(20 เม.ย.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวกรณีรถประชาสัมพันธ์หาเสียงของ นายประชา ประสพดี ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ ถูกปาระเบิดระหว่างหาเสียงเมื่อวันที่ 19 เม.ย.66
โดย นายภูมิธรรม กล่าวว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว สรุปได้ใน 2 ประเด็น ดังนี้ 1.การกระทำที่เกิดขึ้นเป็นการใช้อำนาจอันมิชอบ ขณะนี้อยู่ในวาระของการเลือกตั้ง ภายใต้การบริหารจัดการในรัฐบาลนี้ และอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ กกต.ที่ต้องสืบสวนให้ชัดเจน เพราะผู้ปาระเบิดใส่รถหาเสียงประชาสัมพันธ์ของนายประชานั้น เป็นหัวคะแนนของพรรคที่มีความเกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ดังนั้น นายกรัฐมนตรีต้องสืบให้ทราบว่าเกิดปัญหานี้ได้อย่างไร จะรับผิดชอบอย่างไร แล้วจะจัดการปัญหานี้อย่างไร ส่วน กกต.ต้องเข้ามาดูแล เพราะเข้าข่ายผิดกฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมายเลือกตั้ง
2.มีประชาชนให้ข้อมูลกล่าวหาว่า มีการใช้อิทธิพลของรัฐ อำนาจรัฐ กลไกของรัฐไปใช้ในการช่วยหาคะแนนเสียงให้กับพรรคการเมืองหนึ่ง ในภาคเหนือและภาคอีสาน โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของตำรวจ เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ระดับผู้กำกับ ผู้การ สารวัตร ให้ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้พรรคการเมืองหนึ่งได้รับชัยชนะในหลายเขตเลือกตั้ง เมื่อมีข่าวนี้เกิดขึ้น นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรสร้างความกระจ่าง ไม่ควรทำให้เกิดข้อครหา และทำให้ประชาชนไม่สบายใจ ในบรรยากาศการเลือกตั้ง มิฉะนั้นอาจจะถูกมองได้ว่า ผู้นำของประเทศอยากสืบทอดอำนาจของตนเอง และจะใช้อำนาจทุกวิถีทางเพื่ออยู่ต่อ เพราะเราต่างขออาสามารับใช้ประชาชน ไม่ควรมีใครใช้กระบวนการของรัฐข่มขู่คุกคามผู้สมัครต่างพรรคต่างเบอร์กัน ซึ่งผิดกับหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
"เราไม่ควรมีบรรยากาศการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยที่มีการข่มขู่ คุกคาม อันนำไปสู่การทำลายระบบประชาธิปไตย ทำให้เกิดการหวาดหวั่นในการเลือกตั้งที่จะถึงและหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นอีก ไม่ควรมีกระบวนการใด อิทธิพลใด หรือการกระทำใดๆ ที่กระบวนการของรัฐฯเข้ามาเกี่ยวข้องและข่มขู่ผู้สมัคร ที่ต่างพรรคต่างเบอร์ต่างความคิดกัน กกต.ไม่ต้องรอให้พรรคเพื่อไทยร้องเรียน สามารถดำเนินการสอบสวนได้เลย" นายภูมิธรรม กล่าว
นายประเสริฐ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าว ถือเป็นการคุกคาม ขู่เข็ญ ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย และผู้สนับสนุนให้เกิดความหวาดกลัว ส่งผลต่อการได้เปรียบ เสียเปรียบในการเลือกตั้งที่จะส่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม ตัวผู้กระทำผิดก็มีพฤติกรรมเกี่ยวพันกับพรรคการเมืองที่นายกรัฐมนตรีมีความเกี่ยวข้องอีกด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องลงมารับผิดชอบตรวจสอบและดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเดียวกันอีก
ทั้งนี้ พฤติการณ์ของผู้กระทำผิด พรรคเพื่อไทยมีความเห็นว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง และกฎหมายพรรคการเมือง เพราะเป็นการคุกคามต่อความสงบเรียบร้อย ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ข่มขวัญ แต่หวังเอาชีวิต ดังนั้น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรเข้าไปตรวจสอบเพื่อเอาผิดพรรคการเมืองและนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมอีก 2 ประการ คือ 1.สถานที่เกิดเหตุระเบิด และสถานีตำรวจอยู่ห่างกันไม่ถึง 1 กิโลเมตร แต่เมื่อผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ แจ้งไปยังสถานีตำรวจ กลับใช้เวลาเดินทางมาตรวจสอบนานถึง 30 นาที ทั้งที่ควรใช้เวลาแค่ 5 - 10 นาทีเท่านั้น 2.ภายหลังจับกุมผู้กระทำผิดทำการสอบสวนแล้ว พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำผิดเบาเกินไป ไม่สมเหตุสมผล ได้แก่ ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว, ทำให้เสียทรัพย์, มีความพยายามทำร้ายร่างกาย และทำให้ส่งเสียงดังอื้ออึง โดยปกตินายประชาจะนั่งไปในรถหาเสียงคันดังกล่าวด้วย หากในวันนั้นนายประชาอยู่ในรถคันดังกล่าวในวันเกิดเหตุ โดนระเบิดหลบไม่ทัน หมายถึงการประสงค์ต่อชีวิต ดังนั้น การตั้งข้อหาที่เบาเกินไป จึงดูขาดน้ำหนัก
ด้าน นายประเสริฐ กล่าวว่า ในฐานะที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องมีส่วนรับผิดชอบ เพราะเป็นการใช้อำนาจคุกคาม ขู่ขวัญ ของพรรคการเมือง ซึ่งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเป็นหัวคะแนนพรรคการเมืองใดอย่างชัดเจน ส่วน กกต.ไม่ต้องรอให้พรรคเพื่อไทยร้องเรียน เพราะเป็นประเด็นสาธารณะ สามารถเข้าไปตรวจสอบ เพื่อเอาผิดกับพรรคการเมือง และนักการเมือง ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำดังกล่าวได้ทันที เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิด พ.ร.บ.พรรคการเมือง และ พ.ร.บ.เลือกตั้ง
นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตว่า การที่ผู้ต้องหาอ้างว่าเป็นโรคทางจิตเวช แต่ในข้อเท็จจริง ผู้กระทำความผิดเคยได้รับโทษจำคุกเป็นเวลา 9 เดือนมาแล้ว ในระหว่างนั้นได้ยกเอาสาเหตุอาการป่วยทางจิตมาเป็นสาเหตุอ้างต่อศาล แต่ศาลไม่รับฟัง และได้ตัดสินจำคุกผู้ต้องหา 9 เดือน ในครั้งนี้ตนกังวลว่า ครั้งนี้จะมีการยกเอาเหตุผลทางจิตเวชขึ้นมาอีก แต่ในเมื่อมีบรรทัดฐานจากคดีการลักทรัพย์ที่ผู้ต้องหาถูกจำคุกแล้ว จึงไม่ควรอ้างเหตุนี้ต่อการดำเนินคดีอีก