนี้ คือ อยู่ในราวต้นเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งมีแนวโน้มเกือบไม่มีทางเป็นสิ่งที่เป็นข่าวดีต่อพรรคก้าวไกลได้

3. การยุบพรรค จะมีผลต่อการตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคด้วย ซึ่งพรรคก้าวไกลต้องประเมินว่า จะรักษาหลักการที่รอผลคำวินิจฉัย หรือ จะให้ สส.บัญชีรายชื่อที่เป็นกรรมการบริหารลาออกเพื่อเลื่อนลำดับคนขึ้นมาแทนที่เพื่อรักษาจำนวน สส.หลังยุบพรรคให้มีจำนวนเท่าเดิม

4. การย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ ของ สส. ต้องทำภายใน 60 วัน จึงเป็นเรื่องที่ต้องพยายามรักษา สส. ให้อยู่ให้มากที่สุด ท่ามกลางข้อเสนอที่เย้ายวนจากพรรคการเมืองอื่น ที่ต้องมีข้อเสนอเชิญชวนให้สังกัดพรรคอย่างมากมายแน่นอน

‘จตุพร’ เชื่อ!! หากก้าวไกลถูกยุบ ปชช. ‘เฉยชา-ไม่ปกป้อง’ ชี้!! ไม่แตกต่างจากการยุบพรรคการเมืองที่ผ่านมาในอดีต

(13 มี.ค. 67) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ โดยเชื่อว่า หากการยุบพรรคก้าวไกลเกิดขึ้นจริงแล้ว ความตื่นตัวของประชาชนคงยังนิ่งเงียบ เฉยชาทางการเมืองไม่แตกต่างการยุบพรรคการเมืองที่ผ่านมาในอดีต ซึ่งไม่มีประชาชนจำนวนมากออกมาพิทักษ์สิทธิเพื่อปกป้องพรรคที่ลงคะแนนเสียงให้ด้วยความศรัทธาเลย 

นายจตุพร กล่าวว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติยื่นยุบพรรคก้าวไกลนั้น แนวโน้มศาล รธน.จะรับพิจารณาถึง 99 % แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ การดีลกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ไปฮ่องกงพบทักษิณ ชินวัตร เพราะคนเชื่อถึงการจับมือกันในการร่วมรัฐบาล ดังนั้น การยุบพรรคแสดงถึงการดีลเป็นรัฐบาลจะพังย่อยยับไปทันที

อย่างไรก็ตาม ยังเชื่อว่าการยุบพรรคก้าวไกลจะไม่เกิดอะไรขึ้น เพราะการยุบพรรคการเมืองผ่านมา ทั้งยุบไทยรักไทย, พลังประชาชน และอนาคตใหม่ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นการยุบพรรคก้าวไกลคงไม่เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเช่นกัน เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้งขาดจิตวิญญาณสัมพันธ์ผูกพันต่อกัน จึงไม่เกิดแรงเหวี่ยงทางการเมือง แต่มีความระส่ำระสายของสมาชิกพรรคจะตามมาเท่านั้น

อีกอย่าง การยุบพรรคการเมืองไม่ได้ทำให้สภาพนักการเมืองหมดไป เพราะได้เตรียมชุดหนึ่ง-สอง-สาม ไว้ทำงานรับผิดชอบนำพาพรรคกันใหม่อยู่แล้ว รวมทั้งกล่าวว่า การเมืองรอบนี้หาสาระไม่ได้ และไม่มีหลักการจับยึดมาพูดวิเคราะห์กันเลย จึงได้แต่ติดตามอย่างใกล้ชิด ยิ่งยุบพรรคก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับประชาชนเช่นกัน

ที่สำคัญหลักคิดความแตกต่างทางความเชื่อแบบอนุรักษ์นิยม เสรีนิยม ประชาธิปไตย อำนาจนิยม และฝ่ายก้าวหน้า ยังสงบนิ่งเหมือนเดิม ไม่มีประชาชนตื่นตัวออกมาเรียกร้องอะไรทั้งสิ้น อดีตบอกไว้อย่างนั้น โดยเล่าถึงความเชื่อศรัทธาของประชาชนทางการเมืองที่หยุดนิ่งเฉยเงียบ อนาคตของประเทศจึงเป็นเช่นนี้ ดังนั้น การยุบพรรคก้าวไกลหนนี้ถ้าเกิดขึ้นจริง ย่อมไม่แตกต่างการยุบพรรคที่ผ่านมาเช่นกัน คือ ประชาชนนิ่งเฉย ไร้การตื่นตัวเพื่อพิทักษ์สิทธิ์ของตัวเอง

“อย่าหวังว่าการยุบพรรคจะพลิกหน้ามือเป็นหลังมือกับสถานการณ์คนไทยเป็นอยู่เหมือนเดิมแบบนี้ จึงยากสุดที่จะเกิดการตื่นตัว และไม่ได้มีหลักยึดมั่นทางการเมืองกับพรรคใดอย่างมั่นคง โดยพรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์ในการตั้งรัฐบาลเป็นสิ่งสะท้อนอารมณ์ทางการเมืองและความเชื่อในพรรคการเมืองเป็นอย่างไรได้ดีที่สุด คือ เงียบและไม่เกิดอะไรขึ้นเลย แล้วทุกฝ่ายทั้งอนุรักษ์นิยม ประชาธิปไตยและฝ่ายก้าวหน้ายอมให้เกิดขึ้น และยังไม่ได้ประโยชน์อะไรสักอย่างเลย”

ประเทศไทยต้องมาก่อน 

‘นักวิชาการ’ วิเคราะห์!! แนวโน้มยุบ ‘พรรคก้าวไกล’  99.99% ‘รอดยาก’ แต่ลุ้นรอดได้ถ้า ‘ศาล รธน.’ ถูกยุบ

(13 มี.ค.67) จากเว็บไซต์สำนักข่าวไทย ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของนายยุทธพร อิสรชัย อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งกล่าวถึงแนวทางการพิจารณากรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเอกฉันท์ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคก้าวไกล กรณีเสนอแก้ประมวลกฎหมายอาญา ม.112 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ ว่า คำวินิจฉัยมีโอกาสออกมา 2 ทางคือ ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง ซึ่งตรงนี้จะทำให้พรรคก้าวไกลไม่ถูกยุบ กับอีกทางคือหากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง คำวินิจฉัยก็ออกมาได้เพียง 2 ทางเช่นเดียวกัน คือยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค กับยกคำร้อง

นายยุทธพร กล่าวอีกว่า แต่ในความเห็นส่วนตัวคิดว่า โอกาสที่พรรคก้าวไกลจะถูกยุบนั้นมีถึง 99.99% อีก 0.01 คือ ศาลรัฐธรรมนูญ ถูกยุบไปก่อนเท่านั้นเอง ดังนั้นโอกาสเป็นอย่างอื่นจึงเป็นไปได้ยาก เพราะตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 92 เขียนเอาไว้ชัดว่า หาก กกต.เห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อ ว่าพรรคการเมืองกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การยุบพรรค ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ 92 (1) คือการล้มล้างการปกครอง และ 92 (2) คือการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์กับ ระบอบการปกครอง ซึ่งกกต. ยื่นไปทั้ง 2 กรณีดังนั้นโอกาสที่จะ พ้นจากมาตรา 92 จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก และอย่าลืมว่าฐานความผิดตามมาตรา 92 ในกฎหมายพรรคการเมือง ก็คือความผิดฐานเดียวกันกับมาตรา 49 แนวรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย ออกมาแล้วในเรื่องของการล้มล้างการปกครอง ทั้งในเรื่องของพฤติการณ์ ข้อเท็จจริง แม้กระทั่งการสืบพยานผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นในคดีนี้จึงมีโอกาสสูงมากที่จะนำไปสู่การยุบพรรคด้วย

“เหตุผล 2 อย่างคือข้อกฎหมายฐานความผิดตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 92 กลับมาตรา 49 ในรัฐธรรมนูญนั้นฐานความผิดเดียวกัน เพราะฉะนั้นอย่างไรก็ตาม ถ้าศาลรัฐธรรมนูญ บอกว่าการกระทำดังกล่าวผิดมาตรา 49 ในรัฐธรรมนูญ ก็คงจะตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากมาตรา 92 (1) และ (2) กับกรณีที่ 2 คือเรื่องพฤติการณ์ข้อเท็จจริง เรื่องการสืบพยานผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งในคดีนี้ กกต. เอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นคดีล้มล้างการปกครองฯ มาเป็นพยานหลักฐาน ดังนั้นการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่จำเป็นต้องไปสืบพยานหรือ แสวงหาพยานหลักฐานอะไรเพิ่มเติมอีก ก็สามารถตัดสินได้เลยโดยอาศัยแค่คำวินิจฉัยและต่อบทกฎหมาย” นายยุทธพร กล่าว

นายยุทธพร กล่าวว่า ส่วนในแง่ของการโต้แย้ง ก็คงเป็นไปตามกระบวนการพิจารณาคดี โดยศาลรัฐธรรมนูญอาจจะให้พรรคก้าวไกลทำคำโต้แย้ง ซึ่งก็โต้แย้งได้เพียงประเด็นเดียวคือ คำวินิจฉัยนั้นเกิดขึ้นภายหลังการกระทำ ดังนั้นแม้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะผูกพันทุกองค์กรก็จริง แต่ก็ต้องผูกพันหลังมีคำวินิจฉัย โดยก่อนคำวินิจฉัยแม้ศาลจะบอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวคือความผิดตามมาตรา 49 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ แต่เป็นสิ่งที่ศาลมาชี้ภายหลัง จึงอาจไม่สามารถเอาผิดได้ แต่แนวโน้มส่วนตัวก็ยังมองว่า ถูกยุบ 99.99% และจะส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคในขณะนั้นถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วย เพราะในกฎหมายเขียนไว้ว่า ถ้ามีเหตุแห่งการยุบพรรคให้ศาลตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคด้วย ส่วนจะตัดสิทธิ์กี่ปีนั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลเพราะในกฎหมายไม่ได้เขียนเอาไว้ว่าจะตัดสิทธิ์กี่ปี โดยไม่มีเพดานกำหนดเอาไว้

นับถอยหลัง ‘ยุบพรรคก้าวไกล’ กระบวนทัพใหม่ ‘ไอติม’ มีแววคุมพรรค

สองเรื่องการเมืองร้อนฉ่ามาในสัปดาห์เดียวกัน ‘เล็ก เลียบด่วน’ ขอมัดรวมมากรองแก่นแกนสถานการณ์ให้เห็นภาพ...โดยเฉพาะกรณี ‘พรรคก้าวไกล’

กกต. มีมติเอกฉันท์ให้นายทะเบียนพรรคการเมือง (เลขาธิการ กกต.) ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคก้าวไกล และเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค ข้อหาความผิดพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 (1) และ (2) พูดสั้น ๆ (1) นั้นข้อหาล้มล้างการปกครองฯ ส่วน (2) นั้นกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ

ในอดีตปี 2562 กกต. เคยยุบพรรคไทยรักษาชาติ ความผิดมาตรา 92 นี่แหละ แต่ (2) อย่างเดียว…กรรมการบริหารพรรคโดนตัดสิทธิ์ไปคนละสิบปี แต่กรณีพรรคก้าวไกลโดนทั้ง (1) และ (2) เลยมีคำถามว่า...ถ้าโดนตัดสิทธิ์จะสิบปีหรือตลอดชีวิต..

สองวงเล็บ..สยองกันทั้งพรรค

กรณีที่ศาลสั่งยุบ กรรมการบริหารโดนตัดสิทธิ์ 10 คน…ในจำนวน 10 คนนี้ จะมี สส. 5 คน คือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์, ชัยธวัช ตุลาธน, ประดิพัทธ์ สันติภาดา, เบญจา แสงจันทร์ และสุเทพ อู่อ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวจี๊ดตัวตึง และคนสำคัญ โดยเฉพาะ ‘พิธา-ชัยธวัช’

วันนี้…ในพรรคก้าวไกลมองไปถึงแถวสองบวกแถวสาม ที่คาดหมายว่าเมื่อถึงเวลาอาจจะเป็นตัวเลือก หัวหน้าพรรคคนใหม่ เช่น ศิริกัญญา ตันสกุล, วิโรจน์ ลักขณาอดิศร, หรือแถวสามที่โดดเด่นอย่าง ‘ไอติม’ พริษฐ์ วัชรสินธุ์, ‘เท้ง’ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ

‘ไหม ศิริกัญญา’ กับ ‘ไอติม พริษฐ์’ ดูเหมือนจะโดดเด่น...ส่วน ‘เท้ง ณัฐพงษ์’ ลูกเจ้าสัวฝั่งธนที่เก่งกาจเรื่องไฮเทคและ ‘ธนาธร’ ชื่นชอบ จะวางตัวให้เป็นเลขาธิการพรรคก็ย่อมได้…

อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่า...วิบากกรรมพรรคก้าวไกลอันเนื่องจากเหาะเหินเกินลงกา อ้างว่าแก้มาตรา 112 แต่จริง ๆ ขอให้ยกเลิกนั้น...มีผู้ไปร้องต่อ ป.ป.ช. ว่า 44 สส. ที่ลงชื่อขอแก้ไข (ยกเลิก) มาตรา 112 ดังกล่าวผิด-ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงขอให้เพิกถอนสิทธิ์ฯ เหมือนที่ปารีณา ไกรคุปต์, ช่อ พรรณิการ์ เคยโดนมาแล้ว

ดังนั้นหากสมมุติ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องศาลฎีกาฯ และศาลตัดสินเพิกถอนสิทธิ์คนละสิบปี มันก็จะเกิดปรากฏการณ์.. ‘ไม่มีพวกคุณ ไม่มีพวกเรา’ ที่คุณพิธาโพสต์ไว้ในไอจีเมื่อไม่กี่วันก่อน…

ตรวจดูรายชื่อ 44 คนแล้ว มีทั้งชื่อ ไหม ศิริกัญญา, เท้ง ณัฐพงษ์ รวมอยู่ด้วย...นี่เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า พรรคก้าวไกลต้องรีบคัดกรองเตรียมตัวสำรองแถว 4 ที่เจ๋ง ๆ เอาไว้เนิ่น ๆ...เพราะกว่าแถว 1 อย่างธนาธร, ปิยบุตร...จะกลับมาผุดมาเกิดทางการเมืองก็อีก 6 ปีกว่า...

และแน่นอนว่า…น่าจะช้ากว่าแผนการลับของเจ้าชายมูลเมือง ที่อาการดีวันดีคืน เพิ่งปักหมุดเชียงใหม่ถอดปลอกคอซดไวน์ได้แล้ว...รายนั้นปีหน้าเขาจะเดินแผนขอล้างมลทินโทษ หวนคืนเก้าอี้นายกฯ อีกครั้ง…

แล้ว ‘ไอติม’ จะเอาอะไรไปสู้!!??

'เพจดัง' เอือม!! 'นักเคลื่อนไหว-ด้อมส้ม-ก้าวไกล' หลอกเสี้ยมไม่เลิก ดิสเครดิต!! 'ยูโทเปีย' ไม่เกี่ยวสังคมนิยม ใน '๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ'

(15 มี.ค.67) จากเพจ ‘ปราชญ์ สามสี’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“มีเรื่องให้สะสางกันอีกแล้วเรื่อง utopia... ทั้งๆ ที่มีงานวิจัยมากมาย ระบุชัดเจนว่า งานเขียน  utopia เมืองในอุดมคติของ thomas more เป็นรากฐานของระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ 

มีนักเคลื่อนไหว กลุ่มส้มก้าวไกลบางคนที่กลัวคนในเครือข่าย ‘รู้แจ้ง’ จึงหลอกเสี้ยมเรื่อง ยูโทเปียว่าไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องสังคมนิยม…

ข้าพเจ้าว่ามันตลกดีและดูถูกผู้ชมฐานเสียงของก้าวไกลเป็นอย่างมากเลยละครับ

เพราะหากใช้กูเกิ้ลเป็นเก่งอังกฤษหน่อยก็จะทราบเรื่องยูโทเปีย ว่าเป็นรากฐานสังคมนิยมได้โดยง่ายมากแค่ปลายคลิกครับ

ดิสเครดิต ...แบบนี้ กลายเป็นว่า ไปทำให้ฐานเสียงก้าวไกลดูแย่กว่าความเป็นจริงอีกครับ

‘ไอติม’ แจง!! ปม ‘พิธา’ ลงเชียงใหม่ชน ‘ทักษิณ-เศรษฐา’ ยัน!! เป็นกำหนดการของพรรค ที่วางแผนล่วงหน้าไว้นานแล้ว

(15 มี.ค. 67) ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เตรียมลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่วันพรุ่งนี้ (16 มี.ค.) ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี อยู่ในพื้นที่พอดีว่า เป็นแผนการดำเนินงานของพรรคก้าวไกลเกี่ยวกับเรื่องไฟป่า ที่วางแผนล่วงหน้ามานานแล้ว เพราะเป็นการศึกษาผลกระทบที่มีต่อประชาชนในภาคเหนือ เพื่อหวังจะถอดบทเรียนในการนำเสนอนโยบาย และการแก้ไขปัญหา พร้อมยืนยันไม่ได้มีการจัดตารางลงพื้นที่ชนกันกับนายกรัฐมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี

เมื่อถามว่ามองภาพนายเศรษฐา นายทักษิณ และนายพิธา ลงพื้นที่พร้อมกัน ที่เหมือน 3 นายกฯ ในวันเดียวกันอย่างไร นายพริษฐ์ กล่าวว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกลยึดถือมาตลอดคือยึดปัญหาประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะมีปัญหาของประชาชนเยอะมาก โดยเฉพาะปัญหาไฟป่า พร้อมย้ำว่าจะนำปัญหาดังกล่าวมาผลักดันโดยกลไกของสภา จึงไม่ได้เกี่ยวข้อง และไม่ได้ต้องการเปรียบเทียบแต่อย่างใด ซึ่งสิ่งที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ย้ำมาตลอด ว่าเราไม่ได้แข่งกับใคร แต่แข่งกับตัวเอง ในการทำหน้าที่ให้ดียิ่งขึ้นเพื่อรับใช้ประชาชน

ส่วนประชาชนที่อาจจะคิดว่าเป็นการเปรียบเทียบรัศมีนั้น ถือเป็นสิทธิของประชาชนที่จะวิเคราะห์ แต่ขอยืนยันต่อสาธารณะว่าพรรคก้าวไกลไปดำเนินการเรื่องไฟป่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลงพื้นที่ของใคร

เมื่อถามว่าเรื่องไฟป่าจะเป็นหนึ่งในประเด็นที่จะหยิบยกขึ้นมาอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า อาจจะเป็นหนึ่งในประเด็นการอภิปราย แต่ไม่สามารถยืนยันได้ เพราะขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการคัดเลือก สส. ไปอภิปรายว่าผ่านการคัดเลือกหรือไม่ และหัวข้ออะไร ทั้งนี้เชื่อว่าการอภิปรายครั้งนี้จะใช้เวลาอภิปราย ทั้ง 2 วันให้ครอบคลุมนโยบายสำคัญ ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม 

เมื่อถามว่าในฐานะฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ตรวจสอบมองหน่วยงานราชการที่เข้ารายงานนายทักษิณระหว่างลงพื้นที่เชียงใหม่อย่างไร นายพริษฐ์ กล่าวว่า เป็นคำถามที่ต้องให้รัฐบาลตอบว่า การดำเนินการทั้งหมด เป็นไปตามระเบียบราชการหรือไม่ ดังนั้น เรื่องความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมในการจัดสรรบุคลากรไปให้ข้อมูล จึงเป็นคำถามที่รัฐบาลควรตอบ

เมื่อถามถึงกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ไปคอยให้การต้อนรับนายทักษิณ ที่เชียงใหม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนเห็น คำชี้แจงผ่านๆ ว่าไปภารกิจอื่น แต่หากประชาชนยังเคลือบแคลงสงสัย เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ต้องชี้แจงให้ประชาชนมั่นใจ ว่าไม่ได้มีการจัดสรรบุคลากรภาครัฐ ที่ไม่เหมาะสม แม้รัฐมนตรีจะอ้างว่าลางานไป แต่เป็นสิ่งที่จะต้องตอบ และสิ่งที่พรรคก้าวไกล เวลาเลือกจะไปจังหวัดไหนจะยืดปัญหาประชาชนเป็นที่ตั้ง เป็นมาตรฐานที่หวังว่า พรรคการเมืองอื่น ทุกพรรคจะนำไปใช้ 

นายพริษฐ์ ยังกล่าวถึงการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ของพรรคก้าวไกลว่า เป็น 1 ใน 16 จังหวัด ที่พรรคก้าวไกลประกาศรับสมัคร นายก อบจ. ในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น เพื่อประชาสัมพันธ์ และเป็นแรงจูงใจ ให้คนมาสมัคร ส่วนจะส่งผู้สมัครครบทั้ง 16 จังหวัดหรือไม่ต้องรอผลการคัดเลือก เพราะจะเน้นผู้สมัครที่มีคุณภาพ ไม่ได้เน้นจำนวนเพียงอย่างเดียว เน้นบุคลากรที่เชื่อมั่นว่าจะชนะการเลือกตั้งด้วย

นายพริษฐ์ กล่าวว่า ถ้าหากประชาชนสงสัยเรื่องมีนายกฯ หลายคน ก็เป็นสิ่งที่นายเศรษฐา จะต้องให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชน ว่าถึงแม้จะมีสิทธิปรึกษาใครหลายคน แต่การตัดสินใจทุกอย่าง จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ส่วนการลงพื้นที่เชียงใหม่ของนายทักษิณ จะทำให้กระแสพรรคก้าวไกลลดลงหรือไม่นั้น พรรคก้าวไกลปีที่แล้วเป็นอย่างไรปีนี้ก็เป็นเช่นนั้น ใครที่เคยสนับสนุนพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้ง เราก็จะพยายามผลักดันอย่างเต็มที่ แม้จะไม่ได้เป็นรัฐบาล และหวังว่าการทำงานของก้าวไกล จะทำให้คนที่ยังไม่ตัดสินใจ เลือกเปิดใจมาให้โอกาสมากขึ้น

ความร่มเย็นของชาติบ้านเมืองจะกลายเป็น 'ความฝัน' ความล้าหลังของประเทศชาติจะกลายเป็น 'ความจริง'

(19 มี.ค.67) ในการเลือกตั้ง 2566 ของไทย มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52,238,594 คน มีผู้ใช้สิทธิ 39,514,973 คน (75.71%) โดยพรรคก้าวไกลได้คะแนนเลือกตั้ง สส. แบบบัญชีรายชื่อ 14,438,851 คะแนน และได้คะแนนเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขต 9,665,433 คะแนน คิดเป็นเพียง 36.54% ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งคะแนนเลือกตั้งทั้ง 2 แบบ ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง (19,757,487 คะแนน) แต่อย่างใด และยังคงห่างไกลจากคะแนนเลือกตั้งอดีตพรรคไทยรักไทย (พรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน) ในการเลือกตั้ง 2548 ที่ได้คะแนนเลือกตั้ง 18,993,073 คะแนน หรือ 61.17% ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนั้นจำนวน 32,341,330 คน ได้สส.จำนวน 377 คน ในขณะที่การเลือกตั้ง 2566 พรรคก้าวไกลได้สส. 151 คน

ข้อมูลตัวเลขที่ได้นำมาเสนอนี้ แค่อยากแสดงให้เห็นว่า ผลการเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลนำมาอวดอ้างบ่อยๆ นั้น หากเทียบกับการเลือกตั้งปี 2548 ฟากพรรคไทยรักไทยยังเคยทำไว้ดีกว่า ซ้ำยังเป็นชัยชนะที่ได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง กลับกันหากนำจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 52,238,594 คนในการเลือกตั้ง 2566 มาคำนวณแล้ว เท่ากับว่าทั้งประเทศจะมีผู้ที่เลือกพรรคก้าวไกลเพียง 27.64% หรือไม่ถึง 1 ใน 3 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 

ตัวเลขข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่ผู้คนในสังคมไทยไม่ได้นำมาศึกษา พินิจ วิเคราะห์ พิจารณากันแต่อย่างใด หากแต่ถกโหมด้วยสื่อกระแสหลักและสื่อออนไลน์ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ที่ต่างตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคการเมืองดังกล่าวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ส่งผลให้พรรคก้าวไกล มักนำผลการเลือกตั้ง 2566 มาทำการอวดอ้างในเชิงเกินจริง ซึ่งทำให้คนที่ไม่เข้าใจข้อเท็จจริงในระบอบประชาธิปไตยหลงทางจนเข้าใจผิดคิดไปว่า การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยในโลกนี้ พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเสมอไป 

ทั้งๆ ที่การจัดตั้งรัฐบาลในหลายประเทศที่เป็นรัฐบาลผสมจากหลายๆ พรรคนั้น แกนนำรัฐบาลหลายครั้งหลายหนก็ไม่ได้มาการพรรคการเมืองที่มี สส.จำนวนมากที่สุด และเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นในบ้านเราแล้ว เช่น การเลือกตั้ง 2518 ยุคหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ซึ่งมี สส. เพียง 18 คน แต่สามารถจัดตั้งรัฐบาลและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (14 มีนาคม พ.ศ. 2518 - 20 เมษายน พ.ศ. 2519) ได้ ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งครั้งนั้นพรรคกิจสังคมได้เลือกตั้งมาเป็นอันดับ 5 ก็ตาม 

พูดถึงเรื่องพรรคก้าวไกลที่เคลมประชาธิปไตยมาสร้างความเป็นธรรมแบบคาดเคลื่อนแล้ว ก็อดเลื่อนกลับไปมองผลลัพธ์ในการเลือกตั้ง 66 ของอดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่ได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้

เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้พรรคต่างๆ ได้คะแนนเท่านั้น มาจาก...

1) คนไทยเป็นคนที่รู้สึกเบื่อง่าย โดยปราศจากการพิจารณา ใคร่ครวญ และไตร่ตรอง ความเบื่อหน่ายจึงถูกนำมาเป็นอาวุธทางจิตวิทยาที่ใช้โดยทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยในการจัดการกับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์อย่างได้ผลที่สุด (แต่ผลงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่ปรากฏภายหลังการเลือกตั้งทำให้ผู้คนในสังคมไทยต่างก็รู้สึกผิดพลาดและเสียดาย) 

2) ความอ่อนด้อยในการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ โดยเฉพาะเรื่องของ Social Media ซึ่งพรรคก้าวไกลทำได้ดีกว่ามาก กอปรกับรัฐบาลพลเอกประยุทธ์นำงบประมาณไปเป็นงบลงทุนในการพัฒนาประเทศ สื่อหลักต่างๆ จึงไม่ได้รับงบประมาณในการประชาสัมพันธ์จากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์เช่นที่เคยได้รับจากรัฐบาลก่อนๆ ปีละนับพันล้านบาท 

3) ปัญหาระหว่างประเทศอันเนื่องมาจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นมากมายหลายรายการ ซ้ำมีการใช้เรื่องของค่าไฟฟ้าแพงมาโจมตีรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ในระหว่างการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ผู้กำหนดอัตราค่ากระแสไฟฟ้าคือ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ไม่ใช่รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานแต่อย่างใด 

4) มีหน่วยงานของรัฐบาลชาติมหาอำนาจตะวันตกเข้ามาแทรกแซง ด้วยหวังประโยชน์จากรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งที่จะได้พรรคการเมืองที่ชาติมหาอำนาจตะวันตกสามารถใช้อิทธิพลในการครอบงำ ก้าวก่ายนโยบายสำคัญ โดยเฉพาะนโยบายความมั่นคงและนโยบายต่างประเทศได้ 

5) การต่อสู้ในสนามเลือกตั้ง 2566 ของ 5 อดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ซึ่งต่างก็ไม่มียุทธศาสตร์ ขาดเอกภาพ ด้วยมุ่งหวังแต่คะแนนเลือกตั้งเฉพาะของพรรคตนเท่านั้น จึงยากที่จะช่วงชิงคะแนนเสียงจากพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยได้

หากพิจารณาคะแนนเลือกตั้งที่บรรดาอดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้แก่ ภูมิใจไทย, พลังประชารัฐ, รวมไทยสร้างชาติ, ประชาธิปัตย์ และชาติไทยพัฒนา ได้รับแล้ว ในส่วนของคะแนนเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อได้ 7,560,081 คะแนน และคะแนนเลือกตั้งแบบแบ่งเขตทั้ง 5 พรรคได้รวม 15,791,519 คะแนน ซึ่งคะแนนเหล่านี้หากนำมารวมกัน ก็จะกลายเป็นคะแนนเสียงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของผู้ที่ใช้สิทธิในการเลือกตั้ง 2566 ทั้งหมดเลยทีเดียว 

แต่แน่นอนว่า การเลือกตั้งจบแล้ว ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามระเบียบกติกาที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นการที่ 5 อดีตพรรคร่วมฯ จะได้จำนวน สส.เพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในอนาคตข้างหน้า จึงจำเป็นต้องมีการร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่าง 5 อดีตพรรคร่วมฯ เสียใหม่ ด้วยควรที่จะมุ่งแข่งขันกันเฉพาะการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเท่านั้น 

ขณะที่การเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 5 อดีตพรรคร่วมฯจะต้องตกลงกันเพื่อคัดเลือกผู้สมัครของ 5 อดีตพรรคร่วมฯ คนใดคนหนึ่งที่รับคะแนนเลือกตั้งสูงสุดในเขตเลือกตั้งนั้นเพียงคนเดียวจากพรรคเดียว เป็นต้น

หากมีความร่วมมือเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว 5 อดีตพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จึงจะกลับมามีโอกาสในการกลับมาจัดตั้งรัฐบาลได้ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง

...และเพื่อให้เห็นภาพ จึงขอนำเอาผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตที่ 5 อดีตพรรคร่วมฯ แย่งคะแนนกันเองจนสูญเสียที่นั่ง สส.ทั้งจังหวัด มาฉายซ้ำ โดยยกจังหวัดภูเก็ตทั้ง 3 เขต ซึ่งพรรคก้าวไกลได้ที่นั่ง สส.ไปทั้ง 3 เขต ดังนี้...

>> เขตเลือกตั้งที่ 1 ผู้สมัครของพรรคก้าวไกลได้ 21,252 คะแนน ส่วนผู้สมัครจาก 5 อดีตพรรคร่วมฯ ได้รวม 43,709 คะแนน 
>> เขตเลือกตั้งที่ 2 ผู้สมัครของพรรคก้าวไกลได้ 21,913 คะแนน ส่วนผู้สมัครจาก 5 อดีตพรรคร่วมฯได้รวม 33,861 คะแนน 
>> และเขตเลือกตั้งที่ 3 ผู้สมัครของพรรคก้าวไกลได้ 20,421 คะแนน ส่วนผู้สมัครจาก 5 อดีตพรรคร่วมฯได้รวม 35,817 คะแนน 

หาก 5 อดีตพรรคร่วมฯ สามารถตกลงพูดคุยกันแล้ว สส. ทั้ง 3 เขตก็จะเป็นตัวแทนจาก 5 พรรคร่วมฯอย่างแน่นอน 

แต่ก็อย่างว่า...แนวคิดเช่นนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างยากยิ่งในบ้านเมืองนี้ ด้วยนักการเมืองและพรรคการเมืองส่วนใหญ่ มักจะนึกถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนและพรรคพวกเพื่อนพ้องมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของชาติบ้านเมือง และในไม่ช้า...ที่สุดแล้วเราคงจะต้องยอมยกชาติบ้านเมืองให้พรรคการเมืองที่เก่งแต่บน Social Media ถนัดแต่สร้างวาทกรรมที่เพ้อเจ้อโดยไม่มีตรรกะแม้แต่น้อย จนคนที่น่าจะฉลาดและเป็นกำลังสำคัญของสังคมกลับกลายเป็นเหยื่อและสาวกไป 

...และที่เลวร้ายที่สุดคือ รับงานมหาอำนาจตะวันตกมาเซาะกร่อนบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติและสร้างความสัมพันธ์อันเลวร้าย เกิดเป็นความกินแหนงแคลงใจกับประเทศเพื่อนบ้าน 

ถึงตอนนั้นแล้วความสงบสุขร่มเย็นของชาติบ้านเมืองจะกลายเป็นความฝัน ความเสื่อมถอยล้าหลังของประเทศชาติจะกลายเป็นความจริง 

เช่นนั้นแล้ว เราๆ ท่านๆ คงทำได้เพียงแต่ภาวนาให้สรรพสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย ได้โปรดช่วยปกป้องราชอาณาจักรไทยอันเป็นที่รักของเราตลอดไปด้วยเทอญ...เท่านั้น...

'ทบ.' โต้!! 'สส.ก้าวไกล' ปม 'พลทหารคมทัช' ผูกคอดับ เพราะเครียดตัดหญ้า ชี้!! มูลเหตุชั้นต้นมาจากปัญหาส่วนตัวกับแฟน หลังสอบถามญาติ-เพื่อน

(20 มี.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี น.ส.ธิษะณา ชุณหะวัณ สส.กทม. พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ภาพผู้ช่วยของตนเองผูกคอเสียชีวิตในค่ายทหารแห่งหนึ่ง พร้อมแชตข้อความระบายความในใจ ว่า เครียด ต้องไปตัดหญ้า กวาดบ้านผู้บังคับบัญชา ตอนดึกเพื่อนนั่งดูดกัญชา นอนแทบไม่ได้

ล่าสุดจากการตรวจสอบเบื้องต้นของกองทัพบก (ทบ.) พบว่า ผู้เสียชีวิต คือ พลทหารคมทัช พันฤทธิ์ ตำแหน่ง พลลูกมือ สังกัดกองร้อยบริการที่ 3 กองพันบริการ กองบริการ กรมการทหารช่าง ช่วยราชการ (พันบร.กบร.กช. ชรก.) ปฏิบัติงานที่โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์โยธินวิทยา (รร.ทบอ.โยธินวิทยา) ได้เสียชีวิตในวันที่ 19 มี.ค.67 ซึ่งจากการสอบถามญาติและเพื่อนพลทหารคมทัช ในชั้นต้นทราบว่า “สาเหตุจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้ เกิดจากปัญหาส่วนตัวกับแฟน”

ต่อมาเวลา 22.41 น. คืนวันที่ 19 มี.ค.67 ทางกองทัพบก ได้ออกเอกสารข่าวชี้แจงว่า ได้รับแจ้งกรณี ทหารกองประจำการกระทำอัตวินิบาตกรรม (ผูกคอเสียชีวิต) โดยเป็นทหารในสังกัดของ กองพันบริการกองบริการ กรมการทหารช่าง ช่วยราชการปฏิบัติงานที่ โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์โยธินวิทยา 

โดยหลังจากเกิดเหตุหน่วยแจ้งไปทาง สภ.เมืองราชบุรี เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและแพทย์นิติเวชร่วมในการตรวจสอบที่เกิดเหตุ และชันสูตรพลิกศพ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า พลทหารคมทัช พันฤทธิ์ เสียชีวิตด้วยการผูกคอตายในห้องน้ำของโรงเรียน

ในวันเดียวกันผู้บังคับหน่วยต้นสังกัดได้เดินทางไปพบครอบครัวเพื่อแจ้งเหตุการณ์ดังกล่าวและแสดงความเสียใจ ตลอดจนแจ้งสิทธิและสวัสดิการที่ผู้เสียชีวิตจะได้รับ และทางหน่วยต้นสังกัดจะช่วยดูแลอำนวยความสะดวกในด้านการจัดงานศพกับครอบครัว ทั้งนี้ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ธิษะณา ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘ธิษะณา ชุณหะวัณ - แก้วตา - Tisana Choonhavan’ ระบุว่า “อดีตผู้ช่วยแก้วได้ไปเกณฑ์ทหาร (จับได้ใบแดง) เมื่อวานนี้ตอนตีสามได้ข่าวมาจากผู้ช่วย สส.ที่สนิทกันอีกคนว่าน้องผูกคอตายในห้องน้ำในค่ายทหาร ก่อนอดีตผู้ช่วยแก้วจะเสียชีวิตในค่ายทหาร (ผูกคอตาย) ได้ส่งข้อความแบบนี้มาถึงชีวิตในค่ายทหาร”

“ขอเรียกร้องให้ค่าย 1.) แสดงความจริงใจและโปร่งใสโดยการเปิดเผยผลชันสูตรศพต่อสาธารณชน 2.) นโยบายทางจิตเวชให้กำลังพลไหม? 3.) ขอเรียกร้องความกล้าหาญจากผู้บังคับบัญชาที่จะกล้าเปิดเผยความจริง เหตุจูงใจหรือสิ่งที่กำลังพลต้องประสบพบเจอในค่าย 4.) การแสดงความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาต่อสิ่งที่เกิดขึ้น”

“ขอความเป็นธรรมให้เค้าด้วยค่ะ ขอให้ทุกคนช่วยกันส่งเสียงให้สภาผู้แทนราษฎรผ่านกฎหมาย #ยกเลิกเกณฑ์ทหาร #ค่ายทหารหรือคุก #คมทัชพันฤทธิ์”

‘ช่อ’ โต้!! ‘ผอ.นิด้า’ ปม ‘ยุบก้าวไกล’ จะปั้นหัวหน้าคนใหม่คงไม่ง่าย ลั่น!! อนาคตใหม่ พิสูจน์แล้ว 4 ปีที่ผ่านมา คนเลือกพรรคที่แนวทาง

(20 มี.ค.67) จากกรณี ผศ.ดร.สุวิชา เป้าอารีย์ ผอ.ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล ระบุว่า หากพรรคก้าวไกลถูกยุบ จะปั้นหัวหน้าพรรคคนใหม่ แทนคุณพิธานั้นไม่ง่ายเลย

ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความผ่าน X ถึงเรื่องดังกล่าวว่า…

“ตอนยุบอนาคตใหม่ นักวิเคราะห์ก็พูดกันแบบนี้ ไม่มีธนาธร ก้าวไกลคงไม่รอด 4 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าคนเลือกพรรคที่แนวทาง จุดยืนทางการเมือง และนโยบาย ทัศนคติแบบที่มองว่าพรรคก้าวไกลชนะเพราะปั่นกระแสขึ้นมา เพราะคนเห่อหัวหน้าพรรค ไม่ใช่การดูถูกพรรค แต่ดูถูกประชาชนผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

หากก้าวไกลชนะเพราะปั่นกระแส ทำไมกระแสแลนด์สไลด์ที่แรงมาก จึงไม่สามารถนำพาเพื่อไทยให้ชนะการเลือกตั้งได้?”

‘สรวุฒิ’ อัด!! ‘สส.ก้าวไกล’ หลังเสนอตัดงบสร้างบ้านพักศาล ซัด!! โจมตีผิดๆ ถูกๆ แถมไม่เข้าใจโลกความเป็นจริง

(22 มี.ค. 67) นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะกมธ. ชี้แจงว่าบางทีการไปโจมตีการครองตนของข้าราชการตุลาการต้องระวัง เพราะเขาไม่เหมือนคนอื่น เขาใช้ชีวิตอิสระแบบคนอื่นไม่ได้ บ้านพักต้องอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ บางคนไม่เข้าใจวิธีการเป็นไปของโลกก็จะโจมตีผิด ๆ ถูก ๆ ข้าราชการตุลาการ ผู้พิพากษาต้องผดุงความยุติธรรมสูงสุด เราเองคงหาความยุติธรรมเหนือกว่านี้ไม่ได้ 

นายสรวุฒิ กล่าวต่อว่า ในระบบทั่วโลกก็เป็นเช่นกัน ถ้าหากไม่ให้เขาสันโดษ ให้มีเพื่อนจำนวนมาก จะทำให้ไม่มีความอิสระเพราะต้องเกรงใจไปทั่ว เพราะฉะนั้นต้องพิจารณาสิทธิที่เขาพึงมี มีอะไรบ้าง เช่นเดียวกับ สส. ถ้าไม่มีผู้ช่วย สส. 7-8 คน ถามว่าจะดูแลประชาชนอย่างไร ถ้าจะแก้ต้องแก้หลักใหญ่ อย่าโจมตีจุดเล็ก จะได้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ดังนั้น ยืนยันขอให้ตั้งงบตามที่คณะกมธ.แก้ไข

ด้านน.ส.ธิษะณา ชุณหะวัณ สส.กทม. พรรคก้าวไกล โต้กลับว่าเห็นด้วยที่อาชีพผู้พิพากษามีเกียรติศักดิ์ศรี แต่สส.ก็มีความอันตราย มีศัตรูทางการเมืองไม่แพ้กัน แต่ไม่มีบ้านพักอาศัยที่ภาษีประชาชน และยืนยันงบประมาณสร้างบ้านพักศาลควรตัดออก เพราะไม่จำเป็น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top