Friday, 10 May 2024
WORLD

‘อินฟลูฯ ดังสิงคโปร์’ โดน ‘ไต้หวัน’ ลงดาบ!! ห้ามเข้าประเทศ 5 ปี หลังจัดฉากสร้างคอนเทนต์ ‘ถูกปาไข่ใส่’ ทำภาพลักษณ์เสื่อมเสีย

(1 มี.ค.67) สเตรตส์ไทมส์ รายงานว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ไต้หวันประกาศห้ามอินฟลูเอนเซอร์สาวชาวสิงคโปร์เข้าไต้หวัน หลังกุเรื่องสร้างความปั่นป่วนเพียงเพื่อทำคอนเทนต์

รายงานระบุว่าเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา น.ส.เฉิง เหว่ง อี้ หรือชื่อในวงการอินฟลูเอนเซอร์บนสื่อสังคมออนไลน์ว่า ‘เคียราคิตตี้’ (KiaraaKitty) กำลังไลฟ์วิดีโอผ่านแพลตฟอร์มทวิตช์ระหว่างเที่ยวเมืองเกาสง ทางตอนใต้ของไต้หวัน อยู่ๆ ก็มีคนปาไข่ใส่ โดยคนที่ลงมือทำร้าย น.ส.เฉิง สวมชุดกระโปรง และตะโกนเป็นภาษาจีนกลางด่าทอ น.ส.เฉิง ว่าอ่อยสามีของตน

น.ส.เฉิงกล่าวว่าถูกทำร้ายเพราะทำคอนเทนต์สำหรับผู้ใหญ่ซึ่งต้องสมัครเป็นสมาชิกจึงจะเข้าชมภาพวาบหวิวในแพลตฟอร์ม ‘โอนลีแฟนส์’ ได้ อินฟลูเอนเซอร์สาวให้สัมภาษณ์สื่อไต้หวันด้วยว่าไม่รู้จักคนที่ปาไข่ใส่และจะแจ้งความกับตำรวจ แต่ตำรวจเมืองเกาสงยืนยันเมื่อวันที่ 11 ก.พ. ว่า น.ส.เฉิงไม่เคยเข้าแจ้งความ

ด้านหนังสือพิมพ์ไทเปไทมส์รายงานว่า ตำรวจสอบสวนพบว่าคนที่ปาไข่จริงๆ แล้วเป็นผู้ช่วยของ น.ส.เฉิง เป็นชายชาวสิงคโปร์วัย 32 ปี นามสกุลสเว่ ทั้งน.ส.เฉิงและนายสเว่ทำผิดกฎหมายรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมจากการแพร่กระจายข่าวปลอม และคดีนี้ส่งถึงศาลแขวงเกาสงแล้วนอกจากนี้ตำรวจยังขอให้น.ส.เฉิงขอโทษต่อสาธารณชนที่กุเรื่องขึ้นมาด้วย

ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ก.พ. น.ส.เฉิงไลฟ์สดพร้อมกับร้องไห้น้ำตานองหน้าและยอมรับว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นทั้งหมด จากนั้นเมื่อวันที่ 27 ก.พ. สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไต้หวันกล่าวว่า น.ส.เฉิงและนายสเว่ออกจากไต้หวันไปแล้ว

ก่อนศาลแขวงเกาสงตัดสินคดีและลงโทษห้ามเดินทางเข้าไต้หวัน 5 ปี พร้อมยืนยันว่าไต้หวันยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน แต่จะไม่ยอมรับการกระทำที่ผิดกฎหมาย บั่นทอนความสมานฉันท์ และความมั่นคงในสังคม

สำหรับน.ส.เฉิงนั้นเกิดในฮ่องกงเมื่อปี 2545 แต่ย้ายไปอยู่สิงคโปร์ และขึ้นชื่อเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่สร้างรายได้จากการขายสินค้าแปลกแหวกแนว เช่น น้ำที่ใช้อาบแล้วหรือชุดชั้นในใช้แล้วและโหลใส่ผายลมราคาหลายร้อยดอลลาร์สหรัฐ

‘แคว้นทรานส์นีสเตรีย’ ขอความคุ้มครองจาก ‘รัสเซีย’ อ้าง!! ถูก ‘รบ.มอลโดวา’ กดดันทางเศรษฐกิจอย่างหนัก

เมื่อวานนี้ (28 ก.พ. 67) รัฐบาลท้องถิ่นแคว้นทรานส์นีสเตรีย หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐมอลเดเวียพรีดเนสโตรวี มีมติยื่นคำร้องถึงรัฐบาลมอสโก เพื่อขอความคุ้มครองพิเศษจากรัสเซีย อ้างเหตุหวั่นตกเป็นพื้นที่พิพาทแห่งใหม่จากการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ประกอบกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากรัฐบาลมอลโดวา

‘ทรานส์นีสเตรีย’ เป็นแคว้นที่ประกาศแยกตัวออกจากประเทศมอลโดวา แต่ยังไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการในระดับสากล ภูมิประเทศเป็นพื้นที่แคบยาวตลอดแนวแม่น้ำนีสเตอร์ และมีชายแดนติดกับยูเครน มีรัฐบาลท้องถิ่นปกครองตนเองซึ่งส่วนใหญ่มีแนวคิดสนับสนุนรัสเซียมาตั้งแต่ยุคหลังสหภาพโซเวียต

แต่ในปัจจุบันสภาแห่งยุโรปยังถือว่าทรานส์นีสเตรีย เป็นส่วนหนึ่งของประเทศมอลโดวา เพียงแต่อยู่ภายใต้การยึดครองโดยกองทัพรัสเซีย ในขณะที่รัฐบาลมอลโดวา กำหนดให้ดินแดนแห่งนี้เป็นหน่วยปกครองดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำนีสเตอร์

แต่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา สมาชิกสภาคองเกรซแห่งทรานส์นีสเตรียได้ลงมติเรียกร้องให้สภาดูมาแห่งรัสเซียพิจารณามาตรการป้องกันให้แก่ทรานส์นีสเตรีย อันเนื่องจากในทรานส์นีสเตรียมีพลเมืองรัสเซียอาศัยอยู่มากกว่า 2.2 แสนคน ที่ควรได้รับการคุ้มครองจากแรงภาวะสงครามในยูเครน และ แรงกดดันจากนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลมอลโดวา 

ข้อพิพาทครั้งล่าสุดระหว่างมอลโดวา และ ทรานส์นีสเตรีย มาจากนโยบายเก็บภาษีใหม่ โดยได้กำหนดให้บริษัทเอกชนในทรานส์นีสเตรียต้องเสียภาษีศุลกากรสินค้าให้กับรัฐบาลกลางมอลโดวา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมเป็นต้นมา 

ในขณะที่ วาดิม ครานโนสเซลสกี้ ผู้นำของทรานส์นีสเตรีย ได้ออกมาทักท้วงว่าทรานส์นีสเตรียควรได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีจากข้อตกลงการค้าเสรีมอลโดวา ที่ได้เซ็นไว้ในที่ประชุมสหภาพยุโรปในปี 2013 

แต่ทั้งนี้ มอลโดวากำลังได้รับการพิจารณาเป็นประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรป โดยไม่รวมเขตปกครองทรานส์นีสเตรียในข้อตกลงด้วย จึงทำให้รัฐบาลมอลโดวาจำเป็นต้องยกเลิกการผ่อนปรนภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจากทรานส์นิสเตรียน ทำให้เจ้าของกิจการทรานส์นีสเตรีย มีภาระด้านภาษีเพิ่มขึ้นเพราะต้องจ่ายภาษีให้กับทั้งทรานส์นิสเตรียและมอลโดวา

อีกทั้งสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้รัฐบาลยูเครนต้องปิดชายแดนทางฝั่งทรานส์นิสเตรีย จึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของทรานส์นิสเตรีย ที่ถูกกดดันทั้งจากสถานการณ์ในยูเครน และ จากรัฐบาลมอลโดวา อันเป็นเหตุให้สภาท้องถิ่นทรานส์นิสเตรีย มีมติขอความคุ้มครองจากรัฐบาลรัสเซียในวันนี้ 

สื่อรัสเซียได้อ้างอิง คำให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียว่าได้ตอบรับข้อเรียกร้องของทรานส์นิสเตรียแล้ว โดยได้กล่าวว่า การปกป้องดินแดนสีเงิน (ชื่อที่รัสเซียใช้เรียกทรานส์นิสเตรีย) เป็นสิ่งที่รัสเซียให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่ารัสเซียอาจมีแผนในการผนวนดินแดนทรานส์นิสเตรียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียในอนาคต

ในขณะเดียวกัน โอเลก เซเรเบรียน รองนายกรัฐมนตรีของมอลโดวา ออกมาปฏิเสธคำแถลงของรัฐบาลทรานส์นิสเตรีย ว่าเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อ ไม่มีสถานการณ์อันตรายใด ๆ ในภูมิภาคทรานส์นิสเตรียนที่ต้องขอการคุ้มครองพิเศษ เป็นแค่เพียงการปั่นกระแสเพื่อสร้างความตื่นตระหนกเท่านั้น

โดนัลด์ ทัสค์ นายกรัฐมนตรีโปแลนด์ ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ความตึงเครียดในทรานส์นิสเตรียเป็นอันตรายต่อภูมิภาคก็จริง แต่ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ การยั่วยุ และคุกคามจากรัสเซียนั้นมีมานานแล้ว โดยผู้นำโปแลนด์ได้ยกตัวอย่างกองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่อยู่ทางภาคตะวันออกของยูเครน ที่ได้ขอการคุ้มครองพิเศษจากรัสเซียเมื่อปี 2022 เพื่อป้องกันการโจมตีจากกองทัพยูเครนเช่นกัน และต่อมาทางรัสเซียก็ได้ผนวกเอาดินแดนทางฝั่งยูเครนตะวันออกส่วนนั้นไปแล้ว

เช่นเดียวกับทางสหรัฐอเมริกา แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า สหรัฐฯ จะสนับสนุนอธิปไตย และการอ้างสิทธิ์ในดินแดนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลของมอลโดวาอย่างเต็มที่ และจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของรัสเซียในทรานส์นิสเตรียอย่างใกล้ชิด ที่อาจมีเป้าหมายเชิงรุกในการทำลายเสถียรภาพและความมั่นคงของชาติสมาชิกในยุโรป

เพราะคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ หากรัสเซียจะเดินกลยุทธ์ ผนวกดินแดนทรานส์นิสเตรียเป็นของตนถาวร และจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันทั้งฝั่งยูเครน และ มอลโดวา ว่าภัยคุกคามจากรัสเซียสามารถแทรกซึมได้ไวกว่าที่คิด 

‘แบรนด์สมาร์ตโฟนจีน’ อวดเทคโนโลยีสุดล้ำ!! ใช้ ‘สายตา’ บังคับรถ อาศัยแอปฯ จับการเคลื่อนไหวสายตาในมือถือ แทนการจับพวงมาลัย

(29 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ปกติแล้วเมื่อนึกถึงการขับขี่รถยนต์ ผู้คนย่อมนึกภาพการควบคุมรถโดยการใช้สองมือคอยจับหมุนพวงมาลัย ทว่าเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วไม่เพียงแต่ทำให้คนขับสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัยตอนขับรถ แต่ยังสามารถใช้ ‘สายตา’ เป็นตัวควบคุมได้ด้วย

ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวพาชมวิธีการควบคุมรถด้วยเทคโนโลยีติดตามสายตาผู้ใช้ (eye tracking) ซึ่งพัฒนาโดยออเนอร์ (HONOR) ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนจีน และถูกนำมาอวดโฉมระหว่างงานโมบายล์ เวิลด์ คองเกรส (MWC) ประจำปี 2024 ที่จัดขึ้นในเมืองบาร์เซโลนาของสเปน

ออเนอร์ติดตั้งเทคโนโลยีติดตามสายตาผู้ใช้ลงบนสมาร์ตโฟน และใช้เซนเซอร์จับภาพด้านหน้าของมือถือตรวจจับการเคลื่อนที่ของสายตา ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถออกคำสั่งให้รถสตาร์ตหรือดับเครื่องยนต์ รวมถึงออกคำสั่งให้รถเดินหน้าหรือถอยหลังได้อีกด้วย

‘อดีตอาจารย์’ บริจาคเงิน 3.5 หมื่นลบ. ให้วิทยาลัยการแพทย์ในนิวยอร์ก นักศึกษาแพทย์ทุกคนจะได้เรียนฟรีจนจบหลักสูตร ไม่ต้องกู้ยืม-เป็นหนี้

เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเรื่องราวที่กำลังเป็นที่ฮือฮาบนโลกโซเชียลของสหรัฐ เมื่อนาง รูธ กอตส์แมน วัย 93 ปี ได้ทิ้งมรดกหุ้นจากบริษัทโฮลดิงข้ามชาติยักษ์ใหญ่ของสามี บริจาคเงินให้วิทยาลัยการแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นจำนวนเงินกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท เรียนฟรีตลอดการศึกษา พร้อมระบุว่า ไม่อยากให้เป็นหนี้

ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น เผยว่า นางรูธ กอตส์แมน ได้ประกาศมอบเงินบริจาคก้อนใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 3.5 หมื่นล้านบาทให้กับวิทยาลัยแพทยศาสตร์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในเขตบรองซ์ นครนิวยอร์ก

โดยเงินบริจาคทั้งหมดนี้นางกอตส์แมนให้กับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 ของวิทยาลัย จะได้รับเงินค่าเล่าเรียนคืนสำหรับภาคการศึกษาฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ และเมื่อถึงเดือน ส.ค. 2567 นักเรียนแพทย์ทั้งรุ่นปัจจุบันและที่กำลังจะสมัครเข้ามา จะได้เรียนฟรีทุกคน และไม่ต้องต้องจ่ายค่าเล่าเรียนอีกต่อไป

สำหรับ นางกอตส์แมน ระบุว่า เงินบริจาคของเธอจะช่วยให้แพทย์จบใหม่สามารถเริ่มต้นประกอบวิชาชีพได้โดยไม่ต้องมีภาระหนี้สินจากค่าเล่าเรียนทางการแพทย์ ซึ่งเธอยังหวังว่า ทุนการศึกษานี้จะเปิดโอกาสการเรียนแพทย์ให้กว้างขึ้น โดยรวมถึงผู้ที่ไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนที่สูงลิ่วได้

อย่างไรก็ตาม เศรษฐีนีใจบุญรายนี้ มีประวัติการทำงานยาวนานที่วิทยาลัยแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ซึ่งเป็นสถาบันทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียง โดยเริ่มงานในปี 2511 ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายจิตวิทยาการศึกษา อีกทั้ง เธอยังเป็นสมาชิกคณะกรรมการอำนวยการของไอน์สไตน์มาอย่างยาวนาน และดำรงตำแหน่งประธานคนปัจจุบัน

ขณะเดียวกันทางด้านนายเดวิด กอตส์แมน ผู้เป็นสามีเป็นนักลงทุนรุ่นแรก ๆ ของบริษัทเบิร์กเชอร์ แฮทอะเวย์ หนึ่งในบริษัทโฮลดิงที่ บัฟเฟตต์ เป็นเจ้าของที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคทศวรรษที่ 1960 โดยเขายังเป็นเพื่อนกับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีระดับโลกผู้ร่ำรวยจากการลงทุนและเทรดหุ้นอีกด้วย

ทั้งนี้ สำหรับค่าเล่าเรียนของวิทยาลัยการแพทย์แห่งนี้ เริ่มต้นที่ 59,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 2.11 ล้านบาทต่อคน ทำให้นักเรียนแพทย์จำนวนมาก ต้องกู้ยืมเงินเพื่อมาจ่ายค่าเล่าเรียน

โดยมีการประเมินว่า หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว นักเรียนแพทย์บางคนจะเป็นหนี้ทางการศึกษาไม่ต่ำกว่า 200,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 7.18 ล้านบาทเลยทีเดียว

‘ฮ่องกง’ ผุดสถาบัน ‘ปราบปรามทุจริต’ หวังดันประเทศเป็นศูนย์กลางระดับสากล

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมาธิการอิสระปราบปรามการทุจริตประจำเขตบริหารพิเศษฮ่องกงทางตอนใต้ของจีน จัดพิธีการก่อตั้งสถาบันปราบปรามการทุจริตระหว่างประเทศแห่งฮ่องกง ซึ่งมุ่งชี้นำแผนริเริ่มการฝึกอบรมปราบปรามการทุจริตทั้งระดับท้องถิ่นและระดับโลก ส่งเสริมการแบ่งปันประสบการณ์ และเสริมสร้างสถานะของฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางปราบปรามการทุจริตในระดับสากล

จอห์น ลี ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง กล่าวว่าความซื่อสัตย์เป็นหัวใจสำคัญในการรักษาความเจริญรุ่งเรืองและเสถียรภาพของฮ่องกง รวมถึงการมีส่วนส่งเสริมการพัฒนาระดับชาติของฮ่องกง โดยสถาบันฯ จะสนับสนุนสถานะของฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางปราบปรามการทุจริต พร้อมส่งเสริมสังคมฮ่องกงที่โปร่งใส ความมั่นคงทางสังคม และคุณค่าที่ฮ่องกงให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์และหลักนิติธรรม

หูอิงหมิง สมาชิกคณะกรรมาธิการฯ บ่งชี้การตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในงานปราบปรามการทุจริต โดยสถาบันฯ จะจัดการฝึกอบรมแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามการทุจริตทั่วโลกอย่างเป็นระบบและมืออาชีพ รวมถึงรวบรวมนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศมาแบ่งปันประสบการณ์ปราบปรามการทุจริตด้วย

ทั้งนี้ สถาบันฯ ได้ร่วมมือกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ร่วมกันเปิดหลักสูตรแรกของสถาบันฯ ได้แก่ ‘โครงการพัฒนาวิชาชีพว่าด้วยการสืบสวนทางการเงินและการกู้คืนสินทรัพย์’ (Professional Development Program on Financial Investigation and Asset Recovery) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปรามการทุจริตจากหน่วยงานตุลาการราว 20 แห่ง เข้าร่วม 35 คน

นอกจากนั้นสถาบันฯ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับมหาวิทยาลัยชั้นนำบนแผ่นดินใหญ่ มาเก๊า และฮ่องกง จำนวน 5 แห่ง เพื่อขับเคลื่อนการวิจัยการปราบปรามการทุจริตและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนผู้มีความรู้ความสามารถด้วย

‘Apple’ ถอดใจ!! เตรียมยุบโปรเจกต์ ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ คาด!! สู้ศึกบริษัทเทคฯ อื่น ที่นำร่องไปไกลไม่ไหว

(28 ก.พ.67) ถือเป็นหนึ่งโปรเจกต์ที่ Apple วาดหวังจะให้เกิดกับแผนการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าของตนเอง ซึ่งมีการพัฒนามาตั้งแต่ปี 2014 โดยปัจจุบันมีพนักงานเกือบ 2,000 คน ในตำแหน่งวิศวกร และนักออกแบบ ซึ่ง Apple มีการทุ่มเงินไปกับโปรเจกต์นี้ หลายพันล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าว่าจะเปิดตัว Apple Car ให้ได้ภายในปี 2028 

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทาง Bloomberg ได้รายงานว่า Apple กำลังเตรียมยุบโปรเจกต์นี้แล้ว และจะทำการย้ายพนักงานส่วนหนึ่งไปยังแผนกพัฒนา Generative AI แทน ซึ่งก็เดาได้ไม่ยากว่า เพื่อสู้ศึกกับบริษัทเทคอื่น ๆ อย่างเช่น Microsoft และ Google ที่นำหน้าเรื่องนี้ไปแล้ว รวมถึงตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเข้าสู่ Red Ocean ที่มีทั้งแบรนด์จีนแข่งดุ รวมถึง Tesla ที่วิ่งมาไกลกว่า Apple หลายช่วงตัว

Samsung เปิดตัวแหวนอัจฉริยะ 'Galaxy Ring' ฟังก์ชันแน่นๆ สำหรับสายห่วงใยสุขภาพ

(28 ก.พ. 67) หลังจากที่เป็นกระแสร้อนแรงเป็นอย่างมากโดยกระแสว่า ‘จะทำได้จริงหรือ’ จนในที่สุดซัมซุง (Samsung) ก็ได้เผยโฉมอุปกรณ์สุดล้ำอย่าง Samsung Galaxy Ring กลางงาน Mobile World Congress 2024 หรือ MWC 2024 ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน พร้อมประกาศก้องโลกว่าสิ่งที่ทุกคนตั้งคำถามกันก่อนหน้านั้น "ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น" 

โดย Samsung Galaxy Ring รูปร่างหน้าตาทรงแหวนอัจฉริยะทันสมัย ถึงขณะนี้ซัมซุงยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ Galaxy Ring แต่ก็เป็นที่รู้ๆ กันว่าคุณสมบัติของ Galaxy Ring นั้นอาจมีจุดเด่นสำคัญอยู่ที่ฟังก์ชันการติดตามสุขภาพโดยเฉพาะ ที่จะช่วยเรื่องของดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ที่สวมใส่ เช่น การติดตามขณะเดิน การติดตามผลของการนอนหลับ เก็บบันทึกข้อมูลด้านสุขภาพและการออกกำลังกาย อัตราการเต้นของหัวใจของผู้สวมใส่ อาจรวมไปถึงฟีเจอร์ล้ำๆ อื่นๆ อีกด้วย

โดย Galaxy Ring ที่โชว์ตัวในงานนี้ เป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ มาพร้อม 3 สีด้วยกัน ได้แก่ สีเงินแพลตินัม สีดำเซรามิก และสีทอง มีการออกแบบหลายขนาดตั้งแต่ไซส์ 5 จนถึงไซส์ S ไปจนถึง ไซส์ XL 

ขณะที่ผู้ร่วมงานบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า Galaxy Ring ค่อนข้างจะมีน้ำหนักเบากว่าที่คาดไว้ โดยจนถึงตอนนี้ยังไม่มีคำตอบแน่ชัดในเกี่ยวกับขนาดของแบตเตอรี่และระยะเวลาในการใช้งานหลังชาร์จ แต่สิ่งที่แน่นอนคือสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สมาร์ทโฟน และสมาร์ทวอชได้ และแน่นอนว่าไม่รองรับการเชื่อมกับต่อกับอุปกรณ์ของแอปเปิล

นาฬิกาข้อมือจากเหตุ ‘บอมบ์ฮิโรชิมา’ ถูกเคาะที่ 1.1 ลบ. ด้านสื่อญี่ปุ่น ติง!! ไม่ควรนำสิ่งมีคุณค่าเช่นนี้มาหากำไร

(27 ก.พ. 67) นาฬิกาข้อมือที่รอดจากอานุภาพทำลายล้างของระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ปี 1945 ถูกขายไปด้วยราคาสูงกว่า 31,000 ดอลลาร์ในการประมูลที่สหรัฐอเมริกา

เข็มของนาฬิกาข้อมือทองเหลืองเรือนนี้หยุดอยู่ที่เวลา 8.15 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 Enola Gay ของสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณู ‘Little Boy’ ลงสู่เมืองฮิโรชิมา

นาฬิกาเรือนนี้ถูกประมูลซื้อไปในราคา 31,113 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.1 ล้านบาท เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว (22 ก.พ.) โดยผู้ที่ชนะการประมูลไม่ขอเปิดเผยตัวตน

ทั้งนี้ สถาบัน RR Auction ที่เมืองบอสตันซึ่งเป็นผู้จัดการประมูล ระบุว่า ผู้ที่ฝากขาย (consignor) นาฬิกาเรือนนี้อ้างว่ามันถูกพบโดยทหารอังกฤษที่เข้าไปตรวจสอบซากความเสียหายในเมืองฮิโรชิมา ก่อนจะถูกขายต่อให้ผู้ฝากขายผ่านเวทีประมูลสินค้าในอังกฤษเมื่อปี 2015

“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นาฬิกาโบราณซึ่งมีคุณค่าสมควรถูกเก็บในพิพิธภัณฑ์เรือนนี้จะเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่เพียงแต่เตือนผู้คนให้ตระหนักถึงความสูญเสียจากสงครามเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการทำลายล้างที่มนุษยชาติจะต้องพยายามหลีกเลี่ยง” บ็อบบี ลิฟวิงสตัน รองประธานบริหาร RR Auction ให้สัมภาษณ์กับเอพี 

“เข็มนาฬิกาเรือนนี้บอกเวลาที่ประวัติศาสตร์ถูกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล” เขาเอ่ยเสริม

อย่างไรก็ตาม ยังมีคนบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการนำนาฬิกาเรือนนี้ออกประมูลขาย

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า องค์กร International Campaign to Abolish Nuclear Weapons ได้ออกมาคัดค้านการประมูลนาฬิกาเรือนนี้ โดยให้เหตุผลว่าการนำสิ่งประดิษฐ์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สูงเช่นนี้มาประมูลเพื่อหากำไรเป็นเรื่องที่ไม่สมควร

‘มาครง’ ไม่ขัด!! บรรดาชาติตะวันตกส่งทหารไปยูเครน ฟากประเทศที่ 3 พร้อมหนุน ‘เงินทุน-อาวุธ’ บู๊หมีต่อ

ไม่นานมานี้ ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส แถลงหลังเสร็จสิ้นการหารือของผู้นำยุโรป 20 ประเทศว่าด้วยยูเครน ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่กรุงปารีส โดยสาระสำคัญอยู่ที่ ‘ฝรั่งเศส’ ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ว่า ประเทศตะวันตกอาจส่งทหารไปยูเครน แต่เขาจะยังคงใช้ ‘ยุทธศาสตร์ความคลุมเครือ’ ในประเด็นนี้ต่อไป

มาครงกล่าวต่อไปว่า ที่ประชุม 20 ผู้นำยุโรปครั้งนี้ ยังเห็นพ้องที่จะใช้มาตรการคว่ำบาตรประเทศต่าง ๆ ที่ช่วยรัสเซียให้เลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่ใช้อยู่

มาครง ยังกล่าวสนับสนุนโครงการจัดซื้อกระสุนหลายแสนนัดจากประเทศที่ 3 ให้แก่ยูเครน ซึ่งริเริ่มโดยสาธารณรัฐเช็ก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ มาครง เคยแสดงท่าทีคัดค้านการจัดซื้อกระสุนให้ยูเครน จากประเทศที่ 3 ที่ไม่ใช่ยุโรป เพราะหวังว่าจะสนับสนุนอุตสาหกรรมอาวุธของยุโรปก่อน

ด้าน นายกรัฐมนตรี มาร์ค รุทเทอ ของเนเธอร์แลนด์ เต็งหนึ่งที่อาจได้ขึ้นเป็นเลขาธิการนาโตคนใหม่ เปิดเผยหลังเข้าร่วมประชุมที่ปารีสดังกล่าวว่า เนเธอร์แลนด์จะให้เงิน 100 ล้านยูโร คิดเป็นเงินไทยราว 4,000 ล้านบาท ช่วยในโครงการจัดซื้อกระสุนให้ยูเครนที่ริเริ่มโดยสาธารณรัฐเช็ก โดยจัดซื้อจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

สำหรับปัญหาขาดแคลนกระสุนกำลังเป็นปัญหาวิกฤตของยูเครน หลังยุโรปกำลังจะล้มเหลวในเป้าหมายส่งกระสุนปืนใหญ่ 1 ล้านนัดให้แก่ยูเครนภายในเดือนมีนาคมนี้ ส่งผลให้ยูเครนกำลังเพลี่ยงพล้ำในสมรภูมิภาคตะวันออกของประเทศ เหล่านายพลของยูเครนที่กำลังทำศึกกับรัสเซีย ต่างบ่นถึงปัญหาขาดแคลนทั้งอาวุธและทหาร

'จีน' ยกระดับ 184 โรงเรียน พัฒนาครั้งใหญ่ 'ฐานการศึกษา AI' บ่มเพาะความรู้ทางดิจิทัลแก่ 'ครู-เด็ก' รอบด้าน หนุนยุค AI เฟื่อง

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงศึกษาธิการของจีน ประกาศรายชื่อโรงเรียนประถมและมัธยมจำนวน 184 แห่ง ซึ่งถูกคัดเลือกเป็นฐานการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยเป้าหมายส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ให้ดียิ่งขึ้น

รายงานระบุว่าโรงเรียนประถมและมัธยมควรปรับใช้หลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีทั่วไป และหลักสูตรที่เกี่ยวข้องอื่นๆ พร้อมกับเสริมสร้างทรัพยากรการศึกษาและการเรียนการสอน และจัดการฝึกอบรมและแนะแนวครู เพื่อเกื้อหนุนการศึกษาปัญญาประดิษฐ์

กระทรวงฯ จะเสริมสร้างแนวปฏิบัติของฐานการศึกษาที่กำหนดข้างต้น สนับสนุนการมีบทบาทนำเป็นตัวอย่างในการพัฒนาหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์ในโรงเรียน การบูรณาการรายวิชา การปฏิรูปวิธีการสอน ร่วมสร้างและแบ่งปันทรัพยากรการศึกษาทางดิจิทัล บ่มเพาะความรู้ทางดิจิทัลของครู และส่งเสริมการพัฒนานักเรียนอย่างรอบด้าน

‘ม.โทโฮคุ’ โต้!! ข่าวนักศึกษาห้ามช่วยตัวเองในห้องน้ำ ‘ไม่เป็นความจริง’ ขอความร่วมมือให้หยุดเผยแพร่ พร้อมเร่งตรวจสอบที่มาที่ไปของข้อความ

(27 ก.พ.67) สำนักงานประเทศไทยของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ แห่งญี่ปุ่น เผยแพร่ถ้อยแถลงชี้แจง หลังจากมีรายงานข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าทางมหาวิทยาลัยสั่งห้ามพวกนักศึกษาเข้าไปช่วยตนเองในห้องน้ำ เนื่องจากเกรงว่ามันจะทำให้ท่อน้ำอุดตัน

ถ้อยแถลงของสำนักงานประเทศไทยของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ เป็นคำชี้แจงในเรื่องกระแสข่าวลือเกี่ยวกับประกาศเรื่องที่พวกนักศึกษาชายมักชอบไปด้วยตัวเองในห้องน้ำ ซึ่งปรากฏอยู่บนรายงานข่าวของสื่อมวลชนหลายแห่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ทั้งนี้ ในถ้อยแถลง สำนักงานมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ประจำประเทศไทย ขอชี้แจงว่า "ประกาศดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด" และให้ข้อสังเกตดังนี้ 1.รูปแบบของประกาศไม่ใช่รูปแบบที่ใช้อย่างเป็นทางการภายในมหาวิทยาลัยโทโฮคุ และ 2.เบอร์โทรศัพท์ ไม่ใช่เบอร์ของมหาวิทยาลัย เป็นเบอร์ส่วนบุคคล

ด้วยเหตุนี้ทางมหาวิทยาลัยโทโฮคุจึงขอความร่วมมือให้หยุดและลบข้อความการเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงและทำให้มหาวิทยาลัยเกิดความเสียหาย ซึ่งทางมหาวิทยาลัยกำลังดำเนินการตรวจสอบที่มาของข้อความต่อไป ถ้อยแถลงของโทโฮคุระบุ

คำชี้แจงของโทโฮคุ มีขึ้นหลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สื่อมวลชนหลายแห่งรายงานว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ออกประกาศห้ามพวกนักศึกษาช่วยตนเองในห้องน้ำ เนื่องจากเกรงว่ามันจะทำให้ท่อน้ำอุดตัน

หนังสือห้ามนักศึกษาช่วยตนเองในห้องน้ำดังกล่าวได้กลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์ หลังจากผู้ใช้รายหนึ่งนามว่า bad_texts ได้โพสต์ประกาศดังกล่าวของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ บนสื่อสังคมออนไลน์ และจนถึงสัปดาห์ที่แล้ว มีผู้เข้าชมแล้วเกือบ 16 ล้านครั้ง

โดยข้อความบนกระดาษมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

คำเตือนสำหรับช่วยตนเอง การช่วยตัวเองภายในห้องน้ำของมหาวิทยาลัยถือเป็นการฝ่าฝืนกฎของแต่ละคณะ และท่อน้ำทิ้งของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำอสุจิ

ถ้ามีน้ำอสุจิมากเกินไปมันจะขัดขวางการไหลของท่อน้ำทิ้ง และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหลายหมื่นเยน ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะปรากฏในค่าเล่าเรียนของบรรดานักศึกษาในปีถัดไป ที่จะเพิ่มขึ้นจากเดิม มันเป็นเงินของพวกคุณ ดังนั้นกรุณาช่วยตัวเองในห้องนอน

ถ้าคุณมีคำถามหรือต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนเพื่อช่วยตัวเอง โปรดติดต่อเรา ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ

ซึ่งโพสต์นี้มีผู้รีทวีตมากกว่า 6,400 ครั้ง และมีคนกดไลก์มากกว่า 53,000 ครั้ง และมีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ในนั้นรวมถึง "ในโทโฮคุ ทุก ๆ อย่างมักมีเหตุผลหนึ่งเสมอ อย่างไรก็ตาม คราวนี้เป็นบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจเลย"

ส่วนอีกคนแสดงความสงสัยว่า "อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าผมร้องขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน"

'ก.ล.ต.สหรัฐฯ' สรุปคดีสามีรวยข้ามคืน 72 ล้านบาท เพราะแอบฟังภรรยาดีลลับซื้อหุ้น สุดท้ายตกงานทั้งคู่

(27 ก.พ.67) Business Tomorrow เผย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของสหรัฐฯ เผยคดีว่ามีชายชาวเท็กซัส ไทเลอร์ ลูดอน ทำเงินได้ 1.7 ล้านดอลลาร์ หรือ 72 ล้านบาท ด้วยซื้อขายหุ้นอย่างผิดกฎหมาย เหตุการณ์เกิดจากการแอบฟังการประชุมของภรรยากับเพื่อนร่วมงาน ที่ทำงานในบริษัท BP บริษัทด้านพลังงานยักษ์ใหญ่อันดับ 3 ของโลก

SEC สหรัฐฯ กล่าวว่า ไทเลอร์ ลูดอน ได้ซื้อหุ้น TravelCenters of America Inc. โดยได้ล้างพอร์ตหุ้นตัวเองและบัญชีออมเพื่อเลี้ยงชีพเกษียณอายุแล้วในเดือน ก.พ. 2023 ต่อมา BP ประกาศว่าจะซื้อ TravelCenters of America ในระดับราคาหุ้นที่บวกพรีเมียม 74% ทำเอาไทเลอร์กลายเป็นเศรษฐีชั่วข้ามคืน

ต่อมามีการสืบสวนโดยพบว่า ภรรยาไทเลอร์เป็นผู้จัดการดูแลเกี่ยวกับการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว จึงเกิดสงสัยเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นของสามี โดยไทเลอร์ยังมีพฤติกรรมแอบฟังภรรยาตอนเธอกำลังทำงานเกี่ยวกับข้อตกลงซื้อหุ้นด้วย 

ต่อมามีการฟ้องร้องใจความว่า ไทเลอร์คิดจะซื้อหุ้น TravelCenters หลังได้ทราบเกี่ยวกับข้อตกลงซื้อหุ้นจากภรรยาของเขาที่เป็นผู้จัดการดีล และเมื่อสามีสารภาพผิด ภรรยาก็ย้ายออกจากบ้านและฟ้องหย่าในเวลาต่อมา ซ้ำร้ายเธอยังถูกไล่ออกแม้จะไม่มีหลักฐานว่าเธอร่วมมือกับสามี 

ส่วนไทเลอร์ยอมรับข้อกล่าวหาจาก ก.ล.ต. และตัดสินใจไม่รับเงินที่ได้จากการทำธุรกรรม พร้อมจ่ายค่าปรับ 100,000 ดอลลาร์ หรือ 3 ล้านกว่าบาท และยินยอมถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้บริหารในบริษัทมหาชน ถูกห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่หรือผู้อำนวยการของบริษัทมหาชนเป็นเวลา 10 ปี โดยดีลซื้อหุ้น TravelCenters of America Inc. ของ BP มีมูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ หรือ 4.67 หมื่นล้านบาท

‘จีน’ เปิดตัว ‘Walker S’ พนักงานใหม่แห่งวงการอุตสาหกรรม พร้อมรับตำแหน่งหุ่นยนต์ภาคปฏิบัติการ ประจำสายผลิตรถอีวี

เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 67 สำนักข่าวซินหัว, เซินเจิ้น รายงานว่า วิดีโอที่เผยแพร่โดย Ubtech บริษัทหุ่นยนต์ในนครเซินเจิ้น เผยให้เห็นว่า ‘วอล์กเกอร์ เอส’ (Walker S) หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์เวอร์ชัน เพื่อการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมของบริษัทกำลัง ‘ฝึกอบรมภาคปฏิบัติ’ อยู่ในโรงงานของนีโอ (NIO) บริษัทยานยนต์พลังงานไฟฟ้าสัญชาติจีน นับเป็นความสำเร็จในการใช้หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ ร่วมกับมนุษย์ในสายประกอบของโรงงานผลิตรถยนต์ เพื่อการประกอบและตรวจสอบคุณภาพของยานยนต์

‘หุ่นยนต์วอล์กเกอร์ เอส’ สูง 170 เซนติเมตร มีข้อต่อ 41 ชิ้น เพียบพร้อมด้วยระบบการรับรู้ที่ครอบคลุม เช่น การรับรู้แรงกระทำหลายมิติ, การมองเห็นสามมิติ, การได้ยินรอบทิศทาง และระบบการวัดระยะทาง เป็นต้น มันจึงสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในสายประกอบ เพื่อประกอบและตรวจสอบคุณภาพของรถยนต์

นอกจากนี้ หุ่นยนต์รุ่นนี้ยังมีเทคโนโลยีที่ได้รับการอัปเกรดอย่างครอบคลุม เช่น ระบบระบุพิกัด (VPS) การทำงานอย่างสอดประสานระหว่างมือกับตา การควบคุมการเคลื่อนไหว และโมเดลวางแผนการเคลื่อนที่ (Path Planning) แบบหลากหลาย จึงสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย

‘จีน-สหรัฐฯ’ เตือนภัย แบตเตอรี่รถยนต์ EV  ต้นเหตุเพลิงไหม้ ตูมเดียว วอดทั้งตึก!!

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 67 กลายเป็น ‘ศุกร์อาถรรพ์’ โดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งที่เมืองหนานจิง ในมณฑลเจียงซู ของจีน และที่มหานครนิวยอร์ก ของสหรัฐอเมริกา เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้อะพาร์ตเมนต์สูงในย่านใจกลางเมือง ในวันเดียวกัน และยังเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากทั้ง 2 แห่ง ซึ่งสาเหตุเพลิงไหม้ ทั้ง 2 เหตุการณ์ก็เหมือนกันอย่างเหลือเชื่อ ว่าเกิดจากแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าระเบิด เผาวอดอะพาร์ตเมนต์ทั้งหลังในพริบตา

โดยเหตุการณ์แรก เกิดขึ้นในย่านหยูฮวาไถ ทางฝั่งตะวันออกของเมืองหนานจิง เมืองเอกของมณฑลเจียงซู ต้นเพลิงเกิดขึ้นบริเวณอาคารจอดรถจักรยานยนต์ชั้น 1 ของอะพาร์ตเมนต์ 30 ชั้น ที่มีห้องพักรวมกันถึง 400 ยูนิต ได้เกิดเพลิงลุกไหม้ และลุกลามขึ้นไปยังตัวอาคารชั้นบนอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุไฟไหม้ครั้งนี้มากถึง 15 ราย และบาดเจ็บอีก  44 ราย

หลังจากที่ทางการหนานจิงได้ระดมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง และตำรวจเข้าสืบสวนหาสาเหตุ เชื่อว่าเกิดจากรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าคันหนึ่ง ที่จอดชาร์จไฟอยู่ภายในอาคารจอดรถ ซึ่งมักมีแท่นชาร์จไฟตั้งไว้ให้บริการสำหรับผู้ใช้รถยนต์ EV ภายในอาคาร แต่เมื่อเกิดแบตเตอรี่ระเบิด ประกอบกับพื้นที่บริเวณลานจอดรถมันเปิดโล่ง จึงทำให้ไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปชั้นบนของอาคารที่มีผู้พักอาศัยหนาแน่น จึงกลายเป็นเหตุเศร้าสลดดังข่าว

ข้ามฝั่งมาที่มหานิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาในวันเดียวกัน ก็เกิดเหตุเพลิงไหม้อะพาร์ตเมนต์ 6 ชััน 31 ยูนิต ในเขตฮาร์เลม ย่านแมนฮัตตัน ที่มีต้นเพลิงมาจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนของรถจักรยานไฟฟ้า ที่จอดชาร์จไฟที่ชั้น 3 ของอาคาร ระเบิดจนเกิดเพลิงไหม้วอดเกือบทั้งอาคารเช่นเดียวกัน และเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 17 ราย ส่วนผู้พักอาศัยรายอื่นต้องหนีตายโดยการโรยตัวด้วยเชือกออกมานอกอาคาร

‘อีริค อดัมส์’ นายกเทศมนตรีมหานครนิวยอร์ก ยอมรับว่า นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เหตุไฟไหม้เกิดจากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าระเบิด ซึ่งเคยเกิดมาแล้วหลายครั้งในนิวยอร์ก นับตั้งแต่หลังยุค Covid-19 เป็นต้นมา

โดยเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะเกิดเหตุไฟไหม้จากแบตเตอรี่ไฟฟ้า เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 18 รายมาแล้ว ทำให้นายกเทศมนตรีอดัมส์ พยายามที่จะจัดระเบียบกฎหมายธุรกิจการให้บริการด้านการขนส่งอาหาร และสินค้าใหม่

เช่นเดียวกันกับที่ประเทศจีน พบว่ามีเหตุไฟไหม้ที่เกิดจากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าตลอดทั้งปี 2023 ที่ผ่านมาทั่วประเทศถึง 21,000 เคส เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 17.4%

และจากสถิติอุบัติเหตุแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าระเบิดกว่า 80% มักเกิดขณะชาร์จไฟทิ้งไว้ และโดยเฉพาะการชาร์จแบตเตอรี่ทิ้งไว้ค้างคืนโดยไม่มีใครเฝ้า พอเกิดเหตุระเบิดไฟไหม้ จึงยากที่จะดับได้ทัน

ยิ่งไปกว่านั้น ในประเทศจีน ยังมีธุรกิจรับดัดแปลงรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ ให้วิ่งได้เร็วขึ้น หรือบรรทุกน้ำหนักได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการใช้งานเกินศักยภาพเครื่องยนต์ และแบตเตอรี่ และยังเกินกว่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ และระเบิดได้เมื่อมีการชาร์จไฟนานๆ

อีกทั้งประเทศจีน ยังเป็นผู้ผลิตรถจักรยานไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก ที่มีผู้ใช้ในประเทศเป็นจำนวนมาก โดยเฉลี่ย 1 ใน 4 ของชาวจีนมีรถจักรยานไฟฟ้าใช้ และความนิยมในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกก็ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ที่เป็นผลพวงจากการรณรงค์เรื่องการลดการใช้รถยนต์พลังงานฟอสซิลที่ปล่อยก๊าซคาร์บอน ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน

จากเหตุการณ์เพลิงใหม่อะพาร์ตเมนต์ที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน ทั้งในจีนและสหรัฐอเมริกา จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นภัยใกล้ตัวที่มาจากรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น คงถึงเวลาแล้วที่ต้องมีมาตรการเรื่องการจัดระเบียบ การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายในอาคารที่เข้มงวดมากขึ้น และให้ข้อมูลการดูแลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันการชาร์จผิด มีสิทธิ์ดับหมู่ยกตึก อย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในต่างประเทศนั่นเอง

‘ปธน.เซเลนสกี’ ชี้!! อาจมีคนตายในสงครามยูเครน-รัสเซียอีกนับล้าน หาก ‘สว.สหรัฐฯ’ ไม่เห็นชอบหนุนงบช่วยเหลือ 6 หมื่นล้านดอลลาร์

(26 ก.พ.67) ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา ถึงคำพูดของเจ ดี แวนซ์ สว.สหรัฐฯ ที่ว่า ผลของสงครามไม่เปลี่ยนไม่ว่ายูเครนจะได้เงินช่วยเหลือหรือไม่ เซเลนสกีระบุว่า ไม่แน่ใจว่าแวนซ์ เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้

“เพื่อความเข้าใจต้องมาแนวหน้าดูว่าเกิดอะไรขึ้น มาคุยกับผู้คน มาพบพลเรือนจึงจะเข้าใจ อะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขาถ้าไม่มีความช่วยเหลือ แล้วเขาจะเข้าใจว่า จะมีคนตายอีกล้านๆ คน นี่คือข้อเท็จจริง แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจ เดชะบุญที่บ้านเมืองคุณไม่มีสงคราม” ผู้นำยูเครนกล่าว

คำเตือนของเซเลนสกีเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง หลังจากเขายอมรับเรื่องความสูญเสียของกองทัพ ว่านับถึงขณะนี้ ทหารยูเครนถูกสังหารไปแล้วราว 31,000 คน

ในการแถลงข่าวที่กรุงเคียฟ เซเลนสกีปัดตัวเลขของรัสเซีย ที่บอกยอดผู้เสียชีวิตฝ่ายยูเครนสูงกว่านี้มาก เซเลนสกีกล่าวว่า พลเรือนหลายหมื่นคนเสียชีวิตในดินแดนยูเครน ที่ถูกกองทัพรัสเซียยึดครอง

“เป็นความสูญเสียหนักของเรา ชาวยูเครนและทหาร 31,000 คน เสียชีวิตในสงครามนี้ ไม่ใช่ 300,000 ไม่ใช่ 150,000 อย่างที่ปูตินกำลังโกหก ทุกชีวิตที่สูญเสียเป็นความเสียหายใหญ่หลวงสำหรับเรา”

ทั้งนี้ ซีเอ็นเอ็นไม่สามารถพิสูจน์ตัวเลขได้อย่างอิสระ ตัวเลขดังกล่าวเปิดเผยออกมาในสุดสัปดาห์ครบรอบ 2 ปี ที่รัสเซียรุกรานยูเครนเต็มรูปแบบ

ตลอดเวลาของความขัดแย้ง รัฐบาลเคียฟไม่ค่อยยอมรับจำนวนทหารเสียชีวิต นายโอเล็กซี เรซนิคอฟ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยูเครน เคยพูดในเดือน มิ.ย.2565 เชื่อว่า ชาวยูเครนถูกสังหารหลายหมื่นคนนับตั้งแต่เดือน ก.พ.ปีนั้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top