Wednesday, 1 May 2024
กกต

ด่วน!! ‘กกต.’ ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. 500 คนแล้ว คาด ประชุมสภานัดแรก 3 ก.ค.นี้ เร็วกว่าที่กำหนดร่วมเดือน

(19 มิ.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุม กกต. มีมติประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 เขต และแบบบัญชีรายชื่อ100 คน รวม ส.ส. 500 คน และยังมีรายงานด้วยว่า นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เตรียมที่จะมีการแถลงข่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า การประชุมสภานัดแรกน่าจะเป็นวันที่ 3 ก.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งถือว่า เร็วกว่าไทม์ไลน์ที่เคยกำหนดไว้ก่อนหน้านี้วันที่ 25 ก.ค.เพื่อเลือกประธานสภา

แต่อย่าเพิ่งดีใจไปนะครับ สำหรับ 71 เขตเลือกตั้งที่มีเรื่องร้องเรียนอยู่ วันนี้แค่ กกต.รับรองไปก่อน เพราะการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ กกต.จึงรับรองไปก่อน เพื่อให้ขบวนการในสภาเดินหน้าไปได้ แต่ กกต.ยังมีอำนาจพิจารณาให้ใบแดง ใบเหลือง ใบส้มอยู่เหมือนเดิม และอาจจะสอยที่หลังได้

เพียงแต่ถ้า กกต.จะให้ใบแดง หลังจากนี้ต้องส่งให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน…

ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เมื่อ กกต.รับรองให้เป็น ส.ส.แล้ว อาจจะมีคนไปร้อง กกต.ซ้ำเรื่องคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.

เรื่อง : นายหัวไทร

'ก้าวไกล' ส่งหนังสือด่วนถึง กกต. คัดค้านส่งเรื่องวินิจฉัย กรณี 'พิธา' ถือหุ้นสื่อไอทีวีไปยังศาลรัฐธรรมนูญ 

(10 ก.ค. 66) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลได้ส่งหนังสือด่วนไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อคัดค้านการที่ กกต. จะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยกรณีหุ้นสื่อของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล เนื่องจากเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนที่ระเบียบ กกต. ระบุไว้เอง มีความเร่งรัดเกินกว่าเหตุ จนน่าสงสัยในเจตนาของ กกต. ว่ากระทำโดยความเป็นกลางหรือไม่

นายชัยธวัชกล่าวว่า ตามระเบียบของ กกต. เมื่อมีการร้องเรียนผู้สมัครคนใดเกี่ยวกับการกระทำหรือการขาดคุณสมบัติ คณะกรรมการต้องไต่สวน สืบสวน รวบรวมข้อเท็จจริง จากนั้นให้แจ้งข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ รวมถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ผู้ถูกร้องทราบ และให้ผู้ถูกร้องเข้าไปชี้แจง จากนั้นจึงดำเนินการต่อไปในการส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ในกรณีนี้ เมื่อมีการไต่สวนรวบรวมข้อเท็จจริงแล้ว ยังไม่มีการแจ้งข้อเท็จจริงให้พิธาทราบ และยังไม่มีการเรียกเจ้าตัวไปชี้แจงด้วย แต่กลับจะมีการเร่งรัดส่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเท่ากับ กกต. กำลังทำผิดระเบียบของตนเองอยู่

“ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ อีกเพียง 4 วัน ก็จะถึงการโหวตนายกรัฐมนตรี การที่จู่ๆ กกต.จะเร่งรัด ทำข้ามขั้นตอน ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทันที อาจทำให้สังคมตั้งคำถามได้ว่าองค์กรอิสระทำหน้าที่อย่างไม่เป็นกลาง มีเป้าประสงค์ทางการเมืองหรือไม่ ผมเชื่อว่าประชาชนเฝ้ารอการโหวตนายกรัฐมนตรีกันทั้งประเทศ จึงไม่ควรมีการกระทำใดๆ ที่จะขัดขวางการตั้งรัฐบาลตามครรลองประชาธิปไตย” นายชัยธวัชกล่าว

‘กกต.’ พิจารณาต่อพรุ่งนี้ 3 ปม ‘พิธา’ ถือหุ้นสื่อ ชี้!! เตรียมส่งหนังสือแจ้ง ‘พิธา’ ให้ทราบผล

(11 ก.ค. 66) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.เปิดเผยว่า ในการประชุม กกต.วันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาหนังสือของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล จากกรณีที่เลขาธิการพรรคก้าวไกล ส่งหนังสือค้าน กกต.กรณีหุ้นสื่อ ว่าทำผิดขั้นตอนยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ กกต.ปฎิบัติตามระเบียบสืบสวนไต่สวนนั้น 

ที่ประชุมเห็นว่า กกต.ได้ปฎิบัติโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เนื่องจากกรณีนี้เป็นการดำเนินการของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งจะต้องเป็นไปตามระเบียบสืบสวนฯ ที่ต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาก่อน มิใช่การดำเนินการสืบสวนไต่สวนการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง โดยรัฐธรรมนูญตามมาตรา 82 กำหนดว่า ในกรณีที่ กกต.เห็นว่าสมาชิกภาพของ ส.ส.คนใดมีเหตุสิ้นสุดลงให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยได้

ทั้งนี้ สอดคล้องกับแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เคยให้ไว้ ในการพิจารณายื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ซึ่งสำนักงาน กกต.จะได้มีหนังสือตอบผลการพิจารณาของที่ประชุมให้นายพิธาทราบต่อไป

ด่วน!! ‘กกต.’ เชือด ‘พิธา’ ส่งศาล รธน.ฟันพ้น ส.ส. ปมหุ้น ITV พร้อมขอสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ จับตานำเรื่องเข้าพิจารณาบ่ายนี้

12 ก.ค. 66 ที่ประชุมกกต.มีมติให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อและแคนดิเนตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกลสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ประกอบมาตรา 101 (6) หรือไม่จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัทไอทีวีจำกัดมหาชนจำนวน 42,000 หุ้น รวมทั้งมีคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย หลังใช้เวลากว่า 3 วัน รับฟังและพิจารณาผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขอสำนักงาน กกต.แล้วเห็นว่ามีข้อมูลพยานหลักฐานเพียงพอให้เชื่อว่ามีเหตุตามที่มีการยื่นคำร้องจริง โดยนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.ได้ลงนามในคำร้องและมอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักงานฯนำไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญทันที

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าในส่วนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีการนัดประชุมประจำสัปดาห์วันนี้ในช่วงบ่าย เวลา 13.00 น. ซึ่งต้องจับตามองว่าสำนักงาน กกต. จะส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญทันหรือไม่ และหากทันคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีการนำคำร้องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาเลยหรือไม่

‘ปิยบุตร’ เปรียบเปรย!! ผู้กำกับบท จับหนังม้วนเก่ามาฉายซ้ำ หลัง กกต.ไร้มาตรฐานในเรื่องระยะเวลาในการพิจารณา ‘พิธา’

(12 ก.ค.66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

[หนังม้วนเก่ากำลังกลับมาฉายซ้ำ]

เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผมได้แถลงข่าว ชี้ให้เห็นว่า เกิดกรณีไม่มีมาตรฐานในเรื่องระยะเวลาในการพิจารณาของ กกต. 

กรณีลักษณะต้องห้ามของ ดอน ปรมัตถ์วินัย กกต.ใช้เวลา พิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ 386 วัน ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณารับคำร้อง 70 วัน และไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว

กรณีลักษณะต้องห้ามของ 4 รัฐมนตรีสมัยรัฐบาล คสช. กกต.ใช้เวลาพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ 355 วัน ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณารับคำร้อง 75 วัน และไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว 

แต่กรณีของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กกต.ใช้เวลาพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ 51 วัน ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณารับคำร้อง 7 วัน และสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว 

กรณีของธนาธรกลายเป็นสถิติที่ กกต. พิจารณาเรื่องเกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามและศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องได้รวดเร็วที่สุดราวกับนั่งรถไฟความเร็วสูง 

มาวันนี้ 4 ปีผ่านไป 

ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศใช้อำนาจของตนร่วมกันแสดงเจตจำนงสนับสนุนให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี คะแนนเสียงถล่มทลาย คะแนนเสียงมากกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ 

แต่พิธา ก็ยังถูก ‘นิติสงคราม’ กระทำซ้ำ และทำลายสถิติการพิจารณาคำร้องของ กกต. อย่างรวดเร็ว 

หากพิจารณานับจากวันที่เรืองไกร ยื่นคำร้องต่อ กกต.ซ้ำอีกครั้งในวันที่ 20 มิถุนายน ก็เท่ากับว่า กกต.ใช้เวลาพิจารณา 32 วันเท่านั้น!!!

พวกเขา บรรดาผู้กำกับภาพยนตร์ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเอาหนังม้วนเดิมกลับมาเล่นใหม่ หนังม้วนนี้เล่นกันมาเกือบ 20 ปี แล้ว 

เราจะให้มันจบแบบเดิม อย่างนั้นหรือ???

‘พิธา’ โอด!! กระบวนการเร่งรัด กกต.ไม่เปิดโอกาสให้ชี้แจง แต่กำลังใจยังดี ขอเข้าสภาฯ ตามเดิม ยันพร้อมแจงทุกข้อสงสัย

(12 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีถือครองหุ้นสื่อว่า คิดว่ากระบวนการในวันพรุ่งนี้ (13 ก.ค.) ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจมาให้เสมอ ตนยังกำลังใจดีอยู่

เมื่อถามว่า มีความกังวลหรือไม่ว่าจะถูกนำเรื่องดังกล่าวไปเป็นปัจจัยในการโหวตนายกรัฐมนตรีของสมาชิกรัฐสภา นายพิธา กล่าวว่า ไม่กังวล มองเป็นเรื่องปกติ คิดว่าวุฒิสภาจะแยกแยะได้ว่าแต่ละเรื่องเป็นอย่างไร และเรื่องที่ร้องไปก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นสื่อมวลชนที่หยุดไปนานแล้ว และตนถือในฐานะผู้จัดการมรดกไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้อง ซึ่งคุณสมบัติแคนดิเดตนายกฯก็ยังมีอยู่

เมื่อถามว่า การที่ กกต.ไม่ได้เรียกไปชี้แจงเลย มองว่าเป็นธรรมหรือไม่? นายพิธา กล่าวว่า รู้สึกว่าไม่เป็นธรรม เท่าที่ฟังการแถลงเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยเอาไปเทียบเคียงกับคดีที่เป็นคดีเกี่ยวกับการกู้เงินของพรรค แต่นี่เป็นคนละรูปแบบกัน ดังนั้น ระเบียบของ กกต.ควรเปิดโอกาสให้ชี้แจง รวมถึงระยะเวลาถือว่าสั้น พอมานั่งคำนวณดูพบว่าเป็นเวลา 32 วัน ครึ่งหนึ่งของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ 1 ใน 10 ของรัฐมนตรีที่อยู่ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 4 คน ซึ่งบรรทัดฐานต่างกัน ก็เป็นสิ่งที่ดูว่าเร่งรัดเกินไป และเป็น 1 วันก่อนโหวตนายกฯ ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่ตนยังเชื่อว่าเดินหน้าตามปกติ และตนยังสติดี กำลังใจดีแน่นอน ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ

เมื่อถามว่า กังวลกระแสข่าวล็อบบี้ ส.ว.ไม่ให้โหวตให้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตนดูสภาพแล้วจากการที่มีการเคลื่อนไหวนอกสภาแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าในสภามีความมั่นใจมากขึ้นว่าจะไปถึง 376 เสียง จึงได้มีการใช้องค์กรอิสระข้างนอกหรือไม่ ตรงนี้เป็นการตั้งคำถามไว้ แต่เท่าที่เขาคุยกันในสภาพรุ่งนี้มีแนวโน้มที่ดี แต่พอมีแนวโน้มที่ดีก็มีกระบวนการเคลื่อนไหวนอกสภาหรือไม่อย่างไร ซึ่งตนก็ไม่รู้ แต่เป็นสิ่งที่เขาพูดกันในสภาฯ เฉยๆ

เมื่อถามว่า เหลือเวลาอีก 1 วัน จะโหวตเลือกนายกฯ แล้วเป็นห่วงอะไรมากที่สุด นายพิธา กล่าวว่า ยังไม่มีอะไรน่าห่วง คิดว่ากระบวนการยังเป็นไปตามปกติ และไม่ได้เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายแต่อย่างใด ก็สามารถบริหารจัดการได้ ในวันพรุ่งนี้ตนจะเข้าสภาตามปกติ ซึ่งในการอภิปราย 6 ชม. ตนจะตอบทุกข้อซักถามทุกข้อกังวลใจ พร้อมกับการแสดงวิสัยทัศน์ ไม่มีอะไรน่ากังวล

มติ กกต. 4 ต่อ 1 ดันส่งศาล รธน. ฟัน ‘พิธา’ ‘ปกรณ์’ หนึ่งเสียงค้าน หวั่นด้อมส้มมองไม่เหมาะสม

วันนี้ ( 12 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณี กกต. มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัทไอทีวี จำกัด มหาชน จำนวน 42,000 หุ้น นั้นมีรายงานว่าบรรยากาศในการพิจารณา เรื่องดังกล่าวของที่ประชุม กกต. เป็นไปอย่างเคร่งเครียด ซึ่ง กกต. ทั้ง 5 คน เห็นตรงกันว่า บริษัทไอทีวีฯ ประกอบกิจการเป็นสื่อ หากมีการถือหุ้นก็จะเข้าข่ายขัดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. จำเป็นต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ทั้งมีการพูดถึงว่า หาก กกต. ไม่ส่งศาลธรรมนูญในวันนี้ ก่อนที่รัฐสภาจะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี อาจจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ขัดกฎหมายมาตรา 157 จึงมีการลงมติเห็นชอบด้วยคะแนน 4 ต่อ 1 เสียง

โดย 4 เสียงประกอบด้วย 
1. นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต.
2. นายฐิติเชฎฐ์ นุชนาฏ 
3.นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ 
และ 4. นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ 

ส่วน 1 เสียง ที่ไม่เห็นด้วยกับการส่งศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ คือ นายปกรณ์ มหรรณพ โดยนายปกรณ์ แสดงความกังวลต่อที่ประชุมว่า การที่ กกต. ส่งเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในช่วงนี้อาจจะถูกมวลชนมองว่าการกระทำของ กกต. ไม่เหมาะสม และควรจะต้องมีสอบประเด็นอื่นเพิ่มเติม อาทิ ความเป็นเจ้าของหุ้นไอทีวี ว่านายพิธาเป็นเจ้าของหุ้นจริงหรือไม่ให้ชัดเจนกว่านี้ แม้ทุกคนจะเห็นตรงกันว่าไอทีวีเป็นธุรกิจสื่อก็ตาม

สำหรับ กกต. ที่ลงมติเรื่องนี้มีเพียง 5 คน เนื่องจากนายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี และนายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย พ้นจากตำแหน่งไปก่อน เพราะมีอายุครบ 70 ปี

‘นริศโรจน์’ ซัด!! เหล่าดารา-คนดัง หลังแห่เปิดหน้าแขวะ กกต. ฟาดแรง!! “คงเล่นละครมาก ไปจนไม่รู้อะไรทั้งนั้น”

(13 ก.ค. 66) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

“รู้ว่าเป็น ‘ดารา’ แต่ถ้าดาราไม่รู้ว่า กกต.มีไว้ทำไม อันนี้คนทั่วไปคงตอบแทนเขาได้ คงเล่นละครมาก ไปจนไม่รู้อะไรทั้งนั้น”

‘กกต.’ จ่อฟ้องเรียกค่าเสียหาย ‘นครชัย’ สส.ระยอง ก้าวไกล เหตุต้องจัดเลือกตั้งใหม่ ชี้!! รู้อยู่แล้วไม่มีสิทธิ แต่ยังฝืนลงสมัคร

(30 ก.ค. 66) สืบเนื่องจากกรณีที่ ‘นครชัย ขุนณรงค์’ หรือ ‘ไอซ์ สส.ระยอง’ พรรคก้าวไกล เขต 3 หลังกกต.ระยองส่งข้อมูล ให้กกต.กลาง หลังพบข้อมูลต้องคดีลักทรัพย์ ช่วงปี 42 - 43 โทษศาลสั่งจำคุก 1 ปี 6 เดือน กระทั่งต่อมา ไอซ์ สส.ระยอง ประกาศลาออก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ล่าสุดมีรายงานว่า นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยกรณี นายนครชัย ขุนณรงค์ สส.ระยอง เขต 3 พรรคก้าวไกล มีลักษณะต้องห้ามในการเป็น สส. เนื่องจากเคยเป็นต้องโทษจำคุกในคดีลักทรัพย์ว่า กรณีนี้ ถือเป็นกรณีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) (เคยต้องคำพิพากษาจนถึงที่สุดในคดีเกี่ยวกับทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา) ที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาการพ้นโทษไว้ ดังเช่นมาตรา 98 (7) (ระบุว่าเคยได้รับโทษจำคุกยังไม่พ้น 10 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง) เนื่องจากกฎหมายกำหนดบทความผิดไว้เป็นการเฉพาะว่า ความผิดในฐานใดบ้างที่ต้องห้ามดำรงตำแหน่ง สส. ดังนั้น หากผู้สมัคร สส.เคยกระทำความผิดตามฐานความผิดที่ระบุไว้ จะถือเป็นลักษณะต้องห้ามการสมัครรับเลือกตั้ง สส.

โดยกรณีดังกล่าวหากเห็นว่าผู้สมัครรู้อยู่แล้วว่า ตนเองไม่มีสิทธิสมัคร แต่มาสมัครรับเลือกตั้ง อาจเข้าข่ายต้องรับโทษทางอาญา ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. มาตรา 151 และอาจต้องรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420

พร้อมกันนี้ นายอิทธิพร ยังกล่าวอีกว่า ตามที่ สส. คนดังกล่าวได้ประกาศทางเฟซบุ๊กส่วนตัวแจ้งว่า จะมีการลาออกจากตำแหน่งในสัปดาห์หน้า จึงคาดว่าจะมีการยื่นหนังสือลาออก และมีผลในช่วงสัปดาห์หน้าเลย

ซึ่งกรณีนี้ กกต.รับทราบเรื่องแล้ว และอยู่ในขั้นตอนที่ส่วนกลางกำลังพิจารณาจัดทำความเห็นเพื่อเสนอต่อ กกต.ต่อไป ซึ่งจะมีประเด็นเรื่องความผิดทางอาญา ตามพ.ร.ป.ว่าด้วย สส. มาตรา 151 รวมทั้งอาจมีการพิจารณาฟ้องคดีแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหายในการจัดเลือกตั้งใหม่ต่อไป

‘กกต.’ โต้เดือด ‘พิธา’ กรณีไต่สวนอาญา ม.151 ชี้!! ยังไม่แล้วเสร็จ ปัด ‘กลั่นแกล้งให้ได้รับโทษ’

(16 ส.ค. 66) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกเอกสารข่าว ว่า ตามที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความว่า “คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต.มีมติยกคำร้องในคดีอาญา มาตรา 151 ตามข้อกล่าวหาว่า รู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการ เมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ...” จากกรณีที่เป็นข่าวว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. โดยเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ กกต.จึงได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ เพื่อพิจารณาว่าฝ่าฝืนมาตรา 151 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. พ.ศ. 2561 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 (พรป.สส.) หรือไม่ประการใดนั้น

กกต.ชี้แจงว่า ในการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป 2566 มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 3 ราย ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงาน กกต. กล่าวหาว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น อันเป็นกิจการสื่อมวลชน เชื่อว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (3) แห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน แต่คำร้องดังกล่าวยื่นเกินกำหนดระยะเวลาตามที่กฎหมายบัญญัติ กกต. จึงมีมติสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าวทั้งหมดไว้พิจารณา 

แต่เมื่อ กกต.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า รายละเอียดที่ปรากฏตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของผู้ยื่นคำร้อง มีเหตุอันควรเชื่อว่านายพิธา อาจจะเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้ง สส. โดยมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏ จึงได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ เพื่อให้ดำเนินการสืบสวนฯ ให้เป็นไปตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ว่า นายพิธา กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ประการใด ขณะนี้การดำเนินการสืบสวนไต่สวนยังไม่เสร็จสิ้นและได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ โดยอยู่ในระหว่างกระบวนการสืบสวนไต่สวนเป็นไปตามลำดับชั้นตามระเบียบและกฎหมาย หลังจากนั้น จะได้นำเสนอข้อเท็จจริงข้อกฎหมายและความเห็นต่อ กกต. ให้เป็นผู้พิจารณาและมีคำสั่งต่อไป

โดยเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2566 กกต. ได้ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ทำให้นายพิธา มีสมาชิกภาพเป็น สส.แบบบัญชีรายชื่อ แต่ปรากฏว่า กกต. ได้พิจารณามีข้อเท็จจริงและมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏ เชื่อได้ว่านายพิธา อาจเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ตามมาตรา 98 (3) อันเนื่องมาจากการเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวีจำกัด (มหาชน) อาจมีผลทำให้สมาชิกภาพ สส.ของนายพิธาฯ ต้องสิ้นสุดลงตามมาตรา 101 (6) แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ดังนั้น จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้ทำหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน ข้อกฎหมาย และความเห็น เสนอต่อ กกต.ให้พิจารณาสั่งการต่อไป

คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เห็นว่า มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าสมาชิกภาพความเป็น สส. ของ นายพิธา อาจมีเหตุสิ้นสุดลง จึงเสนอความเห็นต่อ กกต. ให้มีมติยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 82 ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันต่อไป

กกต. ขอชี้แจงว่าคณะกรรมการฯ ตามที่ได้รับแต่งตั้งจาก กกต. จำนวน 2 คณะ เป็นผู้ที่มีหน้าที่และอำนาจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยมีความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นตรงภายใต้การบังคับบัญชาซึ่งกันและกัน ดังนั้น คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ จะมีความเห็นเป็นเช่นใด ถือได้ว่าเป็นดุลยพินิจอันเป็นความเห็นเบื้องต้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสืบสวนและไต่สวนเท่านั้น โดยจะมีกระบวนการและขั้นตอนที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบสืบสวนไต่สวนอีกหลายขั้นตอน กระบวนการดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด หลังจากนั้น เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการที่บัญญัติไว้ตามกฎหมายแล้วจะนำเสนอความเห็นต่อ กกต. พิจารณาในลำดับสุดท้าย

การพิจารณาเสนอความเห็นว่า นายพิธา กระทำความผิดตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. หรือไม่ กกต. จะต้องนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มาใช้ประกอบการตัดสินใจที่จะดำเนินคดีอาญากับนายพิธา หรือไม่ประการใด อันเป็นหลักประกันว่าบุคคลจะได้รับโทษในทางอาญา เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาสามารถนำพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายมาต่อสู้และหักล้างข้อกล่าวหาได้ทุกประเด็น

สำหรับการยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยกรณีสมาชิกภาพ สส. ของนายพิธาฯ มีเหตุต้องสิ้นสุดลง เป็นการดำเนินการตามมาตรา 82 ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นระบบไต่สวน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสามารถใช้อำนาจดังกล่าวที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและแสวงหาพยานหลักฐานจากแหล่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง กกต.ไม่มีอำนาจในการวินิจฉัยสั่งการให้คดีที่ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นไปในทางหนึ่งทางใดตามที่ กกต.ต้องการ

ศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยว่า นายพิธา เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวล ชนหรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นประการใด ย่อมส่งผลโดยตรงต่อสมาชิกภาพการเป็น สส. ของนายพิธา เฉพาะตน โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ผูกพันทุกองค์กร ดังนั้น กระบวนการในการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.ต่อ นายพิธา จึงยังไม่เสร็จสิ้นหรือมีผลเป็นที่สุดเด็ดขาด กกต.จึงไม่ได้กลั่นแกล้ง หรือจงใจที่จะทำให้นายพิธา ต้องได้รับโทษตามกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น การนำข้อมูลมาเสนอต่อสาธารณชน อันอาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนและเข้าใจผิดว่ากระบวนการตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วย การเลือกตั้ง สส. เป็นกระบวนการเดียวกันกับการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยชี้ขาดเรื่องคุณสมบัติตามมาตรา 82 ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top