Sunday, 19 May 2024
ก้าวไกล

ผลสะเทือนจาก 'ก้าวไกล' โชว์ฟอร์มเด่น 'ใน-นอก' สภาฯ น่าจะได้เวลาพรรค 'ดร.ฮาร์วาร์ด-รทสช.' ปรับขบวน

ได้ฟังบ้างไม่ฟังบ้างสำหรับการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 จำนวน 3.48 ล้านล้านบาท แต่พรรคพวกเพื่อนฝูงที่เป็นสื่อมวลชนและนักวิชาการส่วนใหญ่เขายอมรับกันว่า...งานนี้พรรคก้าวไกลโชว์ฟอร์มได้เหนือกว่าพรรคสีแดงเพื่อไทยแบบเห็น ๆ...

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำการบ้าน ความพร้อม รูปแบบการเสนอ...ที่น่าสะพรึงกลัวกว่านั้นคือ สามารถปล่อย สส.หน้ามลหน้าใหม่สมัยแรกออกมาร่ายมนต์สะกดผู้ฟังแบบเข้าตากรรมการได้หลายคน...แม้กระทั่ง สส.ปากน้ำอดีตแอร์โฮสเตสอย่าง สส.ผึ้ง-พนิดา มงคลสวัสดิ์ ที่อภิปรายงบประมาณสำนักงานตำรวจแห่งชาติอะไรนั่น...หลายเสียงบอกว่าเข้าท่า...

อย่างไรก็ตามภายใต้การแจ้งเกิดของหน้าใหม่ก้าวไกลหลายคน จะพบว่ามีจำนวนหนึ่งที่มีข้อมูลหลวม อาจจะเป็นเพราะถูกจัดมาให้โดยตัวเองไม่มีเวลาตรวจสอบ ดังกรณี สส.ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ ถูก 'รมว.พลังงาน-พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' จับโป๊ะเรื่องตัวเลขการเงินของ กฟผ.ว่าเป็นตัวเลขคาดการณ์เหตุการณ์ที่เลวร้ายสุดนานมาแล้ว ไม่ใช่ตัวเลขที่เกิดขึ้นจริง...เป็นต้น

หรือกระทั่งตัวเลขการจัดซื้ออาวุธของกองทัพ ที่หลายตัวเลขก็ยังไม่ใช่ตัวเลขที่เป็นทางการ แต่นำมาวิเคราะห์ตีความ ชี้นำกันแบบเอาเป็นเอาตาย...

แต่เอาเหอะถึงอย่างไร ‘เล็ก เลียบด่วน’ ก็เป็นอีกหนึ่งเสียงที่ยกมือให้ว่า ชาวก้าวไกลทำการบ้านเหนือชั้นกว่าทุกพรรค โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย

หากคุณหนู 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร หัวหน้าพรรค และ 'คุณบอย' สรวงศ์ เลขาฯ พรรคไม่รีบติวเข้มลูกพรรค...เรตติ้งจะยิ่งถูกทิ้งห่าง...

นักวิชาการที่ปรึกษา 'เล็บ เลียบด่วน' ชี้ว่า หากภาพรวมทางการเมืองยังดำเนินไปแบบนี้...ก็ยากที่จะหยุดเครื่องจักรสีส้มที่รุกใหญ่ในสภา ขณะที่นอกสภาก็ทำงานจัดตั้งเก่งวันเก่งคืน ใจกล้าหน้าทนในการยัดเยียดชุดความคิดผิด ๆ ถูก ๆ ให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่...

เหลือบมองพรรคการเมืองฝั่งอนุรักษ์นิยม หากมองข้ามพรรคเพื่อไทย ณ ชินวัตร ไป ก็พอจะมองเห็นพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่คงจะรู้สัญญาณดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นในสมัยหน้า...วันนี้ก็พอจะเห็นความพยายามที่จะปรับตัวเองให้เป็นผู้นำหรือหัวขบวนของฝ่ายอนุรักษ์นิยมใหม่...เชิดชู 3 สถาบันหลัก

แต่ความพยายามปรับตัวให้ทันยุคทันสมัยดังกล่าว...ก็ไม่รู้จะไปได้สักแค่ไหน...เพราะส่องกล้องมองลงไปในพรรคก็ยังไม่เห็นความเป็นเอกภาพและความเสียสละมุ่งมั่นกันเท่าที่ควร เห็นแต่ความใจกล้าตรงไปตรงของของหัวหน้าพรรค...ซึ่งถ้ามีแค่นี้...ตอบได้ว่ายังไม่พอ...!!

จะด้วยเพราะความจำกัดของสินค้าฝ่ายอนุรักษ์นิยมหรือเปล่าก็มิทราบได้... 'เล็ก เลียบด่วน' แว่วข่าวมาตามสายลมว่า ขณะนี้มี ดร.หนุ่ม ศิษย์เก่าฮาวาร์ด รอบรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ เก่งกาจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ผ่านงานระดับ Tech Startup กำลังได้รับแรงหนุนให้เป็นแกนจัดทำพรรคแนวคนรุ่นใหม่ แต่ตอบโจทย์ประเทศ หรือ ออกแนวเสรีนิยมแต่หัวใจสีน้ำเงิน...เทิดทูนสถาบัน...

ดร.หนุ่มคนดังกล่าว กำลังคิดหนัก พร้อม ๆ กับการบ้านความเป็นไปได้...

ก็ได้แต่ภาวนาขอให้เป็นไปได้ จะได้เป็นทางเลือกมาทำให้ประเทศไทยเสถียร...เสถียรไทย...เติบโตทันสมัยโดยไม่จำเป็นต้องแซะสถาบัน!!

'ลอรี่' ซัด!! 'สส.ก้าวไกล' ตีฟูข้อมูลเท็จปมตัวเลขการเงิน กฟผ. จ้อ!! เวทีอภิปราย สนแค่ 'ดิสเครดิต-ทำปชช.คล้อยตามผิดๆ'

(5 ม.ค. 67) ตามที่มีประเด็น ท้าพิสูจน์ข้อมูลอภิปรายในสภาเมื่อวันที่ 3 ม.ค. ที่ผ่านมา ระหว่าง สส.พรรคก้าวไกล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในการอภิปรายงบประมาณประจำปี 67 นั้น

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์เฟซบุ๊ก "ลอรี่ - พงศ์พล ยอดเมืองเจริญ" ระบุว่า ล่าสุด รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เปิดเผยแล้ว ข้อมูลของ กฟผ. ของ สส. พรรคก้าวไกล ที่อภิปรายที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 3 ม.ค. เพื่อมาโจมตีนั้น เป็นเพียงการคาดการณ์ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 แบบ worst case scenario ที่วิเคราะห์ความเสี่ยง ซึ่งตัวเลขไม่ตรงกับความจริง 

เช่น สิ้นเดือนธ.ค. 2566 มีเงินเหลือจริง 9.1 หมื่นล้าน แต่ข้อมูลเท็จนี้ แสดงเพียง 6 หมื่นล้านบาท แถมยังลากลงไปถึงติดลบเป็นหมื่นล้าน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ กฟผ.ต้องรักษาระดับ cashflow ไว้ที่ 6 หมื่นล้าน ตามวินัยการเงิน

”การเอาข้อมูลมโนเก่าๆ ตั้งแต่ตุลาคม 2566 ปีที่แล้ว มาพูดเป็นข้อเท็จจริง เทียบกันเหมือนกับ เก็งบอลเมื่อคืน ลิเวอร์พูล 2-1 แมนยู แต่ผลเตะเสร็จ ปรากฎแมนยูถล่ม 3-0 ..ดันมารายงานสุดท้ายว่า ลิเวอร์พูลชนะ 2-1 ตามโพยเก่า“

ก้าวไกลเอาเลขคาดเดา 3 เดือนก่อนผิดๆ มามโนว่าเป็นเรื่องจริงวันนี้ ด่าใครไปทั่ว ถือเป็นความตั้งใจแสดงข้อมูลอันเป็นเท็จหรือไม่? และทำมากี่ครั้งแล้ว?

การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่จริง เพียงเพื่อดิสเครดิตทางการเมือง นอกจากไม่สร้างสรรค์ ยังพาลทำให้ประชาชนทางบ้าน และสื่อที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงก็จะตื่นกลัว

จึงนำเรียนให้ผู้อภิปราย และพรรคก้าวไกล ให้ได้รับทราบ โปรดระวังในการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในอนาคต ก่อนจะส่งผลเสียกับภาพรวมประเทศไปกว่านี้

'วิโรจน์ ก้าวไกล' โพสต์!! ขอพักรักษาตัว ลดปริมาณงาน หลังโรครุมเร้า 'ความดัน-นอนไม่หลับ-ปวดหลัง' ยัน!! ไม่เสแสร้ง

(9 ม.ค. 67) วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวประกาศลดงาน-พักรักษาตัว เหตุป่วยเรื้อรังมานาน บอก รู้สึกโดดเดี่ยว-หมดแรง-ท้อแท้-เหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก ทำอาการเจ็บป่วยลุกลาม รุมเร้า ยัน แม้ปริมาณลด แต่จะชดเชยด้วยคุณภาพ ขอบคุณทุกความห่วงใย ยันไม่ได้เสแสร้ง ย้ำจะกลับมาให้เร็วที่สุด โดยระบุว่า...

ขออนุญาตพักรักษาตัว สักระยะนะครับ

เนื่องจากผมป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงมาเป็นระยะเวลานาน และมีอาการปวดหลังเรื้อรังมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง

ประกอบกับการทำงานที่ผ่านมา ตั้งแต่งานในสภาฯ ชุดที่แล้ว การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. การดีเบต และการลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้ง 2566 การลุยกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น และภารกิจในสภาผู้แทนราษฎร ผมต้องทำงานภายใต้ทรัพยากรที่มีจำกัดอย่างมาก ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันต่างๆ มากมาย 

แรกๆ ผมก็ไม่รู้ตัวเองหรอกครับ เครียดก็เก็บเจ็บก็ทน แต่ความเครียด มันค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ รู้สึกตัวอีกที ก็รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว และรู้สึกหมดแรง ท้อแท้ เหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก ทำให้อาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ลุกลาม รุมเร้าไปหมด ทั้งแน่นหน้าอก ปวดหลังเรื้อรัง นอนไม่หลับ ฯลฯ จนกลายเป็นภาระของคนรอบข้างไปหมด

ผมจึงคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ผมจำเป็นต้องลดงานที่ทำอยู่ พยายามลดการรับรู้เรื่องที่ไม่สบายใจให้น้อยลง เพื่อเอาเวลาไปพักรักษาตัวเอง และอาจจะต้องจัดสรรเวลาเพื่อออกกำลังกายร่วมด้วยครับ

แม้ว่าปริมาณงานอาจจะลดลงบ้าง แต่ขอให้สบายใจนะครับ ผมจะพยายามชดเชยด้วยคุณภาพของงานที่ดีขึ้น

ขอบคุณสำหรับทุกๆ ความห่วงใยที่มีมาให้กับผมนะครับ ผมเองก็ไม่อยากไม่สบาย ไม่รู้ว่าไม่สบายได้ยังไง อยากจะหายจากอาการเหล่านี้วันนี้พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำไป

ที่สำคัญ คือ ไม่อยากทำให้ใครต้องรู้สึกไม่สบายใจ และไม่อยากเป็นภาระของใครจริงๆ นะครับ หลายคนที่เข้ามาพูดคุยให้คำแนะนำผม แล้วอาจจะสงสัยว่า หลังจากพูดคุยกันแล้ว ผมก็ดีขึ้นแล้วนี่นา ทำไมอยู่ดีๆ ก็เป็นอะไรขึ้นมาอีก คือ ตอนที่คุยผมก็ดีขึ้นมาจริงๆ ครับ แต่พอหลังจากนั้นสักพัก ผมก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมเองก็ไม่อยากเป็นแบบนี้เหมือนกัน ผมไม่ได้แกล้ง หรือเสแสร้งอะไรจริงๆ นะครับ หากที่ผ่านมาผมทำให้ใครต้องรู้สึกไม่สบายใจ ผมต้องขออภัยจริงๆ ผมเองก็รู้สึกเสียใจที่ต้องมาเป็นภาระของใครๆ เหมือนกัน

ผมจะพยายามรักษาตัวเองให้เร็วที่สุดนะครับ และจะกลับมาทำงานเต็มที่ได้เหมือนเดิมครับ

‘หนุ่ม’ โพสต์ชื่นชม!! ‘พรรคก้าวไกล’ ทำงานอย่างมีคุณภาพ อ่านงบฯ 67 กว่า 2 หมื่นหน้าใน 7 วัน สอดไส้อะไรไว้ รู้หมด!!

เมื่อไม่นานมานี้ จากติ๊กต็อกช่อง ‘buskung’ ได้โพสต์คลิปแสดงความคิดเห็นและชื่นชมในการทำงานของพรรคก้าวไกลในสภา โดยระบุว่า…

การอภิปรายถือว่าทําได้ดีเกินคาดมาก ๆ และยังมาเจอกล่าวจบ ถือว่าปิดได้แบบทําคนอึ้งกันทั้งสภา โดยเฉพาะ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หรือ สส.เท้ง จากพรรคก้าวไกล เพราะพูดได้ดีมากขณะที่ผมนั่งฟังยังรู้สึกว่ามันเปี่ยมด้วยคุณภาพจริง ๆ ซึ่งเขาบอกว่า…“เวทีพิจารณางบ 3 วันที่ผ่านมามันไม่ใช่เวทีที่พวกผมจะมาทําลายล้างพวกท่าน…แต่มันคือเวทีที่พวกผมจะมาซ้อมมือเพื่อเอาชนะพวกท่าน โจทย์การเลือกตั้งครั้งหน้าของพรรคก้าวไกลไม่ใช่คําถามว่าเราจะชนะการเลือกตั้งไหม?...แต่มันคือคําถามว่าเราพร้อมจะบริหารประเทศหรือเปล่า…พวกเราจะเอาชนะท่านด้วยการทํางานที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ” ซึ่งทุกวันคุณภาพจนไม่รู้จะคุณภาพยังไงแล้ว…

พวกคุณลองคิดดูนะว่าเขาเป็นฝ่ายค้านมา 4 ปี และถ้าอยู่ครบไปอีก 4 ปี แปลว่าเขาจะมีประสบการณ์ด้านการทํางานเป็นฝ่ายค้านรวมเป็น 8 ปี หากคิดดูว่าสำหรับคนที่เคยเป็นฝ่ายค้านมา 8 ปีเต็ม สมมติวันหนึ่งได้เป็นรัฐบาลขึ้นมามันจะมีคุณภาพมากขนาดไหน? เพราะขนาดแค่งบประมาณที่ฝั่งรัฐบาลฟาดมาให้อ่าน 20,000 กว่าหน้า และมีเวลาแค่ 7 วัน เขายังทําออกมาได้ดีขนาดนี้ ดูงบว่ามีอะไรสอดแทรกมาบ้าง แล้วอภิปรายที่มันหมกเม็ดอยู่ได้เกือบทั้งหมด มันก็ไม่รู้ว่าจะคุณภาพยังไงแล้ว

โดย สส.ก้าวไกล ยังกล่าวต่อไปอีกว่า…”พวกเราจะเอาชนะท่านด้วยการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ทํางานอย่างเข้าใจปัญหาและรู้วิธีการแก้ปัญหาไม่แพ้กับท่าน” 

ซึ่งบอกได้เลยว่าก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยจะชอบชูโรงว่าเคยทํามาก่อนสามารถทําได้ และรอบนี้ถ้าเลือกตนเป็นรัฐบาล เขาก็จะทําได้อย่างแน่นอน ซึ่งคนก็เลยเชื่อ เพราะมีดีกรีของทักษิณ มีดีกรีของยิ่งลักษณ์ เป็นแบบภาพชูโรงทําให้คนจดจํา แต่บอกเลยว่าหลังจากนี้ยิ่งระยะเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่ ยุคนั้นจะยิ่งถูกคนลืมลงไปมากเท่านั้น ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการทํางาน คุณแพ้แน่ ๆ…

สุดท้าย สส.ก้าวไกล บอกต่อว่า “พวกเรามาแข่งกันเอาชนะใจประชาชนกันดีกว่า วันนี้อํานาจอยู่ในมือพวกท่านรักษามันไว้ให้ดีอีก 4 ปีข้างหน้าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองผ่านการเลือกตั้ง”

‘สส.กาย-ก้าวไกล’ โพสต์ขอโทษ ปมแจกน้ำดื่มไม่มี อย. ยัน!! งดแจกแล้ว และกำลังเร่งแก้ไขสั่งผลิตชุดใหม่อยู่

(10 ม.ค.67) เพจ วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร ได้โพสต์ข้อความประเด็นที่ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ หรือ สส.กาย จากพรรคก้าวไกล แจกน้ำดื่มไม่มี อย. โดยระบุว่า…

“#ทุกคนคะ พี่กายโพสต์ขอโทษ กรณีแจกน้ำดื่มไม่มี อย. กำลังดำเนินการแก้ไขอยู่ค่ะ” หลังได้มีการคอมเมนต์สอบถามผ่านทางเฟซบุ๊ก Nattacha Boonchaiinsawat - ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ เกี่ยวกับประเด็นนี้ โดย สส.กาย ได้เข้ามาตอบกลับคอมเมนต์ดังกล่าวว่า…

“ประเด็นน้ำดื่ม เป็นน้ำที่ผมสั่งมาเพื่อใช้แจกช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา แต่ก่อนปีใหม่หลังจากมีประเด็นเรื่องข้อมูลผลิตภัณฑ์ ผมได้ตรวจสอบและพบว่า ข้อมูลสลากของผมไม่ครบถ้วน และงดแจกน้ำไปตั้งแต่ก่อนปีใหม่ให้พื้นที่ต่างๆ แล้วแต่ยังมีใช้เองส่วนตัวที่สำนักงาน

จากที่เห็นฉลาดขวดน้ำดังกล่าวจากในโซเชียลมีเดีย เป็นไปได้ว่าผู้รับจะได้มาจาก 2 ส่วน

1. รับจากงานกิจกรรมที่แจกก่อนปีใหม่ งานบุญต่างๆ ประมาณ 10 กว่าแห่ง แห่งละ 10-20 แพ็ก
2. จากที่สำนักงาน ที่ใช้กันเองภายในอยู่

ส่วนแนวทางการแก้ไข - ผมได้สั่งผลิตชุดใหม่แล้ว และชุดใหม่ยังไม่ส่งมายังสำนักงาน
ช่วงปีใหม่และวันเด็กนี้เลย ได้ #งดแจกน้ำดังกล่าวแล้ว หลังจากได้รับชุดใหม่มาจะดำเนินการช่วยสนับสนุนน้ำดื่มไปยังงานกิจกรรมพื้นที่ต่างๆ ดังเดิมครับ

ขอโทษในความผิดพลาดครั้งนี้ด้วยครับ และหลังทราบได้เร่งดำเนินการแก้ไขอยู่นะครับ”

'ดร.อานนท์' ซัด!! 'สส.ก้าวไกล' วิจารณ์ผังเมือง กทม.แบบรู้ไม่จริง คิดจะอวดภูมิทำผังเมืองใหม่ แต่เป้ามุ่งแซะลามสถาบันเบื้องสูง

(11 ม.ค.67) จากกรณีที่ สส.แบงค์-ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ เขตจตุจักร บางเขน หลักสี่ กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล กล่าวถึงคณะกรรมการผังเมือง และคนร่างผังเมืองว่า มีประชาชนหลายล้านคนในกรุงเทพฯ ที่ได้รับผลกระทบจากผังเมืองของท่าน ไม่ว่าจะแง่บวกหรือลบ และพวกเขาควรมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ผังเมืองที่ท่านร่างชัดเจน

สำหรับผมในฐานะประชาชนกรุงเทพฯ คนหนึ่ง เป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งของผังเมืองที่ผมต้องการเห็น คือต้องไม่เอื้อประโยชน์ให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และต้องไม่กดทับสิทธิประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง โดยไม่มีมาตรการรองรับ แต่ผังเมืองที่บังคับใช้อยู่ สำหรับผมมันเอื้อประโยชน์อย่างชัดเจน

ด้วยความรู้ของผู้ร่างผังเมือง ท่านต้องทราบดีครับว่าอนาคตของเมืองจะโตไปในทิศทางไหน คุณภาพชีวิตของประชาชนในแต่ละพื้นที่อยู่บนปลายปากกาของท่าน ท่านจะทำให้คนบางคนได้รับประโยชน์มากขึ้น หรือเสียประโยชน์ ก็อยู่ที่ผังที่ท่านร่าง นี่คืออำนาจที่มหาศาล และมีมูลค่ามาก เพราะงั้นท่านมีหน้าที่ต้องระมัดระวัง และรักษาผลประโยชน์ให้คนทุกกลุ่ม แต่สิ่งที่ผมผิดหวังคือ ท่านไม่เคยสื่อสารให้ประชาชนทราบเลย ตรงไหนจะเจริญมากหรือเจริญน้อย

เมื่อผมพูดว่าผังเมืองเอื้อนายทุน หลายท่านออกมาโวยวาย รับไม่ได้กับคำพูดนี้ แต่ในทางกลับกัน การให้ผังแดงของท่านไม่ว่าจะทางทฤษฎีหรือปฏิบัติ ใครก็รู้ครับว่า เป็นเครื่องมือในการเพิ่มมูลค่าที่ดินของเจ้าของที่แปลงนั้น ๆ เอื้อประโยชน์ให้ผู้ได้รับผังสีแดงทันที แต่ท่านพูดเหมือนว่าการให้ผังแดงเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เป็นการเอื้อกลุ่มทุน

ท่านไม่เรียกร้องมาตรการว่า คนได้ผังแดง หรือผัง FAR สูง ไม่เรียกร้องเรื่อง ‘การเก็บภาษีลาภลอย (windfall tax)’ จากการได้ FAR สูงกว่าคนอื่น หรือเรียกร้องให้มีมาตรการต้องทำอะไรเพื่อสาธารณประโยชน์ ซึ่งต่างประเทศเขาเก็บภาษีตัวนี้กันเป็นเรื่องปกติ แต่ในไทยไม่มีมาตรการเหล่านี้ ผู้ร่างผังเมืองทราบดีว่าครับว่า กลไกเหล่านี้ ใช้ลดการเอื้อประโยชน์กลุ่มทุนได้ แต่ที่แปลกคือ คณะกรรมการผังเมือง และคนร่างผังเมืองที่มีผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงาน หลากหลายมิติ ไม่เรียกร้องเรื่องนี้เลย

อีกด้านหนึ่ง การยัดผังสีเขียว และเขียวลาย ซึ่งรอนสิทธิการพัฒนาพื้นที่ของคนตะวันตก และตะวันออกเป็นล้านคน ต้องเป็นพื้นที่รับน้ำ พื้นที่เกษตรห้ามพัฒนาท่านกลับไม่ออกมาเรียกร้อง ‘เงินชดเชย เงินเยียวยา หรือการยกเว้นภาษีที่ดินให้คนผังเขียว’ และท่านได้บอกประชาชนไหมครับว่า ผงที่ท่านวางมือคือต้องการให้ตะวันออกและตะวันตก เจริญช้ากว่าใจกลางเมือง เพราะผังที่ท่านวางจะกดการเจริญเติบโต ไม่เกิดการลงทุนในบริเวณดังกล่าว ทำให้คนเหล่านี้ต้องเข้าไปทำงานในเมืองแทน หลายคนหวังว่าความเจริญจะขยายมาถึงพวกเขา จะได้มีงานทำใกล้บ้าน จะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่มันช้ามากเพราะผังเมืองแทบไม่สนับสนุนให้ความเจริญไปถึงพวกเขา

ซึ่งผมไม่เห็นว่าท่านจะสื่อสารผลกระทบนี้ให้กับพวกเขา และไม่เรียกร้องสิทธิให้พวกเขาเลย ท่านนิ่งเฉยเสียด้วยซ้ำ ไม่ Action ไม่โวยวายเหมือนที่ท่านโวยวายเรื่องผังเอื้อนายทุน นี่คือสิ่งที่ผมผิดหวังมาก ๆ

ผมย้ำท่านนะครับ ในฐานะผู้ที่อยู่เบื้องหลังผังเมือง ซึ่งเป็น ‘สารตั้งต้น’ ของปัญหาเพิ่มมูลค่าที่ดินของนายทุนที่ดินไข่แดง ท่านได้พยายามลดการเอื้อประโยชน์เหล่านี้หรือไม่ ท่านคงโยนว่าเป็นเรื่องของหน่วยงานอื่นในการไปออกมาตรการ แต่ผมต้องย้ำท่านอีกครั้งนะครับว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของท่านโดยตรงที่ต้องรักษาผลประโยชน์จากผังสีที่ท่านระบายด้วยมือท่านเอง และท่านควรต้องเรียกร้อง และป้องกันอย่างเต็มความสามารถ เพราะ ‘ไม่มีใครเข้าใจผังเมืองที่ท่านร่างและอนุมัติได้ดีเท่าตัวท่านเอง’

ปล. ผมคิดว่าเราไม่ควรไปว่า อ.ชัชชาติ เกี่ยวกับตัวร่างนะครับ เพราะว่าท่านไม่ได้เป็นคนร่าง และไม่ได้อยู่ในคณะกรรมการผังเมือง แต่ในฐานะที่ท่านเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เก่า ผมหวังว่าท่านจะช่วยออกมาตรการ ลดการเอื้อนายทุน และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบครับ ส่วนถ้าจะวิจารณ์เรื่องการประชาสัมพันธ์ และกระบวนการรับฟังความเห็นของกทม. อันนี้เข้าใจได้ครับ ผมก็ไม่ happy ครับ

ต่อมาทางด้าน ‘เบญจมินทร์ ปันสน สส.พรรคก้าวไกล’ ว่าด้วยเรื่องประวัติศาสตร์ ‘ผังเมืองเอื้อกลุ่มทุน’

“ทำไมชนชั้นนำสยาม (สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ขุนนาง และคณบดี) มีที่ดินมากมาย ใจกลางเมือง กรณีศึกษา: ตึกแถวในย่าน เจริญกรุง”

ล่าสุดทางด้าน ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า อันนี้ผมว่าวิจารณ์แบบรู้ไม่จริง กรุงเทพฯ ในอดีตไม่ได้มีการวางผังเมืองแต่อย่างใด กรุงเทพฯ เติบโตแบบไร้การวางแผน ไร้ทิศทางมาก แล้วที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในปัจจุบันนั้นได้มามากในสมัยรัชกาลที่ห้า ก่อนที่จะมีการวางผังเมืองเสียอีก สมัยนั้นกรุงเทพฯ ยังเป็นเวนิสตะวันออกไม่ค่อยมีถนนเสียด้วยซ้ำ

ที่พระคลังข้างที่ได้ที่ดินมาเยอะก็เพราะรับจำนองที่ดิน ไม่ได้ไปกว้านซื้อเองเสียหน่อย แต่แน่นอนว่านายทุนพ่อค้าจะซื้อที่ก็ต้องเก็งกำไรหาทำเลดีไว้อยู่แล้ว แต่พอจะใช้เงินก็เอามาจำนองพระคลังข้างที่แล้วต่อมาใช้หนี้ไม่ไหวเลยหลุดจำนอง พระคลังข้างที่เลยได้ที่ดินแปลงงาม ๆ ในปัจจุบันมามาก

เรื่องนี้จะเอาไปโยงกับการผังเมือง แล้วจะลากไปลามปามสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ไม่สมเหตุสมผล แสดงว่าไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์เสียก่อนเลย อยากให้ สส.ก้าวไกล คนนี้ไปศึกษาประวัติศาสตร์เสียก่อนว่า

หนึ่ง ที่ดินของพระคลังข้างที่และของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ได้นำไปพระราชทานให้คนยากจนในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรที่ยากจนมากมายมาตั้งสมัยรัชกาลที่ 9 ในหลวงรัชกาลที่ 10 ได้สืบสานพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยการพระราชทานที่ดินให้หน่วยราชการ สถานศึกษา รวมมูลค่านับแสนล้านบาท

สอง ที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จำนวนมากเก็บค่าเช่าถูกมาก และให้คนจนเช่าอยู่ในราคาที่ถูกแสนถูก และทำมานานแล้ว

สาม รศ.ดร. มรว. อคิน รพีพัฒน์ นักวิชาการด้านมานุษยวิทยาชาวไทย ได้ทำงานถวายที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ศึกษาและดำเนินการช่วยเหลือคนจนและช่วยเหลือคนจนให้มีที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 9 จน อาจารย์อคินก็กราบบังคมทูลลาถึงแก่อนิจกรรมไปแล้ว แต่งานของอาจารย์อคินก็ยังมีการดำเนินการต่อมา

เรื่องช่วยเหลือคนยากจน คนด้อยโอกาสให้มีอาชีพและมีที่ทำกินนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานด้านนี้มาอย่างหนักตลอดพระชนม์ชีพ ทรงปรารถนาให้เกษตรกรมีที่ทำกิน ไม่ขายที่นา และในหลวงรัชกาลที่ 10 ก็ทรงสืบสานสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทำมาโดยตลอด ตัดกลับมาที่พรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้าบ้าง

หนึ่ง ครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจ ครอบครองที่ดินไว้มากมายในบริเวณสมุทรปราการและกรุงเทพฯ ได้เคยจัดสรรที่ดินเพื่อคนยากจนหรือเกษตรกรมาก่อนบ้างหรือไม่

สอง นายธนาธร นางสมพร นางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ครอบครองที่ดินป่าสงวนที่ราชบุรี จนโดนกรมที่ดินเพิกถอนกว่าพันไร่ ทำไมก่อนหน้านั้นไม่นำมาจัดสรรให้เกษตรกรที่ยากจนได้มีที่ทำกิน แล้วตอนนี้คดีดังกล่าวไปถึงไหนแล้ว

สาม น้องชายนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พยายามจ่ายสินบนเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์กว่า 20 ล้านบาทเพื่อให้ได้เช่าที่ดินแปลงงาม 12 ไร่ของสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ บนถนนเพลินจิต อันนี้ทำเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ หรือทำเพื่อคนยากไร้ยากจนที่ไม่มีที่ดินทำกินหรือที่อยู่อาศัย คดีดำเนินการไปถึงไหนแล้ว

ตกลงไปแก้ปัญหาที่ดินที่ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจครอบครองมากมายและยังไม่ได้จัดสรรที่ดินให้คนยากจนได้อยู่อาศัยหรือทำกินเสียก่อน จะดีกว่าไหม

‘จุลพงศ์’ แนะ ‘ธปท.’ ไล่จี้!! ‘ธ.พาณิชย์’ ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก ลองลดกำไรลงบ้าง อาจกระตุ้น ปชช. กลับมาออมได้

(11 ม.ค.67) ที่รัฐสภา นายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวถึง กรณีการวิพากษ์วิจารณ์ส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ ว่า ตามที่รัฐบาลอ้างว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรลดลงเพราะเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับต่ำนั้น อันที่จริงแล้วเงินเฟ้อของไทยถูกบิดเบือน ไม่ได้สะท้อนสภาพที่เป็นจริง เพราะรัฐบาลทั้งที่ผ่านมาและรัฐบาลชุดปัจจุบันได้แทรกแซงราคาพลังงานและราคาค่าไฟฟ้า ทำให้ดูเหมือนเงินเฟ้อของไทยต่ำ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2.50 เปอร์เซ็นต์ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศนั้น ยังต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ที่ประเทศมาเลเซีย อยู่ที่ 3 เปอร์เซ็นต์ ประเทศเวียดนาม 4 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอยู่ที่ 5.35 เปอร์เซ็นต์

นายจุลพงศ์ กล่าวว่า การที่รัฐบาลเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงโดยหวังว่าดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารจะลดลงนั้น จะทำให้เกิดปัญหาเงินทุนไหลออกไปประเทศอื่นที่มีผลตอบแทนสูงกว่า อาจจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลงจนไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยคือการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท

“ตนมองว่าหากไม่มีการใช้นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะสามารถลดดอกเบี้ยนโยบายลงได้ แต่การที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ดี ประกอบกับการที่รัฐบาลมีนโยบายดังกล่าว การลดดอกเบี้ยนโยบายลงจะเป็นการกดดันค่าเงินบาท ปีที่แล้วเงินทุนจากต่างประเทศไหลออกจากประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ผู้นำเข้าสินค้าไทยในต่างประเทศจะหยุดซื้อสินค้าจากไทยเพื่อหวังว่าค่าเงินบาทของไทยจะอ่อนลงไปอีก ก็จะเกิดปัญหาการส่งออกตามมา”

นายจุลพงศ์ กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับนักการเงินบางท่านที่ออกมาให้ความเห็นว่าดอกเบี้ยที่ควรจะเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่ใช่ดอกเบี้ยเงินกู้ แต่ควรจะเปลี่ยนแปลงโดยการให้ธนาคารพาณิชย์ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากมากกว่า เพราะดอกเบี้ยเงินฝากแทบจะไม่ขยับขึ้นเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเงินฝากลบด้วยอัตราเงินเฟ้อติดลบมายาวนาน หากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ

“การขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากอาจจะทำให้กำไรของธนาคารลดลง แต่ในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ธนาคารพาณิชย์ควรลดส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินกู้กับดอกเบี้ยเงินฝากลง อย่าเอาแต่กำไรอย่างเดียวเพราะตามรายงานข่าวในขณะนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้นของธนาคารพาณิชย์จากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยในไตรมาสที่สามของปี 2566 เทียบกับไตรมาสที่สามของปี 2565 ถึงเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์” นายจุลพงศ์ กล่าว

นายจุลพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยควรกดดันให้ธนาคารพาณิชย์ขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนกลับมาเก็บออมเงินมากขึ้น แทนที่จะใช้เงินก่อนเก็บเงินเช่นทุกวันนี้

'ศิริกัญญา' นำทีม 'สส.ก้าวไกล' ลาออก 'กมธ.แลนด์บริดจ์' ซัด!! ถามถึงความคุ้มค่าไปแค่ไหน ก็ยังไม่เคยได้คำตอบ

(12 ม.ค.67) น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ได้มีการซักถามค้างอยู่กับทางสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และที่ปรึกษาที่จัดทำรายงานโครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า คุ้มค่ามากน้อยแค่ไหนทั้งปริมาณสินค้า เส้นทางการเดินเรือ ซึ่งยังไม่ได้คำตอบ

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายในการพิจารณารายงาน แต่ยังได้คำตอบไม่ครบถ้วน และประธานพยายามลงมติเพื่อรับรายงานจึงขอออกจากคณะกรรมาธิการแลนด์บริดจ์เพื่อไม่ให้เป็นตรายางในการอนุมัติรายงานฉบับนี้

ด้านนายจุลพงษ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ยังมีเรื่องท่อส่งน้ำมันที่ไม่ชัดเจน เรื่องการเปลี่ยนแปลงแผนการศึกษาสิ่งแวดล้อม 2-3 ปีนี้รัฐบาลใช้งบศึกษาดูงาน 68 ล้านบาทแต่ยังไม่เห็นอะไร และรายงานที่ยังไม่สมบูรณ์

ซึ่งคณะกรรมาธิการที่ลาออกมี 5 คน เป็น สส.พรรคก้าวไกล 4 คนและเป็นอาจารย์จากภายนอกอีกหนึ่งคน คือ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล, ประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์, นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์, และนายจุลพงษ์ อยู่เกษ

ด้านนายศุภณัฐ กล่าวว่า ในรายงานเลือกใช้ตัวเลขจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรหรือ (สนข.)เพียงตัวเดียว  ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้ประเทศเพราะการที่นำข้อมูลด้านเดียวไปขายให้ต่างประเทศ หากต่างประเทศย้อนมาว่าศึกษาแล้วไม่คุ้มทุน ตามที่รัฐบาลพยายามไปขายจะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อถามว่า หากไม่ได้อยู่ในคณะกมธ.แลนด์บริดจ์แล้วจะสามารถตรวจสอบโครงการได้อย่างไร นายศุภณัฐ กล่าวว่า หากรายงานเข้าสู่สภาฯ ทางพรรคก้าวไกลจะใช้การอภิปรายในสภาแทน

'สส.ก้าวไกล นนทบุรี' แถลงเสียใจเหตุรุมทำร้าย ชี้!! ผู้ก่อเหตุไม่ใช่ผู้ช่วย พร้อมให้สอบความกระจ่างทั้งในระดับพรรคและตามกฎหมายต่อไป

เมื่อวานนี้ (15 ม.ค. 67) นายอนุสรณ์ แก้ววิเชียร หรือทนายเอ๊ะ สส.นนทบุรี เขต 3 พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีคนสนิท ซึ่งเป็นประธานชุมชน พร้อมพวกรุมทำร้าย นายกิตติภัทร หรือ เบน อายุ 44 ปี ผู้เชี่ยวชาญประจำตัวของ นางปัญญารัตน์ นันทภูษิตานนท์ สส.นนทบุรี เขต 2 พรรคก้าวไกล ได้รับบาดเจ็บสาหัส กะโหลกศีรษะร้าว หน้าตาแตก บวมปูดตามร่างกาย มีรอยฟกช้ำหลายแห่ง เหตุเกิดเวลาประมาณ 23.30 น. วันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า เรียน พี่น้องประชาชนที่เคารพ ผม อนุสรณ์ แก้ววิเชียร ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากกรณีการทำร้ายร่างกายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ และขอประณามต่อการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ

ผมขอใช้แถลงการณ์ฉบับนี้ชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่ปรากฏต่อสื่อมวลชนต่างๆ ดังนี้

สถานที่เกิดเหตุเป็นงานเลี้ยงภายในชุมชนที่จัดขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมวันเด็กแล้ว ทางชุมชนได้จัดกิจกรรมเลี้ยงวันปีใหม่เป็นรูปแบบโต๊ะจีนหลายสิบโต๊ะ มีประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมงานจำนวนมาก

ช่วงดึกผมได้เดินทักทายพูดคุยกับประชาชนที่มาร่วมงานตามโต๊ะต่างๆ จนถึงโต๊ะของนายกิตติภัทร (เบน) ผู้ได้รับบาดเจ็บ (ขณะนั้นคุณเบนไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะ) ผมได้นั่งลงคุยกับประชาชนที่นั่งอยู่ในโต๊ะนั้น ซึ่งนั่งอยู่ทางด้านขวามือของผม

จากนั้นประมาณ 2-3 นาทีถัดมา คุณเบนได้เข้ามานั่งเก้าอี้ด้านซ้ายมือของผม เมื่อผมหันหน้ากลับไปมองเห็นนายปริญญา (ตู่) ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังได้เข้าไปพูดคุยอะไรบางอย่างกับคุณเบนแต่ผมไม่ได้ยินเนื่องจากมีดนตรีเล่นอยู่บนเวที

ต่อมาผมเห็นตู่ตบศีรษะและตบหน้าคุณเบนไป 1 ครั้ง หลังจากนั้นมีคนมาดึงแยกตัวตู่ออกไป ผมจึงได้เดินไปยกมือไหว้ขอโทษคุณเบนกับเรื่องที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นน้องในทีมงานมาขอให้ผมขึ้นรถและขับรถพาผมกลับบ้าน ซึ่งผมก็คิดว่าเรื่องราวคงจบแค่นั้น

เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็ได้เดินทางไปเลือกตั้งตัวแทนพรรคประจำจังหวัดนนทบุรี และช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ผมก็ได้เดินทางไปกับคณะกรรมาธิการ เพื่อลงพื้นที่ จ.ตาก จนถึงในขณะนี้ ผมได้ทราบเรื่องจากทีมงานที่โทรมาแจ้ง จึงได้เร่งจัดทำคำแถลงการณ์นี้ขึ้น

ทั้งนี้ ตู่เป็นประธานชุมชนในพื้นที่ ต.บางกรวย เพิ่งเข้ามาร่วมทำงานพื้นที่ กับผู้ช่วย สส.ของผมได้ประมาณ 2-3 เดือน โดยตู่ไม่ได้มีตำแหน่งผู้ช่วย สส.หรือผู้ติดตามแต่อย่างใด

ท้ายนี้ การใช้ความรุนแรงไม่ใช้หนทางที่ถูกต้อง และขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมยินดีเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบเพื่อพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ให้กระจ่างทั้งในระดับพรรคและตามกฎหมายต่อไป

'สส.ก้าวไกล' ถาม 'กองทัพ' ทำไมต้องตั้งงบเทิดทูนสถาบันเพิ่ม  'ปลัด กห.' สวน!! ปรับตามภัยคุกคามที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด

(17 ม.ค.67) นายชยพล สท้อนดี สส.ก้าวไกล กมธ.การทหาร ในฐานะ กมธ.พิจารณางบประมาณฯ ปี 2567 ได้ตั้งคำถามถึงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ ถึงงบพิทักษ์รักษา เทิดทูนสถาบัน เปรียบเทียบงบประมาณปี 2566-2567 ที่งบประมาณส่วนนี้เพิ่มขึ้น จากเดิม 1,449 ล้านบาท เป็น 1,843 ล้านบาท หรือ 27.18 % โดยเฉพาะกองทัพเรือ ที่เพิ่มจาก 45 ล้านบาท เป็น 395 ล้านบาท หรือกว่า 769 % และกองทัพอากาศ ที่เพิ่มจาก 35 ล้านบาท เป็น 65 ล้านบาท หรือกว่า 81 % จึงขอถามว่าเพิ่มขึ้นมาอย่างไรบ้าง

พร้อมกันนี้นายชยพล ยังได้ถามถึงได้ถามรายละเอียดงบประมาณและการดำเนินการทุกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความเข้าใจ เพื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ รวมทั้งถามถึงเงินราชการลับ ที่มีการขอเท่าเดิมไปเรื่อยๆ มีการใช้งานอย่างไรบ้าง เพราะงบประมาณปี 2566-2567 เท่ากัน 469 ล้านบาท ซึ่ง กมธ. จะรับทราบได้หรือไม่ เพราะทางเหล่าทัพจะชี้แจงว่าเป็นชั้นความลับ แต่เป็นงบที่เรามองไม่เห็น จึงอยากให้กองทัพชี้แจงเรื่องนี้

นอกจากนี้ นายชยพล ยังถามเรื่องการตัดลบงบประมาณในส่วนตำแหน่ง ‘ผู้ทรงคุณวุฒิ’ ต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นมายกแผงทั้งรุ่น

อีกทั้งขอระเบียบประกาศการใช้รถประจำตำแหน่และงบประมาณย้อนหลัง 3 ปี และรายละเอียดการลดจำนวนนายพล ไม่ใช่กั้นแค่เพียงการลดจำนวนนักเรียนเตรียมทหาร เพื่อรอเวลานายพลดลดลงไป เพราะตนมองว่าควรจะปรับลดได้เลย

จากนั้น พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ชี้แจงงบราชการลับว่าเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ปี 2547 ผ่าน 4 ภารกิจ ด้านความมั่นคงและการป้องกันราชอาณาจักร ภารกิจด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ภารกิจด้านข่าว และภารกิจอื่นที่มีลักษณะปกปิด เพื่อประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือโดยสภาพแห่งเทคโนโลยี ซึ่งงบส่วนนี้ได้รับการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว

ส่วนเรื่องรถประจำตำแหน่งยึดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ ปี 2523 ที่กำหนดรถราชการใช้กับตำแหน่งใดบ้าง ส่วนหลักเกณฑ์ค่าตอบแทนแบบเหมาจ่ายยึดตามมติ ครม. ปี 2457

ส่วนงบประมาณพิทักษ์รักษาเทิดทูนสถาบัน หน่วยทหารกระจัดกระจายทั่วประเทศ มีพื้นที่รับผิดชอบของตนเอง ตั้งอยู่ตามจังหวัดอำเภอ ของแต่ละเหล่าทัพชัดเจนเหมือนกับพื้นที่บรรเทาสาธารณภัยที่เข้าไปช่วยเหลือกับประชาชน ดังนั้นมีความจำเป็นในเรื่องของงบประมาณที่พิทักษ์รักษาเทิดทูนสถาบันจะต้องมีทุกหน่วยงานและงบประมาณที่เพิ่มของสำนักงบประมาณที่ตั้งงบฯมิให้ใช้งบกลางให้ตั้งงบตัวเอง จึงเป็นที่มาของงบปีนี้ที่เพิ่มขึ้น และงบพิทักษ์เทิดทูนสถาบันสัดส่วน 0.93% ของงบกระทรวงกลาโหมทั้งหมด

พล.อ.สนิธชนก ยังระบุต่อว่า กำลังให้กรมพระธรรมนูญดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่ล้าหลัง ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งขัดกับกฎหมายใหม่ที่ออกมาอยู่ระหว่างการดำเนินการ

จากนั้น พล.อ.สนิธชนก ได้กล่าวสรุปจบการชี้แจงงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหมและสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมว่า กระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า ได้ปรับตัวตามยุคสมัยตามเหตุการณ์ตามภัยคุกคามมาโดยตลอด ไม่ได้ปล่อยให้ล้าหลัง และจะใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์คุ้มค่ากับประเทศชาติและตระหนักอยู่ตลอดว่าเม็ดเงินมาจากภาษีของราษฎร


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top