Sunday, 19 May 2024
ก้าวไกล

'สส.ก้าวไกล' โว!! มีข้อมูลแฉกองทัพใช้งบหลวงจ้างยูทูบเบอร์ทำคลิป ด้านกองทัพ ไม่หวั่น!! ยัน!! หนุนทุกสื่อที่ขอตามติดภารกิจชายแดน

จากกรณีที่ ยูทูบช่อง Pigkaploy ของ 'พลอย' พลอยไพลิน ปล่อยอีพีล่าสุด ชื่อตอน 'ทหารมีไว้ทำไม EP.1' ตอนลองใช้ชีวิตเป็นทหารชายแดนเหนือ 3 วัน 2 คืน l ไทย-เมียร์มาร์ ซึ่งเป็นการติดตามการทำงานของทหารชายแดนเหนือไทย-เมียนมา โดยมีเพจทางการของเหล่าทัพ พร้อมใจกันแชร์คลิปดังกล่าว จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า คลิปดังกล่าวเป็นการทำขึ้นตามที่รับบรีฟจากกองทัพบกหรือไม่ จน 'พลอย' ต้องออกมาชี้แจงว่า "โปรเจกต์นี้ไม่มีการรับบรีฟจากกองทัพบก มีเพียงได้รับการสนับสนุนในการถ่ายทำ"

ล่าสุด (19 ม.ค.67) นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นถึงกรณีดังกล่าว โดยมีเนื้อหาดังนี้...

'เรื่องนี้ขอรวบรวมข้อมูลอีกแป๊บนะครับ ข้อมูลเยอะมาก ที่กองทัพใช้งบประมาณแผ่นดินไปจ้างยูทูบเบอร์ทำคลิป แล้วบิดเบือนประวัติศาสตร์จนน่าเกลียดด้วย วิธีการคือกองทัพจะจ้างบริษัทคนกลาง และคนกลางไปจ้างต่ออีกทอด"

ขณะที่ด้าน กองทัพบก ได้ออกมายืนยัน 'พลอยไพลิน' ไม่ใช่ไอโอกองทัพ และที่ผ่านมาทางกองทัพก็พร้อมอำนวยความสะดวกทุกคน ซึ่งรวมถึงสื่อทุกสำนัก ที่ได้ติดตามภารกิจทหารชายแดนมาแล้วทั้งสิ้น

โดยรายงานข่าวจากกองทัพบก เปิดเผยว่า จริงๆ แล้วทางกองทัพบกได้รับการประสานมาก่อนที่จะประสานไปยังพื้นที่ เพื่อให้อำนวยความสะดวกให้กับยูทูบเบอร์คนดังกล่าว และไม่ว่าจะเป็นใครติดต่อมา และกองทัพบกเห็นว่ามีประโยชน์ก็จะอำนวยความสะดวกให้ทุกคนอยู่แล้ว ไม่เฉพาะเจาะจงว่าจะเป็นคนใดคนหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีหลายสำนักข่าวที่ติดต่อไปทำข่าวติดตามภารกิจของเจ้าหน้าที่ทหารตามแนวชายแดนอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว ไม่ใช่เฉพาะยูทูบเบอร์คนนี้

ขณะที่ แหล่งข่าวจากกองกำลังผาเมือง เปิดเผยว่า ยูทูบเบอร์คนดังกล่าวได้ประสานจากทางส่วนกลางคือกองทัพบก และกองทัพบกได้ประสานมายังพื้นที่ เพื่อให้อำนวยความสะดวกในการเข้าในพื้นที่ถ่ายทำ การทำหน้าที่ของทหารตามแนวชายแดน และที่เป็นข่าวดรามาว่าเป็นไอโอของทางทหารนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากการทำหน้าที่ของทหารชายแดนก็ทำอยู่ทุกวันอยู่แล้ว และไม่ใช่คณะของยูทูบเบอร์คนดังกล่าวมาทำเป็นคณะแรก แต่มีคณะสื่อมวลชนหลายคณะที่เคยเข้ามาทำข่าวติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่ทหารตามแนวชายแดน 

" ทหารตามแนวชายแดนของเราได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นปกติทุกวัน หากมีสื่อมวลชนสำนักพิมพ์ทีวีหรือ ยูทูบเบอร์คนใดช่องใด ต้องการทำติดตามภารกิจของทหารชายแดนก็สามารถประสานขอมายังกองทัพบกส่วนกลาง หลังจากนั้นทางกองทัพบกจะได้ประสานมายังพื้นที่เพื่อให้อำนวยความสะดวก ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นภารกิจที่ทำเป็นประจำอยู่แล้ว และมีสื่อมวลชนหลายสำนักได้เคยนำภารกิจตรงนี้ของเจ้าหน้าที่ทหารชายแดนไปเผยแพร่แล้ว จึงไม่น่าใช่ไอโอของกองทัพอย่างแน่นอน" แหล่งข่าวกองกำลังผาเมือง กล่าว

‘ปิยบุตร’ เตือนสติ ‘สส.ก้าวไกล’ อย่าเอาแต่โทษไอโอ ชี้!! หากปฏิบัติตนอย่างระวัง ใครก็ทำลายชื่อเสียงไม่ได้

(19 ม.ค. 67) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า อดีตผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า เพจ ‘ก้าวไกลโกหกอะไร’ จ้องจับผิด สส.และคนของพรรคก้าวไกล จนน่ารำคาญ น่าสงสัย นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ สส.และคนของพรรคก้าวไกล ซึ่งกลายเป็นบุคคลสาธารณะแล้ว มีประชาชนมากมายมหาศาลรัก ชื่นชม ฝากความหวังให้เป็นฟันเฟืองของการเปลี่ยนแปลง ก็ควรต้องตระหนักได้แล้วว่ามีขบวนการปฏิบ้ติการข้อมูลข่าวสารจากทุกสารทิศ สนธิกำลังกันทั้งจากฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ฝ่ายพรรคการเมือง จ้องจับผิดเล่นงานขยายผลอยู่

การไปกล่าวโทษไอโอ ไปร้องแรกแหกกระเชอว่าโดนกลั่นแกล้ง ไปตามจับตามสืบว่าใครไปปล่อยข่าว แอบถ่าย ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ตรงเป้าควรป้องกัน แก้ไขที่ตนเอง ทำตัวให้มาชัวร์ครองตนอย่างระวัง รอบคอบ แต่กล้าหาญ ควบคุมดูแลคัดกรองทีมงานให้ดี

"วันนี้ เป็น ผู้แทนราษฎรแล้ว วันนี้ เป็นตัวแทนของพรรคก้าวไกลที่คนคาดหวังสูงแล้ว ก็ควรประพฤติปฏิบัติตนให้เข้าที่เข้าทางเสียหน่อย อย่าให้ประชาชนที่ฝากความหวัง ต้องผิดหวัง คิดถึงเสียงกู่ร้อง แววตา ของประชาชนที่เราได้เห็นช่วงหาเสียงให้มา กๆ คิดถึงความตั้งใจของประชาชนที่กลับบ้านไปเลือกพรรคก้าวไกลให้มาก ๆ ถ้าทำได้เท่านี้ จะกี่เพจ จะกี่ปฏิบัติการไอโอ ก็ทำอะไรไม่ได้" นายปิยบุตร ระบุ

นายปิยบุตร ระบุด้วยว่า สส.และคนของก้าวไกลต้องพึงระวังเสมอว่า การครองตน การประพฤติปฏิบัติที่ถูกสังคมติฉิน ตั้งคำถาม ไม่ได้สร้างความเสียหายให้ตนเองตามลำพัง แต่มันกระทบทั้งพรรค คนทำงาน หาคะแนนนิยม สร้างผลงาน แบกพรรคไว้ แต่พอเจอเรื่องของคนในพรรคหรือ สส.ขึ้นมา ก็กระทบกันไปหมด

"ผมคนนอก ขอพูดตรงไปตรงมา เพราะ คนในพรรคอาจไม่กล้าพูดกันตรง ๆ แบบนี้ องค์กรแบบก้าวไกล คือ แบรนด์ แนวคิด อุดมการณ์ ไม่ได้ขายคนคนเดียวหรือไม่กี่คน ทุก ๆ คนที่อยู่ที่นี่ ต่างก็อาศัยพลังของกันและกัน ไม่มีใครคนไหน ออกไปโตเดี่ยวแล้วจะรอด ชนะเลือกตั้งกันมา ก็คือแนวคิดและกระแสพรรคหนุนส่งเป็นสำคัญดังนั้น ทำอะไร ต้องคิดถึงพรรค เพื่อนร่วมพรรค สมาชิกพรรค และประชาชนที่เลือกมาให้มาก ๆ" นายปิยบุตร ระบุ

‘โฆษก รทสช.’ อัด!! ‘จิรัฏฐ์’ ปมขอเข้าดูบ้านพัก ’บิ๊กตู่’ ชี้!! องคมนตรีอยู่นอกการเมือง ไม่ควรก้าวล่วงท่าน

เมื่อวานนี้ (21 ม.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีที่นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ที่ได้ให้สัมภาษณ์ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร ว่าจะดำเนินการตรวจสอบกระทรวงกลาโหมและกองทัพในประเด็นต่างๆ ว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ กมธ.จะเข้าไปตรวจสอบหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ซึ่งตนในฐานะ สส. ก็สนับสนุนให้ไปตรวจสอบหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยที่ไม่ใช่เฉพาะกระทรวงกลาโหม แต่การจะไปตรวจสอบอะไรนั้นก็ต้องมีการหารือกันในคณะ กมธ.ให้มีมติก่อน ไม่ใช่อยากจะตรวจสอบอะไรก็ออกมาให้ข่าว ซึ่งกรณีนี้ไม่ทราบว่าทาง กมธ.ได้มีมติออกมาหรือยัง และก็ไม่ทราบว่านายจิรัฏฐ์ใช้อำนาจใดที่จะไปตรวจสอบ เพราะการจะทำหน้าที่อะไรนั้นเราจะต้องเข้าใจอำนาจหน้าที่ กฎหมาย และบทบาทก่อน เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของสังคมและประชาชน

“นายจิรัฏฐ์ก็ไม่ใช่ประธาน กมธ. เป็นเพียงโฆษก ก็ควรจะออกมาแถลงแค่มติของ กมธ. ไม่ใช่ออกมาแถลงในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด อยากจะทำ นายจิรัฏฐ์จะทำอะไรควรคิดให้มากและรอบคอบ เพราะมันจะทำให้ กมธ.ไม่มีความน่าเชื่อถือ และไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมและประชาชน” นายอัครเดช กล่าว 

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังกล่าวต่อถึงกรณีที่นายจิรัฏฐ์ จะขอกระทรวงกลาโหมเข้าไปถ่ายทำบ้านพักของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ว่า ปัจจุบันตั้งแต่พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรี ก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้ว ก็ไม่ควรไปก้าวล่วงท่าน ซึ่งนายจิรัฏฐ์เป็นถึง สส. ก็ต้องรู้ว่าใครอยู่ในการเมือง อยู่นอกการเมือง หรืออะไรควร ไม่ควร ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมด้วย ควรทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อถือ เชื่อมั่น เพราะไม่เช่นนั้นก็จะทำให้ตัว สส.เสื่อมเสียไปเอง และขอแนะนำให้นายจิรัฎฐ์เอาเวลาไปทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนจะดีกว่า

ชาวบ้านร้องกรมโรงงานฯ ตรวจสอบ สส.ก้าวไกล ถามตั้งโรงงานถูกต้องหรือไม่ หลังเป็นพื้นที่สีเขียว

(25 ม.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า…

“ทุกคนคะ ชาวบ้านร้องตรวจสอบ โรงงาน สส.พรรคดัง จ.ฉะเชิงเทรา

โรงงานแห่งนี้รับผลิตกล่องกระดาษ แจ้งว่ากำลังผลิตวันละไม่ต่ำกว่า 100,000 กล่อง/วัน เป็นของ สส.ลักแกง ก่อนจะโอนให้แม่ก่อนเป็น สส.

ตรวจสอบจากเว็บไซต์กรมโรงงาน ไม่พบชื่อโรงงานแห่งนี้ในฐานข้อมูล ตรวจสอบพื้นที่ตั้งโรงงานพบว่าอยู่ในโซนสีเขียว เขตห้ามสร้างโรงงาน

จึงขอร้องเรียนไปทางกระทรวงอุตสาหกรรม ช่วยตรวจสอบใบอนุญาตและประเภทของกิจการว่าถูกต้องหรือไม่

หรือว่า สส.ชื่อดัง เป็นผู้มีอิทธิพลหรือไม่ จึงไม่กล้าตรวจสอบคะ”

จับตาด่านสอง ‘พิธา-ก้าวไกล’ ‘คดี ม.112-ล้มล้างฯ’ มีเสียว!!

นับเป็นโชคดีของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ที่ได้กลับสู่สภาฯ อีกครั้ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 8 ต่อ 1 วินิจฉัยว่าแม้พิธาจะถือหุ้นไอทีวีอยู่จริง แต่ในขณะนั้นไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการสื่อ ไม่มีรายได้ ฯลฯ จึงไม่นับเป็นหุ้นสื่อ ไม่มีลักษณะต้องห้ามมาตรารัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ที่ห้ามถือหุ้นสื่อ...จึงไม่พ้นสมาชิกภาพความเป็น สส.ตามมาตรา101 (6)

ส่วนตัว ‘เล็ก เลียบด่วน’ ต้องขอแสดงความยินดีกับ พิธา...และเชื่อว่าหากจากนี้ไปหากพิธาซื่อตรงกับข้อเท็จจริงในทุกเรื่อง รวมทั้งชีวิตส่วนตัว...แปลไทยเป็นไทยว่า อย่าพูดโกหกไม่ว่าเรื่องใด ๆ ก็จะจำเริญรุ่งเรือง เพราะคนไทยเชื่อในพุทธภาษิต “คนพูดโกหกไม่ทำชั่วไม่มี” แก้ตรงนี้เสีย...อนาคตก็จะก้าวไกลเหมือนชื่อพรรค เฉพาะหน้าประชุมใหญ่วิสามัญเดือน เม.ย.ก็น่าจะได้คัมแบ็ก นั่งหัวหน้าพรรค และสเตปต์ต่อไปก็คือ เป็นผู้นำฝ่ายค้านสภาผู้แทนราษฎร…

สมัยนี้ก็เป็นผู้นำฝ่ายค้าน เป็นนายกฯ รถแห่ หรือ นายกฯ ว่าวไปก่อน...บำเพ็ญเพียรบารมี ยกระดับวุฒิภาวะอีกขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เลือกตั้งรอบหน้าระเบิดเถิดเทิง

อย่างไรก็ตามวันพุธที่ 31 ม.ค. 67 มีอีกด่านที่ พิธา ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกลผู้ถูกร้องที่ 2 จะต้องลุ้นระทึกคือ คดีที่ถูกร้องเรื่องการหาเสียงที่เดินหน้าแก้ไขมาตรา 112 สืบเนื่องถึงปัจจุบัน เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง...หรือไม่?

ผู้ร้องคือ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษตร ศิษย์เอกคนหนึ่งของอดีตพระพุทธะอิสระ...

เป็นคดีที่ผู้ร้องต่อยอดมาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 10 พ.ย. 64 กรณีการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ ที่มีการเสนอ 10 ข้อแบบ ‘ทะลุเพดาน’ ให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งศาลสั่งให้นายอานนท์ นำภา, ภาณุพงศ์ จาดนอก และ รุ้ง ปนัสยา รวมทั้งองค์เครือข่ายหยุดการดำเนินการเพราะเป็นการเคลื่อนที่ไหวที่ “มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป..”

นายธีรยุทธเห็นว่าพรรคก้าวไกลดำเนินการขัดกับคำวินิจฉัย จึงใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ยื่นร้อง และศาลมีมติรับคำร้องเมื่อ 12 ก.ค. 66

ตอนท้ายของหน้าที่ 18 ของคำร้อง นายธีรยุทธ ขอให้ศาลวินิจฉัยว่า…

“...เพื่อเป็นมาตรการป้องกันความเสียร้ายแรงที่อาจจะเกิดกับสถาบันหลักของประเทศไว้ก่อน อันเป็นรัฐประศาสโนบายที่จำเป็นเพื่อดับไฟกองใหญ่ไว้แต่ต้นล้ม ผู้ร้องจึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญโปรดพิจารณาวินิจฉัยสั่งให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกดำเนินการใด ๆ หรือกระทำการใด ๆ เพื่อยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และให้เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  ที่กระทำอย่าและเลิกดำเนินการใด ๆ หรือกระทำการใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสอง”

ดูตามคำร้องคำขอ...คดีนี้ ก็คงไม่ไปไกลถึงขั้นยุบพรรคอะไรที่ไหนหรอก...แต่ที่ควรจับตามองคือ รายละเอียดและข้อเท็จจริงบางช่วงตอนที่ศาลจะวินิจฉัยเกี่ยวกับพฤติการณ์ของพิธาและก้าวไกลว่าเกี่ยวโยงกับคำวินิจฉัยของศาลรธน.10 พ.ย. 64 หรือไม่และอย่างไร?...ซึ่งตรงนั้นอาจเป็นเชื้อหรือสารตั้งต้น ให้บรรดา ‘นักร้อง’ นำไปทำหน้าที่กันต่อไป…

‘พิธา-ก้าวไกล’ อย่ามองข้ามความปลอดภัย...!!

แนวร่วมเพจดัง บี้!! สภาฯ สอบ ‘สส.จิรัฏฐ์’ ‘ปมหนีทหาร’ ‘เจ้าตัว’ บอกปัด!! อ้างก็แค่กระบวนการดิสเครดิต

(26 ม.ค. 67) ที่รัฐสภา แนวร่วมเพจ ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ นำโดย นายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์, นายนิยม นพรัตน์ หรือ เค สามถุยส์ และนายทันกวินท์ รัฐวัฒก์อังกูร หรือ อ.ทัน ยื่นเรื่องร้องเรียนถึงประธานคณะกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎร เรื่องขอให้ตรวจสอบ นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล กรณีไม่ได้รับการตรวจเลือก คัดเลือกทหาร หรือหนีทหาร หรือไม่ โดยมีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่ 2 เป็นผู้รับหนังสือ

นายทันกวินท์ กล่าวว่า ตนมาในนามของประชาชน โดยขอให้ภาครัฐตรวจสอบนายจิรัฏฐ์ โดยกรณีนี้ไม่ได้เกี่ยวกับพรรคก้าวไกล โดยตนได้ร้องว่า นายจิรัฏฐ์ได้มีการหนีทหาร จริงหรือไม่ เพราะตามคำให้การของนายจิรัฏฐ์มีความขัดแย้งกัน และเป็น สส.ต้องมีความแม่นยำในข้อกฎหมาย ซึ่งในข้อกฎหมายกำหนดไว้ว่าหากไม่เข้าไปทำการตรวจเลือกทหารต้องได้รับโทษจำคุก และเมื่อได้รับโทษจำคุกแล้ว จะต้องเข้ารับราชการทหารเลย ดังนั้น สิ่งที่นายจิรัฏฐ์ให้ข้อเท็จจริงว่าเมื่อไม่ได้เข้าไปรับการตรวจเลือกแล้วสามารถเสียค่าปรับ และเข้าไปจับฉลากได้ ถือว่าเป็นการพูดเรื่องข้อกฎหมายอันเป็นเท็จ นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา นายจิรัฏฐ์ได้นำตัว สด.43 ที่มีชื่อของนายจิรัฏฐ์ โดยกำหนดข้อความว่าสามารถจับใบดำ ใบแดงได้ ทั้งที่ตามข้อกฎหมายระบุว่าเมื่อคุณได้รับคำพิพากษาของศาลและได้รับโทษจำคุกแล้ว จะไม่มีการจับใบดำ ใบแดง นี่ถือว่าเป็นการปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งตนกำลังประสานกับทางกองทัพเพื่อดำเนินคดีอาญากับนายจิรัฏฐ์ต่อไป

ขณะที่นายแทนคุณ กล่าวว่า เรื่องนี้หากเป็นข้าราชการก็เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มาตรา 157 หรือไม่ และเมื่อเป็น สส.กระบวนการจริยธรรมคือถอดถอน และถ้ามีความผิดจริง ในการโกหก ปลอมแปลงเอกสาร หลอกลวงประชาชน เราก็จะส่งเรื่องต่อไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อยื่นถอดถอน และยื่นคดีอาญา อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่เราทำหน้าที่เปิดโปง สส.ของพรรคก้าวไกลหลายคน จึงเป็นเหตุผลหรือไม่ที่พรรคก้าวไกลพยายามโจมตีกองทัพ เพราะตัวเองมีบาดแผลหลายอย่าง

ด้าน นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ตนจะนำเอกสารร้องเรียนนี้ไปให้เข้าหน้าที่ได้ตรวจสอบความถูกต้องต่างๆ ตามกระบวนการ แต่อย่างไรก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ว่าสิ่งที่เขาร้องเรียนมานี้เป็นความจริงหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ได้ออกมาอธิบายกล่าวชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า ตนต้องนำเอกสารตัวจริงไปยื่นอยู่แล้ว ส่วนการตรวจสอบว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ ถ้าอยากจะรู้ขนาดนั้น ก็เป็นหน้าที่ของราชการ เป็นเอกสารตั้งแต่ 14 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นเราเป็นเด็กที่เพิ่งเรียนจบ แล้วก็ไม่ได้ไปรายงานตัว ตนจำได้ว่าวันนั้นติดเรียน หรือติดธุระอะไรสักอย่าง ก็เลยไปในวันรุ่งขึ้น

"หน่วยงานราชการเรียกไปทำอะไร เราก็ทำตามหมด ให้จ่ายค่าปรับก็จ่าย ให้จับใบดำใบแดงก็จับ ให้เอกสารอะไรมาก็ทำตามกระบวนการที่เขาให้ทำทุกอย่าง ไปจ่ายค่าปรับที่ศาลรึเปล่าน่าจะใช่ ผมก็ทำตามเขา นั่งรถกับเขา แล้วเขาก็พากลับมาที่อำเภอ ทุกอย่างก็จบแค่นั้น ยืนยันว่าไม่มีการปลอมเอกสารแน่นอน แต่ที่ออกมาพูดช้า ยอมรับเลยว่าหาเอกสารไม่เจอ สุดท้ายไปรื้อเจอที่บ้านคุณแม่" นายจิรัฏฐ์ กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสงสัยว่า ในใบ สด.ที่เอามาแสดงนั้น ไม่มีรอยนิ้วมือ นายจิรัฏฐ์ กล่าวว่า ตนก็ยังสงสัยอยู่ ว่าทำไมถึงไม่มี เขาไม่ได้ให้ปั๊ม แต่ที่เช็กกับหลายคนก็ไม่มี ส่วนจะทำตามกระบวนการถูกต้องหรือไม่นั้น เราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เข้าไปในหน่วยงานราชการ ก็ทำตามกระบวนการอยู่แล้ว จะมีอำนาจอะไรไปสั่งการ

เมื่อถามถึงการตั้งข้อสังเกตว่า โดยปกติแล้วหากศาลมีคำสั่งว่าหนีทหาร จะต้องไปเกณฑ์ทหารทันที ไม่ใช่ไปจับใบดำใบแดงแบบนี้ นายจิรัฏฐ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม กระบวนการของศาล ซึ่งตนก็ต้องทำตามที่เขาให้ทำ ส่วนรู้สึกแปลกหรือไม่ เอาตรงๆ รู้สึกโชคดี ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ตนคงไม่ต้องไปเกณฑ์ทหารแล้ว เกณฑ์ทหารไม่ได้อะไรอยู่แล้ว ชีวิตเสียหายไป 2 ปี แทบจะเอาชีวิตไปทิ้งเลย ถ้ามันออกมาเป็นอย่างนั้น ตนก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดี ตนไม่รู้หรอกว่ากระบวนการเป็นยังไง ก็แล้วแต่หน่วยงานราชการ เขาบอกให้ทำก็ทำ

เมื่อถามถึงกรณีที่มีข้อสงสัยว่าเป็นการเปลี่ยนชื่อ เพื่อหนีทหาร นายจิรัฏฐ์ กล่าวว่า ตนเปลี่ยนตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ปีหนึ่ง เปลี่ยนทั้งบ้าน เพราะคุณแม่ไปดูดวงมา เรื่องการเกณฑ์ทหารเป็นเรื่องหลังเรียนจบ ตนเปลี่ยนชื่อก่อนหลายปีมาก ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ในเอกสารราชการจะเปลี่ยนชื่อหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ ส่วนที่มีการมาร้องเรียนกับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารนั้น ตนได้ทราบว่ารับเรื่องมาแล้ว ซึ่งเมื่อถึงเวลาลงมติ ตนคงไม่ออกความเห็น ให้ กมธ.ฯ คนอื่นพิจารณา ว่าจะนำเรื่องนี้เข้ามาพูดคุยหรือไม่ เพราะ กมธ.ฯ มีหน้าที่ศึกษาพิจารณา แก้ไข สืบสวน ข้อพิพาท ที่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องข้อพิพาทระหว่างประชาชนกับหน่วยงานรัฐ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการทหาร โดยประชาชนที่มาร้องเรียนจะต้องเป็นผู้เสียหาย ที่มาเรียกร้องความยุติธรรม ความเป็นธรรม แต่เรื่องนี้ตนยังไม่ทราบ ว่าใครเป็นผู้เสียหาย และเขาได้รับความเดือดร้อนอะไร จากสิ่งที่มันเกิดขึ้น ตนยังไม่เข้าใจเหมือนกัน

"ผมไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนี้ เพราะการถูกทำลาย เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเรื่องราวที่ผมพูด และสิ่งที่กำลังทำ เป็นเรื่องที่ถูกทางแล้ว เป็นประโยชน์สาธารณะ ไม่ได้พูดเพื่อตัวเอง ถ้าทำแล้วสำเร็จ ก็เป็นประโยชน์ของคนทั้งประเทศ แต่เรื่องที่เขาทำเพื่ออะไร ใครได้ประโยชน์ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมไม่อยากให้สังคมเปลี่ยนประเด็น จากความผิดปกติในหน่วยงานทหารมาเป็นเรื่องนี้แทน เพราะเป็นการความพยายามในการบิดเบือนกระแสสังคมมากกว่า" นายจิรัฏฐ์ กล่าว

เมื่อถามว่า จะมีการดำเนินคดีต่อผู้ร้องเรียนหรือไม่นั้น นายจิรัฏฐ์ กล่าวว่า คงไม่เสียเวลาทำอะไรแบบนั้น มองว่าเป็นกระบวนการดิสเครดิต มั่นใจว่าการพยายามทำลายไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ตนพูดเกี่ยวกับทหารได้

ศาลยกฟ้อง 'ไอซ์' เคส 2 พิธีกร 'ปอง-กนก' ฟ้องหมิ่นประมาท หลังขึ้นปราศรัย วิจารณ์การทำงานสื่อมวลชน

(29 ม.ค. 67) ศาลแขวงพระนครเหนือ นัดฟังคำพิพากษาคดีที่ น.ส.รักชนก ศรีนอก หรือ ไอซ์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาท ‘เจ๊ปอง’ อัญชะลี ไพรีรัก และ กนก รัตน์วงศ์สกุล 2 พิธีกรจัดรายการทางสถานีโทรทัศน์ช่องท็อปนิวส์

กรณีปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสื่อมวลชนในการชุมนุม #ม็อบ6มีนา ของกลุ่มรีเด็ม (REDEM) บริเวณหน้าศาลอาญา เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2564 นั้น

ความคืบหน้าล่าสุด น.ส.รักชนก ศรีนอก หรือ ไอซ์ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก รักชนก ศรีนอก - Rukchanok Srinork แจ้งผลคำพิพากษา ความว่า “ศาลยกฟ้อง คดีหมิ่นประมาท กนก-เจ๊ปอง พิธีกรช่องท็อปนิวส์ ด้วยโจทก์เป็นบุคคลสาธารณะและเป็นการติชมโดยสุจริต”

‘สว.สมชาย’ ฟัน!! ‘พิธา-ก้าวไกล’ ไม่รอดคดี ม.112 ชี้!! ‘ร่างแก้ไข ม.112’ มัดตัว!! เจตนาล้มล้างไม่ใช่ปฏิรูป

(29 ม.ค. 67) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า (ep.2) เหตุใดคดีที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ที่ถูกนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นคำร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในพุธที่ 31 ม.ค. 2567 นี้ จึงมีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกวินิจฉัยให้มีความผิด หรือให้ยุติการกระทำตามคำร้อง และอาจนำไปสู่การร้องดำเนินคดีที่หนักขึ้น

ร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่พรรคก้าวไกลเข้าชื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร ถึง 2 ครั้ง แต่ถูกประธานสภาฯ สั่งไม่ให้บรรจุวาระด้วยขัดรัฐธรรมนูญ ยังถูกขับเคลื่อนต่อในนโยบายพรรคและการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง

โดยหากพิจารณาในเนื้อหาที่ยกร่างแก้ไขกฎหมายเข้าสู่สภาฯ ยิ่งชัดเจนในการลดมาตรการในกฎหมายคุ้มครองพระประมุข ในเกือบทุกมาตราลงจนอาจต่ำกว่ากฎหมายหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปด้วยซ้ำ

สอดรับควบคู่กับการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ขององค์กรเครือข่ายต่าง ๆ ที่เสนอให้ยกเลิกมาตรา 112 เนื่องจากเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว รวมถึงการอภิปรายในเวทีต่าง ๆ การใช้สิทธิ สส. ประกันตัวผู้ต้องหามาตรา 112 ฯลฯ

ทำให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 ที่สั่งการให้ผู้ถูกร้องและองค์กรเครือข่ายหยุดการกระทำดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต เพราะการกระทําของผู้ถูกร้องแสดงให้เห็นมูลเหตุจูงใจว่าการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป

การใช้สิทธิหรือเสรีภาพของผู้ถูกร้องเป็นการแสดงความคิดเห็น โดยไม่สุจริต เป็นการละเมิดกฎหมาย มีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง

ส่วนตัวจึงมีความเห็นว่าร่างแก้ไขมาตรา 112 นี้ อาจเป็นพยานหลักฐานอีกชิ้นสำคัญที่ถูกยื่นไต่สวนในศาลรัฐธรรมนูญ และมีน้ำหนักที่อาจทำให้นายพิธาและพรรคก้าวไกล มีความสุ่มเสี่ยงในคดีเพิ่มขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 ม.ค. ที่ผ่านมา นายสมชาย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ep.1 เหตุใดคดีที่พิธาและพรรคก้าวไกลที่ถูกนายธีรยุทธร้อง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัยในพุธที่ 31 ม.ค. 2567 จึงมีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกวินิจฉัยให้มีความผิด หรือให้ยุติการกระทำตามคำร้อง และอาจนำไปสู่การร้องดำเนินคดีที่หนักขึ้นในก้าวต่อไป ดังนี้

1) คำร้องประกอบหลักฐานนั้นค่อนข้างแน่นหนา ในการชี้ให้เห็นถึงการกระทำต่าง ๆ ต่อเนื่องหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญที่ 19/2564 สั่งห้ามการกระทำดังกล่าวแล้ว แต่ยังปรากฏการเคลื่อนไหวขององค์กรเครือข่ายต่อเนื่อง อาทิ การกำหนดเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เป็นนโยบายพรรค การเดินสายในเวทีหาเสียงต่างกรรมต่างวาระ การพูดอภิปรายในรัฐสภา การให้สัมภาษณ์สื่อไทยและต่างประเทศ มีการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่อาจถูกชี้ให้เห็นว่ามีส่วนร่วมอย่างไม่เป็นทางการในหลายกรณี ที่ชัดเจนต่อสถาบัน ทั้งการเสนอร่างแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่เป็นกฎหมายความมั่นคงคุ้มครองพระประมุข

2) คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่19/2564 ระบุถึงพฤติการณ์และเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการกระทําของผู้ถูกร้องแสดงให้เห็นมูลเหตุจูงใจว่าการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป การใช้สิทธิหรือเสรีภาพของผู้ถูกร้องเป็นการแสดงความคิดเห็น โดยไม่สุจริต เป็นการละเมิดกฎหมาย มีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และสั่งการให้ผู้ถูกร้องกลุ่มองค์กรเครือข่ายเลิกกระทําการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง ด้วย แต่ยังปรากฎการกระทำดังกล่าวโดยกลุ่มบุคคลและพรรคการเมืองต่อเนื่องเรื่อยมา

'ไอติม' ชี้!! กรณี 'จิรัฏฐ์' ต้องแยกจากพรรค ลั่น!! ยินดีให้ทุกฝ่ายได้ตรวจสอบ

(30 ม.ค. 67) ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่กองทัพบกไม่พบต้นขั้วใบ สด.43 ของนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ว่า เรื่องนี้ต้องแยกส่วนของนายจิรัฏฐ์และของพรรค ซึ่งทราบว่านายจิรัฏฐ์ ยืนยันว่าได้รับใบ สด.43 มาจากเจ้าหน้าที่จริงๆ จึงต้องไปถามนายจิรัฏฐ์ ซึ่งคิดว่าทางนายจิรัฏฐ์ พร้อมจะให้ทุกฝ่ายตรวจสอบว่าเอกสารได้มาเช่นไร หรือมีที่มาที่ไปอย่างไร

นายพริษฐ์​ กล่าวต่อว่า ในส่วนของพรรคก้าวไกล ตนพูดในเชิงหลักการ กรณีที่มีการตรวจสอบสมาชิกของพรรค ก็ยินดีให้ทุกฝ่ายตรวจสอบไม่ว่าจะเป็นภาคประชาชนหรือใครก็ตามเข้ามาตรวจสอบการทำงานของ สส.พรรคก้าวไกล และถ้ามีกระบวนการอะไรที่ต้องอาศัยความร่วมมือใช้กระบวนการทางกฎหมาย ทางพรรคก็ยินดีให้ความร่วมมือ ซึ่งพรรคในฐานะพรรคการเมืองที่เข้ามาทำงานเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของประเทศ และได้เงินเดือนมาจากภาษีของประชาชน ก็ยินดีให้ตรวจสอบการทำงานอยู่แล้ว รวมถึงมีการดำเนินการฟ้องร้องถึงชั้นศาล และต้องการความร่วมมือผ่านกระบวนการทางกฎหมายเราก็ยินดีอยู่แล้ว

‘ชัยธวัช’ ชี้!! ต้องหยุดนำสถาบันมายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองไทยได้แล้ว

เมื่อวานนี้ (30 ม.ค. 67) นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ เปิดปากกับภาคภูมิ ทางไทยรัฐ ในประเด็น ‘หยุดเอาเรื่องสถาบันฯ เข้ามาเกี่ยวพันการเมืองไทยได้แล้ว’ โดยระบุว่า

“ต้องหยุดเอาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองไทยได้แล้ว เรื่องนี้ไม่ได้เริ่มต้นโดยพรรคก้าวไกลด้วยซ้ำ แต่เริ่มต้นโดยคณะกรรมการอิสระที่ตั้งโดยรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์”

นายชัยธวัช กล่าวต่อว่า มีคนเอาเรื่องสถาบันมาเป็นเหตุผลในการยุบพรรคการเมือง สอยนักการเมือง สร้างความเกลียดชังให้กับกลุ่มที่มีความขัดแย้งกัน พวกเรา (พรรคก้าวไกล) ก็หวังว่าจะเหลือพื้นที่ให้กับกระบวนการนิติบัญญัติ เป็นพื้นที่ที่จะหาข้อยุติความเห็นต่างอย่างมีวุฒิภาวะโดยกระบวนการประชาธิปไตย

นายชัยธวัช กล่าวถึงกรณีหากมีการยุบพรรคก้าวไกล จากสารตั้งต้นในเรื่อง ม.112 ว่า ก็ต้องดูรายละเอียดสําคัญ สส.พรรคก้าวไกลก็เห็นตรงกันว่าการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงบทบัญญัติมันมีปัญหาที่ควรที่จะต้องมีการแก้ไขปรับปรุง ดังนั้นก็รอดูอยู่ว่าคําวินิจฉัยจะมีรายละเอียดยังไง และก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องเอามาเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาในการดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปของพรรคก้าวไกล 

นายชัยธวัช ระบุต่อว่า มาตรา 112 ยังมีความสำคัญในการคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งในการเมืองไทย และยังมีปัญหาทั้งในเชิงตัวบทกฎหมายและการบังคับใช้ และหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้อยู่ พรรคก้าวไกลก็ยังจะให้ความสำคัญต่อไป ส่วนจะดำเนินการแบบใด จะต้องพิจารณากันอีกที เพราะยังมีหลายเรื่องที่ต้องการผลักดันให้สำเร็จ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top