Sunday, 28 April 2024
WORLD

Samsung เปิดตัวแหวนอัจฉริยะ 'Galaxy Ring' ฟังก์ชันแน่นๆ สำหรับสายห่วงใยสุขภาพ

(28 ก.พ. 67) หลังจากที่เป็นกระแสร้อนแรงเป็นอย่างมากโดยกระแสว่า ‘จะทำได้จริงหรือ’ จนในที่สุดซัมซุง (Samsung) ก็ได้เผยโฉมอุปกรณ์สุดล้ำอย่าง Samsung Galaxy Ring กลางงาน Mobile World Congress 2024 หรือ MWC 2024 ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน พร้อมประกาศก้องโลกว่าสิ่งที่ทุกคนตั้งคำถามกันก่อนหน้านั้น "ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น" 

โดย Samsung Galaxy Ring รูปร่างหน้าตาทรงแหวนอัจฉริยะทันสมัย ถึงขณะนี้ซัมซุงยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ Galaxy Ring แต่ก็เป็นที่รู้ๆ กันว่าคุณสมบัติของ Galaxy Ring นั้นอาจมีจุดเด่นสำคัญอยู่ที่ฟังก์ชันการติดตามสุขภาพโดยเฉพาะ ที่จะช่วยเรื่องของดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ที่สวมใส่ เช่น การติดตามขณะเดิน การติดตามผลของการนอนหลับ เก็บบันทึกข้อมูลด้านสุขภาพและการออกกำลังกาย อัตราการเต้นของหัวใจของผู้สวมใส่ อาจรวมไปถึงฟีเจอร์ล้ำๆ อื่นๆ อีกด้วย

โดย Galaxy Ring ที่โชว์ตัวในงานนี้ เป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ มาพร้อม 3 สีด้วยกัน ได้แก่ สีเงินแพลตินัม สีดำเซรามิก และสีทอง มีการออกแบบหลายขนาดตั้งแต่ไซส์ 5 จนถึงไซส์ S ไปจนถึง ไซส์ XL 

ขณะที่ผู้ร่วมงานบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า Galaxy Ring ค่อนข้างจะมีน้ำหนักเบากว่าที่คาดไว้ โดยจนถึงตอนนี้ยังไม่มีคำตอบแน่ชัดในเกี่ยวกับขนาดของแบตเตอรี่และระยะเวลาในการใช้งานหลังชาร์จ แต่สิ่งที่แน่นอนคือสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สมาร์ทโฟน และสมาร์ทวอชได้ และแน่นอนว่าไม่รองรับการเชื่อมกับต่อกับอุปกรณ์ของแอปเปิล

นาฬิกาข้อมือจากเหตุ ‘บอมบ์ฮิโรชิมา’ ถูกเคาะที่ 1.1 ลบ. ด้านสื่อญี่ปุ่น ติง!! ไม่ควรนำสิ่งมีคุณค่าเช่นนี้มาหากำไร

(27 ก.พ. 67) นาฬิกาข้อมือที่รอดจากอานุภาพทำลายล้างของระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ปี 1945 ถูกขายไปด้วยราคาสูงกว่า 31,000 ดอลลาร์ในการประมูลที่สหรัฐอเมริกา

เข็มของนาฬิกาข้อมือทองเหลืองเรือนนี้หยุดอยู่ที่เวลา 8.15 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 Enola Gay ของสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณู ‘Little Boy’ ลงสู่เมืองฮิโรชิมา

นาฬิกาเรือนนี้ถูกประมูลซื้อไปในราคา 31,113 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.1 ล้านบาท เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว (22 ก.พ.) โดยผู้ที่ชนะการประมูลไม่ขอเปิดเผยตัวตน

ทั้งนี้ สถาบัน RR Auction ที่เมืองบอสตันซึ่งเป็นผู้จัดการประมูล ระบุว่า ผู้ที่ฝากขาย (consignor) นาฬิกาเรือนนี้อ้างว่ามันถูกพบโดยทหารอังกฤษที่เข้าไปตรวจสอบซากความเสียหายในเมืองฮิโรชิมา ก่อนจะถูกขายต่อให้ผู้ฝากขายผ่านเวทีประมูลสินค้าในอังกฤษเมื่อปี 2015

“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า นาฬิกาโบราณซึ่งมีคุณค่าสมควรถูกเก็บในพิพิธภัณฑ์เรือนนี้จะเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่เพียงแต่เตือนผู้คนให้ตระหนักถึงความสูญเสียจากสงครามเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการทำลายล้างที่มนุษยชาติจะต้องพยายามหลีกเลี่ยง” บ็อบบี ลิฟวิงสตัน รองประธานบริหาร RR Auction ให้สัมภาษณ์กับเอพี 

“เข็มนาฬิกาเรือนนี้บอกเวลาที่ประวัติศาสตร์ถูกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล” เขาเอ่ยเสริม

อย่างไรก็ตาม ยังมีคนบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการนำนาฬิกาเรือนนี้ออกประมูลขาย

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า องค์กร International Campaign to Abolish Nuclear Weapons ได้ออกมาคัดค้านการประมูลนาฬิกาเรือนนี้ โดยให้เหตุผลว่าการนำสิ่งประดิษฐ์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สูงเช่นนี้มาประมูลเพื่อหากำไรเป็นเรื่องที่ไม่สมควร

‘มาครง’ ไม่ขัด!! บรรดาชาติตะวันตกส่งทหารไปยูเครน ฟากประเทศที่ 3 พร้อมหนุน ‘เงินทุน-อาวุธ’ บู๊หมีต่อ

ไม่นานมานี้ ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส แถลงหลังเสร็จสิ้นการหารือของผู้นำยุโรป 20 ประเทศว่าด้วยยูเครน ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่กรุงปารีส โดยสาระสำคัญอยู่ที่ ‘ฝรั่งเศส’ ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ว่า ประเทศตะวันตกอาจส่งทหารไปยูเครน แต่เขาจะยังคงใช้ ‘ยุทธศาสตร์ความคลุมเครือ’ ในประเด็นนี้ต่อไป

มาครงกล่าวต่อไปว่า ที่ประชุม 20 ผู้นำยุโรปครั้งนี้ ยังเห็นพ้องที่จะใช้มาตรการคว่ำบาตรประเทศต่าง ๆ ที่ช่วยรัสเซียให้เลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่ใช้อยู่

มาครง ยังกล่าวสนับสนุนโครงการจัดซื้อกระสุนหลายแสนนัดจากประเทศที่ 3 ให้แก่ยูเครน ซึ่งริเริ่มโดยสาธารณรัฐเช็ก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ มาครง เคยแสดงท่าทีคัดค้านการจัดซื้อกระสุนให้ยูเครน จากประเทศที่ 3 ที่ไม่ใช่ยุโรป เพราะหวังว่าจะสนับสนุนอุตสาหกรรมอาวุธของยุโรปก่อน

ด้าน นายกรัฐมนตรี มาร์ค รุทเทอ ของเนเธอร์แลนด์ เต็งหนึ่งที่อาจได้ขึ้นเป็นเลขาธิการนาโตคนใหม่ เปิดเผยหลังเข้าร่วมประชุมที่ปารีสดังกล่าวว่า เนเธอร์แลนด์จะให้เงิน 100 ล้านยูโร คิดเป็นเงินไทยราว 4,000 ล้านบาท ช่วยในโครงการจัดซื้อกระสุนให้ยูเครนที่ริเริ่มโดยสาธารณรัฐเช็ก โดยจัดซื้อจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

สำหรับปัญหาขาดแคลนกระสุนกำลังเป็นปัญหาวิกฤตของยูเครน หลังยุโรปกำลังจะล้มเหลวในเป้าหมายส่งกระสุนปืนใหญ่ 1 ล้านนัดให้แก่ยูเครนภายในเดือนมีนาคมนี้ ส่งผลให้ยูเครนกำลังเพลี่ยงพล้ำในสมรภูมิภาคตะวันออกของประเทศ เหล่านายพลของยูเครนที่กำลังทำศึกกับรัสเซีย ต่างบ่นถึงปัญหาขาดแคลนทั้งอาวุธและทหาร

'จีน' ยกระดับ 184 โรงเรียน พัฒนาครั้งใหญ่ 'ฐานการศึกษา AI' บ่มเพาะความรู้ทางดิจิทัลแก่ 'ครู-เด็ก' รอบด้าน หนุนยุค AI เฟื่อง

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงศึกษาธิการของจีน ประกาศรายชื่อโรงเรียนประถมและมัธยมจำนวน 184 แห่ง ซึ่งถูกคัดเลือกเป็นฐานการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยเป้าหมายส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ให้ดียิ่งขึ้น

รายงานระบุว่าโรงเรียนประถมและมัธยมควรปรับใช้หลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีทั่วไป และหลักสูตรที่เกี่ยวข้องอื่นๆ พร้อมกับเสริมสร้างทรัพยากรการศึกษาและการเรียนการสอน และจัดการฝึกอบรมและแนะแนวครู เพื่อเกื้อหนุนการศึกษาปัญญาประดิษฐ์

กระทรวงฯ จะเสริมสร้างแนวปฏิบัติของฐานการศึกษาที่กำหนดข้างต้น สนับสนุนการมีบทบาทนำเป็นตัวอย่างในการพัฒนาหลักสูตรปัญญาประดิษฐ์ในโรงเรียน การบูรณาการรายวิชา การปฏิรูปวิธีการสอน ร่วมสร้างและแบ่งปันทรัพยากรการศึกษาทางดิจิทัล บ่มเพาะความรู้ทางดิจิทัลของครู และส่งเสริมการพัฒนานักเรียนอย่างรอบด้าน

‘ม.โทโฮคุ’ โต้!! ข่าวนักศึกษาห้ามช่วยตัวเองในห้องน้ำ ‘ไม่เป็นความจริง’ ขอความร่วมมือให้หยุดเผยแพร่ พร้อมเร่งตรวจสอบที่มาที่ไปของข้อความ

(27 ก.พ.67) สำนักงานประเทศไทยของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ แห่งญี่ปุ่น เผยแพร่ถ้อยแถลงชี้แจง หลังจากมีรายงานข่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าทางมหาวิทยาลัยสั่งห้ามพวกนักศึกษาเข้าไปช่วยตนเองในห้องน้ำ เนื่องจากเกรงว่ามันจะทำให้ท่อน้ำอุดตัน

ถ้อยแถลงของสำนักงานประเทศไทยของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ เป็นคำชี้แจงในเรื่องกระแสข่าวลือเกี่ยวกับประกาศเรื่องที่พวกนักศึกษาชายมักชอบไปด้วยตัวเองในห้องน้ำ ซึ่งปรากฏอยู่บนรายงานข่าวของสื่อมวลชนหลายแห่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ทั้งนี้ ในถ้อยแถลง สำนักงานมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ประจำประเทศไทย ขอชี้แจงว่า "ประกาศดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด" และให้ข้อสังเกตดังนี้ 1.รูปแบบของประกาศไม่ใช่รูปแบบที่ใช้อย่างเป็นทางการภายในมหาวิทยาลัยโทโฮคุ และ 2.เบอร์โทรศัพท์ ไม่ใช่เบอร์ของมหาวิทยาลัย เป็นเบอร์ส่วนบุคคล

ด้วยเหตุนี้ทางมหาวิทยาลัยโทโฮคุจึงขอความร่วมมือให้หยุดและลบข้อความการเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงและทำให้มหาวิทยาลัยเกิดความเสียหาย ซึ่งทางมหาวิทยาลัยกำลังดำเนินการตรวจสอบที่มาของข้อความต่อไป ถ้อยแถลงของโทโฮคุระบุ

คำชี้แจงของโทโฮคุ มีขึ้นหลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สื่อมวลชนหลายแห่งรายงานว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ออกประกาศห้ามพวกนักศึกษาช่วยตนเองในห้องน้ำ เนื่องจากเกรงว่ามันจะทำให้ท่อน้ำอุดตัน

หนังสือห้ามนักศึกษาช่วยตนเองในห้องน้ำดังกล่าวได้กลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วโลกออนไลน์ หลังจากผู้ใช้รายหนึ่งนามว่า bad_texts ได้โพสต์ประกาศดังกล่าวของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ บนสื่อสังคมออนไลน์ และจนถึงสัปดาห์ที่แล้ว มีผู้เข้าชมแล้วเกือบ 16 ล้านครั้ง

โดยข้อความบนกระดาษมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

คำเตือนสำหรับช่วยตนเอง การช่วยตัวเองภายในห้องน้ำของมหาวิทยาลัยถือเป็นการฝ่าฝืนกฎของแต่ละคณะ และท่อน้ำทิ้งของมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำอสุจิ

ถ้ามีน้ำอสุจิมากเกินไปมันจะขัดขวางการไหลของท่อน้ำทิ้ง และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมหลายหมื่นเยน ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะปรากฏในค่าเล่าเรียนของบรรดานักศึกษาในปีถัดไป ที่จะเพิ่มขึ้นจากเดิม มันเป็นเงินของพวกคุณ ดังนั้นกรุณาช่วยตัวเองในห้องนอน

ถ้าคุณมีคำถามหรือต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนเพื่อช่วยตัวเอง โปรดติดต่อเรา ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ

ซึ่งโพสต์นี้มีผู้รีทวีตมากกว่า 6,400 ครั้ง และมีคนกดไลก์มากกว่า 53,000 ครั้ง และมีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ในนั้นรวมถึง "ในโทโฮคุ ทุก ๆ อย่างมักมีเหตุผลหนึ่งเสมอ อย่างไรก็ตาม คราวนี้เป็นบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจเลย"

ส่วนอีกคนแสดงความสงสัยว่า "อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าผมร้องขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน"

'ก.ล.ต.สหรัฐฯ' สรุปคดีสามีรวยข้ามคืน 72 ล้านบาท เพราะแอบฟังภรรยาดีลลับซื้อหุ้น สุดท้ายตกงานทั้งคู่

(27 ก.พ.67) Business Tomorrow เผย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของสหรัฐฯ เผยคดีว่ามีชายชาวเท็กซัส ไทเลอร์ ลูดอน ทำเงินได้ 1.7 ล้านดอลลาร์ หรือ 72 ล้านบาท ด้วยซื้อขายหุ้นอย่างผิดกฎหมาย เหตุการณ์เกิดจากการแอบฟังการประชุมของภรรยากับเพื่อนร่วมงาน ที่ทำงานในบริษัท BP บริษัทด้านพลังงานยักษ์ใหญ่อันดับ 3 ของโลก

SEC สหรัฐฯ กล่าวว่า ไทเลอร์ ลูดอน ได้ซื้อหุ้น TravelCenters of America Inc. โดยได้ล้างพอร์ตหุ้นตัวเองและบัญชีออมเพื่อเลี้ยงชีพเกษียณอายุแล้วในเดือน ก.พ. 2023 ต่อมา BP ประกาศว่าจะซื้อ TravelCenters of America ในระดับราคาหุ้นที่บวกพรีเมียม 74% ทำเอาไทเลอร์กลายเป็นเศรษฐีชั่วข้ามคืน

ต่อมามีการสืบสวนโดยพบว่า ภรรยาไทเลอร์เป็นผู้จัดการดูแลเกี่ยวกับการเข้าซื้อหุ้นดังกล่าว จึงเกิดสงสัยเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นของสามี โดยไทเลอร์ยังมีพฤติกรรมแอบฟังภรรยาตอนเธอกำลังทำงานเกี่ยวกับข้อตกลงซื้อหุ้นด้วย 

ต่อมามีการฟ้องร้องใจความว่า ไทเลอร์คิดจะซื้อหุ้น TravelCenters หลังได้ทราบเกี่ยวกับข้อตกลงซื้อหุ้นจากภรรยาของเขาที่เป็นผู้จัดการดีล และเมื่อสามีสารภาพผิด ภรรยาก็ย้ายออกจากบ้านและฟ้องหย่าในเวลาต่อมา ซ้ำร้ายเธอยังถูกไล่ออกแม้จะไม่มีหลักฐานว่าเธอร่วมมือกับสามี 

ส่วนไทเลอร์ยอมรับข้อกล่าวหาจาก ก.ล.ต. และตัดสินใจไม่รับเงินที่ได้จากการทำธุรกรรม พร้อมจ่ายค่าปรับ 100,000 ดอลลาร์ หรือ 3 ล้านกว่าบาท และยินยอมถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้บริหารในบริษัทมหาชน ถูกห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่หรือผู้อำนวยการของบริษัทมหาชนเป็นเวลา 10 ปี โดยดีลซื้อหุ้น TravelCenters of America Inc. ของ BP มีมูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ หรือ 4.67 หมื่นล้านบาท

‘จีน’ เปิดตัว ‘Walker S’ พนักงานใหม่แห่งวงการอุตสาหกรรม พร้อมรับตำแหน่งหุ่นยนต์ภาคปฏิบัติการ ประจำสายผลิตรถอีวี

เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 67 สำนักข่าวซินหัว, เซินเจิ้น รายงานว่า วิดีโอที่เผยแพร่โดย Ubtech บริษัทหุ่นยนต์ในนครเซินเจิ้น เผยให้เห็นว่า ‘วอล์กเกอร์ เอส’ (Walker S) หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์เวอร์ชัน เพื่อการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมของบริษัทกำลัง ‘ฝึกอบรมภาคปฏิบัติ’ อยู่ในโรงงานของนีโอ (NIO) บริษัทยานยนต์พลังงานไฟฟ้าสัญชาติจีน นับเป็นความสำเร็จในการใช้หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ ร่วมกับมนุษย์ในสายประกอบของโรงงานผลิตรถยนต์ เพื่อการประกอบและตรวจสอบคุณภาพของยานยนต์

‘หุ่นยนต์วอล์กเกอร์ เอส’ สูง 170 เซนติเมตร มีข้อต่อ 41 ชิ้น เพียบพร้อมด้วยระบบการรับรู้ที่ครอบคลุม เช่น การรับรู้แรงกระทำหลายมิติ, การมองเห็นสามมิติ, การได้ยินรอบทิศทาง และระบบการวัดระยะทาง เป็นต้น มันจึงสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในสายประกอบ เพื่อประกอบและตรวจสอบคุณภาพของรถยนต์

นอกจากนี้ หุ่นยนต์รุ่นนี้ยังมีเทคโนโลยีที่ได้รับการอัปเกรดอย่างครอบคลุม เช่น ระบบระบุพิกัด (VPS) การทำงานอย่างสอดประสานระหว่างมือกับตา การควบคุมการเคลื่อนไหว และโมเดลวางแผนการเคลื่อนที่ (Path Planning) แบบหลากหลาย จึงสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย

‘จีน-สหรัฐฯ’ เตือนภัย แบตเตอรี่รถยนต์ EV  ต้นเหตุเพลิงไหม้ ตูมเดียว วอดทั้งตึก!!

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 67 กลายเป็น ‘ศุกร์อาถรรพ์’ โดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งที่เมืองหนานจิง ในมณฑลเจียงซู ของจีน และที่มหานครนิวยอร์ก ของสหรัฐอเมริกา เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้อะพาร์ตเมนต์สูงในย่านใจกลางเมือง ในวันเดียวกัน และยังเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากทั้ง 2 แห่ง ซึ่งสาเหตุเพลิงไหม้ ทั้ง 2 เหตุการณ์ก็เหมือนกันอย่างเหลือเชื่อ ว่าเกิดจากแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าระเบิด เผาวอดอะพาร์ตเมนต์ทั้งหลังในพริบตา

โดยเหตุการณ์แรก เกิดขึ้นในย่านหยูฮวาไถ ทางฝั่งตะวันออกของเมืองหนานจิง เมืองเอกของมณฑลเจียงซู ต้นเพลิงเกิดขึ้นบริเวณอาคารจอดรถจักรยานยนต์ชั้น 1 ของอะพาร์ตเมนต์ 30 ชั้น ที่มีห้องพักรวมกันถึง 400 ยูนิต ได้เกิดเพลิงลุกไหม้ และลุกลามขึ้นไปยังตัวอาคารชั้นบนอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุไฟไหม้ครั้งนี้มากถึง 15 ราย และบาดเจ็บอีก  44 ราย

หลังจากที่ทางการหนานจิงได้ระดมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง และตำรวจเข้าสืบสวนหาสาเหตุ เชื่อว่าเกิดจากรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าคันหนึ่ง ที่จอดชาร์จไฟอยู่ภายในอาคารจอดรถ ซึ่งมักมีแท่นชาร์จไฟตั้งไว้ให้บริการสำหรับผู้ใช้รถยนต์ EV ภายในอาคาร แต่เมื่อเกิดแบตเตอรี่ระเบิด ประกอบกับพื้นที่บริเวณลานจอดรถมันเปิดโล่ง จึงทำให้ไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปชั้นบนของอาคารที่มีผู้พักอาศัยหนาแน่น จึงกลายเป็นเหตุเศร้าสลดดังข่าว

ข้ามฝั่งมาที่มหานิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาในวันเดียวกัน ก็เกิดเหตุเพลิงไหม้อะพาร์ตเมนต์ 6 ชััน 31 ยูนิต ในเขตฮาร์เลม ย่านแมนฮัตตัน ที่มีต้นเพลิงมาจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนของรถจักรยานไฟฟ้า ที่จอดชาร์จไฟที่ชั้น 3 ของอาคาร ระเบิดจนเกิดเพลิงไหม้วอดเกือบทั้งอาคารเช่นเดียวกัน และเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 17 ราย ส่วนผู้พักอาศัยรายอื่นต้องหนีตายโดยการโรยตัวด้วยเชือกออกมานอกอาคาร

‘อีริค อดัมส์’ นายกเทศมนตรีมหานครนิวยอร์ก ยอมรับว่า นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เหตุไฟไหม้เกิดจากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าระเบิด ซึ่งเคยเกิดมาแล้วหลายครั้งในนิวยอร์ก นับตั้งแต่หลังยุค Covid-19 เป็นต้นมา

โดยเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา ก็เพิ่งจะเกิดเหตุไฟไหม้จากแบตเตอรี่ไฟฟ้า เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 18 รายมาแล้ว ทำให้นายกเทศมนตรีอดัมส์ พยายามที่จะจัดระเบียบกฎหมายธุรกิจการให้บริการด้านการขนส่งอาหาร และสินค้าใหม่

เช่นเดียวกันกับที่ประเทศจีน พบว่ามีเหตุไฟไหม้ที่เกิดจากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าตลอดทั้งปี 2023 ที่ผ่านมาทั่วประเทศถึง 21,000 เคส เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 17.4%

และจากสถิติอุบัติเหตุแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าระเบิดกว่า 80% มักเกิดขณะชาร์จไฟทิ้งไว้ และโดยเฉพาะการชาร์จแบตเตอรี่ทิ้งไว้ค้างคืนโดยไม่มีใครเฝ้า พอเกิดเหตุระเบิดไฟไหม้ จึงยากที่จะดับได้ทัน

ยิ่งไปกว่านั้น ในประเทศจีน ยังมีธุรกิจรับดัดแปลงรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ ให้วิ่งได้เร็วขึ้น หรือบรรทุกน้ำหนักได้มากขึ้น ซึ่งเป็นการใช้งานเกินศักยภาพเครื่องยนต์ และแบตเตอรี่ และยังเกินกว่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ และระเบิดได้เมื่อมีการชาร์จไฟนานๆ

อีกทั้งประเทศจีน ยังเป็นผู้ผลิตรถจักรยานไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของโลก ที่มีผู้ใช้ในประเทศเป็นจำนวนมาก โดยเฉลี่ย 1 ใน 4 ของชาวจีนมีรถจักรยานไฟฟ้าใช้ และความนิยมในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกก็ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ที่เป็นผลพวงจากการรณรงค์เรื่องการลดการใช้รถยนต์พลังงานฟอสซิลที่ปล่อยก๊าซคาร์บอน ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน

จากเหตุการณ์เพลิงใหม่อะพาร์ตเมนต์ที่เกิดขึ้นในวันเดียวกัน ทั้งในจีนและสหรัฐอเมริกา จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นภัยใกล้ตัวที่มาจากรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น คงถึงเวลาแล้วที่ต้องมีมาตรการเรื่องการจัดระเบียบ การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายในอาคารที่เข้มงวดมากขึ้น และให้ข้อมูลการดูแลแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันการชาร์จผิด มีสิทธิ์ดับหมู่ยกตึก อย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในต่างประเทศนั่นเอง

‘ปธน.เซเลนสกี’ ชี้!! อาจมีคนตายในสงครามยูเครน-รัสเซียอีกนับล้าน หาก ‘สว.สหรัฐฯ’ ไม่เห็นชอบหนุนงบช่วยเหลือ 6 หมื่นล้านดอลลาร์

(26 ก.พ.67) ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา ถึงคำพูดของเจ ดี แวนซ์ สว.สหรัฐฯ ที่ว่า ผลของสงครามไม่เปลี่ยนไม่ว่ายูเครนจะได้เงินช่วยเหลือหรือไม่ เซเลนสกีระบุว่า ไม่แน่ใจว่าแวนซ์ เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้

“เพื่อความเข้าใจต้องมาแนวหน้าดูว่าเกิดอะไรขึ้น มาคุยกับผู้คน มาพบพลเรือนจึงจะเข้าใจ อะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขาถ้าไม่มีความช่วยเหลือ แล้วเขาจะเข้าใจว่า จะมีคนตายอีกล้านๆ คน นี่คือข้อเท็จจริง แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจ เดชะบุญที่บ้านเมืองคุณไม่มีสงคราม” ผู้นำยูเครนกล่าว

คำเตือนของเซเลนสกีเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง หลังจากเขายอมรับเรื่องความสูญเสียของกองทัพ ว่านับถึงขณะนี้ ทหารยูเครนถูกสังหารไปแล้วราว 31,000 คน

ในการแถลงข่าวที่กรุงเคียฟ เซเลนสกีปัดตัวเลขของรัสเซีย ที่บอกยอดผู้เสียชีวิตฝ่ายยูเครนสูงกว่านี้มาก เซเลนสกีกล่าวว่า พลเรือนหลายหมื่นคนเสียชีวิตในดินแดนยูเครน ที่ถูกกองทัพรัสเซียยึดครอง

“เป็นความสูญเสียหนักของเรา ชาวยูเครนและทหาร 31,000 คน เสียชีวิตในสงครามนี้ ไม่ใช่ 300,000 ไม่ใช่ 150,000 อย่างที่ปูตินกำลังโกหก ทุกชีวิตที่สูญเสียเป็นความเสียหายใหญ่หลวงสำหรับเรา”

ทั้งนี้ ซีเอ็นเอ็นไม่สามารถพิสูจน์ตัวเลขได้อย่างอิสระ ตัวเลขดังกล่าวเปิดเผยออกมาในสุดสัปดาห์ครบรอบ 2 ปี ที่รัสเซียรุกรานยูเครนเต็มรูปแบบ

ตลอดเวลาของความขัดแย้ง รัฐบาลเคียฟไม่ค่อยยอมรับจำนวนทหารเสียชีวิต นายโอเล็กซี เรซนิคอฟ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยูเครน เคยพูดในเดือน มิ.ย.2565 เชื่อว่า ชาวยูเครนถูกสังหารหลายหมื่นคนนับตั้งแต่เดือน ก.พ.ปีนั้น

งานวิจัย ชี้!! ‘Gen X’ ช่วงวัยที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง-กดดัน ลาหยุดไม่ได้-ลาออกไม่กล้า เหนื่อยก็ต้องสู้ เพื่อเป้าหมายชีวิต

(25 ก.พ.67) ในขณะที่ ‘Gen Z’ เป็นช่วงวัยที่กำลังเริ่มต้นเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ‘Gen Y’ อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวของการเติบโต-ไต่เต้าสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น ส่วน ‘Gen X’ กลับเป็นเจเนอเรชันกลางๆ ที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและปัญหาสารพัดอย่าง

ในเชิงการทำงานเมื่อพิจารณาจากอายุแล้ว ‘Gen X’ อาจถูกคาดหวังให้ต้องเก่ง ต้องรู้ ต้องเชี่ยวชาญในหลายๆ เรื่อง ขณะเดียวกันในพาร์ตชีวิตส่วนตัว ‘Gen X’ ก็อยู่ตรงกลางระหว่างเบบี้บูมเมอร์ และคนรุ่นใหม่

สำนักข่าว ‘บีบีซี’ (BBC) ระบุว่า ‘Gen X’ ต้องเผชิญกับปัญหาที่ไม่เหมือนคนเจนอื่นๆ แม้จะอยากพักแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้ มีงานวิจัยจำนวนมากที่ระบุว่า ‘วัยกลางคน’ เป็นช่วงชีวิตที่ไม่มั่นคงมากที่สุด คลอนแคลนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ

เพราะเคยเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจมาแล้วหลายยุค จนถึงปัจจุบันในสถานการณ์ที่มีการ ‘เลย์ออฟ’ เกิดขึ้นมากมาย ทำให้ ‘Gen X’ รู้สึกว่า ตนเองไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งจะลาหยุดด้วยซ้ำ 
[ลาออก-ลาหยุดไม่ได้ เหนื่อยก็ยังต้องทำงานต่อไป]

Gen X คือ คนที่เกิดตั้งแต่ปี 2508-2523 มีอายุตั้งแต่ 44-59 ปี หากพิจารณาจากช่วงอายุแล้วจะพบว่า อยู่ในช่วงวัยกลางคน และกำลังอยู่ในช่วงเตรียมเกษียณอายุงานแล้วด้วย

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า Gen X มีวิธีคิดเรื่องการทำงานแตกต่างจากคนมิลเลนเนียล ตรงที่พวกเขามักจะกระตือรือร้นในการทำงานตลอดเวลา โดยมีเหตุผลสองส่วนที่ทำให้ Gen X จำนวนมากไม่พร้อมลาออก

ประการแรก คือ คนเจนนี้เผชิญกับการใช้จ่ายและการบริหารจัดการการเงินที่ไม่เหมือนคนรุ่นอื่น พวกเขาไม่สามารถลาออก-ทิ้งงานที่สร้างรายได้ประจำไปได้

ประการที่สอง เป็นเพราะ Gen X หลายคนมีทัศนคติที่ต้องการทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง หลังเคยผ่านวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง

บทเรียนในอดีตทำให้คนรุ่นนี้ต้องสร้างหลักประกันที่แข็งแรงให้ตนเอง เมื่อได้รับโอกาสใหม่ๆ Gen X จะไม่ปฏิเสธ เพื่อความก้าวหน้าในอนาคต

ทั้งนี้ ‘บีบีซี’ ได้เปิดเผยผลสำรวจพนักงานกว่า 2,000 คน ที่ถูกเลิกจ้างจากสถานการณ์ ‘Tech Layoff’ ในปี 2023 ไม่ว่าจะเป็น Meta Amazon หรือ Twitter 

โดยพบว่า เกือบ 9% ของ Gen Z และ 4.5% ของคนมิลเลนเนียล เลือกที่จะพักผ่อนหลังจากถูกเลิกจ้าง แต่มีเพียง 2.6% ของ Gen X เท่านั้น ที่ตั้งใจจะยุติการทำงานหลังโดนเลย์ออฟ

ด้าน ‘Michael S. North’ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ School of Business มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ทำการศึกษาพลวัตของแรงงานในหลายช่วงวัย กล่าวว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Gen X จำนวนมากไม่เต็มใจที่จะลาออก เป็นเพราะภาระผูกพันทางการเงิน และช่วงวัยของพวกเขาที่ทำให้รู้สึกว่า ไม่เหมาะที่จะกลายเป็นคนว่างงาน

‘North’ ระบุว่า มีงานวิจัยจำนวนมากที่ชี้ให้เห็นว่า ‘วัยกลางคน’ เป็นช่วงชีวิตที่ไม่มั่นคง โดยเฉลี่ยแล้ววัยนี้มีความกดดันมากกว่าการหารายได้เพียงอย่างเดียว

ไม่ว่าจะเป็นการทำประกันให้กับครอบครัว การเตรียมตัวเพื่อการเกษียณอายุงาน ต้องลงทุนในกองทุนแบบใด และต้องเก็บเงินก้อนเท่าไรจึงจะเพียงพอเหมาะสมกับช่วงสุดท้ายของชีวิต

ยิ่งไปกว่านั้น คือภาระหนี้สินที่คน Gen X ต้องเร่งปิดหนี้ก้อนใหญ่ๆ ก่อนที่รายได้ประจำจะหายไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มีข้อมูลบางส่วนที่แสดงให้เห็นว่า Gen X มีภาระหนี้สินมากกว่าคนรุ่นอื่นๆ

หลายคนต้องตกอยู่ในสถานะ ‘Sandwich Generation’ ดูแลทั้งคนแก่ในบ้าน และลูกๆ หลานๆ ที่กำลังโต แม้ว่าคนรุ่นนี้จะอยู่ในตำแหน่งระดับสูงขององค์กรแล้ว แต่สถานการณ์เลย์ออฟที่ผ่านมาก็ทำให้พวกเขาเห็นสัจธรรมอย่างหนึ่งของชีวิตว่า ไม่มีอะไรแน่นอน ยิ่งสถานะสูงขึ้น ตำแหน่งสูงขึ้น

คน Gen X ก็ยิ่งรู้สึกคาดหวังกับตัวเองมากขึ้นด้วย ดังนั้น ไม่ว่าจะถูกเลิกจ้างหรือพักงานก็ล้วนสร้างความท้าทายให้คนรุ่นนี้ทั้งนั้น

[ ไม่พร้อมเกษียณ ยังคงทำงานต่อไป ]

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า แม้จะเหนื่อยและมีภาระรอบด้าน แต่ Gen X ก็ยังไม่พร้อมเกษียณ  ไม่พร้อมทิ้งอาชีพที่ทำมาทั้งชีวิต

ที่ผ่านมา Gen X ต้องเผชิญกับความท้าทายเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ มาโดยตลอด ซึ่งพวกเขาก็พยายามปรับตัวให้ทันยุค เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการเสริมสร้างทักษะใหม่ๆ

อีกมุมหนึ่ง ก็มี Gen X ที่มีความพร้อม ความมั่นคงในชีวิตครบถ้วนแล้ว แต่ก็พบว่า พวกเขายังไม่สามารถละทิ้งความสำเร็จที่เคยทำมาให้กลายเป็นเพียงอดีตได้ ราวกับ ‘งาน’ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว หลายคนจึงไม่ต้องการทำเช่นนั้น หลังจากทำงานอย่างหนักมาหลายทศวรรษ

ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า Gen X อาจรู้สึกเหมือนกำลัง ‘ยอมแพ้’ ให้กับความก้าวหน้าและหน้าที่การงานที่สร้างมาทั้งชีวิต จึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาออกจากเส้นทางนี้ไม่ได้สักที

“นอกจากเรื่องเงินแล้ว เรายังมีอีกความรู้สึกหนึ่งด้วย คือเป้าหมายใน Career path ที่ต้องการไปให้ถึง” แหล่งข่าว Gen X กล่าวกับบีบีซี

อ้างอิง : https://www.bbc.com/worklife/article/20230424-why-gen-x-isnt-ready-to-leave-the-workforce
 

https://mstveteran.medium.com/generation-x-where-toughness-and-manners-collide-1586dfff9e64
 

https://www.nytimes.com/2023/08/25/style/gen-x-generation-discourse.html?fbclid=IwAR1bMpb80pP2IxkU3I5FSDbktBgvDjy_-QcLsf245Mjtveg9loNNQPMgb_Q

‘จีน’ ส่งดาวเทียม ‘Long March-5 Y7’ สู่วงโคจรสำเร็จ สานต่อการทดลอง-พัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารความเร็วสูง

เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 67 สำนักข่าวซินหัว, เหวินชาง รายงานข่าวว่า จีนประสบความสำเร็จในการส่งดาวเทียมทดลองเทคโนโลยีการสื่อสาร จากศูนย์ปล่อยยานอวกาศเหวินชาง มณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางตอนใต้ของประเทศขึ้นสู่ห้วงอวกาศ เมื่อช่วงค่ำของวันศุกร์ที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า ‘จรวดขนส่งลองมาร์ช-5 วาย7’ (Long March-5 Y7) นำส่งดาวเทียมข้างต้นสู่วงโคจรที่กำหนดไว้ โดยดาวเทียมดวงนี้จะถูกใช้ทดลองเทคโนโลยีการสื่อสารความเร็วสูง และหลายย่านความถี่เป็นหลัก ส่วนการส่งดาวเทียมครั้งนี้นับเป็นภารกิจที่ 509 ของจรวดขนส่งตระกูลลองมาร์ช

อนึ่ง ‘ลองมาร์ช-5’ เป็นจรวดขนส่งแบบอุณหภูมิต่ำขนาดใหญ่ที่สุดที่ใช้งานในจีน พัฒนาโดยสถาบันเทคโนโลยีจรวดขนส่งแห่งประเทศจีน ตัวแกนหลักมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 เมตร ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไฮโดรเจน-ออกซิเจนวายเอฟ-77 (YF -77) 2 ตัว และเครื่องยนต์ออกซิเจนเหลวและน้ำมันก๊าดวายเอฟ-100 (YF-100) 8 ตัว พร้อมแรงขับทะยานมากกว่า 1,000 ตัน

‘โหลวลู่เลี่ยง’ รองหัวหน้านักออกแบบ กล่าวว่า ปีนี้มีแนวโน้มปล่อยจรวดขนส่งลองมาร์ช-5 ราว 4-5 ครั้ง และจะรักษาความถี่นี้ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้าต่อไป

‘มหาวิทยาลัยดังของญี่ปุ่น’ ออกประกาศ ห้าม นศ.ช่วยตัวเอง หวั่นทำ ‘ท่อตัน’ ลั่น!! หากมีความต้องการเร่งด่วน โปรดแจ้ง

(24 ก.พ. 67) เรียกว่าเป็นกระแสไวรัลในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้เอ็กซ์ชื่อว่า bad_texter ได้โพสต์ประกาศของมหาวิทยาลัยโทโฮกุ ที่ห้ามนักศึกษาช่วยตัวเอง จนทำให้มีคนเห็นโพสต์ดังกล่าวเกือบ 16 ล้านวิว โดยประกาศดังกล่าว มีเนื้อหาว่า…

“คำเตือนเรื่องการช่วยตัวเอง

การช่วยตัวเองในห้องน้ำ (อ่างล้างมือ) ของมหาวิทยาลัยถือเป็นการละเมิดกฎของทุกคณะ ในมหาวิทยาลัยโทโฮกุ ท่อระบายน้ำไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำอสุจิ

หากมีน้ำอสุจิมากเกินไป ท่อก็จะเกิดการอุดตัน และการเปลี่ยนใหม่มีค่าใช้จ่ายหลายหมื่นเยน ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ จะไปปรากฏในค่าเทอมที่เพิ่มขึ้นของนักศึกษาในปีถัดไปได้

มันเป็นเงินของคุณ ดังนั้น โปรดช่วยตัวเองในห้องนอน

หากมีคำถาม หรือต้องการความช่วยเหลือในการช่วยตัวเองอย่างเร่งด่วน โปรดติดต่อเรา ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ”

โพสต์ดังกล่าว มีคนรีทวีตไปมากกว่า 6,400 ครั้ง และไลก์ไปกว่า 53,000 ครั้ง และคอมเมนต์กันรัวๆ อาทิ

- “ที่โทโฮกุ ทุกอย่างมีเหตุมีผลเสมอ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ”
- “นอกจากนี้แล้ว ฉันเกลียดเวลามีคนล้างมือและบ้วนเสมหะในตอนท้าย แล้วปิดน้ำทันที มันน่าขยะแขยง ดังนั้น ควรล้างมันออกด้วยน้ำเยอะๆ”
- “จะเกิดอะไรขึ้นหากฉันทำคำขอเร่งด่วน…?!”
- “เป็นคำเตือนที่ดี”
- “#ระวังการช่วยตัวเอง ขอช่วยตัวเองด่วนเหรอ? ? ? มันไม่ใช่การช่วยตัวเอง แต่เป็นบริการของผู้ชายใช่ไหม?”

‘ผู้จัดการ รร.จีน’ ขอโทษสังคม หลังจัดเกมโยนบ่วงชิงรางวัล รับขาดการคิดไตร่ตรอง ทำกระทบเกียรติ-ศักดิ์ศรี ‘แม่หญิงลาว’

รองผู้จัดการโรงแรมชาวจีน ที่จัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวโยนบ่วงใส่พนักงานหญิงชาวลาว เพื่อชิงรางวัล ออกคลิปขอโทษเป็นภาษาลาว ยอมรับเป็นการกระทำที่ขาดสติ ขัดต่อวัฒนธรรมอันดีงามของลาว และเข้าข่ายดูหมิ่นศักดิ์ศรีแม่หญิง ยืนยันต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว

เมื่อไม่นานนี้ นายอาหลี ชาวจีน ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเวียงจันทน์แม่โขง ในนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้บันทึกคลิปกล่าวคำขอโทษ และแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่โรงแรมเวียงจันทน์แม่โขง ได้จัดกิจกรรมโยนบ่วงคล้องพนักงานหญิงชาวลาวของโรงแรม เพื่อชิงรางวัลเมื่อคืนวาเลนไทน์ วันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา จนก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิกิจกรรมนี้อย่างกว้างขวางไปทั่วประเทศลาว โดยนายอาหลีได้กล่าวเป็นภาษาลาว มีรายละเอียดดังนี้

“สะบายดี ข้าพเจ้าท้าวอาหลี ในนามรองผู้จัดการโรงแรมเวียงจันทน์แม่โขง ขอแสดงความรับผิดชอบ และขอโทษต่อเหตุการณ์ที่ปรากฏในสื่อสังคม สื่อออนไลน์ เฟซบุ๊ก ของวันที่ 16 ก.พ. 67 ที่ทางโรงแรมได้จัดกิจกรรมโยนบ่วงส่งมอบของขวัญ ที่ไม่ถูกต้องขึ้นด้วยการขาดสติ ขาดการค้นคิด ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน จึงทำให้ส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ของประเทศ สปป.ลาว โดยรวม โดยเฉพาะส่งผลกระทบถึงเกียรติ ศักดิ์ศรี ของผู้หญิงลาว บรรดาเผ่า กระทบถึงวัฒนธรรม ฮีตคองประเพณี ที่มีคุณค่าอันดีงามของสังคมลาว เป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำ

ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้า รองผู้จัดการโรงแรม จึงออกคำแถลงแสดงความรับผิดชอบต่อผลเสียหาย และขอโทษต่อประชาชนลาว บรรดาเผ่า ผู้หญิงลาว บรรดาเผ่า และให้คำมั่นสัญญาว่า

1.) โรงแรมจะปฏิบัติตามกฎหมาย และนิติกรรมของ สปป.ลาว อย่างเข้มงวด

2.) จะดำเนินธุรกิจตามที่ได้รับอนุญาตอย่างเข้มงวด

3.) จะไม่ทำผิดกฎหมาย ระเบียบการ ฮีตคองประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามของชาติลาว และจะไม่ให้มีเหตุการณ์ใดที่มีลักษณะแบบเก่า หรือคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้นอย่างเด็ดขาด

4.) ถ้าหากมีเหตุการณ์ และการประพฤติที่ผิดต่อกฎหมาย หรือนิติกรรม ของ สปป.ลาว เกิดขึ้นอีก พวกข้าพเจ้ายินยอมให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเข้มงวด รวมไปถึงการระงับ หรือปิดกิจการอย่างถาวร

หวังอย่างยิ่งว่า หน่วยงานรัฐ สังคมลาว โดยเฉพาะประชาชน และผู้หญิงลาว บรรดาเผ่า จะให้อภัยพวกข้าพเจ้ามา ณ ที่นี้ด้วย ขอขอบใจ”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 67 ได้มีการเผยแพร่คลิปกิจกรรมของโรงแรมเวียงจันทน์แม่โขงไปทั่วชุมชนออนไลน์ของลาว ในคลิปเป็นภาพพนักงานหญิงของโรงแรมยืนเรียงเป็นกลุ่ม อยู่หน้าอาคารที่พัก แต่ละคนถือขวดเบียร์ ขวดเหล้า ขวดไวน์ฯลฯ เป็นของรางวัลให้แขกโยนบ่วงเข้าใส่ หากบ่วงตกไปคล้องเข้าที่ใคร รางวัลในมือของหญิงคนนั้นจะตกเป็นของผู้โยน

ผู้ที่ได้ชมคลิปนี้กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของผู้หญิงลาว เข้าข่ายการใช้ความรุนแรง เสี่ยงจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย พร้อมแสดงความเป็นห่วงว่า หากผู้โยนพลาด อาจทำให้หญิงที่ยืนเป็นเป้า ปากแตก จมูกหัก หัวโน หรือตาช้ำได้

ที่ผ่านมา กิจกรรมการโยนบ่วงเพื่อเดิมพันหรือชิงของรางวัล เป็นการละเล่นที่มักจัดขึ้นตามงานเทศกาลต่างๆโดยใช้เป็ดเป็นเป้าให้คนโยนบ่วงลงไปคล้องคอเป็ด บ่วงที่นำมาโยนมีขนาดเล็ก เบา ต่างจากบ่วงที่นำมาโยนใส่พนักงานตามคลิปนี้ที่ทั้งใหญ่และหนัก สังคมจึงตั้งคำถามว่าเป็นการกระทำที่เหมาะสม สอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีของลาว เข้าข่ายใช้ความรุนแรง หรือเป็นกิจกรรมการตลาดที่ขาดสติหรือไม่ พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพื่อดำเนินการไม่ให้เป็นแบบอย่างแก่สังคม

ต่อมารุ่งขึ้น ในวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา โรงแรมเวียงจันทน์แม่โขง ได้มีหนังสือชี้แจงไปยังหัวหน้าตำรวจท่องเที่ยว นครหลวงเวียงจันทน์ มีเนื้อหาโดยสรุปว่า กิจกรรมนี้จัดขึ้นเมื่อเวลา 18.00 น.ของวันที่ 14 ก.พ. เพื่อสร้างความรื่นเริง ต้อนรับลูกค้าที่มาใช้บริการในร้านอาหารของโรงแรมเท่านั้น ไม่มีเจตนาเป็นอย่างอื่น บ่วงที่นำมาโยนก็มีน้ำหนักเบา มีการทดสอบก่อนจะนำไปโยน ดังนั้น โรงแรมจึงพร้อมรับฟังคำแนะนำ เพื่อแก้ไขและป้องกันไม่ให้มีปัญหาลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก

โรงแรมเวียงจันทน์แม่โขงตั้งอยู่ที่บ้านโพนทัน เมืองไซเสดถา นครหลวงเวียงจันทน์ เป็นโรงแรมที่มีนักลงทุนชาวจีนเป็นเจ้าของ และมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาเที่ยวลาว

บ็อกซ์ออฟฟิศของจีน ยอดพุ่ง!! กวาดรายได้ 1 หมื่นล้านหยวน หลังหยุดยาวเดือน ก.พ. ช่วยปลุกอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฟื้นตัว

(24 ก.พ. 67) สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานข่าวว่า รายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมภาพยนตร์ (Box Office) ของจีน ช่วงเดือนกุมภาพันธ์สูงเกินหลัก 1 หมื่นล้านหยวน (ราว 5 หมื่นล้านบาท) แล้ว

รายงานระบุว่า ช่วงหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน (10-17 ก.พ.) มีส่วนสร้างรายได้ดังกล่าวกว่า 8 พันล้านหยวน (ราว 4 หมื่นล้านบาท) ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์

ข้อมูลจากเมาเหยียน (Maoyan) และบีคอน (Beacon) 2 แพลตฟอร์มภาพยนตร์ เผยว่า รายได้ดังกล่าวในเดือนกุมภาพันธ์สูงถึง 1.018 หมื่นล้านหยวน (ราว 5.09 หมื่นล้านบาท)

ทั้งนี้ รายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมภาพยนตร์ของจีน เมื่อวันศุกร์ที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 243 ล้านหยวน (ราว 1.21 พันล้านบาท)

ผลสำรวจชี้!! Gen Z เจอแรงกดดันในชีวิตการทำงานสูงกว่าคน Gen อื่น เพราะเทคโนโลยีทำให้ ‘งาน’ กับ ‘ชีวิตส่วนตัว’ แยกจากกันไม่ออก

Gen Z เจอแรงกดดันใน ‘ชีวิตการทำงาน’ สูงกว่าคนเจนอื่นๆ เพราะเทคโนโลยีทำให้ ‘งาน’ กับ ‘ชีวิตส่วนตัว’ แยกจากกันไม่ออก

(24 ก.พ. 67) คนที่เกิดมาในยุคดิจิทัลอย่าง ‘Gen Z’ พวกเขากำลังเจอความท้าทายในชีวิตการทำงานที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อนๆ โดยก่อนหน้านี้มีรายงานการสำรวจจาก Deloitte ในปี 2023 ที่สำรวจเกี่ยวกับวัยทำงาน ‘Gen Z’ จำนวน 14,483 คนใน 44 ประเทศ พบว่า 46% ของชาว Gen Z เผชิญกับความวิตกกังวลและความเครียดอย่างต่อเนื่องในที่ทำงาน

นอกจากนี้ มากกว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างยังรายงานด้วยว่า พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้า ระดับพลังงานต่ำ และจิตใจหลุดออกจากงาน โดยสาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อมเชิงลบหรือโดยถากถางดูถูกในที่ทำงาน

ด้าน แคธลีน ไพค์ ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และเป็นซีอีโอของบริษัท One Mind at Work (ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพจิตในที่ทำงาน) แสดงความคิดเห็นว่า กลุ่มวัยทำงาน Gen Z กำลังเผชิญกับแรงกดดันมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ เนื่องจากเติบโตมาโลกที่เทคโนโลยีเข้ามาทำลายขอบเขตระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว

เมื่อเปรียบเทียบการทำงานของคนรุ่นนี้กับคนรุ่นก่อนๆ พบว่า คนรุ่นก่อนไม่ต้องเผชิญกับแรงกดดันที่เกิดจากเทคโนโลยีแบบเดียวกันในช่วงเริ่มต้นอาชีพของพวกเขา

“สำหรับผู้บริหารรุ่นซีเนียร์ในตอนนี้ หากย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้วจะพบว่า เวลาไปทำงานในแต่ละวัน พวกเขาจะขับรถไปทำงานโดยไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มี FedEx ในช่วงที่คนรุ่นก่อนๆ เริ่มต้นชีวิตทำงาน มันเป็นโลกที่แตกต่างไปจากยุคนี้อย่างสิ้นเชิง” เธอกล่าว

ศาสตราจารย์ไพค์ อธิบายต่อว่า ในอดีตไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ในทันทีเหมือนยุคนี้ และเมื่อวัยทำงานรุ่นก่อนๆ กลับบ้าน พวกเขาก็ตัดขาดจากงานอย่างแท้จริง (ไม่สามารถเข้าถึงงานได้ตลอดเวลาเหมือนยุคนี้) มันเป็นเหมือนโครงสร้างมหภาคตามธรรมชาติที่ทำให้เกิดการหยุดทำงานตามเวลา ตามระบบนาฬิกาชีวิตจำนวนมากและระเหยไปจนหมด

ในขณะที่เมื่อมองกลับมาในยุคนี้ จะเห็นว่าเทคโนโลยีเป็นผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังการดิ้นรนต่อสู้ในชีวิตการทำงานของคนรุ่น Gen Z ส่งผลให้คนรุ่นนี้พยายามสร้างความแตกต่างระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

สิ่งที่พบเห็นมากขึ้นในสังคมการทำงานก็คือ Gen Z กำลังพยายามวางขอบเขตชีวิตส่วนตัวให้กลับคืนมา มันเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างคนแต่ละรุ่น คนทำงานรุ่นใหม่จำนวนมากหันไปหาเทรนด์การทำงานแบบอื่นๆ เช่น 

- เทรนด์การทำงานแบบ Act your Wage คือ การทำงานตามค่าจ้างที่ได้รับ ไม่ทำอะไรเกินตัว
- เทรนด์การทำงานแบบ Quiet Quitting คือ การทำงานไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่ทุ่มเททำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ เพื่อเยียวยาตนเองไม่ให้เบิร์นเอาท์
- เทรนด์การทำงานแบบ Lazy girl jobs คือ การทำงานที่สามารถจัดตารางงานเองได้ งานไม่ทำให้ชีวิตส่วนตัวยุ่งเหยิงเกินไป หรือเป็นงานที่สามารถปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตนเองได้ มักเป็นงานที่มีระดับความเครียดต่ำแต่ก็มีผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจ

โดยสรุปก็คือ เน้นหางานหรือรูปแบบการทำงานให้ยุ่งน้อยที่สุด เพื่อรักษางานของตนไว้แต่ขณะเดียวกันก็พยายามหลีกเลี่ยงภาวะหมดไฟในการทำงาน

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ไพค์ชี้ชวนให้คิดว่า การที่ Gen Z หลายคนเผชิญกับภาวะความเครียด วิตกกังวล และความกดดันต่างๆ ในที่ทำงานนั้น บางครั้งอารมณ์เหล่านั้นก็เป็นอารมณ์ปกติ ไม่ใช่อาการเจ็บป่วยทางจิตใจเสมอไป การเผชิญกับความเครียดเนื่องจากเดดไลน์ที่ต้องส่งงาน ความรู้สึกเศร้า ความผิดหวัง หรือวิตกกังวลเป็นครั้งคราว ถือเป็นเรื่องปกติของชีวิต

อีกทั้งการรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลในการทำงาน อาจเป็นตัวบ่งชี้ที่มีประโยชน์ที่จะช่วยให้คุณทำงานให้สำเร็จได้อย่างดีด้วยซ้ำ 

ท้ายที่สุด ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา สรุปว่า ชาว Gen Z ที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน ต้องยอมรับความเครียดและความกังวลที่เกิดจากงานบ้าง “เราต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลวทันทีแล้วลองใหม่อีกครั้ง” นั่นจะทำให้เราเติบโตจากความผิดพลาด รวมถึงการเรียนรู้ทักษะอื่นๆ เพิ่มเติม การขอความช่วยเหลือ และรู้วิธีการผลักดันขีดความสามารถของตนเอง ฯลฯ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตในชีวิตการทำงานทั้งนั้น 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top