Saturday, 25 May 2024
ก้าวไกล

ผู้อาวุโสสูงสุด 'ตระกูลอภัยวงศ์' ชี้ชัด!! 'พิธา-ก้าวไกล' ไม่ใช่ญาติ-คนในตระกูล

(7 ก.พ. 67) จากกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถูกขุดคุ้ยที่เคยโพสต์รูปตึกจวนของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ในจังหวัดพระตะบอง กัมพูชา ว่า เป็นบ้านของคุณยาย เคยอยู่อาศัยเมื่อร้อยปีก่อน ทำคนสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘ตระกูลอภัยวงศ์’ หรือไม่อย่างไร จนกระทั่งนายพิธา ได้ลบโพสต์ดังกล่าวออกไปจากอินสตาแกรมเรียบร้อยแล้ว

ล่าสุด ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้เกาะติดเรื่องดังกล่าว โดยเผยแพร่ภาพที่ระบุว่าเป็นแชทของ นายคฑา อภัยวงศ์ หรือคุณต๊ะ ปัจจุบันอายุ 88 ปี ซึ่งเป็นบุตรชายของนายควง อภัยวงศ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ส่งข้อความผ่านกลุ่มไลน์ประจำตระกูลที่มีสมาชิก 97 คน โดย ผศ.ดร.อานนท์ โพสต์ข้อความระบุว่า…

ผู้อาวุโสสูงสุดในตระกูลอภัยวงศ์ แหก ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ไม่ใช่ญาติ

เข้าใจว่า คุณคฑา อภัยวงศ์ บุตรชายของคุณควง อภัยวงศ์ อายุ 88 ปี น่าจะเป็นผู้มีอาวุโสสูงสุดในตระกูลอภัยวงศ์ในเวลานี้นะครับ

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เป็นบิดาของนายควง อภัยวงศ์ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย และนายควง อภัยวงศ์ เป็นบิดาของคุณคฑา อภัยวงศ์

ไลน์ของคุณคฑา อภัยวงศ์ที่ส่งถึงลูกหลานในห้องไลน์ของตระกูลอภัยวงศ์ กรณีของนาย Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อ้างว่าคุณยายเคยอาศัยในจวนของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่เมืองพระตะบอง มีดังนี้ครับ

“…เรื่องคุณพิธา ถ้ามีใครถาม ตอบได้เลยว่า

1. ไม่ใช่บุคคลในตระกูลอภัยวงศ์
2. การแอบอ้างว่าเคยอยู่ในตึกในภาพ เป็นการโอ้อวดสร้างภาพฐานะ ตามปกตินิสัยเขมร เพราะแม้แต่เคยอยู่ในบริเวณจวนเจ้าเมืองก็ยังไม่มี
3. ตึกที่พระตะบอง เป็นที่ทำการของฝรั่งเศส มากว่า 120 ปี คุณยายเกิดแล้วหรือยัง…”

ผมคิดว่าเรื่องนี้อาจจะได้ข้อยุติแล้วในระดับหนึ่งนะครับ ถ้าผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลอภัยวงศ์ท่านออกมาสั่งลูกหลานเองเช่นนี้ครับ

โปรดช่วยกันแชร์ต่อไปให้ถึงมวลชนคอนด้อมส้มสามกีบด้วยนะครับ

อีกทั้ง ผศ.ดร.อานนท์ ยังเผยแพร่โพสต์ของ ‘ตรีดาว อภัยวงศ์’ ที่ระบุว่า...

เรื่องคุณพิธา กับคำกล่าวที่ว่า #บ้านเก่าคุณยาย “My grandmother used to live in this house almost 1 century ago” และถ่ายภาพตึกที่เป็นของ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ต้นตระกูล ‘อภัยวงศ์’ ทำเอา 2 วันนี้ ตรีดาวและญาติๆ ชุลมุนกันมากว่าจะตอบคำถามที่มีคนมาถามว่า “เป็นญาติกันหรอ อย่างไร สายไหน”

เลยขออธิบายแบบนี้นะคะ

1. คุณยายคุณพิธา ชื่ออะไร นามสกุลเดิมอะไร ถ้าทราบก็พอจะเชื่อมโยงได้ เนื่องจากตอนนี้หากัน (ยัง) ไม่เจอ ไม่มีใครรู้จักคุณพิธา
2. คุณยายเคยอาศัยที่บ้านหลังนี้เมื่อไหร่ ด้วยสถานะอะไร
3. เนื่องจากตึกนี้ถูกรัฐบาลกัมพูชา ในปกครองของฝรั่งเศสยึดไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ตอนไทยต้องยอมเสียมณฑลบูรพา อันได้แก่ พระตะบอง เสียมราช ศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศสในสงคราม รศ 112 (พ.ศ. 2436)
4. เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) อพยพครอบครัวกลับมาอาศัยที่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2450 โดยยังไม่มีโอกาสได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้น ท่านยอมกลับมาเพราะไม่ต้องการเป็นข้ารับใช้ฝรั่งเศส คนในตระกูลอภัยวงศ์ ได้รับการสั่งสอน อบรม ให้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์มาทุกชั่วอายุคน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณและวางพระราชหฤทัยส่งให้บรรพบุรุษของตระกูลไปปกครองเมืองพระตะบองจนถึงสมัยที่ไทยต้องเสียดินแดนส่วนนี้ไป

5. ช่วงสงครามอินโดจีน (ระหว่างปี 2484-2489) ไทยได้ดินแดนส่วนนี้ คืนมานายควง อภัยวงศ์ บุตรชายของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย นำธงชาติไทยกลับไปชักขึ้นเหนือดินแดนแห่งนี้ด้วยตัวเอง จากนั่นรัฐบาลไทยส่งนายเชียด อภัยวงศ์ หลานของเจ้าพระยาฯ ไปเป็นผู้แทน ซึ่งระหว่างนั้น นายเชียด และครอบครัว ได้กลับไปใช้บ้านหลังนั้นเป็นที่ทำการอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นก็ทรุดโทรมมาก (ภายหลังได้รับการบูรณะจากรัฐบาลกัมพูชา และเปิดใช้สำหรับต้อนรับแขกเมืองเท่านั้น)
6. สมัยสงครามอินโดจีน เรามีผู้แทนราษฎร จังหวัดพระตะบอง ชื่อนายชวลิต อภัยวงศ์ และนายประยูร อภัยวงศ์ เป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดพิบูลสงคราม (เสียมราชในปัจจุบัน) ทั้งสองจังหวัด อยู่ในประเทศไทย
7. ถ้าคุณยายคุณพิธา อาศัยในบ้านหลังนี้ช่วง 100 ปีที่แล้ว น่าจะรู้จักกับญาติๆ อภัยวงศ์ ที่ไปเป็นผู้แทน และทำงานให้บ้านเมืองในเวลานั้น
8. แม้คนในตระกูลจะไปอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้น ก็ไม่ใช่ในฐานะเจ้าของ จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ว่า คุณยายของคุณพิธา จะเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้
9. หากคุณยายของคุณพิธา เคยอยู่ที่นี่ และเรียกว่าเป็นบ้านของคุณยาย เราก็มีเหตุให้สงสัยว่า คุณยายเป็นใครกัน หรือพวกเราจะไม่รู้เอง คงต้องรอให้คุณพิธามาอธิบายเชื่อมโยงให้คนในตระกูลฟังซะแล้ว

(หากมีอะไรคลาดเคลื่อนไปก็คงเป็นความเขลาหรือไม่รู้ของอีชั้นเองค่ะ)

'พล.ท.นันทเดช' เผย 6 เหตุผล 'ก้าวไกล' จะตายสิบเกิดแสนได้จริงไหม? ชี้!! หากเป็นสมัยลุงตู่อาจเป็นไปได้ เพราะท่านสนแต่พัฒนาประเทศชาติ

(8 ก.พ.67) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า ก้าวไกล จะตายสิบเกิดแสนได้จริงไหม

ความฝันของแกนนำก้าวไกลหลังจากถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าผิดแล้ว ก็ออกมาปลอบใจสาวกว่า ‘จะตายสิบเกิดแสน’ นั้น ถ้าสมัยรัฐบาลลุงตู่คงอาจเป็นไปได้ เพราะลุงแกเป็นคนดีไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครตั้งหน้าตั้้งตาพัฒนาโครงสร้างทางเศรษฐกิจจนมาอยู่ลำดับ 1 ในอาเชียนแล้ว แต่ก็ต้องพลาดเรื่องการจัดการปัญหาทางสังคมไปบ้าง ก้าวไกลจึงใช้โอกาสนั้นเข้ามาแทรกแซงครอบงำเด็กๆ ได้ค่อนข้างมาก โดยมีอบายมุข (เหล้า บุหรี่ไฟฟ้า และ SEX ) มาช่วย จนแพร่กะจายได้อย่างสะดวก แต่ในรัฐบาลชุดนี้ คงเป็นไปได้ยากหน่อย เพราะ

1️.จุดที่เด็กๆ จะกลายเป็นพวก 3 นิ้ว ส่วนใหญ่แล้วมาจากการมั่วสุมในเรื่องสุรนารี แต่ปัจจุบันก็ถูกคุณอนุทิน (รมว. มท.) บุกทำลายสถานที่กินเหล้า ที่เปิดให้เด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์ แอบเข้าบาร์ หรือผับโต้รุ่งเหล่านี้ไปถึง 6 แห่งแล้ว บางแห่งมีคนมั่วสุมเกือบ 2000 คน มีเด็กต่ำกว่า 18 ปีร่วม 800 คน ก็มี และยังเป็นการทำลายอย่างต่อเนื่องแบบที่กระทรวงมหาดไทยชุดเดิม ไม่เคยทำมาก่อนเลย ผับ- บาร์เหล่านี้คือ ตัวสร้าง ‘เด็ก 3 นิ้วขึ้นมา’ เป็นจำนวนมาก จึงเริ่มหายไป

2.แบบเรียนของ ศธ.ที่ออกมาใช้ในสมัยก่อน ถูกควบคุมดูแล โดยนักวิชาการที่เลือกข้าง นอกจากไม่เสริมสร้างกระบวนการคิดแล้ว เรื่องที่เด็กควรรู้ควรเข้าใจก็ขาดหายไป ซึ่งปัจจุบัน ทาง ศธ.ก็ตื่นตัวออกมาเริ่มจะแก้ไขแล้ว

3.ในสถาบันการศึกษา ซึ่งกลุ่มอาจารย์บ้าคลั่งลัทธิ พยายามสอนและออกข้อสอบให้เด็กจำเป็นต้องตอบข้อสอบตามที่อาจารย์ต้องการนั้น เด็กส่วนใหญ่ก็เริ่มรู้ทันแล้ว ยังมีเจ้าหน้ารัฐ ที่แอบเข้าไปฟังอีก ก็ไม่สะดวกนักในการปลุกระดม อาจจะเสี่ยงคุกได้ เพราะอาจารย์พวกนี้เก่งแต่จะส่งเด็กไปติดคุกแทน ส่วนตัวเองยุๆๆๆเด็ก แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามรักษาตัวให้รอด เพื่อคอยแต่จะสมัครเป็นอธิการบดี หวังรวยกันทั้งนั้น (คงต้องถามต่อว่า มหาวิทยาลัยเหล่านั้น มีกระบวนการคัดกรองอาจารย์ผู้สอนอย่างไรด้วย)

4.ส่วนอาจารย์แก่ๆ กลุ่มหนึ่ง แต่ยังมีกิเลสอยู่ คอยยุยงเด็กๆ อยู่นอกมหาวิทยาลัยนั้น ก็เริ่มแพ้ภัยตัวเองไปตามๆ กัน อย่าให้พูดถึงว่าแพ้อย่างไรเลยครับ

5.คนของพรรคการเมืองหลายแห่งเริ่มตื่นตัวต่อการรุกในพื้นที่ชนบทของก้าวไกล และมูลนิธิก้าวหน้า ซึ่งมูลนิธินี้ก็แปลก ดันไปทำหน้าที่ เหมือนกับพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ทั้งๆ ที่เป็นมูลนิธิ (ฝากคุณอนุทินเข้าไปดูด้วยครับ) เพราะ กกต.ก็คุมไม่ได้ ถ้า มท.ลงไปดูแล การเข้าไปปลุกระดมในพื้นที่ของก้าวไกลก็จะยากขึ้น

6.ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มรู้กันบ้างแล้วว่า พรรคอะไรโกหกได้ติดต่อกันเกือบทุกวัน ขนาดมีคนตั้งเพจ ชื่อว่า ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ เด็กตามสถาบันการศึกษาหลายแห่งก็เริ่มตื่นตัว ถ้าไม่มีเหล้า ยา และ SEX แล้ว ก้าวไกลก็ไม่ค่อยจะมีอะไรหรอกครับ

ข้อสรุป : ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบก้าวไกลเพิ่มขึ้นหรอกครับ แต่เป็นเพียงพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลทั้งหลาย ยังห่วงเรื่องผลประโยชน์ จนทิ้งพื้นที่ไป ที่หาเสียงอยู่ก็หาเสียงแบบโบราณมาก เช่น งานศพก็เอาหรีดราคาถูกให้ตัวแทนเอาไปวาง จัดงานเลี้ยงโต๊ะจีนเวลาวันเกิด หรือพาหัวคะแนนไปเที่ยวทะเล ฯลฯ

ความล้าหลังของวิธีหาเสียงของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลน่ะ

ล้าหลังเอามากๆ จริงๆ ครับ ถ้าพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล ตื่นตัว จริงๆ ก้าวไกลก็ไปได้ไม่กี่ก้าวหรอกครับ อยากมากก็ตายสิบ เกิดสิบ เท่านั้น

‘รัดเกล้า’ ซัด ‘ก้าวไกล’ อย่าหนุนคนทำผิดกฎหมาย-ละเมิดสถาบัน เชื่อคนรุ่นใหม่อีกมากไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ ‘ตะวัน’

(12 ก.พ. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี ในฐานะรองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ขณะนี้คนพรรคก้าวไกลพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า นำประเด็นการเมืองมาคละรวมกับการก่อเหตุก่อกวนขบวนเสด็จฯ โดยใช้วาทกรรมหลักการคนเท่ากัน สิทธิและเสรีภาพ และคนรุ่นใหม่ สร้างข้ออ้างให้คนทำผิด ชักนำให้สังคมมองผิดเป็นถูก และสร้างสภาวะแตกแยกในประเทศ

นางรัดเกล้า กล่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติตั้งข้อสังเกตในคำให้สัมภาษณ์ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าทำไมถึงเจาะจงพูดถึงคนรุ่นใหม่ เป็นหลัก ทั้งๆ ที่การก่อกวนขบวนเสด็จนั้นเป็นการละเมิดกฎหมายและมาตรการในการอารักขาบุคคลสำคัญโดยเจตนา เป็นการใช้อารมณ์ขับเคลื่อนการกระทำจนสร้างความเสี่ยงให้กับผู้อื่นที่ร่วมใช้ท้องถนนของคนรุ่นใหม่เพียงกลุ่มเดียว ซึ่งไม่ได้สะท้อนถึงความต้องการของคนรุ่นใหม่ทั้งประเทศ เพราะยังมีคนรุ่นใหม่อีกมากที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้

นอกจากนั้น ที่นายพิธาระบุว่ากังวลใจถึงสถานการณ์บ้านเมืองและอนาคตของคนรุ่นใหม่ ทั้ง ๆ ที่คนทุกรุ่นนั้นควรที่จะมีความสำคัญเท่ากันหมด ทุกคนมีสิทธิ ความเชื่อ และความศรัทธาที่หลากหลาย หากแต่มีเพียงคนรุ่นใหม่บางกลุ่มที่เอาความเชื่อของตนเป็นใหญ่ อ้างคำว่าหลักการคนเท่ากันเพื่อนำสิทธิในการแสดงออกของตนมาเบียดเบียนสิทธิผู้อื่น ละเมิดสถาบันอันเป็นที่ศรัทธาของคนส่วนให้

รองโฆษก รทสช. กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวมีประเด็นหลัก ๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ไม่มากไปกว่านั้น และการที่ น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ รองโฆษกพรรคก้าวไกล ออกมาแก้ต่างให้กับคำพูดของนายพิธาว่ามีเจตนาที่จะเชิญชวนให้สังคมมองกรณี น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ นักกิจกรรมทางการเมือง และเหตุการณ์ขบวนเสด็จฯ โดยไม่แยกขาดจากการเมืองภาพใหญ่ ในประเด็นนี้ต้องขอให้ น.ส.ภคมน และสมาชิกพรรคก้าวไกลทั้งหมดกลับไปทบทวนบทบาทและความรับผิดชอบในการเป็นนักการเมืองที่เป็นผู้นำทางความคิดให้แก่คนในสังคม เจอคนทำผิดก็ต้องกล้าพูดตรง ๆ ว่าผิด วอนขอให้เลิกฉุดรั้งนำประเด็นการเมืองที่พรรคของตนอยากผลักดันเข้ามาสร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำที่ผิด

นางรัดเกล้า กล่าวว่า ตราบใดที่คนในการเมืองยังใช้วาทกรรมเพื่อชักแม่น้ำทั้งห้า เพื่อชักนำกรอบความคิดสังคมให้หลุดออกจากประเด็นหลัก แล้วเอาประเด็นการเมืองมาผูกเป็นข้ออ้างให้พฤติกรรมผิดกฎหมายเยี่ยงนี้ เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ และสังคมจะเดินหน้าไปสู่ความแตกแยก อย่าอ้างถึง สังคมไทยที่ยังไม่มีพื้นที่ให้คนเห็นต่างพูดคุยเพื่อหาทางออก เพราะไม่เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ อีกทั้งคนกลุ่มนี้ก็ใช้พื้นที่ในการแสดงออกมาตลอด ทั้งนี้ ที่ผ่านมาก็แสดงความคิดเห็นที่ขัดกับกฎหมายแล้วโดนดำเนินคดีมาโดยตลอดนั้น ถือเป็นการใช้พื้นที่อย่างไม่เหมาะสมมากกว่า ไม่ใช่ประเด็นว่าไม่มีพื้นที่

“และสุดท้ายอย่าใช้คำว่านิติสงครามกดปราบผลักไสอีกฝ่ายเป็นคนไม่รักชาติ ประเด็นแรก คนไทยทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน บางกลุ่มเลือกที่จะมีพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายและละเมิดสถาบันที่เป็นความมั่นคงของชาติ บางคนทำซ้ำแล้วซ้ำอีกจึงถูกดำเนินคดีตามกฎหมายในระดับที่รุนแรง ในขณะที่ประชาชนกลุ่มใหญ่ที่อยู่ใต้กฎหมาย ไม่ได้เห็นว่ากฎหมายคืออาวุธที่ใช้ในการทำสงคราม ฉะนั้น คุณจะเรียกสิ่งนี้ว่านิติสงครามไม่ได้ และประเด็นที่สองคนจะตีความว่าประชาชนคนไหนรักหรือไม่รักชาตินั้น อยู่ที่การกระทำของตนเอง ไม่มีใครผลักไสใครทั้งนั้น” รองโฆษก รทสช. ระบุ

'สส.รังสิมันต์' ยอมรับ!! สังคมไม่เห็นด้วยปม 'ตะวัน' ป่วนขบวนเสด็จฯ ยัน!! ก้าวไกลไม่ได้อยู่เบื้องหลังใครและไม่มีใครอยู่เบื้องหลังพรรคได้

(12 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่มีการหาว่าพรรคก้าวไกล เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง กลุ่มทะลุวังที่มีการบีบแตรใส่ขบวนเสด็จฯ ว่า ความคิดที่บอกว่ากลุ่มต่าง ๆ มีพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่เรื่องใหม่เกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง ซึ่งไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาสังคม รวมถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น หลายครั้งที่พรรคก้าวไกลถูกปรักปรำในลักษณะนี้ อะไรคือหลักฐานว่าเราอยู่เบื้องหลัง และในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เราอยู่ท่ามกลางวิกฤตทางการเมือง 

ในอดีตเราหลายคนอาจจะไปประกันตัว อาจจะไปเป็นนายประกันให้ แต่การทำในลักษณะนั้นต้องแยกออกจากการที่เขาขับเคลื่อน ซึ่งเหตุผลที่เราไปเป็นนายประกันให้คือสามารถทำได้ตามกฎหมาย รวมถึงให้สิทธิ์เขาในการต่อสู้คดี ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไปประกันตัวจะเห็นด้วยกับการกระทำ ไม่เช่นนั้นการประกันตัวที่เกิดขึ้นเต็มไปหมดในเรื่องต่างๆ เท่ากับคนที่ไปประกันตัวจะต้องไปเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หากคิดอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ถือว่าเป็นการคิดที่ผิด

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า การเชื่อมโยงกลุ่มต่างๆกับพรรคก้าวไกลมีเหตุผลคืออาจจะเป็นกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มทะลุวัง และต้องการสร้างความชอบธรรมหรือการดิสเครดิตกลุ่มทะลุวัง และต้องการทำลายพรรคก้าวไกลเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ควรจะไปมองแบบนั้น

“ผมยืนยันว่าเราไม่ได้ไปอยู่เบื้องหลังใครและใครก็ไม่มาอยู่เบื้องหลังเรา พรรคก้าวไกลก็คือพรรคก้าวไกล ที่ทำหน้าที่โดยมีจุดยืนในเรื่องของสิทธิมนุษยชน เราเชื่อในศักยภาพในการแสดงออก ส่วนเมื่อเขาแสดงออกไปแล้ว จะมีคนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะแสดงความคิดเห็นได้ แต่จุดยืนของพรรคก้าวไกลคือเราไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง ในการแสดงออกแบบนั้นคือการสร้างสังคมแห่งความหวาดกลัว เรามีบทเรียนมาแล้ว และไม่ได้ทำให้สังคมไทยดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า การกระทำของน.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน กลุ่มทะลุวัง สร้างเสียงวิจารณ์อยู่แล้ว ซึ่งสรุปยากว่าท้ายที่สุดสังคมจะเห็นไปในทิศทางไหน ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่ามีสังคมไม่เห็นด้วยกับการที่น.ส.ทานตะวัน แสดงออกและอาจจะมีคนเห็นด้วย ซึ่งแน่นอนในเรื่องของการอารักขาบุคคลสำคัญ ต้องมีมาตรการทั้งหมดก็นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ แต่จุดยืนสำคัญที่พรรคก้าวไกลแสดงคือไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง ส่วนที่มีการมุ่งเป้าไปที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกล ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น

“สิ่งที่เราพยายามทำคือให้สติทุกคน ในการที่เราไปเป็นนายประกัน หรือการเคยเป็นนายประกันในอดีต เท่ากับเราอยู่เบื้องหลังเลยหรือ คุณเชื่อขนาดนั้นจริงๆหรือ สุดท้ายคนที่แสดงออกทางการเมืองในทุกรูปแบบ เขาก็เป็นตัวของเขา เขาก็มีจุดยืนของเขา เราเห็นด้วยหรือไม่ก็ต้องแยกเป็นกรณีไป ซึ่งถึงที่สุด เขาก็มีสิทธิ์ต่อสู้คดีในศาล สุดท้ายกลไกกฎหมาย ก็ต้องว่ากันไปตามแต่ที่มันควรจะเป็น ซึ่งก็ต้องได้สัดส่วนที่ควรจะเป็นด้วย สังคมของเราอยู่กันแบบนั้น อย่าไปสร้างสังคมแห่งความ หวาดกลัว อย่าให้เราต้องสร้างปีศาจตนใหม่ สร้างผีตนใหม่ขึ้นมา ซึ่งเหตุการณ์เดือนตุลาเคยสร้างบทเรียนให้เราแล้ว อย่าทำซ้ำอีกเลย มันไม่คุ้มกัน” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า เราควรใช้เวทีของสภาฯ ใช้พื้นที่ทางการเมืองในการคลี่คลายหาทางออก และเข้าใจว่านายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ พยายามจะพูดเรื่องนี้ ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สภาฯ จะพิจารณาพูดคุยหาทางออก และการที่ปล่อยให้ไปคุยกันตามท้องถนนถ้านำไปสู่การสร้างพื้นที่ที่อันตรายก็ไม่คุ้ม ทางหนึ่งที่ตนคิดว่าเป็นทางออกคือกฎหมายนิรโทษกรรม

เมื่อถามว่ามีหลายฝ่ายมองว่าควรนำเรื่องเกี่ยวกับผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ออกจากร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เราเคยหาเสียงเอาไว้ เมื่อเราได้รับการเลือกตั้งมาก็พยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ซึ่งเราไม่ได้มีนโยบายแก้มาตรา 112 เท่านั้น ทางสว. อาจจะมีความคิดว่าเราไม่ควรทำแบบนั้น แต่ในจุดยืนของเราต้องกลับมาตั้งต้นว่าวันนี้ปัญหาของประเทศชาติคืออะไร เราต้องยอมรับว่ามีคนถูกดำเนินคดีในเรื่องมาตรา 112 จะมีหนทางแก้ไขอย่างไร

"ออฟชั่นเรามีอะไรบ้าง เอาเขาเข้าไปขัง ปล่อยพวกเขา นิรโทษกรรมให้พวกเขาหรืออะไร ถ้าเอากันแบบสุดโต่งเลยคือการเอาไปขัง ต้องถามว่าช่วยให้บ้านเมืองดีขึ้นอย่างไร ถึงที่สุดคนเหล่านี้ก็มีญาติพี่น้องและเขารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ความคิดเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กลุ่มนิสิตนักศึกษาหรือคนรุ่นใหม่เท่านั้น มิตรประเทศที่เขามองมายังประเทศไทยรู้สึกไม่สบายใจกับการดำเนินคดีที่มีความรุนแรง และไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สิทธิเสรีภาพ

มีการตั้งคำถามในเชิงภาคธุรกิจ ความมั่นใจว่าหากมีการดำเนินคดีในลักษณะนี้จะเกิดขึ้นกับคดีอื่นได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นความมั่นใจทั้งหมดที่สามารถส่งผลกระทบต่อประเทศได้ ถ้าเราตั้งโจทย์ว่ามีปัญหาเกิดขึ้นเราก็ควรเริ่มต้นเปิดประตูให้กว้าง ถ้าเราบอกว่าการนิรโทษกรรมไม่รวมมาตรา 112 ถ้าเริ่มจากตรงนี้ จะแก้ปัญหาการเมืองได้จริงหรือไม่ ไม่มีประโยชน์ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ การนิรโทษกรรมก็ไม่มีประโยชน์"นายรังสิมันต์ กล่าว

'โรม' แซะ!! 'ชาดา' อย่าให้เขาหาว่ารัฐบาลอยู่เบื้องหลังปลุกผี ด้าน 'ชาดา' ไม่ทน ซัดกลับอย่าโยงมั่ว พร้อมแฉขบวนการล้มเจ้า

(14 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดย นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นอภิปรายญัตติด่วนเพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนมาตรการถวายความปลอดภัยของขบวนเสด็จฯ ตอนหนึ่ง โดยได้นำภาพประกอบขึ้นสไลด์เป็นภาพแกนนำกลุ่มอาชีวะราชภักดีถ่ายร่วมกับ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย และมีข้อความระบุพร้อมเซ็นเซอร์ข้อความบางส่วนในภาพว่า "พรุ่งนี้เจอปะทะไม่เจรจา ถ้า...ไม่พร้อม ทำดีไม่ได้ อย่าเนรคุณ เจอกันพรุ่งนี้ทะลุวัง ผู้ใหญ่ที่รู้จักของดนะครับ" และอภิปรายว่า วันนี้เราเห็นสัญญาณที่ชัดเจนในการสร้างความหวาดกลัว กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) มีการโพสต์ข้อความในโซเชียล ระบุว่า จะเชือดไก่ให้ลิงดูเก็บคุณตะวัน (น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ แกนนำกลุ่มทะลุวัง) เป็นคนแรก ขู่ฆ่าน้องหยก (ธนลภย์ ผลัญชัย สมาชิกกลุ่มทะลุวัง) ที่อายุ 15 ปี หรือกลุ่มอาชีวะราชภักดีที่ขู่ว่าจะจัดการนายสายน้ำ นี่คือกลุ่มคนที่จะนำความรุนแรง ความหวาดกลัวเข้ามาสู่สังคม ผ่านบุคคลสำคัญคือ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย ที่มีการพูดถึงการเนรคุณแผ่นดินการปลุกปั่นแบบนี้ เป็นการปลุกปั่นให้สถานการณ์มันร้ายแรงกว่าความเป็นจริงมาก การปลุกปั่นแบบนี้จะทำให้คนทั้งสังคมไม่รู้สึกปลอดภัยแล้วท่านจะสร้างมาตรการรักษาความปลอดภัยในเมื่อสุดท้ายผีที่ท่านสร้างขึ้นมาก็มาจากพวกท่านเอง

"ผู้นำของประเทศต้องห้ามปราม ไม่ให้คนฆ่าฟันกัน ตนพยายามดึงสติ หากความรุนแรงมันเกิดขึ้น สุดท้ายผู้ที่ใช้ความรุนแรงซึ่งวันนี้รู้สึกว่าใช้ความรุนแรงโดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร คนเขาจะหาว่ารัฐบาล คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มคนเหล่านี้อย่าให้ไปถึงจุดนั้นเลย" นายรังสิมันต์ กล่าว

ทำให้นายชาดา ลุกขึ้นตอบโต้นายรังสิมันต์ ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ว่า ส่อเจตนาที่ไม่ดีไม่ดีอย่างมาก สร้างความแตกแยกและคุณกำลังจะนำตนไปสู่สิ่งที่ไม่ถูกต้องและสร้างความเข้าใจผิดกับพี่น้องประชาชน ตนไม่ได้คิดจะอภิปรายแต่สิ่งที่ผู้แต่งเสียหาย เป็นการชี้จูงทางความคิดที่ท่านให้เด็กทำอยู่นั่น คือ ความรู้สึกของคนอกตัญญู มันไม่ใช่ความรู้สึกของคนที่ดี การกระทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง และไม่ใช่ลักษณะการอภิปรายเชิงสร้างสรรค์ ปากพูดบอกว่า ต้องการความสงบ ให้มองตั้งอยู่ตรงกลางแต่พฤติกรรมไม่ใช่ ตนอยู่ฟังตลอดเวลา เป็นการกระทำที่เสียหาย ประธานที่ประชุมอนุญาตได้อย่างไร มีบุคคลแบบนี้ เสนอแบบนี้ อนุญาตได้อย่างไร ถ้าตนจะเสนอแบบนี้จะมีปัญหาหรือไม่

"ผมไม่อยากพูดว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และไม่เกี่ยวกับญัตติ ประธานอนุญาตได้อย่างไร ประธานต้องมาขอโทษผมว่าปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นกลาง การที่ท่านเอารูปบุคคลใดออกมาแล้วมีผม ผมไม่ฟ้องญัตตินี้เป็นเรื่องของขบวนเสด็จที่ทำร้ายจิตใจประชาชน แต่ท่านกำลังเอาเรื่องนอกประเด็นเอาเรื่องผลของกระทำมาผมจะพูดให้ฟังเด็กกระทำผิดกฎหมายกี่ครั้งแล้ว ถ้าเป็นการแสดงออกด้วยหัวใจของคนไทยไม่มีปัญหาแต่มันมีขบวนการในประเทศนี้ที่จะล้มล้างบั่นทอน อย่าพูดว่าไม่มี ถ้าพูดแบบนี้ ทำกับผมแบบนี้ เดี๋ยวผมจะพูดให้หมด ผมไม่อยากจะพูด เพราะวันนี้หัวใจรักชาติของผมมันเต็มเปี่ยม แต่สิ่งที่ท่านทำมันไม่ใช่ความคิดสร้างสรรค์ แต่ปากบอกสร้างสรรค์ ปากบอกพัฒนา แต่สิ่งทำเมื่อกี๊นี้ ผมขออนุญาตบอกว่าเลวทรามมาก ในความรู้สึกผม" นายชาดา กล่าว

นายชาดา กล่าวต่อว่า ใครเป็นคนปล่อยภาพนี้ออกมา ตนขอถามประธาน อภิปรายอยู่ดีๆ สร้างปัญหาเอง อย่าพูดว่าไม่มีขบวนการล้มเจ้า มันมี ตนพร้อมไปพูดกับทุกคนที่ปกป้องสถาบัน แต่เขาจะเอาไปทำอะไร ตนไม่รู้ ตนไม่เกี่ยว มันคนละเรื่อง มันต้องมีสามัญสำนึกในการกระทำ อย่ามาพูดูดีแต่ปฏิบัติไม่ดี เดี๋ยวตนจะลุกโต้ทุกคนที่พูด อย่ามาขัดแย้งและทำในสิ่งไม่ถูกต้องกับตน อย่ามาเล่นใต้ดินกับตน และเรียกร้องไม่ให้คนอื่นเล่นใต้ดิน ดังนั้นประธานต้องบอกว่าใครอนุญาตให้นำรูปขึ้นสไลด์ ประธานในที่ประชุม หรือประธานรัฐสภา หรือเจ้าหน้าที่มีวิจารณญาณ มีสมองหรือไม่เราชอบพอกัน ความคิดเห็นย่อมแตกต่าง ตนเข้าใจเมื่อวันที่ท่านไม่ได้เป็นนายกฯ แต่ตนไม่เคยสร้างความขัดแย้งกับพรรคการเมือง หรือนักการเมือง คิดต่างไม่เป็นไร แต่อย่ามาทำมือถือสากปากถือศีล

ทำให้ นายพิเชษฐ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ซึ่งมารับช่วงทำหน้าที่ประธานที่ประชุมต่อจาก นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ชี้แจงว่า ตนไม่ได้ดูจริงๆ ว่ามีการพาดพิง และมีการนำเสนอไปแบบนั้น แต่ตนจะหาคำตอบให้ว่าอนุญาตได้อย่างไร ก็ขอให้นายรังสิมันต์ อย่าตอบโต้ เพราะเขาคือผู้เสียหายต้องให้ชี้แจง

ขณะที่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า นายชาดามีสิทธิ์ชี้แจง แต่ขอให้ใจเย็นๆ นิดหนึ่ง เพราะถ้าฟังการอภิปรายตนขึ้นรูป เราไม่ได้ปรักปรำว่านายชาดาไปอยู่เบื้องหลัง แต่สิ่งที่ต้องบันทึกไว้ แน่นอนว่านายชาดาไม่ได้อยู่เบื้องหลัง แต่ผู้ที่เขานำไปกระทำความรุนแรงต่างๆ ล่ะ โดยนายรังสิมันต์ได้ขอให้ประธานที่ประชุมนำภาพดังกล่าวขึ้นสไลด์อีกครั้ง พร้อมระบุว่า ประโยคที่อยู่ในภาพไม่ใช่คำพูดของนายชาดา แต่เป็นประโยคของผู้ที่กระทำความรุนแรง ซึ่งเขาอาจคิดด้วยซ้ำว่าเขาได้รับแบ็คอัพ ทั้งที่ความเป็นจริงอาจไม่มีคนอยู่เบื้องหลังก็ได้ ดังนั้น เรานักการเมืองทั้งหลายถูกโยงกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ จึงอยากให้มีสติ

ทำให้ นายชาดา ลุกขึ้นกล่าวโต้อีกครั้งว่า การกระทำมันบ่งบอกถึงเจตนาชัดเจน แต่คนที่พิจารณากฎหมายก็มีอยู่ คาดตา ปิดหน้าก็ได้ แต่อย่ามาบอกว่านักการเมืองถูกโยง เจตนาท่านบอกว่าตนอยู่เบื้องหลัง ถ้าตนอยู่เบื้องหลังสนุกกว่านี้เยอะ อย่าให้มีพฤติกรรมแบบนี้เกิดขึ้นในสภาฯ อีก ตนถือว่านายรังสิมันต์ไม่ใช้สติในการพิจารณาการกระทำ ถ้ารับไม่ได้ก็ไปอยู่ประเทศอื่น คนไทยทุกคนยอมรับได้ จะรอซักเท่าไหร่ มีแผ่นดินอยู่ มีแผ่นดินคุ้มกะลาหัว

'ก้าวไกล' กับพื้นที่ ที่เริ่มไม่ปลอดภัย ส่วน 'ทักษิณ' พักโทษ แต่ 'คปท.' รุกต่อ

ต้องบอกว่าสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์เดือดของเหตุบ้านการเมือง โดยเฉพาะวันที่ 14 ก.พ. 67 กลายเป็นวาเลนไทน์เดือด หวุดหวิดจะได้เลือด...หากสถานที่ดังกล่าวไม่ใช่สภาฯ...ขณะเดียวกันมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ควรแก่การ 'สรุป-บันทึก' หมายเหตุให้แฟนรายการคอลัมน์ 'เลียบการเมือง' ได้รับทราบ ติดตามดังนี้...

1) กรณีญัตติด่วนเรื่อง การทบทวนมาตราการ การรักษาความปลอดภัยขบวนเสด็จ ที่พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอ และประชาธิปัตย์ขอพ่วงท้าย และอภิปรายกันจนเป็นวาเลนไทน์เดือด

บทสรุปก็คือ ส่งผลการพิจารณาญัตติด่วนให้รัฐบาลและ กมธ.วิสามัญ พิจารณากฎหมายนิรโทษกรรม  ส่วนที่ กมธ.ความมั่นฯ ที่รังสิมันต์ โรม ขอกลางสภาฯ ด้วยนั้น ประธานสภาฯ จะจัดส่งให้เป็นกรณีต่างหาก ซึ่งดูเหมือนจะสร้างความผิดหวังให้กับพรรคก้าวไกลพอประมาณ เพราะพรรคก้าวไกลถูก 'ชาดา ไทยเศรษฐ์' รมช.มหาดไทย ที่อภิปรายตอบโต้รังสิมันต์ โรม แฉกลับว่ามีผู้ช่วย สส.ของบางพรรคให้เงินสนับสนุนเยาวชนเคลื่อนไหวด้อยค่าสถาบัน

จากญัตติด่วนฯ ครั้งนี้ แม้พรรคก้าวไกลจะพยายามอภิปรายประเด็นสิทธิเสรีภาพ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยของสังคม ฯลฯ โดยไม่มีน้ำเสียงตำหนิ 'ตะวัน' ที่ก่อเหตุ หนำซ้ำยังอภิปรายเชิงปกป้องด้วยวาทกรรมร้อยแปด...นักสังเกตการณ์ทางการเมืองต่างเชื่อว่าจะทำให้กลุ่มกลาง ๆ ที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ถอยห่างออกมาไม่น้อย

2) กรณีทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพักโทษโดยไม่ต้องติดกำไลอีเอ็ม คาดว่าทักษิณจะยังไม่เปิดตัวในมิติที่มีความสุขสดชื่นอย่างแน่นอน เพราะจะย้อนแย้งกับข่าวอาการป่วย เป็นไปได้ที่จะมีการปล่อยภาพการนอนพักรักษาตัวหลุดออกมาโชว์ให้เห็น

ทั้งหลายทั้งปวง ใช่หรือไม่ว่า...ขณะที่ครอบครัวชินวัตรมีความสุขที่ได้ต้อนรับทักษิณกลับบ้าน พร้อมบริการราชทัณฑ์จันทร์ส่องหล้า แต่ประเด็นทางสังคม...ผลทางอ้อมเชิงลบที่ 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร จะได้รับอันเนื่องจากกรณี 'นักโทษเทวดา' ก็จะเป็นมลทินที่ยากจะลบล้าง...

อนึ่งสำหรับ กลุ่มผู้ชุมนุมที่นำโดยเครือข่ายประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) คาดว่าจะมีการชุมนุมไปอีกระยะ เพราะล่าสุดมีการเติมเสบียงและเสริมทัพจากกองทัพธรรม ทั้งนี้เพื่อรอสถานการณ์สะเด็ดน้ำ

3) รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของเศรษฐา ทวีสิน ดูเหมือนจะออกอาการบ้านหมุน ประคับประคองตัวตั้งหลัก...โดยเฉพาะกรณีดิจิทัล วอลเล็ต...คณะกรรมการมีมติยืดเวลาออกไป 30 วันเพื่อศึกษาข้อเสนอ และหาแนวทางป้องกันการทุจริต ซึ่งไป ๆ มา ๆ รวมเวลาทางธุรการกว่าจะกลับมาประชุมกันอีกครั้งก็ร่วมสองเดือน ซึ่งก็ไม่มีหลักประกันที่แข็งแรงใด ๆ ว่าจะจบ...

4) ขณะที่พรรคเพื่อไทย...ฝ่ายกฎหมายก็ออกอาการเสียรังวัด เมื่อจู่ๆ เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 67 นายชูศักดิ์ ศิรินิล ก็ทำหนังสือขอถอนร่างแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ...ที่กำลังจะเข้าที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 16 ก.พ. จนต้องมีการแจ้งยกเลิกประชุมกะทันหัน

สาระหลักของร่างกฎหมายดังกล่าวเปิดโอกาสให้ 'ผู้เสียหาย' สามารถฟ้องร้องได้เองหาก ป.ป.ช.หรืออัยการสูงสุดสั่งยุติเรื่อง เท่ากับเปิดโอกาสให้มีการรื้อคดีสำคัญๆ ในอดีตขึ้นมา กลายเป็นดาบสองคม  เพราะฝ่ายตัวเองก็มีสิทธิ์โดนด้วย...นี่น่าจะเหตุผลหนึ่งที่ถูกสั่งให้ถอนร่างออกมา...

เผยข้อความไลน์หลุด!! ถ้ายุบ 'ก้าวไกล' สมรภูมิต่อสู้จะแรงกว่าเดิม เจอตอกกลับ 'ก็ดี จะได้จบๆ' รอดูจะอยู่สู้หรือหลบไปต่างประเทศ

(16 ก.พ. 67) กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองขึ้นมาทันที หลัง ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ออกมาเปิดเผยเผยภาพแคปชั่นจากกลุ่มไลน์ โดยระบุข้อความว่า “อ่านไลน์หลุดเก่าจะเข้าใจนะครับว่าใครบงการ”

ทั้งนี้ ภาพข้อความดังกล่าว ระบุว่า “วัตถุประสงค์ของแคมเปญนี้ คือ ทำให้คนที่ ignorant ทางการเมือง หรือคนที่เกิดเติบโตไม่ทัน ได้รู้จักการสังหารหมู่ทางการเมือง แล้วไม่ต้องรับผิด ตั้งแต่ 16 19 35 53 ซึ่งผลตอบรับดีมาก คนยิ่งติดตาม

ผม คุณช่อ ที่รับผิดชอบโครงการนี้ พร้อมเสี่ยงกับการถูกดำเนินคดีทั้งหมด เพื่อยกระดับการต่อสู้ ขยับเพดานของเสรีภาพขึ้นเรื่อย ๆ หากเราไม่ทำ ทุกอย่างก็จะเงียบหมด ขอบคุณเพื่อน สส. ที่ทวิตให้กำลังใจครับ”

ขณะที่ผู้ใช้ชื่อ ‘อ.ปิยบุตร’ ได้แท็กข้อความของผู้ใช้ชื่อ ‘ณัฐวุฒิ ส.ส.กก.’ ซึ่งระบุว่า “@กาย สส.กก. @อ๋อง สส.กก. เอาไงเอากัน ไปถามพี่แมวหน่อย แกมีพรรคในมือ…” 

โดยผู้ใช้ ‘อ.ปิยบุตร’ เขียนตอบว่า “ไม่ต้องกังวลครับ มีอีกหลายพรรค แต่ถ้ามันบ้ายุบก้าวไกลอีกรอบ มันจะไม่ใช่แค่เรื่องยุบพรรคแล้วครับ สมรภูมิการต่อสู้จะเปลี่ยนไปแรง ไกล ก้าวหน้ากว่าเดิมแบบที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน”

จากนั้นเป็นข้อความของผู้ใช้ ‘เติร์ด ส.ส.ก.ก.’ ซึ่งระบุว่า “ยินดีครับอาจารย์ เราแค่สอบถามหาความจริงเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้นครับ ส่วนตัวผมยังเห็น… ” และปรากฏข้อความต่ออีกว่า “องค์การสส.กก. หลวงพ่อท่านบอกว่า…สติมาปัญญาเกิด…”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อความไลน์หลุดดังกล่าว ได้ถูกนำไปเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง โดยหนึ่งในนั้นคือ ผู้ใช้ชื่อว่า Thepmontri Limpaphayorm ระบุว่า “ไลน์หลุดที่อาจารย์มาโพสต์ผมชอบนะครับ โดยเฉพาะคนที่ใช้ชื่อว่าปิยบุตร ซึ่งมันคงไม่เคยเห็น สงครามกลางเมือง บางทีถ้าเกิดขึ้นจริงก็ดี จะได้ทำให้มันจบ ๆ ปล่อยแบบนี้มานานมากแล้ว”

ขณะที่มีคนเข้าไปคอมเมนต์ตอบว่า “แต่เวลาเกิดจริง ๆ คนพวกนี้ก็ไม่อยู่สู้ แต่หลบไปต่างประเทศครับ แล้วก็กลับมาโกยตอนจบ”

'ชาวเน็ต' ถกสนั่น!! ผลโหวต 'ความนิยมนักการเมือง เดือน ก.พ.67 'ก้าวไกล' ติดโผเพียบ!! ไร้เงา รทสช. ส่อ!! 'โพลไม่โปร่งใส-ชี้นำ'

(19 ก.พ. 67) แม้จะเป็นเดือนแรก ๆ ของปี 2567 แต่บรรยากาศทางการเมืองยังคงน่าจับตามองไม่เปลี่ยนแปลง ‘LINE TODAY’ จึงขอชวนทุกคนมาสำรวจคะแนนความนิยมของนักการเมืองที่คุณชื่นชอบ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ซึ่งได้แก่…

- แพทองธาร ชินวัตร
- เศรษฐา ทวีสิน
- ชลน่าน ศรีแก้ว
- พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
- ปดิพัทธ์ สันติภาดา
- รักชนก ศรีนอก
- พริษฐ์ วัชรสินธุ
- รังสิมันต์ โรม
- วิโรจน์ ลักขณาอดิศร
- ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
- สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
- ศิธา ทิวารี
- อนุทิน ชาญวีรกูล
- ศักดิ์สยาม ชิดชอบ
- ชาดา ไทยเศรษฐ์
- ประวิตร วงษ์สุวรรณ
- ธรรมนัส พรหมเผ่า
- ชวน หลีกภัย
- ชัยธวัช ตุลาธน
- ศิริกัญญา ตันสกุล
- กัณวีร์ สืบแสง
- กรุณพล เทียนสุวรรณ
- วราวุธ ศิลปอาชา
- สุวัจน์ ลิปตพัลลภ

ทั้งนี้ ภายหลังโพลเรียกคะแนนโหวตดังกล่าวเผยแพร่ ก็มีความคิดเห็นชาวเน็ตเข้าไปท้วง ถึงการตีความบุคคลที่มาให้โหวตว่า ทำไมมีแต่คนจากพรรคก้าวไกล 

ขณะเดียวกัน ก็มองว่าการทำโพล Vote โดย Line หนนี้เหมือนตั้งใจชี้นำ เพราะไม่มีแคนดิเดตนายกฯ อย่างนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เลย

นอกจากนี้ในคอมเมนต์ยังได้มีการคุยกันว่า มีการบิดเบือนผลโหวต เช่น กดโหวตให้พี่ท็อปวราวุธ แต่คะแนนไปกระเด้งขึ้นที่พิธา เป็นต้นอีกด้วย

ร่าง กม. ‘คำนำหน้านาม’ ระบุเพศให้ LGBTQ ร่วง!! เสียงส่วนใหญ่ ชี้!! ไม่ได้จะเปลี่ยนแปลงกันง่ายๆ

(21 ก.พ.67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่สอง เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรับรองเพศ คำนำหน้านาม และการคุ้มครองบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ พ.ศ…. เสนอโดยนายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และคณะเป็นผู้เสนอ ทั้งนี้ก่อนเข้าสู่วาระนายอัครนันท์​ กัณณ์กิตตินันท์ สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย เสนอให้เจ้าของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว พิจารณาถอนร่างพ.ร.บ.ฯ ออกไปก่อน เพื่อรอร่างของภาคประชาชนที่มีแนวคิดคล้ายๆ กันที่จะเสนอเข้ามา ถึง 2 ฉบับ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอย่างมาก จึงมีความจำเป็นต้องรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนทั้งที่อยู่ในกลุ่ม LGBTQ และไม่ได้เป็น LGBTQ เพื่อให้กฎหมายเป็นของทุกกลุ่ม

แต่นายธัญวัจน์ ยืนยันไม่ถอนร่างฯ ออก เนื่องจากเห็นว่าเราสามารถสร้างพื้นที่การมีส่วนร่วมได้อยู่แล้ว และเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศรออยู่ เราก็ควรจะต้องผลักดัน และสภาฯ ก็เปิดกว้างอยู่แล้ว และเรื่องนี้มีการผลักดันกันตั้งแต่ปี 2559 แล้ว

ทำให้ที่ประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวต่อ โดยนายธัญวัจน์ ชี้แจงเหตุผลว่า โดยที่รัฐธรรมนูญ รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคลยอมได้รับความคุ้มครอง แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายรับรองบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ จึงส่งผลให้เกิดการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเอกสารของรัฐไทย ยังกำหนดให้ใช้คำนำหน้านามซึ่งถือตามเพศกำเนิดได้แก่ เด็กชาย เด็กหญิง นาย นางสาว และนาง ส่งผลให้บุคคลข้ามเพศและผู้หลากหลายทางเพศอื่นประสบปัญหาในการแสดงตัวตน การจะตัดสินใจกำหนดวิถีทางเทศ และกระทบต่อการดำเนินชีวิต จึงสมควรมีกฎหมายออกมาคุ้มครอง

นายธัญวัจน์ กล่าวต่อว่า หากเราจะเปลี่ยนแปลงการประกอบสร้างสังคมใหม่ เราจำเป็นต้องคืนเจตจำนงเรื่องของการระบุเพศให้กับพวกเขา เรื่องเพศเป็นเรื่องสำนึกภายในที่จะบอกตนเองได้ว่าตัวเองเป็นอะไร และอยากจะดำเนินชีวิตอย่างไร ทั้งวิถีและการแสดงออก โดยหลักการสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้คือ Self-determination หรือการกำหนดเพศด้วยตัวเอง นี่คือจุดเริ่มที่เราจะเปลี่ยนแปลงการประกอบสร้าง และมีอีกหลายก้าวสำคัญที่ต้องผลักดันเพื่อให้สังคมได้โอบรับกับความหลากหลาย เพราะเพศมีคำอธิบายมากกว่าเรื่องของร่างกายและกายภาพซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้ได้นิยามอัตลักษณ์ทางเพศว่า คือการที่บุคคลหนึ่งรับรู้ต่อตนเองว่าคือใคร และเป็นเพศอะไร ซึ่งจะสอดคล้องกับสิ่งที่สังคมกำหนดหรือไม่ก็ได้ หมายรวมถึงการแสดงออกทางเพศด้วย ทำให้เราจำเป็นต้องออกกฎหมายที่คำนึงถึงเรื่องของอัตลักษณ์ทางเพศไม่ใช่แค่เพศสภาพทางเพศเท่านั้น

จากนั้นเป็นการแสดงความคิดเห็นโดย สส.พรรคก้าวไกล อภิปรายสนับสนุน ขณะที่สส.พรรครัฐบาลทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชาติ อภิปรายคัดค้าน ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ อาทิ นายธีระชัย แสนแก้ว สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า การออกกฎหมายใดๆ จะต้องสอดคล้องกับบริบทสังคมหากกฎหมายใดสุดโต่งเกินกว่าความต้องการของสังคมกฎหมายนั้นก็จะไม่สร้างประโยชน์ แล้วจะไม่ตอบโจทย์สภาพสังคมได้ อาจจะสร้างปัญหาตามมา ที่ผ่านมาสภาฯ ได้มีการพิจารณากฎหมายสมรสเท่าเทียม และได้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ เพื่อใช้สิทธิเสรีภาพในการสมรสรับรองความเป็นคู่สมรสของคน 2 เพศและเพศเดียวกัน ซึ่งตนอภิปรายสนับสนุนเรื่องนี้มาโดยตลอด เพราะคิดเสมอว่าไม่ว่าใครบนโลกใบนี้ต่างก็มีความรัก ไม่ควรถูกปิดกั้นเพราะเป็นเพียงแค่เกิดมาเป็นเพศใดเพศหนึ่ง

นายธีระชัย กล่าวต่อว่า คำนำหน้าชื่อไม่ว่าจะเป็นนาย นาง นางสาว ที่เป็นการแบ่งเพศตามสภาพมาตั้งแต่กำเนิด ตนมีความห่วงใยและความกังวลในการเปลี่ยนได้ตามความสมัครใจ เพราะในต่างประเทศสามารถให้เปลี่ยนคำนำหน้าได้ มีกฎ มีเงื่อนไขยากง่ายแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าไม่ว่าจะเป็นเพศไหนทุกคนควรมีสิทธิ์ได้เลือกความเป็นตัวเอง หากเขาไม่สะดวกที่ต้องใช้คำนำหน้าที่ไม่ตรงกับเพศสภาพในปัจจุบัน ตนคิดว่าเขาควรมีสิทธิ์เลือกไม่ใส่คำนำหน้านามก็ได้ แต่ขอยกตัวอย่างประเทศ

เช่น สวีเดน ฟินแลนด์ การเปลี่ยนคำนำหน้าไม่ได้จะเปลี่ยนกันง่าย ต้องพบจิตแพทย์ ต้องทำหมัน เพื่อกันกรณีถูกข่มขืนและตั้งท้อง แล้วประเทศเราจะใช้หลักอะไร ซึ่งถือเป็นข้อกังวล เพราะอาจเป็นต้นเหตุของการก่ออาชญากรรม เช่น การเปลี่ยนเพื่อไปหลอก ลวนลามบุคคลอีกเพศ เพื่อบอกว่าเป็นเพศเดียวกัน

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 17 ก.พ. ที่ผ่านมา ตนได้ไปเยี่ยมผู้ต้องขังที่เรือนจำอุดรธานีกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้ไปเห็นการแบ่งแยกนักโทษชายหญิง ถ้าสมมติว่าเพศทางเลือกได้กระทำผิด ซึ่งเขามีจิตใจไม่ตรงกับเพศสภาพ แล้วเขาเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เขาต้องอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังชายหรือหญิง

"ผมเห็นบางคนเพศสภาพอาจจะเป็นชาย แต่จิตใจเขาเป็นผู้หญิง พอเขาเข้าไปในเรือนจำ คนพวกนี้จะมีสภาพจิตใจอย่างไร เพราะนมก็ยังไม่ได้เอาออก ต้องตัดผมสั้นอีก อย่างนี้เราจะให้เขาได้รับสิทธิ์เลือกหรือไม่ หรือสามารถเปิดพื้นที่ส่วนหนึ่งได้หรือไม่ เพราะจะต้องใช้สถานที่ ผมเป็นคนคิดมาก แม้สนับสนุนเรื่องแบบนี้มาโดยตลอด แต่ผมเป็นห่วงว่าแต่ละคนสภาพไม่เหมือนกัน บางคนสามารถเตะก้านคอผู้ชายสลบอย่างนี้ก็มี แต่เขาสามารถแปลงเพศได้ อรชรอ้อนแอ้น อย่างนี้เปลี่ยนแล้วจะมีความเป็นธรรมหรือเปล่า เพราะการจะสร้างความเป็นธรรม เท่าเทียมเราสามารถสร้างได้ด้วยตัวเองมากกว่า เราสามารถผลักดันให้ผู้มีอำนาจใช้กลไกทางกฎหมายสร้างความเป็นธรรมให้ได้เป็นรูปธรรมได้ดียิ่งกว่าการเปลี่ยนนายเป็นนาง หรือเปลี่ยนนางเป็นนาย ผมไม่อยากมองว่า แค่คำนำหน้านาม นาย นาง นางสาว เด็กชาย เด็กหญิง เป็นกรอบกำหนดในชีวิต เพราะไม่ว่าท่านจะเป็นนาย นาง นางสาว หรือมนุษย์ เสมอภาคกันทุกคน เพราะก็คนเหมือนกัน ผมเชื่อว่าถ้าคนเรารักกันจริง คำนำหน้านามไม่จำเป็นต้องเอามาเป็นกำแพงปิดกั้นความรัก ถ้าเราเอานาย นาง นางสาว มาเป็นอุปสรรค เพื่อปิดกั้นความรัก ผมว่ามันไม่ใช่ความรัก ดังนั้นหากจะทำกันจริงๆขอให้ละเอียดรอบคอบกว่านี้" นายธีระชัย กล่าว

ส่วนนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า รู้สึกภาคภูมิใจทุกครั้งที่สภาฯ เปิดพื้นที่ให้กับการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพมนุษยชน และรู้สึกเท่ที่สภาไทยพูดถึงเทรนของโลก กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีหลายเรื่องที่ให้ความเป็นธรรม เช่น นิติสินสมรส และเสรีภาพขั้นพื้นฐานอื่นๆ แต่พอมาดูเรื่องของคำเปลี่ยนคำนำหน้านาม เราต้องรับฟังให้รอบ อย่าเหาะเกินลงกา ไปไกลชนิดที่ว่าสุดลิ่มทิ่มประตู และจะทำให้สร้างปัญหาต่อ ก่อปัญหาใหม่ และการที่เราจะภาคภูมิใจหรือไม่ภาคภูมิใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการใช้คำนำหน้าว่าอะไร

“คงไม่ใช่ว่าปกติเป็นคนหม่นหมองตรอมเศร้า ผลไม้ที่ชอบคือระกำ ปลูกดอกไม้ก็ปลูกดอกลั่นทม ฉันจะปลูกหญ้า เมื่อปลูกหญ้าก็ตรอมใจ เป็นคนประเภท ระทม ระกำตรอมใจ แต่พอเปลี่ยนคำนำหน้านามแล้วจะลุกมาแฮปปี้ชนิดที่ว่าเปลี่ยนปุ๊บแฮปปี้ปั๊บ คงไม่ใช่เช่นนั้น แต่ความภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือเป็นหญิง หรือจะเป็น LGBTQ เราสามารถภาคภูมิใจได้” นายอนุสรณ์ กล่าว

ทั้งนี้ นายนายอนุสรณ์ ได้ร้องเพลง ‘กะเทยประท้วง’ ของปอยฝ้าย มาลัยพร กลางสภาว่า “ฉันภูมิใจ ภูมิใจที่เป็นกะเทย ไผสิเว้าเยาะเย้ย กะส่างเถาะเว้ย กะส่างเถาะเว้ยปากคน” พร้อมระบุว่าเป็นกะเทยก็ภาคภูมิใจได้แล้ววันนี้คำว่ากะเทย คำที่บ่งบอกถึงเพศสภาพที่ 3, 4, 5 ไม่ใช่สิ่งที่จะไปบูลลี่กัน ไม่ใช่คำที่ฟังแล้วถูกประณามหยามหมิ่น สังคมเราเป็นประเทศที่เปิดรับและเปิดกว้างกับคำหลากหลายทางเพศ ดังนั้นสิ่งที่ต้องตั้งข้อสังเกตคือ เราจะเป็นชายจริงหญิงแท้ LGBTQ เราควรจะภาคภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น ตนเชื่อมั่นว่าเราจะใช้คำนำหน้าว่าอย่างไรเราก็ภาคภูมิใจได้ก่อนที่เราจะเรียกร้องให้คนอื่นเคารพเรา เราควรเคารพผู้อื่นก่อน ก่อนที่เราจะเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้กับตนเอง เราหันไปมองรอบด้านเสียก่อนว่า สิทธิ์ที่เราเรียกร้องนั้นได้ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นหรือไม่ และต้องระมัดระวังผลกระทบ ที่จะตามมาอย่างที่ “ดา เอ็นโดรฟิน”ได้ร้องเพลงไว้ว่า ‘ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ’ ซึ่งหากเปลี่ยนคำนำหน้านาม จะไม่ได้หยุดแค่ที่ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ แต่จะกลายเป็นไม่รู้จักชายไม่รู้จักหญิง ไม่รู้จัก LGBTQ

ขณะที่ น.ส.กฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ขอสนับสนุนร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ซึ่งตนเกิดมาด้วยเพศหญิง วันนี้ขอพูดเลยว่าตนใช้ชีวิตเหมือนเด็กผู้ชายมาตลอดตั้งแต่เด็กมีความรู้สึกชอบและรักเพศหญิงมาตั้งแต่เด็ก และใช้ชีวิตแบบนี้มาเป็นปกติ จนกระทั่งวันนี้อายุ 46 ปีแล้ว ตนภูมิใจในความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้อยากจะเปลี่ยนคำนำหน้าเป็นผู้ชายแต่อย่างใด แต่เวลาที่เราไปติดต่อราชการ หรือเวลาแนะนำตัวเอง จะต้องมีการหันกลับมามองทุกครั้งและมีความไม่แน่ใจว่า ตกลงเราผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ เมื่ออ่านในใบสมัครข้าราชการหรือเอกสารราชการคำนำหน้าขึ้นด้วยนางสาว ซึ่งจะมีเสียงซุบซิบนินทาตามหลังมาเสมอ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรมากมายแต่ก็เป็นเรื่องที่น่ารำคาญใจ และบางครั้งตอนที่เรายังไม่ได้คุยกับใครทุกคนก็ไม่ได้มองถึงขอบกพร่องตรงนี้ แต่เมื่อเริ่มคุยและลงท้ายด้วยค่ะ สิ่งที่ตามมาคืออคติของคนที่คุยกับเรา และมักจะมีคำนินทาตามหลังเสมอว่า ไอ้ทอม อย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเป็นคำพูดที่ค่อนข้างทำร้ายจิตใจ ผู้ใหญ่ที่ค่อนข้างเป็นหัวอนุรักษ์โบราณก็ไม่อยากคุยกับไอ้ทอม ซึ่งงานที่ไปติดต่อก็เป็นประโยชน์แต่โดนเหยียดทางอัตลักษณ์ทางเพศ

ส่วนนายปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ตนขอพูดจากก้นบึ้งของหัวใจจากผู้หญิงข้ามเพศ อายุ 51 ปี ตนเจ็บปวดกับคำนำหน้านามว่า นาย มาตลอดชีวิต นี่เป็นความฝันสูงสุดของตนสิ่งหนึ่งกับการที่จะได้เปลี่ยนคำนำหน้าให้ตรงกับอัตลักษณ์ทางเพศของตนในปัจจุบัน ตนฝันสิ่งนี้มานาน ความฝันของตนคือการได้เป็นผู้หญิงอย่างสมบูรณ์ ซึ่งตนได้บรรลุความฝันเป็นผู้หญิงอย่างสมบูรณ์ไปหลายสิบปีแล้ว แต่ความฝันที่สองที่สูงสุดคือออกจากความจากความเจ็บปวดที่ตนถูกเรียกว่า นาย ทุกครั้ง และใครที่ไม่ได้เป็นบุคคลข้ามเพศไม่มีทางเข้าใจสิ่งนี้ ดังนั้นขอให้สภาฯมาร่วมกันถกเถียงปรับแก้ในจุดที่มีปัญหา และขอวิงวอนจากหัวใจของหญิงข้ามเพศที่รอสิ่งนี้มานานตลอดชีวิต

หลังสมาชิกอภิปรายเสร็จสิ้น ที่ประชุมลงมติเห็นด้วย 152 เสียงไม่เห็นด้วย 256 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง ถือว่าที่ประชุมไม่รับร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้

‘อัษฎางค์’ ถามดังๆ ถึง ‘คณาจารย์-ผู้บริหาร’ ม.ราม ปล่อย ‘ก้าวไกล’ เอี่ยวกิจกรรมนักศึกษา เพื่ออะไร 

(21 ก.พ.67) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ ในหัวข้อ ‘เด็กราม ยอมให้เขาทำแบบนี้ใช่มั้ย ?’ ระบุว่า…

คณาจารย์ ผู้บริหาร ม.ราม ยอมให้เขาทำแบบนี้ใช่ไหม?

ศิษย์เก่า จะนิ่งดูดายหรือไม่?

ปล่อยให้พรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของนักศึกษา ด้วยเหตุผลอะไร? 

ก้าวไกลคิดครอบงำองค์กร นศ.หรือไง หวังผลอะไร?

องค์กรนักศึกษา ตั้งขึ้นเพื่อกิจกรรมของนักศึกษาและมหาวิทยาลัย หรือเพื่อเป็นแขนขาของพรรคการเมือง ที่ศาลวินิจฉัยว่า มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง 

นอกจากนี้ยังปล่อยให้มีการซื้อเสียงตั้งแต่ยังเป็น นศ. นี่หรือคือการเมืองของคนรุ่นใหม่?

ถามดังๆ ไปถึงน้องๆ นักศึกษา คณาจารย์และผู้บริหาร

ท่านปล่อยให้พรรคการเมืองที่ศาลวินิจฉัยว่า มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง ให้เข้ามาเกี่ยวข้องหรือแทรกแซงองค์กรนักศึกษา เท่ากับท่านสนับสนุนพรรคที่ศาลวินิจฉัยว่า คิดล้มล้างการปกครอง ใช่หรือไม่?


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top