Sunday, 28 April 2024
WORLD

'หนุ่มนักศึกษามหาลัยในแคนาดา' เลือกขึ้นเครื่องบินมาเรียนแทนการเช่าหออยู่ เจ้าตัวเผย!! ประหยัดกว่าหลายหมื่น ฟากโซเชียลแชร์จนเป็นไวรัลไปทั่วโลก

(23 ก.พ. 67) กลายเป็นเรื่องฮือฮาขึ้นมาทันที เมื่อนักศึกษามหาวิทยาลัยชาวแคนาดาเลือกที่จะขึ้นเครื่องบินมาเรียนแทนการเช่าหออยู่ เพราะประหยัดกว่า โดยล่าสุดเรื่องราวของเขาได้ออกข่าวในช่องทีวีระดับประเทศไปแล้ว

นักศึกษาคนนี้มีชื่อว่า 'ทิม เฉิน' บ้านเขาอยู่ที่เมือง Calgary ส่วนสถานที่ที่เขากำลังเรียนอยู่นั้นคือที่ The University of British Columbia ซึ่งอยู่ในเมือง Vancouver

โดยทั้งสองเมืองนี้ หากเดินทางด้วยรถจะใช้เวลาราว 11 ชั่วโมง ส่วนเครื่องบินก็ 1.30 ชั่วโมง (หากเทียบเป็นไทยก็น่าจะประมาณเชียงราย-กรุงเทพ)

ด้วยการที่ปัจจุบัน ทิม มีคลาสเรียนแค่ 2 วันต่อสัปดาห์ เขาเลยตัดสินใจกลับไปอยู่บ้าน แล้วเลือกที่จะขึ้นเครื่องบินมาเรียนแทน เรียนเสร็จก็กลับไปนอนบ้านพ่อแม่ที่ไม่ต้องเสียค่าเช่า

ส่วนที่ ทิม ตัดสินใจทำแบบนี้ เพราะอพาร์ทเมนต์ 1 ห้องนอนที่ถูกสุดค่าเช่าจะอยู่ที่ 2,100$/เดือน (ราว 76,000 บาท/เดือน)

ขณะที่ซื้อตั๋วเครื่องบินมาเรียน 8 ครั้ง/เดือน จะตกอยู่ที่ 1,200$/เดือน (ราว 43,000 บาท)

หมายความว่าเขาประหยัดเงินไปถึง 23,000 บาท (แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการตื่นเช้ามาขึ้นเครื่อง)

การที่ ทิม เลือกทำแบบนี้ ก็ทำให้ล่าสุด CTV News ช่องข่าวระดับประเทศของแคนาดามาเลือกทำข่าวเขา แล้วก็กำลังไวรัลไปทั่วโลกเลยตอนนี้ ทำให้เกิดคอมเมนต์ฮาๆ ขึ้นมาเลย เช่น...

"หนุ่มคนนี้ถูกสร้างมาให้แตกต่าง และผมรู้สึกชื่นชมในตัวเขา"

"ประเทศนี้มันแปลกๆ นะเนี่ย"

"จะแปลกใจว่าถ้าสายการบินไม่เคยดีเลย์ แล้วไอ้หนุ่มนี่ก็ไม่เคยเข้าคลาสสายเลยสักครั้ง"

"นี่น่าจะเป็นพรีเซนเตอร์ของสายการบิน Air Canada ที่ดีที่สุดในตอนนี้ ในการโปรโมตว่า ไฟลต์ของเราถูกกว่าค่าเช่าของคุณ"

อดีตผู้ต้องขังแฉ!! สภาพ 'คุก' ของ 'อัลเวส' ช่างสุขสบาย มีทั้ง 'สระว่ายน้ำ-ฟิตเนส-อาหารชั้นดี' เหมือนโรงแรมหรู

(23 ก.พ.67) อดีตผู้ต้องขังแฉคุกที่จองจำ 'ดานี อัลเวส' ตำนานกองหลังทีมชาติบราซิล เป็นเหมือนโรงแรม 5 ดาว มีสระว่ายน้ำ, ฟิตเนส รวมถึงอาหารอย่างดี 

อดีตดาวเตะทีมบาร์เซโลน่าถูกจับนอนคุกกว่า 1 ปีที่เรือนจำในสเปน เหตุที่เขาไปล่วงละเมิดหญิงสาวในไนท์คลับเเห่งหนึ่งในเมืองบาร์เซโลน่า แม้ทนายความส่วนตัว เรียกร้องให้ปล่อยตัว แต่คำขอนั้นถูกปฏิเสธไป 

ล่าสุดมีการตัดสินออกมาแล้วว่าอัลเวส ถูกพิพากษาจำคุก 4 ปีครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่อย่างนั้นเขาอาจจะสบายกว่าที่คิด เพราะอดีตนักโทษในเรือนจำเดียวกันที่มีชื่อว่า จอห์น เม็คอาฟิล ที่ถูกจำคุกในเดือนตุลาคม 2020 ด้วยข้อหาฉ้อโกง การฟอกเงิน และการหลีกเลี่ยงภาษีหลายกระทง ซึ่งตอนนี้เสียชีวิตไปเเล้ว แต่มีการเปิดเผยเรื่องน่าสนใจไว้ว่า...

"ชีวิตในเรือนจำของอัลเวสในสเปนเปรียบเสมือนโรงแรมฮิลตัน ถ้าให้เปรียบเทียบมันคือลัทธิเหนือจริงที่น่าสังเวชและการลดทอนความเป็นมนุษย์ยิ่งกว่าเรือนจำในอเมริกา"

Apple ออกโรงเตือน อย่าเอา iPhone เปียกน้ำไปแช่ในถังข้าวสารเด็ดขาด ลั่น!! หากเมล็ดข้าวหลุดเข้าไปจะสร้างความเสียหายภายในตัวเครื่องได้

Apple ออกโรงเตือน หาก iPhone เปียกน้ำ ห้ามนำไปแช่ในถังข้าวสารเด็ดขาด หรือแม้แต่ใช้ 'ไดร์เป่าผม' ก็ไม่ช่วยอะไร

(22 ก.พ.67) บริษัท Apple (แอปเปิ้ล) ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีของสหรัฐ ได้เผยแพร่คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ผ่านเว็บไซต์เมื่อไม่นานนี้ ระบุว่า วิธีแก้ปัญหาหลังมือถือ iPhone (ไอโฟน) ตกน้ำ ด้วยการนำไปใส่ในถังหรือถุงบรรจุข้าวสาร อาจเป็นสาเหตุให้ 'เศษชิ้นส่วนขนาดเล็ก' จากเมล็ดข้าว หลุดเข้าไปสร้างความเสียหายภายในตัวเครื่องได้ ทางบริษัทจึงเผยคำแนะนำเพื่อช่วยผู้ใช้งานหันมาแก้ปัญหาที่ถูกวิธีมากขึ้น

แทนที่จะนำมือถือไปแช่ถังข้าวสาร Apple แนะนำว่า เพียงใช้นิ้วเคาะเบา ๆ เพื่อให้ของเหลวไหลออกมา โดยคว่ำส่วนที่เป็นขั้วต่อสายโทรศัพท์ลง แล้วปล่อยให้เครื่องแห้งเองก็เพียงพอแล้ว

นอกจากข้อแนะนำดังกล่าวแล้ว Apple ยังแนะนำให้ผู้ใช้งานหลีกเลี่ยงการทำให้มือถือให้แห้ง ด้วยการเป่าด้วยลมร้อน หรือ การอัดอากาศ ซึ่งหมายถึง ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องนำความร้อนและไดร์เป่าผม

ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีรายนี้ ยังเตือนอีกด้วยว่า ไม่ควรนำสิ่งแปลกปลอมใด ๆ เช่น ไม้พันสำลี หรือ กระดาษชำระ สอดเข้าไปภายในโทรศัพท์มือถือ

ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ผู้ใช้ iPhone ควรทำคือ การวางมือถือในที่แห้งและมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ก่อนนำไปชาร์จไฟอีกครั้งก็เพียงพอให้มือถือกลับมา ก็ใช้งานได้แล้ว
 

จีนระทึก!! เรือท้องแบนพุ่งชนสะพานใกล้ ‘กว่างโจว’ ทำสะพานบางส่วนถล่ม รถยนต์หลายคันร่วงลงแม่น้ำ

(22 ก.พ. 67) เกิดอุบัติเหตุเรือท้องแบนขนาดใหญ่พุ่งชนกับสะพานข้ามแม่น้ำใกล้กับนครกว่างโจวของจีนเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ส่งผลให้สะพานบางส่วนพังถล่ม และมีรถยนต์หลายคันร่วงตกลงไปในแม่น้ำ

ซึ่งภาพสถานีโทรทัศน์ CCTV ของจีนได้เผยให้เห็นสภาพเรือท้องแบนที่ปราศจากสินค้าติดอยู่ระหว่างเสาตอม่อ 2 จุดของสะพานลี่ซินซา (Lixinsha Bridge) โดยส่วนหนึ่งของสะพานที่เป็นถนน 2 เลนขาดหายไป และเจ้าหน้าที่ต้องสั่งปิดการจราจรข้ามแม่น้ำเป็นการชั่วคราว

สำนักงานบริหารความปลอดภัยทางน้ำแห่งนครกว่างโจวแถลงผ่านบัญชี WeChat ว่า เรือท้องแบนลำนี้มุ่งหน้าจากเมืองฝอซาน (Foshan) จะไปที่เขตทางใต้ของนครกว่างโจว ทว่ามาประสบอุบัติเหตุพุ่งชนสะพานเมื่อเวลา 5.30 น.

ซึ่ง CCTV รายงานว่า เหตุการณ์นี้ทำให้รถบัสอย่างน้อย 1 คันร่วงตกลงไปในแม่น้ำ โดยบนรถมีเพียงคนขับ ซึ่งยังไม่สามารถติดต่อได้

โดยทางการจีนได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัย รวมถึงนักประดาน้ำ 6 คนเข้าไปยังจุดเกิดเหตุแล้ว และกำลังเร่งสืบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตยังอยู่ระหว่างตรวจสอบยืนยัน

สำนักงานบริหารความปลอดภัยทางน้ำแห่งนครกว่างโจวยังแนะนำให้ผู้ขับขี่เรือหรือยานพาหนะอื่นๆ อ้อมไปใช้เส้นทางอื่น

ทั้งนี้ นครกว่างโจวซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลกวางตุ้งถือเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญของเขตสามเหลี่ยมเศรษฐกิจปากแม่น้ำจูเจียง และเป็นหนึ่งในฮับการค้าและการคมนาคมขนส่งทางเรือที่คับคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของจีน

หมอฝึกหัดเกาหลีใต้กว่า 6.4 พันคน ตบเท้าลาออก ประท้วงรัฐบาล เร่งแต่ผลิตแพทย์ แต่ไม่ดูคุณภาพ

แพทย์ฝึกหัดเกาหลีใต้มากกว่า 6,400 คน พร้อมใจยื่นใบลาออก เพื่อประท้วงแผนการเร่งผลิตแพทย์ด้วยการสั่งให้มหาวิทยาลัยเพิ่มโควต้าการรับนักศึกษาแพทย์เกือบเท่าตัว โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยด้านความพร้อมและคุณภาพ ที่อาจส่งผลต่อความเสี่ยงในระบบสาธารณสุขของประเทศในอนาคต

ไม่นานมานี้ แพทย์ฝึกหัดเกาหลีใต้จำนวน 6,415 คน จาก 100 โรงพยาบาลทั่วประเทศได้ยื่นจดหมายลาออก ส่วนอีก 1,600 คนหยุดปฏิบัติหน้าที่ และเดินออกจากที่ทำงานทันที สร้างความปั่นป่วนในการให้บริการผู้ป่วยในหลายโรงพยาบาล ทั้งเกิดความล่าช้าในขั้นตอนการรักษา และคิวผ่าตัด

ปาร์ค มิน-ซู รัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขคนที่ 2 ได้เร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการนัดประท้วงของกลุ่มแพทย์ฝึกหัดดังกล่าว โดยได้สั่งการให้โรงพยาบาลรัฐ 97 แห่ง ขยายช่วงเวลาการให้บริการยาวขึ้น อีกทั้งให้โรงพยาบาลทหารอีก 12 แห่งเปิดเตียงฉุกเฉินเพื่อรองรับเคสผู้ป่วยพลเรือนทั่วไปเป็นการชั่วคราว 

ปัจจุบันในเกาหลีใต้มีแพทย์ฝึกหัดอยู่ราว 13,000 คน แต่มาวันนี้ นัดกันยื่นจดหมายลาออกไปแล้วกว่า 6,400 คน จนระบบการทำงานในโรงพยาบาลติดขัดอย่างหนัก

สาเหตุของการนัดประท้วงของแพทย์ฝึกหัด เกิดจากนโยบายของรัฐบาลเกาหลีใต้ ที่ต้องการแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ด้วยการเพิ่มโควตาการรับนักศึกษาแพทย์อีกปีละ 2,000 คนตั้งแต่ปีหน้า 2568 เป็นต้นไป จากเดิมที่เคยรับปีละ 3,058 เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว โดยชี้ว่าการเร่งผลิตแพทย์เพิ่มขึ้นเป็นสิ่งจำเป็น

เนื่องจากในหลายพื้นที่ของเกาหลีใต้ยังขาดแคลนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก อีกทั้งเกาหลีใต้มีสัดส่วนแพทย์ต่อจำนวนประชากรอยู่ในอันดับที่ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไข

แต่ในอีกด้านหนึ่ง แพทย์บางส่วนกลับมองว่ารัฐบาลกำหนดนโยบายโดยไม่ได้ปรึกษา หรือรับฟังความเห็นของทีมแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่จริง ๆ จึงมองเพียงตัวเลขเชิงปริมาณ โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพทักษะ และหัวใจในการให้บริการ

เช่นเดียวกับกลุ่มแพทย์ฝึกหัดที่ได้ยื่นใบลาออกประท้วงรัฐบาล มองว่าการเพิ่มโควตาการรับนักศึกษาแพทย์ จะยิ่งทำให้คุณภาพการเรียน การสอนในวิชาแพทย์ลดลง เพราะรัฐบาลไม่เคยลงไปศึกษาข้อมูลว่า มหาวิทยาลัยแพทย์ในเกาหลีใต้มีความพร้อมเพียงพอที่จะรองรับนักศึกษาแพทย์เพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐหรือไม่ 

จะอย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีช่วย ปาร์ค มิน-ซู ออกมาแสดงความผิดหวังต่อการประท้วงของกลุ่มแพทย์ฝึกหัดในครั้งนี้ ที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายในระบบการดูแลคนไข้ในโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศ มีเคสผ่าตัดหลายเคสต้องเลื่อน หรือต้องย้ายตัวผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอื่นอย่างฉุกละหุก

อีกทั้งยังวิจารณ์ว่าเป็นการกระทำอันไร้เหตุผล ที่ทิ้งคนไข้ของพวกเขาไว้ข้างหลัง เพื่อเป็นเครื่องมือในการประท้วงนโยบายรัฐ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะส่งผลร้ายแรงอะไรตามมา 

ทางการเกาหลีใต้ได้ส่งจดหมายเรียกตัวแพทย์ฝึกหัดให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ และเตรียมสอบแพทย์ 2 คนที่เชื่อว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการนัดลาออกประท้วงของบรรดาแพทย์ฝึกหัดในครั้งนี้ หากพบว่าผิดจริงอาจลงโทษหนักถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตได้

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

'ฝูเป่า' แพนด้ายักษ์ชื่อดัง เตรียมกลับ ‘จีน’ เม.ย.นี้ หลังอาศัยอยู่ที่ ‘เกาหลีใต้’ มานานเกือบ 4 ปี

(22 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า แพนด้ายักษ์ ‘ฝูเป่า’ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ที่เอเวอร์แลนด์ รีสอร์ต สวนสนุกในเมืองยงอินของเกาหลีใต้มานานเกือบ 4 ปี มีกำหนดถูกนำพากลับจีนในเดือนเมษายนนี้

ทั้งนี้ ฝูเป่า ซึ่งเกิดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2020 เปรียบเป็นดาราชื่อดังในเกาหลีใต้ ผู้สร้างความสุขใจแก่ผู้เยี่ยมชมนับไม่ถ้วนด้วยความน่ารักน่าเอ็นดูและเสน่ห์เฉพาะตัว

‘รัสเซีย’ ออกหมายจับ ‘ดาวโป๊ยูเครน’ ท้าทาย!! เปลือยอกกลางจัตุรัสแดง

เมื่อวันที่ 19 ก.พ.67 เว็บไซต์ เดลี่สตาร์ รายงานว่า ทางการรัสเซียได้ขึ้นบัญชีอาชญากรรมและออกหมายจับ โลลิตา บ็อกดาโนวา หรือ โลลา บันนี่ ดาวโป๊ชาวยูเครน วัย 24 ปี หลังจากที่ปรากฏภาพของเธอถกเสื้อโชว์เปลือยหน้าอกของเธอที่จัตุรัสแดง สถานที่ชื่อดังในกรุงมอสโก เมืองหลวงรัสเซีย ซึ่งแม้ว่าภาพนี้จะถูกถ่ายตั้งแต่ปี 2564 แต่ภาพนี้เพิ่งกลับขึ้นมาอีกครั้งเมื่อช่วงที่ผ่านมานี้

โดยในเวลาต่อมา บ็อกดาโนวา ได้ขอโทษผู้ที่นับถือศาสนา และระบุว่าเธอไม่ได้เป็นคนโพสต์คลิปนี้เอง ซึ่งแม้ว่าเธอจะเซ็นข้อตกลงไม่เดินทางออกนอกประเทศ ขณะที่ทำการสอบสวน แต่เธอก็ได้หลบหนี และเชื่อว่าปัจจุบันเธออาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา หากดูจากอินสตาแกรมของเธอ

ขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยรัสเซียยืนยันว่านางแบบสาวคนนี้ เป็นหนึ่งในอาชญากรที่ทางการต้องการตัว แต่ไม่ได้ระบุชัดว่าเธอทำผิดข้อหาใด ทั้งนี้สำนักข่าว RT ซึ่งเป็นสำนักข่าวรัสเซียคาดว่า ความผิดของเธอนั้นน่าจะเข้าข่าย ไม่ให้เกียรติต่อสังคม ซึ่งอาจจะทำให้เธอถูกโทษจำคุก 1 ปีได้

อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เหตุการณ์ทำนองแบบนี้ขึ้น เพราะหากย้อนกลับไปในปี 2564 เคยมีเคส ริต้า ฟ็อกซ์ นางแบบสาววัย 20 ปี ถูกจับกุมข้อหาโชว์บั้นท้ายหน้าที่ทำเนียบรัฐบาลของนาย วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียมาแล้ว

‘เจ้าชายวิลเลียม’ วอน!! ‘หยุดยิง’ ในกาซา ชี้!! สงครามทำผู้คนล้มตายมากเกินไปแล้ว

เจ้าชายวิลเลียมแห่งอังกฤษทรงเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซา และตรัสว่า “ความทุกข์ทรมานแสนสาหัส” จากสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ซึ่งทำให้ “มีผู้เสียชีวิตไปแล้วมากมาย” ทำให้การฟื้นฟูสันติภาพคือสิ่งจำเป็น

(21 ก.พ.67) รอยเตอร์ รายงานว่า เจ้าชายวิลเลียม มกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ ทรงออกคำแถลงเมื่อวันอังคาร (20 ก.พ.) เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้แก่พลเรือนในกาซา และทรงเรียกร้องให้กลุ่มฮามาสปลดปล่อยตัวประกันทั้งหมดด้วย

“ข้าพเจ้ายังคงกังวลอย่างมากเกี่ยวกับต้นทุนมนุษย์ (human cost) ที่สูญเสียไปจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง นับตั้งแต่ผู้ก่อการร้ายฮามาสโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. มีผู้คนถูกสังหารมากมายเกินไปแล้ว” เจ้าชายวิลเลียมตรัส

“บางครั้งก็ต้องให้เผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานครั้งใหญ่ของมนุษย์ เราจึงจะเห็นคุณค่าของสันติภาพที่ยั่งยืนถาวร”

ย้อนหลังไปเมื่อปี 2018 เจ้าชายวิลเลียมทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของอังกฤษพระองค์แรกที่เดินทางไปเยือนอิสราเอลและดินแดนปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการ และได้ทรงติดตามสถานการณ์ในภูมิภาคอย่างใกล้ชิดตลอดมา

สำนักพระราชวังเคนซิงตันแถลงว่า กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษได้รับทราบเนื้อหาในพระดำรัสของเจ้าชายวิลเลียม ก่อนที่จะมีการเผยแพร่ออกมา 

เจ้าชายวิลเลียมวัย 41 พรรษาได้เสด็จไปยังสำนักงานใหญ่สภากาชาดอังกฤษในกรุงลอนดอนเมื่อวานนี้ (20) เพื่อทรงรับฟังแนวทางการปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามในตะวันออกกลาง

“ข้าพเจ้าก็เช่นเดียวกับอีกหลายๆ คนที่อยากเห็นสงครามครั้งนี้จบลงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้... ชาวกาซาจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพิ่มขึ้นโดยด่วน การส่งความช่วยเหลือเข้าไป และการปล่อยตัวประกัน คือสิ่งที่สำคัญยิ่งยวด” เจ้าชายตรัส

อีลอน เลวี โฆษกรัฐบาลอิสราเอล ได้ออกมาแถลงตอบพระดำรัสของเจ้าชายแห่งเวลส์ โดยกล่าวว่า “ชาวอิสราเอลก็ปรารถนาที่จะเห็นการสู้รบยุติลงโดยเร็วที่สุดเช่นกัน และนั่นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อตัวประกัน 134 คนได้รับการปลดปล่อย และหลังจากที่กองทัพผู้ก่อการร้ายฮามาสซึ่งข่มขู่ใช้ความรุนแรงเหมือนเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ถูกทำลายหมดสิ้นไป”

เลวี กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า รัฐบาลอิสราเอล “รู้สึกซาบซึ้งที่เจ้าชายแห่งเวลส์ทรงเรียกร้องให้ฮามาสปลดปล่อยตัวประกัน และยังสำนึกในพระกรุณาฯ ที่ได้ทรงมีพระดำรัสเมื่อวันที่ 11 ต.ค. ประณามการก่อการร้ายโดยพวกฮามาส อีกทั้งทรงสนับสนุนสิทธิในการป้องกันตนเองของอิสราเอล”

สัปดาห์หน้าเจ้าชายวิลเลียมทรงมีกำหนดการเสด็จเยี่ยมโบสถ์ยิวแห่งหนึ่ง เพื่อทรงรับฟังมุมมองจากคนหนุ่มสาวเกี่ยวกับการรับมือกระแสเกลียดชังชาวเซมิติก (anti-Semitism) หลังจากปีที่แล้วเป็นปีที่กระแสต่อต้านชาวยิวในอังกฤษทวีความรุนแรงเป็นประวัติการณ์ 

ปลื้มปริ่ม!! ‘คุณพ่อ’ ส่งลูกสาวเข้าพิธีวิวาห์ ฝากเจ้าบ่าว “ถ้าวันไหนไม่รัก อย่าทำร้าย แค่พาเธอกลับมาหาพ่อ”

วันแต่งงานถือเป็นวันสุดพิเศษ ไม่ใช่เพียงเจ้าสาวและเจ้าบ่าวรอคอย แต่พ่อแม่ผู้ปกครองของพวกเขายังเฝ้ารอวันนี้ด้วย ลูกตัวน้อยที่เติบโตจนเป็นผู้ใหญ่ เตรียมสร้างครอบครัว ทำให้พวกท่านต่างเตรียมคำพูดที่จะมาพูดกับลูกมากมาย

เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.66 ‘ไคลี่ โยว’ ผู้ใช้ติ๊กต็อกจากสิงคโปร์ได้โพสต์วิดีโอชวนซึ้ง เป็นช่วงเวลาที่คุณพ่อของเธอได้พูดฝากฝังเธอไว้กับเจ้าบ่าว ซึ่งคำพูดทุกคำล้วนกลั่นออกมาจากหัวใจ ทำผู้คนภายในงานต่างน้ำตาซึม

โดยคุณพ่อได้ขอให้เจ้าบ่าวช่วยรักและดูแลลูกสาวของเขาให้ดี ขอให้ครองคู่กันชั่วนิรันดร์ มีสุขภาพแข็งแรง และถ้าวันใดวันหนึ่งเจ้าบ่าวไม่รักลูกสาวของเขาแล้ว ได้โปรดอย่าทำร้ายเธอและส่งเธอคืนมาให้เขา

“พ่อมอบลูกสาวสุดที่รักของพ่อให้แล้ว พ่อรู้ว่าคุณรักเธอมาก พ่อขอคุณให้รัก ดูแลเธอ และให้ความสำคัญกับเธอในทุกเรื่องเสมอ พ่อขอให้อวยพรให้ทั้งคู่มีความสุข รักยืนยาวชั่วนิรันดร์

ถ้าวันหนึ่งเกิดเปลี่ยนใจ ไม่ได้รักลูกสาวของพ่อแล้ว ได้โปรดอย่าทำร้ายเธอเลย แค่พาเธอกลับมาหาพ่อและคืนเธอมาให้พ่อก็พอ”

หลังจากคุณพ่อพูดจบ เจ้าบ่าวก็ให้คำมั่นว่า สิ่งที่คุณพ่อกลัวจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน จากนั้นคุณพ่อก็ส่งตัวลูกสาวไปให้เจ้าบ่าวและสวมกวดกับทั้งคู่

ต่อมา ไคลี่ ได้เปิดเผยว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นพ่อร้องไห้ เธอไม่รู้มาก่อนว่าคุณพ่อจะเตรียมคำพูดมา และที่สำคัญเธอไม่เคยได้ยินคุณพ่อพูดคำกล่าวที่ยาวเช่นนี้มาก่อน

“สามีของฉันน้ำตาไหล เขาร้องไห้หนักมาก พวกเรายังคงน้ำตาไหลเมื่อดูวิดีโอซ้ำ ๆ และฉันคิดว่าเราก็ยังคงเสียน้ำตาในงานแต่งของคนอื่น เพราะมันทำให้เรานึกถึงช่วงเวลานี้”

‘รัฐบาลสิงคโปร์’ รับ!! ให้เงินหนุนจัดคอนเสิร์ต ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ แต่ปัดบอกยอดเงิน-ข้อตกลงพิเศษ เหตุเป็นความลับทางธุรกิจ

(21 ก.พ. 67) รัฐบาลสิงคโปร์ออกมายอมรับว่า ได้ให้เงินสนับสนุนเพื่อให้ใช้สิงคโปร์เป็นสถานที่ในการจัดคอนเสิร์ต The Eras Tour ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่กลายเป็นเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นักร้องชื่อดังเปิดแสดง ขณะกำลังเดินสายแสดงคอนเสิร์ตทั่วโลก

ซึ่งด้าน กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวสิงคโปร์ออกแถลงการณ์ร่วม ระบุว่า ทางการได้ทำงานร่วมกับผู้จัดคอนเสิร์ตโดยตรง แต่ปฏิเสธที่จะเปิดเผยถึงยอดเงินสนับสนุน และไม่ได้บอกว่าได้บรรลุข้อตกลงพิเศษหรือไม่ โดยระบุว่าเป็นความลับทางธุรกิจ

โดยการแถลงร่วมดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ออกมากล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า สิงคโปร์ได้ทำข้อตกลงมูลค่าสูงถึง 500 ล้านบาท ให้สวิฟต์แสดงคอนเสิร์ต The Eras Tour ที่สิงคโปร์เพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อที่จะได้มีรายได้จากนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่จะหลั่งไหลเข้ามา

แถลงการณ์ดังกล่าวอ้างไม่ได้พูดถึงคำกล่าวของผู้นำไทยโดยตรง แต่ระบุว่า การเดินทางมาจัดคอนเสิร์ตของสวิฟต์มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจสิงคโปร์

ผู้คร่ำหวอดในธุรกิจบันเทิงรายหนึ่งซึ่งไม่ต้องการเปิดเผยชื่อระบุว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการร้องขอข้อตกลงพิเศษ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องปกติเช่นกันที่ศิลปินจะทำตามคำขอ พร้อมกับรับว่าผู้จัดรายใหญ่ย่อมมีอิทธิพลครอบงำค่อนข้างมาก นับตั้งแต่มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 สิงคโปร์ดึงดูดศิลปินต่างชาติมากมายให้มาแสดงคอนเสิร์ตในประเทศ รวมถึง Blackpink, Harry Styles, Ed Sheeran และ Coldplay

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศิลปินทั้งหมดนี้ก็เดินทางมาเล่นคอนเสิร์ตในไทยด้วยเช่นกัน ยกเว้นเพียงสวิฟต์เท่านั้น

ขณะที่สวิฟต์จะเล่นคอนเสิร์ตที่สนามกีฬาแห่งชาติของสิงคโปร์ทั้งหมด 6 รอบในต้นเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งบัตรขายเกลี้ยงทั้งหมดแล้ว คาดว่าจะมีแฟนเพลงมาร่วมชมคอนเสิร์ตดังกล่าวมากกว่า 300,000 คน

หลังจากสิงคโปร์ สวิฟต์มีกำหนดจะเดินทางไปทัวร์คอนเสิร์ตต่อในยุโรป ซึ่งคาดว่าเธอจะสามารถสร้างรายได้ประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 72,000 ล้านบาท

‘มาเลเซีย’ หวังคว้าประโยชน์จาก ‘เทคโนโลยีจีน’ ภาคส่วนการบิน เชื่อ!! จะนำโอกาสมาให้ พร้อมก้าวสู่บทบาทห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

เมื่อวานนี้ (19 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เหลียวชินตง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซีย กล่าวว่ามาเลเซียต้องการคว้าประโยชน์จากเทคโนโลยีของจีนในภาคส่วนการบิน เพื่อมีบทบาทมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกในภาคส่วนดังกล่าว

ทั้งนี้ เหลียวชินตง ได้ขึ้นกล่าวที่การประชุมการบินมาเลเซีย-จีน ปี 2024 (Malaysia-China Aviation Forum 2024) ระบุว่า อุตสาหกรรมการบินและอวกาศที่เติบโตอย่างรวดเร็วของจีนจะนำมาซึ่งโอกาสและพลวัตใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่มาเลเซียหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์ด้วย

ซึ่ง เหลียวชินตง กล่าวเสริมว่ามาเลเซียมีสถานะที่น่าเชื่อถืออยู่แล้วในด้านวัสดุการบิน รวมถึงการผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบของเครื่องบิน แต่เราต้องการเดินหน้าทำงานมากกว่านี้และมีส่วนสำคัญมากขึ้นในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

การประชุมฯ เน้นย้ำถึงความร่วมมือที่ผสานรวมความเชี่ยวชาญของจีน และความปรารถนาของมาเลเซียในการเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมการบินและอวกาศระดับโลก

ทั้งนี้ แบบพิมพ์เขียวอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของมาเลเซีย ปี 2030 ระบุว่ามาเลเซียตั้งเป้าเป็นประเทศด้านการบินและอวกาศแห่งหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นส่วนสำคัญของตลาดโลกภายในปี 2030 โดยคาดการณ์ทำรายได้ต่อปี 5.52 หมื่นล้านริงกิต (ราว 4.16 แสนล้านบาท) และสร้างตำแหน่งงานที่มีรายได้สูงกว่า 32,000 อัตรา

'นักวิจัยญี่ปุ่น' เผย!! 'ตาข่ายสีแดง' ปกป้องพืชผลจากแมลงได้ดีที่สุด บังตาพืชผล ลดใช้สารเคมี เพิ่มโอกาสพืชรับ 'แสง-น้ำ-อากาศถ่ายเท'

(20 ก.พ. 67) จาก TNN Tech เผยข้อมูลจากนักวิจัยประเทศญี่ปุ่นที่ค้นพบว่า 'ตาข่ายสีแดง' สามารถปกป้องพืชผลจากแมลงได้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ซึ่งแตกต่างจากตาข่ายที่ใช้กับแปลงปลูกผักแบบกางมุ้งในปัจจุบันที่มักเป็นสีดำ สีขาว สีเขียวหรือสีน้ำเงิน

แม้ว่าการปลูกพืชในมุ้งจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้ผักปลอดจากสารเคมีกำจัดแมลงมากที่สุด แต่ยังคงมีแมลงบางชนิดที่สามารถหลุดรอดผ่านมุ้งเข้าไปทำลายแปลงผักของเกษตรกรได้ โดยเฉพาะ 'เพลี้ยไฟหัวหอม' ซึ่งนอกจากกินต้นพืช มันยังมีเชื้อไวรัสที่เป็นอันตรายทิ้งเอาไว้ด้วย

งานวิจัยตาข่ายสีแดงปกป้องพืชชิ้นนี้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญหลังมีการตรวจพบว่าเพลี้ยไฟหัวหอม มักอยู่ห่างจากพืชที่ถูกฉายรังสีด้วยแสงสีแดง ทำให้ศาสตราจารย์ มาซามิ ชิโมดะ และทีมงานนักวิจัยมหาวิทยาลัยโตเกียว ตั้งสมมติฐานว่าหากใช้ตาข่ายสีแดงอาจสามารถกันแมลงได้ 

ทีมงานได้ใช้ตาข่ายสีแดงผสมกับสีอื่นๆ สามสี ประกอบด้วย แดง-ขาว แดง-ดำ และแดง-แดง โดยตาข่ายแต่ละสีมีขนาดรูแตกต่างกัน เช่น 2, 1 และ 0.8 มม. เพื่อให้ได้คำตอบของงานวิจัยที่แม่นยำทั้งในด้านของการใช้สีและขนาดของรูตาข่าย

ตาข่ายทั้ง 3 แบบ ถูกนำมาคลุมแปลงต้นหอมคูโจ หรือหัวหอมเวลส์ และเริ่มทำการทดลองปล่อยให้ต้นหอมเจริญเติบโต ผลการทดลองพบว่าแม้ตาข่ายสี 'แดง-แดง' จะมีรูตาข่ายขนาดใหญ่แมลงลอดผ่านได้ง่ายมากกว่าตาข่ายสีอื่น แต่ผักกลับมีร่องรอยการโจมตีของแมลงที่น้อย แสดงว่าให้เห็นว่าแมลงอาจมองไม่เห็นตาข่ายสีแดง

นักวิจัยได้ทำการค้นคว้าเพิ่มเติมและพบคำตอบว่า แมลงส่วนใหญ่รวมถึงเพลี้ยไฟหัวหอม ไม่มีเซลล์รับแสงสีแดงในดวงตาไม่สามารถมองเห็นสีแดงได้เช่นเดียวกับดวงตาของมนุษย์ ทำให้พวกแมลงไม่สามารถมองเห็นตาข่ายสีแดง รวมไปถึงผักที่โดนตาข่ายสีแดงปกป้องเอาไว้ 

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังคงทำการทดลองต่อไป เพื่อให้เข้าใจคุณสมบัติของตาข่ายสีแดงที่มีผลต่อแมลงและพฤติกรรมของเพลี้ยไฟหัวหอมอย่างแท้จริง รวมไปถึงศึกษาพฤติกรรมของแมลงสายพันธุ์อื่นๆ เนื่องจากตาข่ายสีแดงยังไม่สามารถป้องกันแมลงทุกสายพันธุ์ได้อย่างสมบูรณ์

ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าว นับว่าเป็นการค้นพบครั้งสำคัญและอาจปูทางไปสู่การลดใช้สารเคมีปราบแมลงในการทำเกษตร นอกจากนี้การใช้ตาข่ายสีแดงและรูตาข่ายที่ใหญ่ขึ้น ยังเพิ่มโอกาสให้พืชสามารถรับแสงแดด น้ำและการไหลเวียนของอากาศได้ดีมากขึ้นยิ่งขึ้น

‘หญิงสิงคโปร์’ ตัดสินใจจัด ‘งานศพคนเป็น’ ให้ตัวเอง หวังบอกลาคนที่รักครั้งสุดท้าย ก่อนจากไปด้วยโรคมะเร็ง

(20 ก.พ. 67) กลายเป็นไวรัลสุดเศร้าในโลกออนไลน์ หลังสำนักข่าวต่างประเทศ รายงานถึงภาพวาระสุดท้ายในชีวิตของ ‘มิเชลล์ อึ้ง’ (Michelle Ng) หญิงสาวชาวสิงคโปร์ วัย 29 ปี ตัดสินใจจัดงานศพให้ตัวเองในบรรยากาศสุดอบอุ่น เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนที่รัก

โดยเชิญเพื่อนกับญาติ 30 คน มาร่วมงานเลี้ยง เพื่อเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะจากไปเพราะโรคมะเร็งในอีก 1 สัปดาห์หลังจากนั้น

ตามรายงานระบุจากข้อมูลของ ‘HCA Hospice Care’ ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่จะให้ความช่วยเหลือ ดูแลแบบประคับประคองแก่ผู้ป่วย งานศพนี้มีการจัดเลี้ยงอาหาร และนักร้องมาร้องเพลง ไม่ต่างไปจากงานวันเกิด

ในคำเชิญที่มิเชลล์ส่งให้แขกที่มาร่วมงาน เธอยังสนับสนุนให้ทุกคนเขียนจดหมายฉบับสุดท้ายให้เธอ รวมถึงมีการนำหนังสือมาแลกเปลี่ยนกับญาติ และเพื่อนคนอื่น ๆ

มิเชลล์กล่าวในงานว่า “ฉันอยากจะแบ่งปันความรัก อาหาร ดนตรี และหนังสือกับเพื่อน ๆ” และบอกอีกว่า “ฉันอยากจะเรียกงานนี้ว่างานศพที่มีชีวิต… ฉันคิดว่าความตายอยู่ใกล้ใจเรามากและไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ขอบคุณที่ทำให้ฉันมีความสุขมากในวันนี้ ขอบคุณมากที่มา ฉันรู้สึกขอบคุณทุกเสียงหัวเราะที่ได้ยินและทุกรอยยิ้มที่ฉันเห็น”

อย่างไรก็ดี เดิมที มิเชลล์ เป็นนักวิ่งและนักปั่นตัวยง แถมยังมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ขณะที่ชีวิตกำลังไปได้สวยทุกอย่างก็ต้องหยุดลง เมื่อเธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งรังไข่ ขณะมีอายุเพียง 27 ปี

กระทั่งในช่วงสิ้นปี 2565 มะเร็งได้ลุกลามไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย อีกทั้งการรักษา ก็ไม่ทำให้อาการของเธอดีขึ้น

จากนั้นเธอจึงตัดสินใจอยู่บ้าน และใช้เวลาอยู่กับญาติ ๆ ให้มากขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือ ก่อนรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาอยู่อีกไม่นาน จึงตัดสินใจจัด ‘งานศพคนเป็น’ ให้ตัวเองขึ้น เพราะอยากใช้วันสุดท้ายของชีวิตที่บ้านของเธอ ท่ามกลางคนที่เธอรักและรักเธอ

โดยงานศพในครั้งนี้ ถูกจัดขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคม 2566 หลังจากนั้น ผ่านไปได้ 10 วัน มิเชลล์ก็เสียชีวิตลงอย่างสงบ ในวันที่ 2 ม.ค.67 ที่ผ่านมา

คุณยายวัย 79 ปี สานฝันวัยเด็กได้สำเร็จ เดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกครบ 193 ประเทศ

เมื่อไม่นานมานี้ ลุยซา ยู (Luisa Yu) ให้สัมภาษณ์กับรายการ Good Morning America ว่า “นี่คือฝันที่เป็นจริง” ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กสาวในฟิลิปปินส์ “เมื่อฉันดูหนัง เห็นฉากที่สวยงามทั้งทิวทัศน์ ธรรมชาติ แม่น้ำ ภูเขา นั่นทำให้ฉันหลงใหลและเป็นเหตุผลที่คิดเสมอว่าสักวันหนึ่งจะไปท่องเที่ยวในสถานที่เหล่านี้”

คุณยายบอกว่า เดินทางไปสหรัฐอเมริกาในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยนเมื่ออายุ 23 ปี และเริ่มท่องเที่ยวตอนนั้น เพราะสถานะของนักเรียนแลกเปลี่ยนยังไม่สามารถออกนอกประเทศได้ จึงตัดสินใจนั่งรถบัสเกรฮาวด์ไปทัวร์อเมริกา”

ตอนแรก ยู เรียนจบทำงานในสาขาเทคโนโลยีการแพทย์ ซึ่งไม่สะดวกกับการเดินทาง จนเปลี่ยนมาเป็นอาชีพที่สองในฐานะเอเยนต์ท่องเที่ยว เพื่อที่จะได้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการหาเวลาเดินทาง

ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ยู เดินทางไปทุกที่ที่ทำได้ ตั้งแต่ยุโรปไปจนเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย และต่อไปยังประเทศในแอฟริกา และประเทศในตะวันออกกลาง

จนกระทั่งเธอตัดสินใจว่าต้องการไปเยือนให้ครบ 193 ประเทศ (เฉพาะที่ได้รับการรับรองเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ)

“แม้บางแห่งถูกมองว่าอันตราย แต่ฉันพูดเสมอว่าฉันทำได้ ฉันอยากเห็นสถานที่เหล่านี้ ด้วยสายตาของตัวเอง เพราะมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมากมายที่นั่น"

จนกระทั่งในวันที่ 9 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2023 ประเทศเซอร์เบีย ก็เป็นหมุดหมายที่ 193 ของคุณยายวัย 79 ปี

สำหรับใครก็ตามที่ใฝ่ฝันที่จะได้ท่องเที่ยว ยู สนับสนุนให้พวกเขาลองทำ “ฉันมักจะบอกพวกเขาเสมอว่า อย่ากลัวเลย ออกไปท่องเที่ยวเถอะ อย่ารอใคร เพราะถ้าโอกาสมาถึง มันอาจจะไม่เกิดขึ้นอีก แค่เป็นตัวของตัวเอง และถ้ามีความตั้งใจก็ย่อมมีหนทาง ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ คุณแค่ต้องออกไปที่นั่น”

สิ้น ‘ฮิโรทาเกะ ยาโนะ’ ผู้ก่อตั้ง ‘Daiso’ ต้นแบบร้านขายสินค้าราคา 100 เยน

เมื่อวานนี้ (19 ก.พ.67) บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า บริษัท ไดโซะ อินดัสทรีส์ (Daiso Industries Co.) ผู้ค้าปลีกสินค้าราคาย่อมเยาในญี่ปุ่น ออกแถลงการณ์ว่า ฮิโรทาเกะ ยาโนะ (Hirotake Yano) มหาเศรษฐีหมื่นล้าน ผู้ก่อตั้งร้าน ‘ไดโซะ’ (Daiso) ต้นแบบร้านขายสินค้าราคา 100 เยน เสียชีวิตแล้วในวัย 80 ปี เมื่อวันที่ 12 ก.พ.67 ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว 

แถลงการณ์ของบริษัทระบุว่า สมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิดได้จัดงานศพของเขาเป็นการส่วนตัว และบริษัทจะจัดพิธีรำลึกถึงเขาในการประชุมของบริษัทในอนาคตอันใกล้นี้ 

ทั้งนี้ ยาโนะ เป็นที่รู้จักในฐานะผู้บุกเบิกรูปแบบธุรกิจร้านขายสินค้าที่ขายทุกอย่างในราคา 100 เยน ซึ่งในช่วงเวลาที่เขาเสียชีวิต เขามีความมั่งคั่งสุทธิประมาณ 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 68,530 ล้านบาท) อิงตามรายงานของ Bloomberg Billionaires Index 

หลังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชูโอในกรุงโตเกียวในปี 1967 ฮิโรทาเกะ ยาโนะ ได้ทำงานหลายอย่าง รวมถึงทำงานในกิจการประมงของพ่อตาจนกระทั่งกิจการล้มละลาย ก่อนที่เขาจะเริ่มขับรถบรรทุกเร่ขายสินค้าในปี 1972 ซึ่งนั่นทำให้เขามีความคิดที่จะขายสินค้าทุกชิ้นในราคา 100 เยน เพื่อประหยัดเวลาจากการที่ไม่ต้องติดป้ายราคา 

ด้วยไอเดียนั้น เขาจึงก่อตั้งร้าน ไดโซะ (Daiso) ขึ้นในปี 1977 แต่กว่าจะมีกำไรก็ต้องใช้เวลาหลายปี ด้วยยอดขาย 3.6 พันล้านเยน Daiso Industries ประสบความสำเร็จจากผลกำไรจากการดำเนินงานเป็นครั้งแรก

บริษัทของเขาประสบความสำเร็จเนื่องจากเป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นมาตอบโจทย์ในยุคที่ค่าแรงในญี่ปุ่นซบเซาและเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นมองหาสินค้าที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปมากขึ้น โมเดลธุรกิจการขายสินค้าทุกชิ้นในราคา 100 เยนจึงเป็นที่นิยมขึ้นในญี่ปุ่น และหลังจากนั้นก็ได้รับความนิยมในประเทศอื่น ๆ ด้วย

หุ้นบริษัทไดโซะซึ่งเป็นหุ้นแบบ Closely Held (ถือหุ้นโดยกลุ่มคนเฉพาะ) มีรายได้ 589,100 ล้านเยน (ประมาณ 141,530 ล้านบาท) งวด 11 เดือนของปีงบการเงิน 2022 (ถึงกุมภาพันธ์ 2023) ข้อมูลในเว็บไซต์บริษัทระบุว่า ไดโซะมีร้านค้าในประเทศญี่ปุ่น 4,360 สาขา และในต่างประเทศ 990 สาขา ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2023


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top