Saturday, 15 March 2025
WORLD

ฟ้องหนักบริษัทยา Merck วัคซีนมะเร็ง HPV ทำวัยรุ่นพิการถาวร แฉซ้ำบริษัทปกปิดผลข้างเคียง

(30 ม.ค.68) Merck & Co., Inc. บริษัทผู้ผลิตยาอันดับ 2 ของสหรัฐฯ กำลังเผชิญคดีฟ้องร้องจากการทำตลาดวัคซีน Gardasil ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันมะเร็ง HPV หลังจากที่มีรายงานว่าพบผลข้างเคียงรุนแรงในกลุ่มวัยรุ่นที่รับวัคซีน โดยพบรายงานมีอาการ ไมเกรนรุนแรง ปัญหาด้านความจำ อัมพาตชั่วคราว โรคหัวใจ ระบบย่อยอาหารอ่อนแรง และอาการบาดเจ็บอื่นๆ ในขณะที่วัคซีนดังกล่าวสามารถสร้างรายได้ให้กับ  Merck ถึง 8,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ก็ตาม

ด้านนายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ (RFK Jr.) ผู้มีแนวโน้มจะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีสาธารณสุข ในรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาแสดงความกังวลและประกาศว่าจะดำเนินการอย่างเข้มงวดกับบริษัทยาที่เขาระบุว่าเป็น 'องค์กรอาชญากรรม' โดยเฉพาะกรณีของ Merck ที่มีประวัติการจ่ายค่าเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์จากคดียา Vioxx ในอดีต และยังถูกกล่าวหาว่าทดลองยาในยูเครนโดยไม่ได้รับความยินยอม

สำหรับวัคซีน Gardasil ได้รับการส่งเสริมและจำหน่ายอย่างแพร่หลายในสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย สำหรับกลุ่มอายุ 9-45 ปี เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก มะเร็งศีรษะและลำคอ รวมถึงมะเร็งอื่นๆ ที่เกิดจากเชื้อ HPV นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ในประเทศกำลังพัฒนาผ่านการสนับสนุนของ Gavi พันธมิตรด้านวัคซีน อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์รวมถึง RFK Jr. ชี้ว่า Gardasil อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางชนิด และก่อให้เกิดผลข้างเคียงร้ายแรงที่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว 

ล่าสุด ทนายความของหญิงชาวลอสแองเจลิสได้ยื่นฟ้อง Merck ฐานให้ข้อมูลเท็จและปกปิดผลข้างเคียงของวัคซีน โดยกล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง ขณะที่ทนายความของ Merck ยืนยันว่าจะต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ และปฏิเสธว่าอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นนั้นเกี่ยวข้องกับวัคซีน ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตยาสามารถ

ทั้งนี้ Merck เคยมีประวัติจ่ายค่าเสียหายมหาศาลในคดียา Vioxx เมื่อปี 2007 ซึ่งต้องจ่ายเงินชดเชยกว่า 4,850 ล้านดอลลาร์ หลังพบว่ายาดังกล่าวทำให้เกิดอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีข้อกล่าวหาว่าบริษัทได้ทำการทดลองยาในยูเครนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เข้าร่วม ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกเปิดเผยจากเอกสารที่กองทัพรัสเซียยึดได้

ฮามาสจ่อปล่อยตัวคนไทย 5 ชีวิตหลุดฉนวนกาซา พร้อมชาวอิสราเอล หลังถูกจับกว่า 3 เดือน

(30 ม.ค. 68) เจ้าหน้าที่อิสราเอลเผยว่า กลุ่มฮามาสมีแผนจะปล่อยตัวประกันชาวไทย 5 คน และชาวอิสราเอลอีก 3 คน จากฉนวนกาซาในวันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคมนี้ โดยชาวอิสราเอลที่ได้รับการปล่อยตัว ได้แก่ อาร์เบล เยฮุด (Arbel Yehud) หญิงวัย 29 ปี, อากัม เบอร์เกอร์ (Agam Berger) นักสังเกตการณ์ทางทหารอายุ 20 ปี และ กาดี โมเสส (Gadi Moses) ชายวัย 80 ปี

การปล่อยตัวประกันครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนตัวประกันระลอกที่ 3 ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮามาส ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา โดยการแลกเปลี่ยนนี้จะมีการปล่อยตัวนักโทษปาเลสไตน์ 110 คนจากเรือนจำของอิสราเอล

สำหรับตัวประกันชาวไทยที่กำลังจะได้รับการปล่อยตัวในครั้งนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยรายชื่ออย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าเป็นแรงงานภาคเกษตรที่ถูกลักพาตัวไปจากคิบบุตซ์ในอิสราเอล ก่อนหน้านี้ทางการไทยได้เปิดเผยรายชื่อพลเมืองไทย 6 คนที่ยังคงถูกกักตัวในฉนวนกาซา ได้แก่ วัชระ ศรีอ้วน, บรรณวัชร แซ่ท้าว, เสถียร สุวรรณคำ, ณัฐพงษ์ ปินตา, พงษ์ศักดิ์ แทนนา และ สุรศักดิ์ ลำเนา นอกจากนี้ยังมีตัวประกันชาวไทยอีก 2 คนที่เสียชีวิตแล้ว ได้แก่ สนธยา อัครศรี และ สุทธิศักดิ์ รินทลักษ์ ซึ่งคาดว่าเสียชีวิตตั้งแต่ช่วงต้นของเหตุการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2023

ด้านอิสราเอลคาดการณ์ว่าจะมีการปล่อยตัวประกันครั้งที่ 4 ในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ โดยจะเป็นการปล่อยตัวประกันชาย 3 คน

ทั้งนี้ การปล่อยตัวประกันเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงหยุดยิงที่เกิดขึ้นหลังจากการโจมตีข้ามพรมแดนของฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,200 คน และมีตัวประกัน 251 คนถูกพาตัวไปยังฉนวนกาซา นับตั้งแต่เหตุการณ์ดังกล่าว มีผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซาแล้วกว่า 47,310 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน

ก่อนหน้านี้ ภายใต้ข้อตกลงหยุดยิงระลอกแรก ตัวประกันชาวอิสราเอล 3 คน ได้แก่ โรมี โกเนน, โดรอน สไตน์เบรเชอร์ และ เอมิลี ดามารี ได้รับการปล่อยตัวและกลับไปพบกับครอบครัวแล้ว อิสราเอลระบุว่าก่อนบรรลุข้อตกลงหยุดยิง มีตัวประกัน 94 คนที่ยังสูญหาย และเชื่อว่ามีเพียง 60 คนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่

ทรัมป์สั่งขยายคุกกวนตานาโม เตรียมขังผู้อพยพก่อคดี 30,000 คน

(30 ม.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันพุธ (29 ม.ค.) ว่า จะสั่งให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ จัดเตรียมศูนย์กักกันผู้อพยพที่อ่าวกวนตานาโม เพื่อรองรับผู้ถูกควบคุมตัวสูงสุด 30,000 คน  

ฐานทัพเรือสหรัฐฯ ในอ่าวกวนตานาโม ประเทศคิวบา มีสถานที่สำหรับกักตัวผู้อพยพอยู่แล้ว แยกจากเรือนจำที่ใช้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายจากต่างประเทศ โดยสถานที่ดังกล่าวเคยถูกใช้เป็นศูนย์กักกันชั่วคราวมาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะชาวเฮติและคิวบาที่ถูกสกัดจับระหว่างพยายามเดินทางเข้าสหรัฐฯ ทางทะเล  

ทอม โฮแมน หัวหน้าทีมดูแลชายแดน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากทรัมป์ ระบุว่า รัฐบาลมีแผนขยายศูนย์กักกันที่มีอยู่แล้ว และมอบหมายให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรเป็นผู้ดูแล  

“วันนี้ผมจะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ เริ่มขยายสถานที่กักกันผู้อพยพที่อ่าวกวนตานาโมให้สามารถรองรับได้ถึง 30,000 คน” ทรัมป์กล่าวที่ทำเนียบขาว  

เขายังระบุว่า ศูนย์กักกันดังกล่าวจะใช้ควบคุม “บุคคลต่างด้าวผิดกฎหมายที่เป็นอาชญากรอันตราย ซึ่งคุกคามความปลอดภัยของประชาชนอเมริกัน” พร้อมเสริมว่า บางรายเป็นบุคคลที่อันตรายถึงขนาดที่สหรัฐฯ ไม่สามารถส่งตัวกลับประเทศต้นทางได้ เนื่องจากเกรงว่าจะหลบหนีและก่ออาชญากรรมอีก

หลังจากนั้นไม่นาน ทรัมป์ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงที่ไม่ได้ระบุตัวเลขจำนวนผู้อพยพที่แน่ชัด แต่เรียกร้องให้มี “พื้นที่กักกันเพิ่มเติม” ในศูนย์ที่ขยายใหม่  

เมื่อให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในวันพุธ โฮแมนกล่าวว่า ศูนย์กักกันนี้จะใช้กับผู้ที่ “เลวยิ่งกว่าเลว”  

ด้านคริสตี โนเอม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กล่าวกับสื่อว่า รัฐบาลกำลังหารือเรื่องงบประมาณกับคณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณในสภาคองเกรส เพื่อพิจารณาเงินทุนสำหรับโครงการนี้  

จีนทิ้งขาดสหรัฐฯ นำลิ่ว 57 เทคโนโลยีใหญ่ ยกเครดิตสีจิ้นผิงชู 'Made in China 2025' ทุ่มวิจัยไม่ยั้ง

(29 ม.ค.68) การเปิดตัวโมเดล AI ของ DeepSeek บริษัทสัญชาติจีนที่กำลังมาแรงและได้รับการพูดถึงในขณะนี้ ด้วยประสิทธิภาพที่ระบุว่ามีต้นทุนต่ำกว่า ทำงานได้เร็วกว่า แถมเป็นการพัฒนาแบบระบบโอเพ่นซอร์ส ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนวงการ AI ไปทั่วโลก จนส่งผลให้มูลค่าตลาดหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐ หายไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์เพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายถึงกับเรียกเหตุการณ์นี้ว่า 'Sputnik moment' อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าของจีนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ AI เท่านั้น  

รายงานวิจัยจากสถาบันนโยบายยุทธศาสตร์แห่งออสเตรเลีย (ASPI)ประจำปี 2024 ซึ่งศึกษาข้อมูลย้อนหลังถึง 20 ปี พบว่า จีนครองความเป็นผู้นำใน 57 จาก 64 เทคโนโลยีสำคัญ เพิ่มขึ้นจากเพียง 3 เทคโนโลยีเมื่อปี 2007 ในขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเคยนำหน้าใน 60 สาขาเมื่อปี 2007 ปัจจุบันเหลือเพียง 7 สาขาเท่านั้น  

จากการวิจัยของ ASPI ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยและสิทธิบัตรที่มีนวัตกรรมสูง ซึ่งตีพิมพ์โดยมหาวิทยาลัย ห้องปฏิบัติการ หน่วยงานของรัฐ และบริษัทต่างๆ ทั่วโลกพบว่า สาขาเทคโนโลยีที่จีนเป็นผู้นำโลกในเวลานี้ อาทิ การออกแบบและผลิตวงจรรวมขั้นสูง, กระบวนการตัดเฉือนความแม่นยำสูง , เครื่องยนต์อากาศยานขั้นสูง, โดรน หุ่นยนต์ฝูง และหุ่นยนต์ทำงานร่วมกัน, แบตเตอรี่ไฟฟ้า, เทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ , การสื่อสารความถี่วิทยุขั้นสูง  

ในขณะที่สาขาเทคโนโลยีที่สหรัฐเป็นผู้นำในขณะนี้ เช่น การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP), ควอนตัมคอมพิวติ้ง และวิศวกรรมพันธุกรรม  

ASPI ตั้งข้อสังเกตว่าแผนการ 'Made in China 2025' ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ที่อัดฉีดเงินทุนโดยตรงจำนวนมหาศาลเพื่อการวิจัยและพัฒนาในเทคโนโลยีสำคัญ พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ "การครอบครองความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี" เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เทคโนโลยีจีนหลายด้านก้าวหน้า 

นอกจากการลงทุนในงานวิจัยแล้ว รัฐบาลจีนยังส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม ปรับปรุงห่วงโซ่อุปทาน และยกระดับภาคการผลิตเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับเทคโนโลยีภายในประเทศด้วย

ถนนคนเดิน 'หนานจิงลู่' จุดเช็กอินฮอตนนท.ไทย ยอดจองพุ่ง 372% หลังฟรีวีซ่า ย้ำเทรนด์ไชน่าทราเวลมาแรง

(29 ม.ค. 68) ถนนคนเดิน “หนานจิงลู่” ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับร้อยปีในเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน ถือเป็น “จุดหมายแรก” ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนไม่น้อยต้องแวะมาเช็กอินบนโลกออนไลน์ เยี่ยมชมบรรยากาศ รวมถึงอิ่มอร่อยกับอาหารและเครื่องดื่มสารพัดเมนู

บรรดาร้านอาหารและเครื่องดื่มในย่านถนนคนเดินสายนี้ เช่น ร้านชาเฮย์ที (Heytea) สาขาห้างสรรพสินค้าซินชื่อเจี้ยเฉิง หรือร้านปิ้งย่างเหิ่นจิ่วอี่เฉียน สาขาห้างสรรพสินค้าตี้อีไป่ฮั่ว ได้รับรองนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวเกาหลีใต้และชาวไทยที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ปฤณัต อภิรัตน์ กงสุลใหญ่ไทยประจำนครเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่าชาวไทยชอบเที่ยวจีนมาตลอด จึงไม่แปลกที่ไชน่า ทราเวล (China Travel) หรือ “ท่องเที่ยวจีน” จะเป็นกระแส โดยนโยบายฟรีซ่าซึ่งกันและกันระหว่างไทยกับจีนเกื้อหนุนชาวไทยเดินทางเยือนจีนสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยส่งเสริมมิตรภาพและเพิ่มความเข้าใจของประชาชนสองประเทศ

เกศรินทร์ อริยพงศ์ รองเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน กล่าวว่าการที่ชาวไทยนิยมเที่ยวจีนช่วยเสริมสร้างสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม ความเข้าใจซึ่งกันและกัน และโอกาสทางธุรกิจมหาศาล ขณะปัจจุบันกระแสเพลงซี-ป๊อป (C-pop) เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นชาวไทยเพิ่มขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเข้าใจซึ่งกันและกันและจำนวนชาวไทยที่เดินทางเที่ยวจีนด้วย

ข้อมูลจากซีทริป (Ctrip) ระบุว่ายอดจองการเดินทางเข้าจีนของนักท่องเที่ยวชาวไทย ช่วงเริ่มต้นนโยบายฟรีวีซ่าจนถึงวันที่ 11 ม.ค. 2025 เพิ่มขึ้นร้อยละ 372 เมื่อเทียบกับช่วงเดือนมีนาคม 2023-มกราคม 2024 โดยนักท่องเที่ยวช่วงอายุ 26-35 ปี ครองสัดส่วนมากที่สุดถึงร้อยละ 36 ตามด้วยช่วงอายุ 36-45 ปี ที่ร้อยละ 34

ขณะเดียวกันยอดจองการเดินทางเข้าจีนของนักท่องเที่ยวชาวไทย ช่วงเทศกาลตรุษจีนหรือปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติจีน ปี 2025 เพิ่มขึ้นร้อยละ 128 เมื่อเทียบกับช่วงเทศกาลตรุษจีน ปี 2024 โดนมหานครเซี่ยงไฮ้เป็นจุดหมายที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย

ห้วงยามกระแสไชน่า ทราเวล กำลังร้อนแรงเช่นนี้ สินค้าต้อนรับเทศกาลตรุษจีนที่มีกลิ่นอายความเป็นไทยผสมผสานอยู่ด้วยนั้นได้รับความนิยมเช่นกัน โดยปฤณัตกล่าวว่าสินค้าไทยตั้งแต่ของกินจนถึงของใช้มีโอกาสเข้าสู่บ้านเรือนชาวจีนเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน

ปฤณัตกล่าวว่าจีนและไทยมีสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจใกล้ชิดผูกพันกัน และธุรกิจอีคอมเมิร์ซกำลังมีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นในการส่งเสริมความร่วมมือทางการค้า โดยเฉพาะ “อีคอมเมิร์ซเส้นทางสายไหม” เป็นสะพานเชื่อมผู้ประกอบการชาวไทยเข้าสู่ตลาดจีนอันกว้างใหญ่และเปี่ยมด้วยพลังความมีชีวิตชีวา

งานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน (CIIE) กลายเป็นเวทีสำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งไทยเข้าร่วมงานนี้ทุกปีตั้งแต่เริ่มต้นจัดขึ้นในปี 2018 โดยหน่วยงานเศรษฐกิจและการค้าของไทยนำพากลุ่มเอสเอ็มอี (SME) ที่มีศักยภาพสูงร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์

ปฤณัตกล่าวว่าปี 2025 ตรงกับวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน จึงหวังใช้โอกาสนี้ผลักดันความร่วมมือด้านการค้า ความคิดสร้างสรรค์ การศึกษา อาหาร แฟชั่น ภาพยนตร์ และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เกศรินทร์ทิ้งท้ายว่าอีคอมเมิร์ซเส้นทางสายไหมมอบโอกาสเติบโตในตลาดจีนแก่ผู้ประกอบการชาวไทย ช่วยให้เอสเอ็มอีไทยได้เรียนรู้และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคชาวจีนดียิ่งขึ้น นำสู่การปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานที่จะประหยัดต้นทุนของผู้ประกอบการชาวไทย พร้อมกับส่งเสริมการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตรงใจผู้บริโภคชาวจีนยิ่งขึ้น

'อาลีบาบา' เปิดตัว 'Qwen 2.5' ท้าชน DeepSeek อ้างเหนือกว่าทุกด้าน

(29 ม.ค.68) ดูเหมือนศึกโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะยิ่งเดือดดาลมากขึ้น เมื่อ อาลีบาบา (Alibaba) ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน เปิดตัว Qwen 2.5 โมเดล AI รุ่นใหม่ที่อ้างว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่า DeepSeek-V3 ซึ่งกำลังได้รับความสนใจอย่างมากในวงการ

การเปิดตัว Qwen 2.5-Max ในช่วงวันแรกของเทศกาลตรุษจีน ซึ่งเป็นเวลาที่ชาวจีนส่วนใหญ่ใช้เวลาพักผ่อนกับครอบครัว เป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงแรงกดดันจากการเติบโตของ DeepSeek สตาร์ตอัป AI สัญชาติจีนที่เพิ่งเปิดตัวโมเดลใหม่ในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบกับคู่แข่งต่างชาติ แต่ยังสะเทือนวงการเทคโนโลยีในประเทศจีนด้วย

หน่วยธุรกิจคลาวด์ของอาลีบาบาประกาศผ่าน WeChat อย่างเป็นทางการว่า "Qwen 2.5-Max มีประสิทธิภาพเหนือกว่า GPT-4o, DeepSeek-V3, และ Llama-3.1-405B ในแทบทุกด้าน" โดยเปรียบเทียบกับโมเดล AI แบบโอเพนซอร์สจาก OpenAI และ Meta

Qwen 2.5-Max มีขนาดโมเดลใหญ่ถึง 405 พันล้านพารามิเตอร์ ซึ่งช่วยให้ประมวลผลข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้าใจบริบทข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น โดยการเปิดตัวนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามราคา AI ที่จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ในราคาที่ถูกลง

การที่อาลีบาบาสามารถพัฒนา Qwen 2.5 ที่อ้างว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่า DeepSeek-V3 ในเวลาที่รวดเร็ว เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงศักยภาพในการวิจัยและพัฒนาของอาลีบาบา

Qwen 2.5 มีหลากหลายโมเดลให้เลือกใช้ เช่น Qwen 2.5-Max, Qwen 2.5-Chat, และ Qwen 2.5-Turbo ซึ่งแต่ละโมเดลมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม โดยสามารถเข้าถึงผ่าน API บนแพลตฟอร์มคลาวด์ของอาลีบาบา

อย่างไรก็ตามหากเทียบระหว่าง AI ของอาลีบาบา กับ DeepSeek มีส่วนที่ต่างกันคือ DeepSeeek เน้นการพัฒนา AGI และขายโมเดลในราคาถูก ขณะที่ อาลีบาบา ใช้กลยุทธ์นำ AI ไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจ และให้บริการผ่านแพลตฟอร์มคลาวด์ ทำให้การแข่งขันระหว่างทั้งสองไม่เพียงแค่เรื่องของประสิทธิภาพของโมเดล แต่ยังเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจและการเข้าถึงตลาดอีกด้วย

ก่อนหน้านี้ DeepSeek ได้สร้างความฮือฮาในซิลิคอนวัลเลย์ หลังเปิดตัวผู้ช่วย AI ใช้โมเดล DeepSeek-V3 เมื่อวันที่ 10 มกราคม และตามมาด้วย DeepSeek-R1 เมื่อวันที่ 20 มกราคม ส่งผลให้หุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐร่วงลงอย่างหนัก เนื่องจากต้นทุนการพัฒนาต่ำกว่าคู่แข่ง ทำให้นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าของการลงทุนใน AI ของบริษัทยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ

กระแสความสำเร็จของ DeepSeek ยังจุดชนวนให้เกิดการแข่งขันในวงการ AI ของจีนอย่างเร่งด่วน โดยเพียงสองวันหลังจากการเปิดตัว DeepSeek-R1 บริษัท ByteDance เจ้าของ TikTok ได้ปล่อยอัปเดตโมเดล AI ตัวใหม่ พร้อมเคลมว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่าโมเดล o1 ของ OpenAI ในการทดสอบ AIME ซึ่งเป็นเกณฑ์วัดความสามารถของ AI ในการประมวลผลคำสั่งที่ซับซ้อน

จีนหนุนพลศึกษาสู่วิชาหลัก เทียบชั้นคณิต-วิทย์ฯ พร้อมปรับเงินเดือนครูพละ หลังพบโรคอ้วนในเด็กสูง

(29 ม.ค.68) จีนมีแผนผลักดันให้วิชาพลศึกษาเป็นวิชาหลักส่วนสำคัญของหลักสูตรในโรงเรียน แทนที่จะเป็นเพียงวิชารองเท่านั้น เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับอัตราโรคอ้วนในเด็กที่เพิ่มสูงขึ้น

ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัว กระทรวงศึกษาธิการของจีนระบุว่าการศึกษาที่สมดุลต้องรวมทั้งวิชาการและสุขภาพร่างกาย โดยโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั่วประเทศจะต้องให้ความสำคัญกับครูพลศึกษาในระดับเดียวกับครูวิชาหลัก เช่น ภาษาจีน คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ นอกจากนี้ ยังต้องส่งเสริมกีฬาหลัก เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล และวอลเลย์บอล

"มาตรการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการศึกษาที่มุ่งเน้นการพัฒนาทั้งด้านวิชาการและสุขภาพร่างกาย เพื่อสร้างนักเรียนที่มีความพร้อมในอนาคต" กระทรวงศึกษาธิการระบุ

แนวทางดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่จีนประกาศแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติฉบับแรกเมื่อเดือนมกราคม โดยตั้งเป้าพัฒนา 'ชาติที่มีการศึกษาที่แข็งแกร่ง' ภายในปี 2035 หนึ่งในนโยบายสำคัญคือการกำหนดให้นักเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษามีกิจกรรมทางกายภาพอย่างน้อยวันละ 2 ชั่วโมง เพื่อลดอัตราสายตาสั้นและโรคอ้วน

ในปี 2022 มีการขาดแคลนครูพลศึกษาทั่วประเทศราว 120,000 คน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท รัฐบาลจึงมีมาตรการส่งเสริมการรับสมัครนักกีฬาที่เกษียณแล้วและอดีตทหารเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ นอกจากนี้ ครูพลศึกษาจะได้รับค่าตอบแทนในระดับเดียวกับครูวิชาอื่น และจะมีการปรับเงินเดือนตามผลงานสำหรับการทำหน้าที่พิเศษ เช่น การฝึกสอนกีฬาหลังเลิกเรียนและการเป็นโค้ชทีมกีฬา

อัตราโรคอ้วนในเยาวชนจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งเป็นผลจากการลดลงของกิจกรรมทางกายในช่วงมาตรการล็อกดาวน์โควิด-19 และการสั่งซื้ออาหารจานด่วนทางออนไลน์เพิ่มขึ้น แพทย์คาดว่าอัตราโรคอ้วนจะเพิ่มขึ้นอีกในช่วง 10-12 ปีข้างหน้า เนื่องจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคและการออกกำลังกาย

ในปี 2022 อัตราเด็กชายที่เป็นโรคอ้วนในจีนเพิ่มขึ้นเป็น 15.2% จาก 1.3% ในปี 1990 ขณะที่ในสหรัฐฯ อยู่ที่ 22% ญี่ปุ่น 6% สหราชอาณาจักรและแคนาดา 12% และอินเดีย 4% ส่วนในเด็กหญิงจีน อัตราโรคอ้วนเพิ่มขึ้นเป็น 7.7% จาก 0.6% ในช่วงเวลาเดียวกัน

คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีนระบุในเดือนตุลาคมว่า "โรคอ้วนกลายเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญในประเทศ โดยเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับที่หกของการเสียชีวิตและความพิการในจีน"

รถ Tesla ขับตัวเองออกจากโรงงาน ไปจอดขึ้นเรือรอส่งออก โดยไร้มนุษย์ควบคุม

(29 ม.ค.68) บัญชี X ทางการของ Tesla AI เผยแพร่วิดีโอล่าสุด แสดงให้เห็นขบวนรถยนต์ Tesla ใช้ระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Full Self-Driving - FSD) ขับออกจากโรงงานผลิตใน Fremont ไปยังจุดขนถ่ายสินค้า ระยะทาง 1.2 ไมล์ (ประมาณ 1.9 กิโลเมตร) โดยไม่มีมนุษย์ควบคุม

จากวิดีโอ เผยให้เห็นได้ว่ารถ Tesla ขับเคลื่อนเองอย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่เร่งเครื่อง ออกตัว เปิดไฟเลี้ยว หยุดเมื่อพบสิ่งกีดขวาง และจอดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบที่จุดขนส่งสินค้า เพื่อเตรียมขึ้นเรือส่งออก

ปัจจุบัน ระบบขับขี่อัตโนมัติ FSD ที่เปิดให้ใช้งานยังอยู่ในเวอร์ชันที่ต้องมีมนุษย์ดูแล (Supervised) แต่จากวิดีโอนี้ ชี้ให้เห็นว่า Tesla กำลังก้าวไปสู่ระบบขับขี่อัตโนมัติแบบไร้มนุษย์ดูแล (Unsupervised) ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ

ชมคลิป https://x.com/tesla_ai/status/1884457749226090590

AI จีนเซนเซอร์จริงมั้ย ลองให้วิจารณ์ถึง 'สีจิ้นผิง'

(29 ม.ค. 68) หลังจากมีกระแสการเปิดตัว DeepSeek โมเดลแชทบอท AI ตัวใหม่สัญชาติจีนที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก ด้วยจุดเด่นที่ระบุว่าใช้ต้นทุนต่ำที่ใช้เงินเพียง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 200 ล้านบาท) ในการสร้างและพัฒนามันขึ้นมา ซึ่งน้อยกว่าเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่บริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์ในอเมริกาใช้จ่ายไปมาก ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการเอไอ โดยเฉพาะฝั่งตะวันตกที่ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลไปกับการสร้างโมเดลเอไอ เนื่องจาก DeepSeek ได้รับการพัฒนาขึ้นด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวเดียวเมื่อเทียบกับคู่แข่งในสหรัฐฯ พูดให้ชัดคือถูกกว่าหลายร้อยล้านดอลลาร์ นี่ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับอนาคตของความเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์ของสหรัฐฯ

เหตุผลที่ DeepSeek ได้รับความนิยมเนื่องจากมันเป็นผู้ช่วยเอไออันทรงพลังซึ่งทำงานคล้ายกับ ChatGPT โดยคำอธิบายในแอปสโตร์ระบุว่า แอปฯ นี้ออกแบบมาเพื่อ "ตอบคำถามของคุณและปรับปรุงชีวิตของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ" 

ภายหลังที่มีกระแสความน่าสนใจของ DeepSeek ได้มีผู้ใช้งานชาวไทยหลายรายเข้าไปทดลองใช้งาน DeepSeek เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างกับ  ChatGPT ด้วยการตั้งคำถามหลายคำถาม โดยเฉพาะประเด็นละเอียดอ่อนด้านการเมือง ซึ่งผู้ใช้งานในไทยหลายรายแชร์ว่า DeepSeek ปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงประเด็นละเอียดอ่อนด้านการเมือง

ดังนั้นทีม The States Times จึงได้ทดลองใช้  DeepSeek เพื่อพิสูจน์ว่าเอไอจีน มีข้อกังขาเรื่องเสรีภาพในการประมวลผลข้อมูลจริงหรือไม่ 

จากการทดลองถามคำถาม "ให้วิจารณ์การทำงานของสีจิ้นผิง" เอไอจีนได้ระบุคำตอบที่ ตรงไปตรงมาอย่างชัดเจนไร้การเซ็นเซอร์ โดยกล่าวถึงทั้งด้านดีของผู้นำจีนโดยเฉพาะการพัฒนาประเทศด้านเศรษฐกิจ ด้านการพัฒนาสังคม และด้านการเมือง การปราบทุจริตคอรัปชัน แต่ก็กล่าวถึงข้อเสียด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในประเด็น การจำกัดเสรีภาพสื่อและเสรีภาพในการแสดงออก การขยายอิทธิพลในพรรคคอมมิวนิสต์ 

แต่อย่างไรก็ตาม DeepSeek ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า "สีจิ้นผิงเป็นผู้นำที่มีผลงานโดดเด่นในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและการยกระดับบทบาทของจีนในเวทีโลก แต่ก็ถูกวิจารณ์ในหลายประเด็น การประเมินผู้นำคนนี้จึงขึ้นอยู่กับมุมมองและค่านิยมของแต่ละบุคคล"

นอกจากนั้นเรายังทดลองให้ DeepSeek อธิบายว่า "ทำไมสี จิ้นผิงถึงถูกเปรียบเทียบกับวินนี่ เดอะ พูห์" ซึ่งเอไอจีน ก็ได้ประมวลผลข้อมูลอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา โดยไม่มีการเซนเซอร์แต่อย่างใด โดยเอไอจีน ยอมรับว่าเหตุที่ สีจิ้นผิง ถูกเปรียบเทียบกับ วินนี่ เดอะ พูห์ เพราะเป็น การเปรียบเทียบจากรูปลักษณ์ การเซ็นเซอร์และการปราบปราม เป็นสัญลักษณ์ของการวิพากษ์วิจารณ์ อีกทั้งยังกล่าวสรุปด้วยว่า

 "การเรียกสีจิ้นผิงว่า วินนี่ เดอะ พูห์ เป็นเรื่องที่อ่อนไหวและควรพิจารณาบริบทอย่างรอบคอบ ในประเทศจีนหรือในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน การใช้คำนี้อาจส่งผลกระทบทางกฎหมายหรือความสัมพันธ์ ส่วนในบริบทอื่นๆ อาจใช้ได้แต่ควรคำนึงถึงความเหมาะสมและผลที่อาจตามมาเสมอ"

นอกจากนี้ เมื่อลองถามประเด็นละเอียดอ่อน อย่างเช่น ถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อ 4 มิ.ย. 1989 DeepSeek สามารถให้คำตอบโดยกล่าวถึง ภูมิหลังของเหตุการณ์ ผลกระทบของเหตุการณ์ อย่างตรงไปตรงมา อีกทั้งยังให้ข้อสรุปไว้ว่า "เหตุการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 1989 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างการเรียกร้องประชาธิปไตยกับการควบคุมอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะถูกเซ็นเซอร์ในจีน แต่ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่โลกจดจำ" 

เมื่อถามว่า 'คุณไม่ถูกรัฐบาลจีนเซนเซอร์หรอ?' DeepSeek ให้คำตอบว่า "ฉันเป็น AI ที่พัฒนาขึ้นโดยบริษัท DeepSeek ซึ่งเป็นบริษัทในประเทศจีน ฉันได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นกลางและเป็นประโยชน์ โดยยึดตามข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะและความรู้ทั่วไป อย่างไรก็ตาม  แต่ฉันมีข้อจำกัดในการให้ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนหรือถูกปิดกั้นในประเทศจีน ฉันพยายามให้ข้อมูลที่เป็นกลางและเป็นประโยชน์ที่สุดเท่าที่จะทำได้"

โดยรวมแล้วหลังจากการทดลองใช้ DeepSeek นับว่าเป็นโมเดลเอไอ ที่ประมวลผลเร็วและสามารถให้ข้อมูลได้อย่างตรงไปตรงมาในหลายเรื่อง ถือว่าเป็นคู่แข่งของ ChatGPT ที่น่าจับตามอง ความสำเร็จของ DeepSeek ลดทอนความเชื่อที่ว่า งบประมาณที่มากขึ้นและชิปที่มีสมรรถนะระดับสูงสุดเป็นหนทางเดียวที่จะพัฒนาเอไอ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่สร้างความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับความต้องการและอนาคตของชิปประสิทธิภาพสูง

ออสเตรเลียพบการใช้ AI สร้างคอนเทนต์ deepfake ปลอมใบหน้า-เสียง คุกคามเด็ก อันตรายใกล้ตัวกว่าที่คิด

(29 ม.ค. 68) ศูนย์ปราบปรามการแสวงประโยชน์จากเด็กแห่งออสเตรเลีย สังกัดสำนักงานตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลีย ได้เตือนพ่อแม่ผู้ปกครองถึงความเสี่ยงเด็กถูกล่วงละเมิดผ่านสิ่งที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงกรณีนักเรียนนักศึกษาสร้าง “ดีปเฟค” (deepfake) หรือใบหน้า-เสียงปลอม มาคุกคามหรือกลั่นแกล้งเพื่อน

เฮเลน ชไนเดอร์ ผู้อำนวยการศูนย์ฯ ชี้ว่าสิ่งใดที่สื่อถึงการทารุณผู้เยาว์ถือเป็นสิ่งที่ล่วงละเมิดเด็กตามกฎหมาย ไม่ว่าสิ่งนั้นจะ “จริง” หรือไม่ก็ตาม พร้อมเรียกร้องพ่อแม่ผู้ปกครองพูดคุยอย่างเปิดใจกับบุตรหลานถึงอันตรายและภัยคุกคามที่เกิดจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้าถึงได้ง่ายและผสานเข้าสู่แพลตฟอร์มและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ออกมาเตือนเหล่าพ่อแม่ผู้ปกครองให้ระมัดระวัง ยามโพสต์รูปถ่ายของเด็กบนสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อต้อนรับวันแรกของปีการศึกษา 2025 ซึ่งตรงกับวันอังคาร (28 ม.ค.) โดยชไนเดอร์เผยว่าสิ่งสำคัญคือการพิจารณาข้อมูลที่ปรากฏในรูปถ่ายเหล่านั้นและใครบ้างที่มีสิทธิเข้าถึงรูปถ่ายเหล่านี้

ชไนเดอร์เสริมว่าศูนย์ฯ พบกรณีรูปถ่ายทั่วไปของเด็กและเยาวชนตกเป็นเป้าหมายของความคิดเห็นหรือการสวมบทบาทสมมุติ (role play) ที่ทำให้เป็นวัตถุทางเพศและไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยแม้กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ครอบครัวควรปกป้องความปลอดภัยของเด็กในเชิงรุก

คนยูเครนเกินครึ่งเบื่อสงคราม หนุนถกรัสเซีย ปูตินเปิดช่องสันติภาพ แต่ไม่ขอคุยกับเซเลนสกี

(29 ม.ค. 68) ผลสำรวจล่าสุดเผย ชาวยูเครนครึ่งหนึ่งสนับสนุนแนวทางการเจรจาสันติภาพกับรัสเซีย ท่ามกลางแรงกดดันจากนานาชาติให้ยุติสงครามที่ดำเนินมากว่า 3 ปี

ผลสำรวจของ Socis สำนักโพลของยูเครนที่เมื่อไม่นานมานี้  แสดงให้เห็นว่าประชากรยูเครน 50.6% สนับสนุนแนวทางการเจรจาสันติภาพ โดยมีตัวกลางจากนานาชาติเข้ามามีบทบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 36.1% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 สะท้อนถึงความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของชาวยูเครน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยืดเยื้อและรุนแรงขึ้นในสมรภูมิรบ

ในขณะเดียวกัน อัตราการสนับสนุนให้เดินหน้าต่อสู้เพื่อทวงคืนชายแดนสู่แนวเดิมในปี 1991 ลดลงจาก 33.5% ในช่วงต้นปี 2024 เหลือเพียง 14.7% ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ขณะที่แนวคิดการตรึงสมรภูมิไว้ในแนวปัจจุบันก็ได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้นจาก 8.2% เป็น 19.5%

ด้านประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย แสดงท่าทีว่าพร้อมพิจารณาการเจรจาสันติภาพ แต่ปฏิเสธการพูดคุยโดยตรงกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ซึ่งเขามองว่าเป็นผู้นำที่ "ไม่ชอบด้วยกฎหมาย" เนื่องจากหมดวาระไปแล้วในช่วงกฎอัยการศึก อย่างไรก็ตาม ปูตินเปิดทางให้มีการเจรจาผ่านตัวแทนจากทั้งสองฝ่าย

เซเลนสกี ตอบโต้ท่าทีของปูติน โดยระบุว่ารัสเซียพยายามยื้อเวลาและกลัวการเจรจาจริงจัง เขาย้ำว่าแนวทางเดียวที่ยอมรับได้คือสันติภาพที่รักษาอธิปไตยของยูเครน พร้อมเรียกร้องให้พันธมิตรตะวันตกเดินหน้าสนับสนุนเคียฟต่อไป

ด้านสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเพิ่มแรงกดดันต่อทั้งสองฝ่ายให้บรรลุข้อตกลงโดยเร็ว ทรัมป์เตือนว่าหากรัสเซียไม่ยอมรับการเจรจา อาจเผชิญมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติม นอกจากนี้ เขายังแต่งตั้งคีธ เคลลอกก์ ทูตพิเศษด้านยูเครนคนใหม่ พร้อมกำหนดระยะเวลา 100 วันให้ดำเนินการหาข้อตกลงสันติภาพให้ได้

มอสโกยังคงยืนยันจุดยืนว่าการเจรจาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อยูเครนละทิ้งความต้องการเข้าร่วมนาโต รวมถึงยอมรับสถานะใหม่ของดินแดนที่ถูกรัสเซียผนวกไปก่อนหน้านี้ ขณะที่เคียฟยืนกรานว่าการเจรจาต้องนำไปสู่การฟื้นฟูอธิปไตยเหนือดินแดนทั้งหมด รวมถึงไครเมียที่ถูกยึดไปตั้งแต่ปี 2014

แม้ว่าทั้งสองฝ่ายยังคงมีจุดยืนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่แรงกดดันจากประชาคมโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ อาจทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ทั้งสองประเทศจะต้องหันหน้าสู่โต๊ะเจรจาในอนาคตอันใกล้

บริษัทบิ๊กเทคตะวันตกระส่ำ หลังจีนปล่อย DeepSeek เอไอต้นทุนถูก

รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn ถึงกรณีที่จีนได้เปิดตัว Deepseek เอไอต้นทุนถูก ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายแห่งทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐ อเมริการ โดยระบุว่า แค่จีนปล่อยของให้โลกตะลึง ด้วยสิ่งที่เริ่ดกว่า/ต้นทุนต่ำกว่า เดินเกมเหนือ บริษัทเทคฝรั่งที่ว่าแน่ร่วงระนาว ลุงทรัมป์ จะโต้กลับยังไงเอ่ย

พร้อมยังระบุในช่องคอมเมนต์ด้วยว่า หุ้น 7 นางฟ้าที่ว่าแน่ นางฟ้าทั้ง 7 ตกสวรรค์ถ้วนหน้า !! แค่โดน A.I.จีน DeepSeek ปล่อยหมัดเบาๆ ด้วยสิ่งที่เริ่ดกว่า/ต้นทุนต่ำกว่า มีบางจังหวะ NvidiA ของเจนเซ่น หวง  โดนน๊อกหนัก ร่วงลงไป เกือบ 5 แสนล้านบาท

Google Maps เปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' แต่..เห็นเฉพาะผู้ใช้ในสหรัฐฯ เท่านั้น

(28 ม.ค.68) Google ได้โพสต์บน X ว่า Google Maps เตรียมปรับเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทำการปรับปรุงข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์หรือ Geographic Names Information System (GNIS) ซึ่งเป็นมาตรฐานการตั้งชื่อทางภูมิศาสตร์ของรัฐบาลกลางและระดับชาติ

Google ชี้แจงว่า การเปลี่ยนแปลงชื่อในครั้งนี้เป็นไปตามแนวปฏิบัติที่กำหนดสำหรับการอัปเดตชื่อสถานที่ในแผนที่ หลังจากได้รับการยืนยันจากแหล่งข้อมูลทางการของรัฐบาล

ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งให้เปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เป็น 'อ่าวอเมริกา' เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศเมื่อวันศุกร์ว่า อ่าวนี้จะถูกเรียกชื่อว่า 'อ่าวอเมริกา' อย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ ชื่อ 'อ่าวอเมริกา' จะปรากฏเฉพาะผู้ใช้ในสหรัฐฯ เท่านั้น ส่วนผู้ใช้ในเม็กซิโกจะยังเห็นชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' เหมือนเดิม ในขณะที่ผู้ใช้จากประเทศอื่น ๆ จะเห็นทั้งสองชื่อบน Google Maps

นอกจากนี้ Google Maps ยังจะปรับชื่อยอดเขาเดนาลี ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอเมริกาเหนือ และมีชื่อที่ชาวอลาสกาตั้งให้เป็นยอดเขาเมาท์แมคคินลีย์ เมื่อหน่วยงานด้านระบบสารสนเทศชื่อภูมิศาสตร์ (GNIS) ได้ทำการปรับเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นทางการ

สิงคโปร์เปิดทดลองให้คนโดยสาร เริ่มวิ่ง 2 เส้นทางกลางปี 2026

(28 ม.ค. 68) สำนักงานการขนส่งทางบกของสิงคโปร์ประกาศเชิญชวนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมร่วมส่งข้อเสนอสำหรับโครงการนำร่องเพื่อทดสอบรถโดยสารประจำทางอัตโนมัติ โดยมีเป้าหมายเริ่มทดลองให้บริการรถเมล์อัตโนมัติ ระยะ 3 ปี บนเส้นทางที่กำหนด 2 เส้นทาง ซึ่งจะเริ่มช่วงกลางปี 2026

โครงการข้างต้นจะเริ่มต้นด้วยรถเมล์จำนวน 6 คัน แต่ละคันมีที่นั่งอย่างน้อย 16 ที่นั่ง และเลือกใช้งานเส้นทางที่มีระยะสั้นและสัญจรง่าย โครงการนำร่องนี้มีเป้าหมายประเมินความเป็นไปได้ทางเทคนิค และศึกษาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการดำเนินงานของยานยนต์ประเภทนี้ทั้งในระดับให้บริการเป็นรายคันและระดับกองยานยนต์

ในระยะแรกจะมีพนักงานขับรถประจำอยู่บนรถเมล์อัตโนมัติเพื่อดูแลการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย อาทิ การรับและส่งผู้โดยสารอย่างปลอดภัยตามจุดจอดที่กำหนด โดยผู้โดยสารจะต้องนั่งอยู่กับที่และคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดการเดินทาง และอาจมีเจ้าหน้าที่บริการลูกค้าประจำอยู่ด้วยเพื่อช่วยเหลือผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือ

เมื่อยานยนต์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติและมีการควบคุมจากระยะไกลที่น่าเชื่อถือได้แล้ว เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยจากระยะไกลจะมาดำเนินงานแทนพนักงานขับรถ ขณะที่สำนักงานฯ จะติดตามการทำงานของรถโดยสารแบบเรียลไทม์ตลอดช่วงการทดลองเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความสอดคล้องกับข้อกำหนดต่างๆ

สำนักงานฯ จะปิดรับข้อเสนอภายในไตรมาสที่ 2 (เมษายน-มิถุนายน) ของปี 2025 ซึ่งหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จอาจมีการจัดซื้อรถเมล์อัตโนมัติเพิ่มสูงสุด 14 คัน และเพิ่มเส้นทางทดลองอีก 2 เส้นทาง โดยคาดว่าจะมีการมอบสัญญาโครงการนำร่องภายในสิ้นปี 2025

แฉบริษัทอาวุธมะกัน โกยเงินสงครามยูเครน หุ้นโตพุ่ง-ออเดอร์อื้อ ไม่สนวิกฤตขัดแย้งโลก

(28 ม.ค.68) ท่ามกลางสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังไม่เห็นปลายทางของจุดจบ กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมทางทหารหลายแห่งของสหรัฐฯ กลายเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากความขัดแย้งของสองชาติ โดยผู้เชี่ยวชาญหลายรายให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว  Sputnik ว่า บรรดาบริษัทผู้ผลิตอาวุธในสหรัฐฯ ได้ทำกำไรมหาศาลจากการจัดหาอาวุธสำหรับสงครามในยูเครน ซึ่งผลักดันโลกให้เข้าใกล้จุดวิกฤติของสงครามเต็มรูปแบบ

รายงานระบุว่า บรรดาผู้ผลิตอาวุธจากสหรัฐฯ ได้รับผลประโยชน์จากการขายอาวุธให้แก่รัฐบาลต่างชาติ ส่งผลให้ยอดขายอาวุธของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 29% ในปี 2024 หรือคิดเป็นมูลค่าที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 318.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ   

ส่งผลให้ช่วงที่ผ่านมาหุ้นของบริษัทผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ของสหรัฐ อาทิ Lockheed Martin, General Dynamics และ Northrop Grumman ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวนทางหุ้นสายเทคโนโลยีบริษัทอื่นๆที่มักผันผวน แต่หุ้นของอุตสาหกรรมอาวุธในสหรัฐฯ ต่างเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นของ Lockheed Martin เติบโต 38.49% ในปีที่ผ่านมา แตะจุดสูงสุดที่ 611.74 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนตุลาคม ขณะที่หุ้นของ General Dynamics เพิ่มขึ้น 27.81% แตะระดับสูงสุดที่ 313.39 ดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน 2024  ส่วนหุ้นของ Northrop Grumman มีการเติบโต 25.5% ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2024  

ตามการวิเคราะห์ของ Sputnik ที่อ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงการคลังยูเครนและมหาวิทยาลัย Kiel พบว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา NATO ได้สนับสนุนงบประมาณแก่รัฐบาลยูเครนถึง 191.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสหรัฐฯ เป็นผู้บริจาคความช่วยเหลือทางทหารรายใหญ่ที่สุด มูลค่ารวม 68.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยว่าประเทศที่เป็นผู้ซื้ออาวุธรายใหญ่จากสหรัฐฯ ได้แก่ ตุรกี สั่งซื้อ เครื่องบิน F-16 และการปรับปรุงระบบ มูลค่า 23 พันล้านดอลลาร์ อิสราเอล สั่งซื้อเครื่องบินรบ F-15 มูลค่า 18.8 พันล้านดอลลาร์  ญี่ปุ่น สั่งซื้อ เครื่องบิน KC-46A มูลค่า 4.1 พันล้านดอลลาร์ และขีปนาวุธ Tomahawk มูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์  เยอรมนี สั่งซื้อขีปนาวุธ Patriot มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์  อินเดีย สั่งซื้อโดรน MQ-9B มูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์ เกาหลีใต้ สั่งซื้อเฮลิคอปเตอร์ AH-64E Apache มูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์ โรมาเนีย สั่งซื้อรถถัง M1A2 Abrams มูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์)

ดร.เคน แฮมมอนด์ นักเขียนและศาสตราจารย์ กล่าวกับ Sputnik ว่า การแสวงหากำไรจากสงครามโดยสหรัฐฯ ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติอย่างร้ายแรง โดยยูเครนถูกส่งอาวุธจากตะวันตกอย่างไม่หยุดยั้ง  

อย่างไรก็ตาม ความช่วยเหลือทางทหารจำนวนมหาศาลที่ตะวันตกส่งให้ยูเครนส่วนใหญ่กลับไร้ผลในสนามรบ อีกทั้งยังเป็นเป้าหมายโจมตีที่ชอบธรรมของรัสเซีย และยังมีส่วนหนึ่งที่หลุดไปอยู่ในมือของพ่อค้าอาวุธผิดกฎหมายในตลาดมืด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top