Thursday, 5 October 2023
SPECIAL

กระแสมา ราคาโดด กระแสไม่โหลด อ่าว หมดตัณหา !!

Surf Skate เป็นกีฬาบนแผ่นกระดานชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการผสมผสานกันระหว่างสเก็ตบอร์ด กับกีฬาเซิร์ฟบอร์ดโต้คลื่นที่เล่นในทะเล ซึ่งการออกแบบแผ่น Surf Skate นั้นก็เพื่อให้เราสามารถเล่นเซิร์ฟในรูปแบบบอร์ดขนาดเล็ก มีล้อเคลื่อนไหว บนบกได้ จนกลายมาเป็น ‘กีฬาเซิร์ฟสเก็ต (Surf Skate)

เจ็ดย่านน้ำ (มีได้หลายความหมาย) ในเรื่อง ‘ Surf Skate … เจ็ดย่านน้ำ’ ขอแทนความหมายว่า มาก มากมาย ทั่วทุกแห่งหน ปฎิเสธไม่ได้...จึงเปรียบเทียบให้เข้ากับยุคในตอนนี้ที่มีกระแสโด่งดังของ Surf Skate ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจริง ๆ พอทราบได้ว่า Surf Skate เข้ามาในช่วงของสถานการณ์ Covid19 เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้น จากการที่ผู้คนได้ริเริ่มหาอะไรทำใหม่ ๆ

 โดยเฉพาะบรรดาเหล่าคนดัง ดาราในวงการบันเทิง บางคนเรียกว่าเป็นผู้บุกเบิกเข้ามา ทำให้ผู้คนอีกหลายภาคส่วน ก็หันมาเล่น Surf Skate กันหมด จนตอนนี้เรียกได้ว่าเล่นกันแบบทั่วบ้านทั่วเมือง สิ่งนี้จึงทำให้กลายเป็นเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ กระแสนิยม Surf Skate ซึ่งถือว่าเป็นปรากฎการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในไทย

ในขณะเดียวกันเมื่อมีปรากฎการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้ว... ไทยแลนด์ โอนลี่ (ไหมหล่ะ) ความต้องการซื้อ Surf Skate ในตลาดพุ่งขึ้นสูงแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ Surf Skate ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ของผู้คนหลายภาคส่วน และนี่คือสิ่งสำคัญที่จะมาพูดถึงในวันนี้ คือ “ กระแสมา ราคาโดด ” เมื่อกระแส Surf Skate กำลังมา ทำให้คนหัวการค้าเห็นช่องทางในการค้าขาย ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้ผู้ขายบางกลุ่ม ทุ่มเงินลงทุนซื้อ Surf Skate หมดตลาด มีเท่าไหร่ลงทุนให้หมด ส่งผลให้สินค้าไม่เพียงพอในการขาย เพราะฉันจะเอามาขายเอง ...สักเท่าไหร่ดี ? แต่ไม่ใช่ทุกคนที่คิดจะหากำไรแบบเป็นธรรม นิด ๆ หน่อย ๆ คนไทยด้วยกันขอกำไรสัก สองร้อย สามร้อย ไม่สิ !! คนไทยด้วยกันขอกำไร ... สักพัน สองพัน สามพันหน่อยนะ ๆ ๆ

ในช่วงเดือนกันยายน 2563 จากความสนใจในกีฬา Surf Skate อยากทำความรู้จัก และอยากเล่นมาก ๆ ผู้เขียน ได้เริ่มศึกษาบ้างแบบคร่าว ๆ เช่น ความเป็นมา ประเภท แบรนด์ รุ่น ราคา ต่าง ๆ ซึ่งช่วงนั้นมีกระแสเริ่มเข้ามาพอสมควรแล้ว และมาเร็วมากเรื่อย ๆ ตอนนั้นตั้งใจว่าอยากได้ Surf Skate สักตัวเป็นของตัวเอง ได้ศึกษาราคาที่สามารถจับต้องได้ แบรนด์ Decathlon เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากมี Shop ให้เลือกซื้อได้ในไทย (ซึ่งอาจจะต่างจากแบรนด์อื่นที่ต้อง Pre Order) และราคาสามารถจับต้องได้ ถ้าเปรียบเทียบกับแบรนด์อื่นราคาอาจจะแตะหมื่น หรือหมื่นขึ้นไป บอร์ดรุ่นนี้ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เป็นที่รู้จัก ซึ่งส่วนใหญ่เรียกกันว่า “บอร์ดนก” เพราะใต้บอร์ดเป็นลายนก

ราคา ณ ตอนนั้น อ้างอิงจากเว็บไซต์ https://www.decathlon.co.th/th/ อยู่ที่ ราคา 3,400 บาท แต่ทว่าตอนนี้ ราคาก็ยัง 3,400 บาท เหมือนเดิม !! แล้วอะไรเปลี่ยน ? ตอนนี้บอร์ดขาดตลาด ผลิตไม่ทัน แต่ถ้าไม่นับว่าสินค้าขาดตลาด ก็สามารถซื้อสินค้าแบบจำนวนจำกัด ‘1 แผ่น ต่อ 1 สมาชิก’ ในขณะที่ตอนนั้น ยังไม่มีกระแสมาก สามารถกดเลือกซื้อสิ้นค้าใส่ตะกร้าได้เลยหลาย ๆ ชิ้น แล้วถ้าช่องทางที่เป็นทางการของผู้ผลิตโดยตรงนี้ขาดตลาด จะหาซื้อ Surf Skate ได้จากที่ไหน ?

ขออนุญาตเอ่ยถึง Platform Facebook มีกลุ่มซื้อขาย Surf Skate มีสมาชิกในกลุ่มแสนกว่าคนในช่วงเวลาอันสั้น ๆ เดิมทีส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ วิธีการเล่นสะมากกว่า รู้ตัวอีกทีตอนนี้กลับกลายเป็นว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการโพสต์ขายสินค้า Surf Skate เต็มหน้าฟีดไปสะแล้ว ไม่รู้ตอนไหน แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ ราคาที่สูงขึ้นมาก 2 - 3 เท่า จากราคาเดิม ...เปรียบเทียบกับบอร์ดนกเลยแล้วกัน เดิมราคา 3,400 บาท (ขณะที่เว็บไซต์ทางการยังขายในราคาเดิม) แต่กลุ่มใน Facebook ขายอยู่ที่ราคาประมาณ 6,000 - 8,000 บาท และมี Surf Skate รุ่นตัวท็อปของญาญ่า ราคาปกติราคาอยู่ที่ 18,000 บาท แต่ตอนนี้สูงลิ่วอยู่ที่ 40,000 บาท เขาว่ากันว่าเพื่อให้สมกับการที่ ณ ตอนนี้วัตถุมีมูลค่า และหายากในตลาด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ... ผู้บริโภคจับจองกันอย่างไว ราคานี้ฉันก็ยอม แรร์ไอเทม (Rare item) / Limited บลา ๆ ๆ คนซื้อหงาย คนขายรอด

ต้องขนาดไหนถึงยอมซื้อในราคาที่สูงขนาดนั้น ? เชื่อว่าหลาย ๆ คน คงอาจจะทราบก็ได้ว่าเดิมทีแล้วมันราคาเท่าไหร่บ้าง แต่ก็ยอมที่จะเลือกซื้อ เพราะอยากได้มันมาจริง ๆ แม้ว่าราคาโดดขึ้นมาขนาดนี้

หรืออาจจะเป็นเพราะว่าสิ่งนี้ มันก็คงสร้างมูลค่าให้ตัวมันเองจริง ๆ ใช่หรือไหม หวังว่า จะมีใครที่อยากเล่นเพราะหลงใหลมันจริง ๆ ไม่ใช่ชอบเพราะตามกระแสนิยม แล้วพอหมดความชอบลงก็ปล่อยมันทิ้งไปแบบไม่มีมูลค่า...


ข้อมูลอ้างอิง

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/926899

https://www.decathlon.co.th/th/

รูปภาพจาก Youtube SUNDAY SURF & SKATE https://www.youtube.com/watch?v=Vs1b5cjirXk

8 ท่าโยคะอย่างง่าย ทำเองได้ที่บ้าน ป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม

ในยุคที่มีการแข่งขันสูง การใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ การทำงานด้วยความเครียด และการใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆทำให้ทุกคนใช้เวลาในแต่ละวันอย่างน้อย 8 - 9 ชั่วโมงในการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ใช้มือถือ แทปเลต ประกอบกับท่านั่งที่ไม่เหมาะสม จึงเกิดการใช้งานกล้ามเนื้อแบบผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้อสูญเสียความยืดหยุ่น ร่วมกับการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเป็นเวลานาน ส่งผลไปยังข้อต่อและกระดูกต่าง ๆ บางคนอาจมีอาการชาหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง เริ่มจากการปวดบริเวณกล้ามเนื้อคอลุกลามไปยังกล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ โดยการปวดกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นจากการทำงานเรียกว่า “โรคออฟฟิศซินโดรม”

ข้อแนะนำสำหรับผู้เป็นโรคออฟฟิศซินโดรม

พักยืดเส้นยืดสาย หรือลุกขึ้นจากเก้าอี้และเปลี่ยนอิริยาบททุก 1 ชั่วโมง เปลี่ยนจากการจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วมองไปยังพื้นที่สีเขียวหรือต้นไม้

ปรับสภาพโต๊ะทำงานให้เหมาะสม ระดับหน้าจอคอมพิวเตอร์, คีย์บอร์ดและการวางเม้าส์อยู่ในองศาการใช้งานที่ถูกต้องตามสรีระ

ปรับความสูงของเก้าอี้พนักพิง มีการเสริมหมอนหนุนหลังเพื่อให้นั่งสบายขึ้นและเลือกใช้เก้าอี้ที่มีที่วางแขน

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง ไม่นั่งหลังค่อม ไม่ห่อไหล่

ท่าโยคะอย่างง่ายป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม

ท่าแรก

: นอนคว่ำ วางแขนห่างกันเท่าความกว้างของหัวไหล่ ใช้มือดันตัวขึ้น

: เหยียดข้อศอก ยกศีรษะ ไหล่ หน้าอก เอว ให้สูงขึ้นเงยหน้าไปด้านหลัง

: สะโพกด้านหน้า ต้นขา และเท้า วางราบกับพื้น

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณหลังและหน้าท้องเล็กน้อย หายใจเข้าออกปกติ ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

ท่าที่สอง

: นอนหงาย ยกขาขึ้น2ข้าง (ถ้าตึงมากให้ยกทีละข้าง)

: พยายามใช้มือแตะปลายเท้า ถ้าไม่ถึงให้ใช้ผ้าขนหนูคล้องปลายเท้า

: ออกแรงดึงขายกสูงขึ้นมาทางศีรษะโดยให้เข่าเหยียดตรงตลอด

: สะโพกลอยพ้นพื้นเล็กน้อย คอและไหล่วางบนพื้นด้วยความผ่อนคลาย

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณกล้ามเนื้อขาโดยเฉพาะด้านหลังของเข่า ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

ท่าที่สาม

: นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มือสอดใต้สะโพก (นั่งทับ)

: ก้มศีรษะเล็กน้อย เอียงศีรษะทางซ้าย มือซ้ายจับศีรษะ กางศอกออก กดลงเบาๆ

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณกล้ามเนื้อคอและบ่าด้านตรงข้าม ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน

ท่าที่สี่ : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มือสอดใต้สะโพก (นั่งทับ)

: ก้มศีรษะลงกดคางชิดอก เอียงศีรษะทางซ้าย มือซ้ายจับศีรษะ กดศอกเอียงด้านหน้า

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณคอสะบักขวา ค้างไว้ 10 - 20 วินาที แล้วตั้งศีรษะตรง ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน นั่งทับมือซ้าย แล้วก้มเอียงศีรษะทางขวา มือขวาออกแรงกดเบาๆ

ท่าที่ห้า : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง พาดแขนซ้ายมาด้านหน้าอก

: นำศอกขวากดศอกซ้าย เข้าหาไหล่ขวา หันหน้าไปทางด้านซ้าย

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณต้นแขนด้านหลังและสะบัก ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน แขนขวาพาดด้านหน้า ศอกซ้ายกดหาไหล่ซ้าย หันหน้าไปทางขวา

ท่าที่หก : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง ประสานมือทั้ง 2 ข้างด้านหลัง บีบมือเข้าหากันให้แน่น

: ยืดอก ยืดหลังขึ้น บีบสะบักเข้าหากัน ดันแขนออกไปไกลลำตัวให้มากที่สุด

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณต้นแขน หน้าอกและสะบัก ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

ท่าที่เจ็ด : นั่งหลังตรง เหยียดขาซ้ายไปด้านหน้า ขาขวาข้ามวางข้างเข่าซ้ายด้านนอก

: ศอกซ้ายออกแรงดันเข่าขวาไปทางซ้าย บิดตัวไปทางขวาให้มากที่สุด

: มือขวาวางด้านหลัง หันหน้ามองข้ามไหล่ขวาไปด้านหลัง

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณสะโพกและลำตัวด้านข้างขวา ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน เหยียดขาขวา งอเข่าซ้าย ศอกขวาออกแรงดัน บิดตัวไปทางซ้าย

ท่าที่แปด : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง จากนั้นเหยียดขาขวาออกไปด้านข้างให้ตั้งฉากมากที่สุด

: มือขวาจับเข่าซ้าย บิดตัวไปทางซ้าย ยกมือซ้ายขึ้นแนบหู เอื้อมหลังศีรษะไปจับปลายเท้าขวา

: ถ้าตึงขาหรือลำตัวมาก จับไม่ถึง ให้ใช้ผ้าคล้องปลายเท้าขวาช่วยได้

: ท่านี้จะรู้สึกตึงลำตัวและต้นแขนซ้าย ต้นขาหลังและน่องขวา ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน งอเข่าขวา เหยียดขาซ้าย มือซ้ายจับเข่าขวา มือขวาจับปลายเท้าซ้าย

ไทยสเก็ต ใครสกัด ??

ปัจจุบันกีฬา “Surf Skate” กำลังเป็นที่นิยมในประเทศไทยด้วยอิทธิพลจากดารา คนมีชื่อเสียง เริ่มหันมาเล่นกิจกรรม Surf Skate ในช่วงกักตัวโควิด-19 ด้วยความที่มีสไตล์เท่ และ เป็นกิจกรรมที่สามารถเล่นได้ทุกเพศ ทุกวัย ทำให้กีฬาชนิดนี้ได้เริ่มกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง

และด้วยความที่เริ่มเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น ทางผู้ประกอบการก็ได้เล่งเห็นถึงความสำคัญของกิจกรรมประเภทนี้จึงได้มีการเริ่มจัดพื้นที่สำหรับการเล่น Surf Skate อย่างเช่นห้างร้านต่าง ๆ ก็จะมีกิจกรรมลานกว้าง สำหรับเล่นกีฬา Surf Skate ให้ผู้คนได้ออกมาวาดลวดลายโชว์ฝีมือ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้คนไทยได้ออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน

รวมไปถึงมีการจัดการประกวดมีทั้งประกวดลีลาท่าทาง ความสวยงาม ชิงเงินรางวัลกัน นับได้ว่ากีฬา Surf Skate ทำให้หลาย ๆ คนที่ไม่คิดจะออกกำลังกาย หรือ อยากอยู่แต่บ้าน ได้หันกลับมาทำกิจกรรมแก้เบื่อในช่วงโควิด-19 กัน

ด้วยความนิยมของเจ้ากีฬา Surf Skate ก็ทำให้กระทรวงวัฒนธรรมได้คิดงานอีเว้นท์รวมเหล่าคนชื่นชอบ Surf Skate มาร่วมกิจกรรมในงาน “รัตนโกเสิร์ฟ” ที่จัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 64 นำทีมโดย โจอี้ บอย ( อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต ) และ มาดามเดียร์ (วทันยา วงษ์โอภาสี) นำทัพคนรักกีฬา Surf Skate กว่า 300 คนมาเล่นรอบเกาะรัตนโกสินทร์ในระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร โดยมีธีมการแต่งกายด้วยชุดไทย เพื่อผสมผสานกีฬา Surf Skate และ ความเป็นไทยเข้าด้วยกัน กิจกรรมนี้ก็เรียกได้ว่าได้รับความสนใจอย่างมาก

แต่แล้วเรื่องก็ดันมาเกิดขึ้นในวันที่จัดงาน “รัตนโกเสิร์ฟ” ถึง 2 ประเด็นด้วยกันนั้นก็คือ

เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเรายังมีมาตรการของเรื่องโควิด-19 ที่ทางรัฐบาลยังคงขอความร่วมมือกำชับให้ทุกคนสวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อโควิด-19 แต่ทำไมทุกคนที่ไปร่วมกิจกรรม ไม่มีใครสวมใส่หน้ากากอนามัยสักคน ?? สร้างความงุนงง ฉงนไปทั้งโซเชียลมีเดีย มีคำถามเกิดขึ้นมากมายจนติดเทรนด์ #รัตนโกเซิร์ฟ พุ่งขึ้นอันดับ 1 ในทวิตเตอร์กันเลยทีเดียว เพราะในงานมีทั้งผู้ปกครองที่พาลูกเล็กเด็กแดงไปเล่นด้วย ผู้คนก็มากหน้าหลายตา ชาวเน็ตก็ตั้งข้อสงสัยว่าทำไมถึงกล้าที่จะไม่ปกป้องตัวเอง ไม่ใส่หน้ากากอนามัย เข้าเมืองไปเล่น Surf Skate กันได้อย่างสบายใจ โดยที่ไม่แคร์สุขภาพตัวเอง ถ้าติดโควิด-19 กันเป็นหมู่เป็นคณะขึ้นมาจะทำยังไง จะต้องกักตัวกันอีกสักกี่รอบกันคะคุณ ?

และอีกประเด็นที่รุนแรงไม่แพ้กันคือม็อบที่จัดตรงกับวันที่เหล่าชาว Surf Skate ได้ไปเล่นทั่วเกาะรัตนโกสินทร์นั้นก็คือ ม็อบ “NME of Anachy” หรือ ม็อบ “หมู่บ้านทะลุฟ้า” (ซึ่งหมู่บ้านทะลุฟ้า เป็นค่ายพักแรมของผู้ประท้วงในระหว่างการประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563–2564 ก่อตั้งโดยกลุ่มเดินทะลุฟ้า เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2564 ตั้งอยู่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ข้างทำเนียบรัฐบาล โดยมีข้อเรียกร้อง ได้แก่ การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน, การยกเลิกกฎหมายความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย และการปล่อยตัวนักโทษการเมือง) ซึ่งผู้จัดประกาศว่าจะปักหลักชุมนุมไปอย่างไม่มีกำหนด) โดยทางฝั่งม็อบก็เรียกร้องกันกัน แต่กลับโดนเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจขอเรียกคืนพื้นที่ แต่ไม่เป็นผลจึงได้รีบดำเนินจับกุมผู้ชุมนุมด้วยข้อหามีการชุมนุมมั่วสุมกันและฝ่าฝืนกฎ พ.ร.บ. ควบคุมโรค

อ่าว….แล้วทำไมม็อบถึงโดนจับด้วยข้อหานี้แล้วฝั่งรัตนโกเสิร์ฟถึงเล่นได้ล่ะเนี่ย… มันยังไงกันคะ คุณตำรวจ ?

ทางทีมผู้จัดงานถึงกับต้องชี้แจงรายละเอียดอย่างเร่งด่วนให้ชาวเน็ตผู้ที่สงสัยใคร่รู้แต่ไม่ได้เป็นคนไปร่วมกิจกรรมรัตนโกเสิร์ฟได้กระจ่างแจ่มแจ้งกันเลยทีเดียว ซึ่งมาดามเดียร์ก็ได้ออกมาแถลงผ่านเฟซบุ๊ค “เดียร์ วทันยา วงษ์โอภาสี”

แบบปัง ๆ ว่า

.

ขอชี้แจงการจัดงานรัตนโกเซิร์ฟ ที่เหมือนๆกำลังจะเป็นประเด็นดราม่า ดังนี้นะคะ

1. เรื่องการไม่ใส่แมสก์

ขออธิบายด้วยภาพนะคะ จะเห็นได้ว่าภายในงานก่อนที่จะเริ่มมาที่จุดสตาร์ท ผู้ร่วมกิจกรรมสวมแมสก์ตามปรกติ แต่ภาพที่เราเห็นกัน เป็นการถอดมาเพื่อถ่ายภาพที่ระลึกจังหวะก่อนเริ่มออกตัวจากจุดสตาร์ท และพอออกจากจุดสตาร์ทไปแล้ว การเล่นเซิร์ฟสเกตก็ถือเป็นกีฬาชนิดหนึ่งจึงจำเป็นต้องถอดแมสก์ออกเพื่อระบบการหายใจที่สมบูรณ์ในขณะที่มีอากาศร้อน และการเล่นเซิร์ฟสเกตนั้นในข้อเท็จจริงเราไม่สามารถเล่นในติดกันในระยะประชิดได้อยู่แล้ว เพราะตัวบอร์ดจะไปเกี่ยวกันทำให้เกิดอันตรายได้ ก็ถือเป็นการรักษาระยะห่างไปในตัว อีกทั้งการเล่นเซิร์ฟสเกตนี้เราเล่นอยู่ในสถานที่เปิดที่มีอากาศถ่ายเท ไม่ใช่สถานที่ปิด และเมื่อกลับถึงเส้นชัยทุกคนก็กลับมาใส่แมสก์กันตามปกติค่ะ

2. เรื่องจำนวนคนและความปลอดภัย

งานนี้ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า จริงๆมีคนต้องการเข้าร่วมงานจำนวนมากแต่เราจำกัดคนตามกฎของ ศบค. ในการจัดงานที่ไม่เกิน 300 คน นอกจากนี้ภายในงานเรายังมีการควบคุมความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการลงทะเบียนไทยชนะ การคัดกรองวัดอุณหภูมิ และมีจุดวางเจลแอลกอฮอล์ตามคำแนะนำของ ศบค. ทุกอย่าง ทั้งนี้เราเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นสิ่งสำคัญ เรามีการจัดเตรียมรถพยาบาล และอาสาจราจรตลอดเส้นทาง เพื่อคอยดูแลความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมงาน และผู้ที่สัญจรไปมา จึงจะเห็นได้ว่าการจัดกิจกรรมครั้งนี้จึงผ่านไปด้วยดีไม่มีผู้ได้รับอุบัติเหตุใดๆ

สุดท้ายเดียร์หวังว่า การจัดงานกิจกรรมครั้งนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจของคนส่วนหนึ่งในสังคมที่มีใจรักในกีฬาเซิร์ฟสเก็ต และอยากให้ออกมาทำกิจกรรมให้เป็นตัวอย่างต่อภาคส่วนอื่นๆที่จะออกมาสร้างกิจกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจหรือสังคมภายใต้กฎระเบียบที่รัฐได้กำหนดไว้อย่างถูกต้องต่อไป

กิจกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นจากคนที่รักในการเล่นกีฬา พวกเราทุกคนทักทายพูดคุยกันโดยไม่รู้ว่าใครทำงานอะไร หรือมีตำแหน่งหน้าที่อะไรในสังคม จึงอยากขอพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดเรื่องของการเมืองนะคะ

.

เคลียร์ประเด็นเรียบร้อย แจ่มแจ้งทุกข้อสงสัย หมดข้อสงสัยกันแล้วนะ เหล่าชาวเน็ตทั้งหลาย แต่อีกประเด็นนั้น (อาจจะ) ไม่เกี่ยวกับการจัดงานในครั้งนี้ ก็…ตามนั้นแหละค่ะ

สุดท้ายนี้ก็ดูแลตัวเองในช่วงโควิด-19 กันด้วยนะคะ รอวัคซีนปัง ๆ มา เราก็คงอุ่นใจขึ้นอีกนิดละคะ และถ้าใครที่อยากที่จะลองเล่นเจ้า Surf Skate นี่ล่ะก็ ลองศึกษาวิธีการเล่น ราคาของเจ้าบอร์ด Surf Skate และ อุปกรณ์ป้องกันด้วยนะคะ เพราะกีฬาทุกชนิดก็มีความอันตรายของมันอยู่ ถ้าพลาดเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะไม่คุ้มเสี่ยงเอานะคะ Have a good day ค่ะ


ข้อมูลอ้างอิง

https://siamrath.co.th/n/230967

https://www.zipeventapp.com/blog/2021/03/12/surf-skate-location/

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/929651

https://www.thairath.co.th/news/politic/2059487

https://www.facebook.com/dear.watanya.wongopasi/posts/298935548255742

Surf Skate เทรนด์ใหม่แห่งยุค ก็ของมันต้องมี...

Surf Skate (เซิร์ฟสเก็ต) เป็นกีฬาบนแผ่นกระดานชนิดหนึ่ง ที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างสเก็ตบอร์ดกับกีฬาเซิร์ฟ โดยได้พัฒนาและปรับปรุงอุปกรณ์ให้ผู้เล่นสามารถต่อยอดทักษะการเล่นเซิร์ฟ นั่นเอง และให้ความรู้สึกคล้ายการเล่นเซิร์ฟบอร์ดในทะเลมากที่สุด ถึงจะไม่ได้ไปทะเล แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนโต้คลื่นทะเลได้เหมือนกันนะ

ลักษณะของ Surf Skate มีขนาดความยาวมีตั้งแต่ 26 นิ้ว จนถึง 40 นิ้ว โดยแผ่น Surf Skate ไม่แข็งเท่ากับ Skate Board และล้อหน้าของ Surf Skate สามารถหมุนซ้าย - ขวา หรือ 360 องศา ถือว่าเป็นกีฬาสไตล์เอ็กซ์ตรีมที่กำลังมาแรงตัวหนึ่งในยุคนี้เลยก็ว่าได้ แล้วยังสามารถเล่นได้ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงวัยอีกด้วย...

แล้วการเล่น Surf Skate แตกต่างจากการเล่น Skate Board ตรงไหน? 
สเก็ตบอร์ดทั่วไปจะไม่สามารถหมุนล้อได้ จะต้องไปในทิศทางเดียวเท่านั้น แต่เซิร์ฟสเก็ตสามารถบิดไปในทิศทางไหนก็ได้ เพราะตัวบอร์ดมีสปริงอยู่ข้างใต้ ช่วยให้บิดไปในทิศทางที่ต้องการได้ง่าย ด้วยการกดน้ำหนักและปล่อย ย้ำซ้ำ ๆ เพื่อเหวี่ยงไปยังทิศทางที่ต้องการ ซึ่งฟังก์ชันการใช้งานนี้เองที่พิเศษกว่าสเก็ตบอร์ดทั่ว ๆ ไป จนผู้คนหันมาเล่นแล้วถูกใจไปตาม ๆ กัน

เรามารู้ถึงต้นกำเนิดของ Surf Skate กันบ้าง เริ่มต้นจาก Neil Stratton และ Greg Falk สองผู้ก่อตั้ง Carver Skateboards พวกเขารู้สึกว่าสเก็ตบอร์ดแบบเดิมที่เล่นกันอยู่ ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าเซิร์ฟแม้แต่นิดเดียว ทั้ง ๆ ที่ทุกแบรนด์ต่างก็โฆษณาว่าการเล่นสเก็ตบอร์ดก็เหมือนกับการเซิร์ฟบนบก ให้ความรู้สึกเหมือนการเล่นเซิร์ฟในทะเล... แต่จริง ๆ แล้วพวกเขารู้สึกว่ายังไม่เป็นแบบนั้น จึงทำให้ทั้งคู่ช่วยกันคิดและพัฒนาสเก็ตบอร์ด และนำเทคนิคของการเล่นเซิร์ฟมาใช้ร่วมด้วย จึงกลายมาเป็น Surf Skate ในปัจจุบันนี้นี่เอง

เอาล่ะ! แล้วทำไมถึงเกิดมาฮิตที่ไทยได้ หรือเริ่มมีกระแสคนหันมาเล่นกันเยอะ แล้วของมันต้องมีหรือไม่ ลองมาคิดดูแล้ว ในไทยก็มีกลุ่มคนเล่น Surf Skate จำนวนหนึ่งอยู่แล้ว แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าดารา ศิลปิน หรือแม้แต่ไอดอล เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลมาก ในการที่จะหยิบสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาเล่น หรือ มาใช้ เมื่ออัปลงโซเชียลแล้วล่ะก็ แฟนคลับต่างหันไปซื้อมาใช้ตาม ๆ กัน จนเกิดเป็นเทรนด์ขึ้นมา และหนึ่งในนั้นคือ Surf Skate นั่นเอง กลายเป็นกีฬาฮิตกันทั่วเมือง จนมีสถานที่เปิดให้เล่นมากมายเกิดขึ้น ขนาดในช่วงปี 2020 แม้จะดูเศรษฐกิจซบเซาในยุคโควิท-19 แต่ก็ทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับการเล่นเซิร์ฟเติบโตถึง 5 เท่า! และตอนนี้ก็ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก โดยมีแบรนด์ยอดนิยม หรือ ลวดลายที่ผู้คนต้องการ จนราคาพุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดหย่อน ทีนี้ถ้าหากใครยังลังเล อยากจะได้มาเป็นเจ้าของหรือว่าของมันต้องมีจริง ๆ ต้องพิจารณาให้ดีเชียวล่ะ ว่า Surf Skate จะเป็นเพียงกีฬากระแสหรือไม่...


อ้างอิง

https://thomasthailand.co/activity/surfskate/ 
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/926899 
https://www.mainstand.co.th/catalog/1-Feature/2239

นาคในพม่า ตำนานที่มีตัวตน

“นาค” เป็นสัตว์ที่มีอยู่ในตำนานของพระพุทธศาสนา และผูกพันกับคนไทย ลาว และเขมรหรือเราเรียกว่าผู้คนลุ่มน้ำโขงมาช้านาน ในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้พิทักษ์ศาสนสถานและโบราณสถานต่าง ๆ แต่ต้นกำเนิดของคำว่านาคนั้นห่างไทย ลาว และเขมรมาก ลึกเข้าไปในดินแดนที่เป็นพรมแดนอินเดียและเมียนมาร์ในปัจจุบัน และพวกเขายังมีตัวตนอยู่ พวกเขาคือ “เหล่านาคา”

เผ่านาคา หรือนากา เป็นชนเผ่าโบราณเชื่อว่ามีมาก่อนสมัยพุทธกาลอาศัยอยู่บริเวณรัฐมณีปุระ (Manipur) รัฐอรัณาจัล ประเทศ (Arunachal Pradesh) และรัฐอัสสัม (Assam) ในอินเดีย จวบจนถึงรัฐสะกาย (Sagaing) และรัฐคะฉิ่น (Kachin) ในเมียนมาร์แต่สถานที่ที่มีชาวนาคาอยู่มากที่สุดคือ นากานาคาแลนด์ได้รับการจัดตั้ง ขึ้นเป็นรัฐที่ 16 ของประเทศอินเดียในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2506

โดยแบ่งการปกครองภายในออกเป็น 11 เขต อันได้แก่ Kohima (เมืองหลวง), Phek, Mokokchung, Wokha, Zunheboto, Tuensang, Mon, Dimapur, Kiphire, Longleng และ Peren สภาพภูมิประเทศของนากาแลนด์ส่วนใหญ่มีพื้นที่เป็นภูเขา โดยมีเทือกเขา Naga Hills เป็นเทือกเขาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียง ใต้ของรัฐนาคาแลนด์ มีจุดที่สูงที่สุด คือ ภูเขาสรามาติ (Mount Saramati) ซึ่งมีความสูง 3,826 เมตร อีกทั้งเทือกเขานากา นี้ยังเชื่อมต่อกับทิวเขา Patkai ของประเทศเมียนม่าร์อีกด้วย เผ่านาคาไม่ใช่ชนเผ่าศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด เพียงแต่เป็นชาติพันธุ์หนึ่งที่มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง

เผ่านากาก็เฉกเช่นชนกลุ่มน้อยทั่วไปซึ่งมีหลายกลุ่ม โดยจะแบ่งเผ่านากาใหญ่ ๆ ในเมียนมาร์ได้เป็น 8 กลุ่มแยกตามภาษาที่สื่อสารคือ Konyak, Lainong, Makury, Nokko, Para, Somra Tangkhul, Tangshang, Anal Naga นอกจาก 8 กลุ่มนี้แล้วยังมีกลุ่มย่อย ๆ อีกมากมาย ส่วนชาวนากาในอินเดียนั้นประกอบไปด้วยประชากรที่เป็น ชนเผ่า หลัก 16 เผ่า และ เผ่าย่อย ๆ อีกมากมาย ภาษา ท้องถิ่นที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างชาวนากาแลนด์จึงมีมากถึง 60 ภาษา ทั้งหมดอยู่ในตระกูลภาษา Tibeto – Burman ดังนั้นการสื่อสารระหว่างเผ่า และ ภาษาราชการในนากาแลนด์จึงใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักในการสื่อสาร

สาเหตุว่าทำไมคนในอดีตถึงเรียกเผ่านี้ว่าเผ่านากา มีปรากฎในงานเขียนของจิตร ภูมิศักดิ์ กล่าวไว้ในความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2519 อธิบายความหมายของคำว่า “นากา” หรือ “นาค” ไว้ดังนี้ คือ ‘ชาวอารยันยุคโบราณ สมัยที่ยังไม่เกิดเป็นรัฐประชาชาตินั้น มีการเหยียดหยามดูถูกพวกนาคมาก ถือเป็นพวกลักขะพวกหนึ่ง และคำเรียกชื่อชนชาติก็กล่าวกันว่ามาจากภาษาอัสสัม ซึ่งเขียน naga แต่อ่านออกเสียงเป็น นอค (noga) แปลว่า เปลือย แก้ผ้า บ้างก็มาจากภาษาฮินดูสตานีว่า นัค (nag) แปลว่า คนชาวเขา ในขณะที่ สุจิตต์ วงษ์เทศ กล่าวไว้ในนาคในประวัติศาสตร์อุษาอาคเนย์ ตีพิมพ์โดยมติชน เมื่อปี พ.ศ. 2546 สรุปความว่า สังคมอินเดียเมื่อสมัยพุทธกาลมีการเหยียดหยามคนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยที่มีอารยธรรมด้อยกว่าตน เหยียดลงให้เป็นผี เป็นสัตว์ เป็นยักษ์ ไม่อาจเทียบชั้นกับพวกตนที่เป็นมนุษย์ได้ โดยเฉพาะการไม่ยอมรับชนเผ่านาคหรือนาคาว่าเป็นมนุษย์ แม้จะพูดคุยภาษามนุษย์ด้วยกันรู้เรื่อง โดยมองพวกเขาเป็นเพียงสัตว์อย่างลิงค่างบ่างชะนีป่าเถื่อน จึงไม่ยอมรับให้ชนเผ่านาคหรือนาคาเข้าอุปสมบทในพุทธศาสนา

เป็นความเชื่อกันว่า คำว่า “นากา” หรือ “นาค” เป็นคำในภาษาอินเดียซึ่งใช้เรียกชนกลุ่มน้อยของตนที่ถูกมองว่ามีอารยธรรมต่ำต้อยกว่าในเชิงดูถูก ในขณะที่บางท่านเชื่อว่า คำว่า “นากา หรือ นาค” นี้ ชาวอินเดียหมายถึงผู้คนในแถบอุษาคเนย์ทั้งหลายด้วย เป็นลักษณะของพวกคนเถื่อนไม่นุ่งผ้าไร้อารยธรรมนั่นเอง แต่ก็ได้หลักฐานทางวิชาการอีกฝ่ายกล่าวว่า คำว่า “นากา” (Naga) เป็นคำที่มาจากคำว่า “Naka” ในภาษาพม่า แปลว่า “ผู้ที่เจาะจมูก”… ก็เพราะชาวนาคาในอดีตเจาะจมูกห้อยห่วงไว้ตามขนบประเพณีของพวกเขานั่นเอง

แต่หากมองจากอีกมุมจะเห็นว่าเผ่านากา หรือ นาคนั้นเป็นชนเผ่าที่มีการรักษาเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของตนไว้ได้อย่างเหนียวแน่นผ่านกาลเวลาและภูมิประเทศแม้จะถูกแบ่งออกเป็น 2 แผ่นดินแต่มิอาจแบ่งแยกวัฒนธรรมของเผ่านากาได้

ปัจจุบันมีพิธี Hornbill Festival ในอินเดียเป็นงานมหกรรมวัฒนธรรมประจำรัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวนากาแลนด์ จัดขึ้นเป็นประจำระหว่างวันที่ 1 - 7 ธ.ค.ของทุกปี (วันที่ 1 ธ.ค.เป็นวันก่อตั้งรัฐนากาแลนด์) ชื่องานนี้แปลตรงตัวว่า “เทศกาลนกเงือก” ส่วนในเมียนมาร์นั้นมีงานเทศกาลปีใหม่ของชาวนากาที่จัดขึ้นทุกเดือนมกราคมของทุกปีช่วงหลังเก็บเกี่ยว

ในอดีตก่อนที่จะมีนากาแลนด์ชาวนากาคือนักรบผู้ยิ่งใหญ่หลายคนรู้จักพวกเขาในนามนักล่าหัวคนและหลังจากที่อินเดียพยายามผนวกดินแดนนากาแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของอินเดียนั้น พวกเขาก็ต่อสู้เพื่อเอกราชของเขามาตลอดจนอินเดียเลือกที่จะทำสนธิสัญญาหยุดยิงและให้มอบนากาแลนด์ให้เป็นเขตพื้นที่ปกครองตนเองเช่นเดียวกับฝั่งเมียนมาร์ที่มอบพื้นที่ให้เป็นเขตปกครองตนเองนากาเช่นกัน


ขอบคุณข้อมูลจาก

1. เพจศิลปะวัฒธรรมเวปไซต์วิกิพีเดีย

2. เวปไซต์วิกิพีเดีย

3. เวปไซต์สถานทูตไทยในกรุงเดลฮี

เรื่องราวความเป็นมาของคลองสุเอซ (Suez Canal) ซึ่งมีเรือบรรทุกสินค้าใช้เส้นทางถึง 15% ของการขนส่งทางน้ำทั่วโลก

ข่าวของเรือ Ever Given เรือบรรทุกสินค้าขนาดยักษ์ของบริษัท Shoei Kisen Kaisha ญี่ปุ่น โดยมี Evergreen Marine บริษัทเรือสินค้าระดับโลกของไต้หวัน และเป็นเจ้าของสายการบิน EVA ด้วยเช่าใช้ ตัวเรือมีความยาวประมาณ 400 เมตร และมีระวางขับน้ำกว่า 200,000 ตัน ประสบเหตุเกยตื้นชายฝั่งคลองสุเอซ โดยเรือเกยตื้นเป็นแนวเอียงขวางสองฝั่งคลองจนกลายเป็นการปิดการจราจรของคลองสุเอซไปโดยปริยาย ขณะเดียวกันทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่สามารถกำหนดช่วงเวลาว่าจะสามารถเคลื่อนย้ายเรือได้ว่าเมื่อใดยิ่งสร้างความวิตกกังวลให้กับทุกฝ่าย ด้วยอาจเป็นการสร้างแรงกระเพื่อมให้กับเส้นทางการเดินเรือสินค้าทั่วโลก โดยในส่วนของการจราจรทางเรือที่ผ่านคลองสุเอซนั้น มีอัตราความหนาแน่นคิดเป็น 12% ของการเดินเรือสินค้าทั่วโลก (วันละเฉลี่ย 51.5 ลำ เฉลี่ยระวางบรรทุกถึง 300 ล้านตันต่อปี) โดยคลองสุเอซเป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างทวีปยุโรป (ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มหาสมุทรแอตแลนติก) กับทวีปเอเชีย (ทะเลแดง มหาสมุทรอินเดีย)

คลองสุเอซเป็นเส้นทางน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อเชื่อมต่อระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับมหาสมุทรอินเดียผ่านทะเลแดง ช่วยให้สามารถเดินเรือระหว่างยุโรปและเอเชียได้โดยตรงมากขึ้น ทำให้การเดินทางจากมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือไปยังมหาสมุทรอินเดียได้รวดเร็วขึ้น ไม่ต้องวนรอบทวีปแอฟริกาอ้อมแหลม Good Hope (ซึ่งต้องใช้ระยะทางเพิ่มขึ้นอีก 6,500 กิโลเมตร และเวลาเพิ่มขึ้นอีกราว 9 วัน) จึงเป็นเส้นทางน้ำที่มีความสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศ และด้วยเหตุนี้จึงเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งนับตั้งแต่เปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2412 คลองสุเอซทอดยาว 120 ไมล์จาก Port Said บนทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในอียิปต์ทางใต้ไปยังเมืองสุเอซ (ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตอนเหนือของอ่าวสุเอซ) ของอียิปต์เช่นกัน ใช้เวลาสร้าง 10 ปีและเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2412

แนวคิดในการก่อสร้างคลองสุเอซเกิดจากความสนใจในเส้นทางเดินเรือที่เชื่อมระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลแดง ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ คลองเล็ก ๆ หลายสายที่เชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำไนล์ (และขยายต่อไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) ไปยังทะเลแดงถูกนำมาใช้ตั้งแต่ช่วง 2000 ปีก่อนคริสตกาล อย่างไรก็ตามการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลแดงถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อันเนื่องจากข้อกังวลที่ว่า ระดับความสูงของน้ำทะเลที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงเชื่อมด้วยเส้นทางบกหลายสายโดยใช้รถม้า และต่อมามีการใช้รถไฟ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่จักรวรรดิอังกฤษซึ่งทำการค้ากับอาณานิคมของตนทั้งอินเดียและปากีสถานในปัจจุบัน

Linant de Bellefonds นักสำรวจและวิศวกรชาวฝรั่งเศสซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของอียิปต์ได้เสนอแนวคิดเรื่องคลองขนาดใหญ่ที่เป็นเส้นทางตรงระหว่างทะเลทั้งสองแห่งนี้ และได้รับการกล่าวถึงเป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 1830 โดย Bellefonds ทำการสำรวจคอคอดของสุเอซ และยืนยันว่า ระดับน้ำทะเลของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลแดงนั้นตรงกันข้ามกับความเชื่อเพราะมีระดับความสูงเท่ากัน ซึ่งหมายความว่า สามารถสร้างคลองที่ไม่มีประตูได้ จึงทำให้การก่อสร้างง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก

ในช่วงทศวรรษที่ 1850 เมื่อมองเห็นโอกาสของอียิปต์และจักรวรรดิออตโตมันซึ่งปกครองประเทศในเวลานั้น Khedive Said Pasha (ข้าหลวงของจักรวรรดิออตโตมานผู้ดูแลอียิปต์และซูดาน) ได้อนุญาตให้ Ferdinand de Lesseps นักการทูตฝรั่งเศสได้รับอนุญาตให้ตั้งบริษัทเพื่อขุดคลอง ในที่สุดบริษัทดังกล่าวก็กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ Suez Canal Company และได้รับสัญญาเช่า 99 ปีสำหรับเส้นทางน้ำ และพื้นที่บริเวณโดยรอบ การดำเนินการครั้งแรกของ Lesseps คือการจัดตั้งคณะกรรมาธิการสากล (Commission Internationale) เพื่อการรับรู้ de l’isthme des Suez หรือ International Commission for the Piercing of the Isthmus of Suez คณะกรรมาธิการดังกล่าวประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญ 13 คนจาก 7 ประเทศ ซึ่งรวมถึง Alois Negrelli ซึ่งเป็นวิศวกรโยธาชั้นของโลกนำในขณะนั้น รายงานขั้นสุดท้ายของคณะกรรมาธิการเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2399 สองปีต่อมา บริษัท คลองสุเอซจึงได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ภายหลังจากการศึกษาผลงานของ Bellefonds และการสำรวจพื้นที่ดั้งเดิมของ Bellefonds แล้ว Negrelli จึงทำการขุดคลองสุเอซอย่างมีประสิทธิภาพ และมีบทบาทนำในการพัฒนาแผนสถาปัตยกรรมตามแนวคิดของ Bellefonds สำหรับคลองสุเอซ

การขุดคลองสุเอซเริ่มขึ้นที่ปลายสุดของคลอง Port Said ทางตอนเหนือสุดในช่วงต้นปี พ.ศ. 2402 การขุดใช้เวลา 10 ปี และมีคนประมาณ 1.5 ล้านคนร่วมทำงานในโครงการนี้ น่าเสียดายที่การคัดค้านของนักลงทุนชาวอังกฤษฝรั่งเศสและอเมริกันคัดค้านแรงงานทาสไม่เป็นผล และเชื่อกันว่า มีแรงงานหลายหมื่นคนเสียชีวิตขณะทำงานจากอหิวาตกโรคและสาเหตุอื่น ๆ ความวุ่นวายทางการเมืองในภูมิภาคส่งผลเสียต่อการสร้างคลอง อียิปต์ถูกปกครองโดยอังกฤษในเวลาต่อมา และฝรั่งเศสในเวลานั้นมีการก่อการกบฏหลายครั้งเพื่อต่อต้านการปกครองอาณานิคม สิ่งนี้ประกอบกับข้อจำกัดของเทคโนโลยีการก่อสร้างในยุคนั้นทำให้ต้นทุนทั้งหมดในการขุดคลองสุเอซเพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าประมาณการเดิมถึงสองเท่า

ภาพวาด Ismail Pasha, Khedive แห่งอียิปต์และซูดานทำพิธีเปิดคลองสุเอซอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2412 โดยเรือลำแรกที่เดินเรือผ่านคลองอย่างเป็นทางการคือเรือยอทช์ของจักรพรรดินี Eugenie แห่งฝรั่งเศส เรือ L’Aigle ตามด้วยเรือ Delta ซึ่งเป็นเรือเดินสมุทรของอังกฤษ และ HMS Newport ซึ่งเป็นเรือรบของกองทัพเรืออังกฤษเป็นเรือลำแรกที่เข้าสู่ร่องน้ำโดยกัปตันได้นำเรือภายใต้ความมืดในคืนก่อนพิธีเปิด กัปตัน George Nares ถูกตำหนิอย่างเป็นทางการสำหรับการกระทำดังกล่าว แต่ยังได้รับการยกย่องอย่างลับ ๆ จากรัฐบาลอังกฤษสำหรับความพยายามของเขาในการส่งเสริมผลประโยชน์และเกียรติภูมิของชาติในภูมิภาคนี้ และเรือ S.S. Dido เป็นเรือลำแรกที่ผ่านคลองสุเอซจากใต้สู่เหนือ

Ismail Pasha, Khedive ข้าหลวงจักรวรรดิออตโตมันแห่งอียิปต์และซูดานได้ทำพิธีเปิดคลองสุเอซอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2412 โดยเรือลำแรกที่เดินเรือผ่านคลองอย่างเป็นทางการคือ เรือยอทช์ของจักรพรรดินี Eugenie แห่งฝรั่งเศส เรือ L’Aigle ตามด้วยเรือ Delta ซึ่งเป็นเรือเดินสมุทรของอังกฤษ แต่อันที่จริงแล้ว HMS Newport ซึ่งเป็นเรือรบของกองทัพเรืออังกฤษเป็นเรือลำแรกที่เข้าสู่ร่องน้ำของคลองสุเอซโดยกัปตัน George Nares ได้นำเรือผ่านคลองสุเอซภายใต้ความมืดในคืนก่อนพิธีเปิด กัปตัน George Nares ถูกตำหนิอย่างเป็นทางการสำหรับการกระทำดังกล่าว แต่ยังได้รับการยกย่องอย่างลับ ๆ จากรัฐบาลอังกฤษสำหรับความพยายามของเขาเพื่อเป็นการส่งเสริมผลประโยชน์และเกียรติภูมิของชาติในภูมิภาคนี้ และเรือ S.S. Dido เป็นเรือลำแรกที่ผ่านคลองสุเอซจากแนวทิศใต้สู่ทิศเหนือ

ในตอนแรกมีเพียงเรือกลไฟเท่านั้นที่สามารถแล่นผ่านคลองได้ เนื่องจากเรือเดินทะเลที่ใช้ใบยังคงมีปัญหาการเดินเรือในช่องทางแคบด้วยกระแสลมที่ไม่เสถียรของภูมิภาค แม้ว่าการจราจรจะน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วง 2 ปีแรกของการขุดคลองอันเนื่องมาจากผลกระทบอย่างมากจากปัญหาเศรษฐกิจการค้าของโลก แต่คลองสุเอซก็มีบทบาทสำคัญในการล่าอาณานิคมของแอฟริกาโดยมหาอำนาจของยุโรป ถึงกระนั้นก็ตามบริษัทเจ้าของคลองสุเอซก็ประสบปัญหาทางการเงิน Ismail Pasha และคนอื่น ๆ ถูกบังคับให้ขายหุ้นของตนให้จักรวรรดิอังกฤษในปี พ.ศ. 2418 อย่างไรก็ตามฝรั่งเศสยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทเจ้าของสัญญาเช่าคลอง 99 ปี

ภาพถ่ายทางอากาศของคลองสุเอซในปี พ.ศ. 2477 (ค.ศ. 1934) โดย Walter Mittelholzer นักบินและช่างภาพชาวสวิส

คลองสุเอซในช่วงสงคราม ในปี พ ศ. 2431 อนุสัญญากรุงคอนสแตนติโนเปิลได้กำหนดให้คลองสุเอซดำเนินการโดยถือเป็นเขตที่เป็นกลางภายใต้การคุ้มครองของอังกฤษ ซึ่งในตอนนั้นถือว่ามีการควบคุมพื้นที่โดยรอบรวมทั้งอียิปต์และซูดาน อังกฤษได้ปกป้องคลองจากการโจมตีของจักรวรรดิออตโตมันในปี พ.ศ. 2458 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 สนธิสัญญาแองโกล - อียิปต์ปี พ.ศ. 2479 ยืนยันอีกครั้งว่า อังกฤษสามารถควบคุมเส้นทางน้ำที่สำคัญนี้ ซึ่งมีความสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อฝ่ายอักษะโดยอิตาลีและเยอรมันพยายามยึดครอง แม้จะคลองสุเอซจะมีสถานะเป็นกลางก็ตาม แต่เรือของฝ่ายอักษะก็ถูกห้ามไม่ให้แล่นผ่านคลองสุเอซในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2494 อียิปต์ได้ถอนตัวจากสนธิสัญญาแองโกล - อียิปต์ หลังจากการเจรจาหลายปีอังกฤษได้ถอนทหารออกจากคลองสุเอซในปี พ.ศ. 2499 และส่งมอบการควบคุมให้กับรัฐบาลอียิปต์เพื่อให้มีประสิทธิภาพภายใต้การนำของประธานาธิบดี Gamal Abdel Nasser โดยประธานาธิบดี Nasser ได้จัดการควบคุมการดำเนินงานของคลองสุเอซอย่างรวดเร็ว และได้โอนความเป็นเจ้าของให้กับ Suez Canal Authority (SCA) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจของอียิปต์ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2499 ทั้งสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาต่างโกรธเคืองในความเคลื่อนไหวนี้เช่นเดียวกับความพยายามของรัฐบาลอียิปต์ในการสร้างความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตในเวลานั้น ในขั้นต้นทั้งสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาถอนสัญญาการสนับสนุนทางการเงินสำหรับการปรับปรุงตามแผนในพื้นที่สุเอซรวมถึงการก่อสร้างเขื่อนอัสวาน

อย่างไรก็ตามทั้งสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาและมหาอำนาจอื่น ๆ ในยุโรปต่างก็โกรธแค้นมากด้วยการตัดสินใจของรัฐบาล Nasser ที่จะปิดช่องแคบ Tiran ซึ่งเป็นเส้นทางน้ำที่เชื่อมระหว่างอิสราเอลกับทะเลแดง โดยห้ามเรืออิสราเอลทั้งหมด และเพื่อเป็นการตอบโต้ ตุลาคม พ.ศ. 2499 กองกำลังจากอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิสราเอล ได้ขู่ว่าจะบุกอียิปต์ซึ่งนำไปสู่วิกฤตสุเอซ ต่อมา Lester B. Pearson รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของแคนาดาได้เสนอให้สหประชาชาติให้จัดตั้งกองกำลังรักษาสันติภาพขึ้น ซึ่งถือเป็นกองกำลังรักษาความสงบแห่งแรกเพื่อทำการปกป้องคลองสุเอซ และเพื่อเป็นการรับรองการเข้าถึงการใช้คลองสุเอซของทุกชาติ สหประชาชาติให้สัตยาบันข้อเสนอของ Pearson ในวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 แม้ว่า SCA ยังคงดำเนินการบริหารจัดการคลองสุเอซ ต่อไปก็ตาม แต่กองกำลังของสหประชาชาติยังคงอยู่เพื่อรักษาสันติภาพในคาบสมุทรไซนายที่อยู่ใกล้เคียง และนี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่คลองสุเอซจะมีบทบาทสำคัญต่อความขัดแย้งระหว่างประเทศ

สงครามอาหรับ - อิสราเอล เมื่อเริ่มสงครามหกวันปี 1967 ประธานาธิบดี Nasser ได้สั่งให้กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติถอนออกจากคาบสมุทรไซนาย อิสราเอลจึงส่งทหารเข้าไปในภูมิภาคนี้ทันที และในที่สุดก็สามารถเข้าควบคุมฝั่งตะวันออกของคลองสุเอซ ประธานาธิบดี Nasser จึงให้ทำการปิดล้อมการจราจรทางทะเลทั้งหมดเพื่อไม่ต้องการให้เรือของอิสราเอลสามารรถเข้าถึงคลองสุเอซ จนทำให้เรือบรรทุกสินค้า 15 ลำที่แล่นเข้ามาในคลองสุเอซในช่วงเวลาของการปิดล้อมต้องติดค้างอยู่ในคลองสุเอซเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งมีการเปิดใช้คลองสุเอซ หลังจากกองเรือกวาดทุ่นระเบิดของสหรัฐฯและอังกฤษเข้ากวาดล้างทุ่นระเบิดในคลองสุเอซจนปลอดภัยอีกครั้ง ประธานาธิบดีคนใหม่ของอียิปต์ในขณะนั้น Anwar Sadat ได้เปิดใช้คลองสุเอซอีกครั้งในปี พ.ศ. 2518 และเป็นผู้นำขบวนเรือมุ่งหน้าตามคลองสุเอซไปทางเหนือไปยัง Port Said อย่างไรก็ตามกองกำลังอิสราเอลยังคงอยู่ในคาบสมุทรไซนายจนถึงปี พ.ศ. 2524 อันเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาสันติภาพอียิปต์ - อิสราเอล ปี พ.ศ. 2522 กองกำลังนานาชาติและผู้สังเกตการณ์ถูกส่งไปประจำการที่นั่นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันคลอง ซึ่งยังคงประจำอยู่จนถึงทุกวันนี้

อาคาร Suez Canal Authority (SCA) ผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการคลองสุเอซ

สำนักงานบริหารและจัดการตลองสุเอซ (Suez Canal Authority : SCA) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2499 โดยประธานาธิบดี Gamal Abdel Nasser เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและเป็นหน่วยงานอิสระนิติบุคคล ซึ่ง SCA จะรายงานต่อนายกรัฐมนตรีของอียิปต์ ประกอบด้วยหน่วยงานทั้งหมดที่จำเป็นในการบริหารจัดการคลองสุเอซ รวมทั้งการดำเนินการขุดลอกคลองสุเอซ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยกฎหมาย ระเบียบ ข้อปฏิบัติ และระบบของรัฐบาล โดย SCA เป็นเพียงหน่วยงานเดียวที่จัดการดำเนินในการใช้ บำรุงรักษา และปรับปรุงคลองสุเอซ และโดยเฉพาะในการออกและบังคับใช้กฎการเดินเรือในคลองสุเอซ ตลอดจนกฎและข้อบังคับอื่น ๆ ที่ช่วยให้การบบริหารจัดการให้การเดินเรือในคลองสุเอซเป็นระเบียบเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ โดย SCA อาจจัดตั้ง สนับสนุน หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งโครงการที่เกี่ยวข้องกับคลองสุเอซ เมื่อจำเป็น SCA ในการปฏิบัติตามหน้าที่และภาระผูกพันโดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจในการเป็นเจ้าของครอบครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ SCA อาจให้เช่าที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ของตน และอาจเช่าที่ดิน เมื่อจำเป็น SCA ในการปฏิบัติตามหน้าที่และภาระผูกพันโดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจในการเป็นเจ้าของครอบครองที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ SCA อาจให้เช่าที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ของตน และอาจเช่าที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ของบุคคลอื่นเช่นกันเพื่อตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ในการบริหารจัดการคลองสุเอซ และเพื่อสวัสดิการของพนักงาน หรือเพื่อสร้างโครงการและสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการคลองสุเอซเพื่อช่วยให้การใช้งานคลองสุเอซได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นสถานีน้ำและโรงไฟฟ้า ฯลฯ

เรือบรรทุกเครื่องบิน USS America (CV-66) ขณะแล่นผ่านคลองสุเอช

SCA จะกำหนดและเรียกเก็บค่าผ่านทางสำหรับการนำทางและการขนส่งผ่านคลองสุเอซและในการนำร่อง การลากจูง การจอดเรือ และการดำเนินการอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันตามกฎหมายและข้อบังคับ SCA มีงบประมาณแยกต่างหากซึ่งเป็นไปตามกฎที่ใช้กับโครงการเชิงพาณิชย์ ปีงบประมาณเริ่มในวันที่ 1 กรกฎาคม และสิ้นสุดในวันที่ 30 มิถุนายนของทุกปี SCA จะไม่ดำเนินการใด ๆ ที่ขัดต่อบทบัญญัติของอนุสัญญาคอนสแตนติโนเปิล ปี ค.ศ. 1888 เกี่ยวกับการเดินเรืออย่างเสรีในคลองสุเอซทางทะเล และจะไม่ให้สิทธิพิเศษใด ๆ กับเรือหรือบุคคลปกติ / ตามกฎหมายที่ไม่ได้รับในสถานการณ์เดียวกัน สำหรับเรือลำอื่น ๆ หรือบุคคลปกติ / ตามกฎหมาย และจะไม่เลือกปฏิบัติต่อลูกค้าบางรายเพื่อสนับสนุนลูกค้ารายอื่น คลองสุเอซในปัจจุบันทุกวันนี้มีเรือเดินเรือผ่านคลองสุเอซโดยเฉลี่ย 51.5 ลำทุกวัน ซึ่งมีระวางบรรทุกสินค้ามากกว่า 300 ล้านตันต่อปี ในปี พ.ศ. 2557 รัฐบาลอียิปต์ได้จัดทำโครงการขยายคลองสุเอซมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งขยายคลองสุเอซจาก 61 เมตรเป็น 312 เมตร เป็นระยะทาง 21 ไมล์ โครงการนี้ใช้เวลาหนึ่งปีในการดำเนินการ และด้วยเหตุนี้คลองสุเอซจึงสามารถรองรับเรือที่จะแล่นผ่านพร้อมกันทั้งสองทิศทางได้

แม้ว่าจะมีเส้นทางที่กว้างขึ้น แต่ในวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2564 เวลา 05:40 UTC (07:40 น. ตามเวลาท้องถิ่น) เรือบรรทุกสินค้า Ever Given เรือคอนเทนเนอร์ขนาดยักษ์ที่ดำเนินการโดยบริษัท Evergreen Marine ไต้หวัน ซึ่งมีความยาวประมาณ 400 เมตร และระวางขับน้ำกว่า 200,000 ตัน มุ่งหน้าจากจีนไปยุโรปก็ติดอยู่ในคลองสุเอซ จนปิดกั้นเรือเดินทะเลรวมแล้วมากกว่า 350 ลำ ณ ปลายแต่ละด้านของคลองสุเอซ หลังจากที่มีความพยายามขุดลอกทรายตลอดช่วงสุดสัปดาห์ ทีมกู้ภัยเรือจาก SCA และทีมงานจากบริษัท Smit Salvage ของเนเธอร์แลนด์ ก็ได้เริ่มใช้เรือลากจูงกว่า 10 ลำดึงเรือยักษ์จากทั้งส่วนหัวและท้ายตั้งแต่ช่วงกลางดึกของวันนี้ (29 มีนาคม) ล่าสุด SCA ยืนยันว่า เรือ Ever Given ได้ถูกดึงกลับมาอยู่ในแนวขนานกับลำคลองเรียบร้อยแล้ว

โดยทีมกู้ภัยจะเริ่มปฏิบัติการลากจูงเรืออีกครั้งหลังจากที่กระแสน้ำขึ้น โดยคาดว่าจะสามารถเปิดคลองสุเอซให้เรือสินค้าสัญจรผ่านได้ตามปกติหลังจากที่เรือ Ever Given ถูกนำไปยังบริเวณ Great Lakes ซึ่งเป็นจุดที่ลำคลองมีความกว้างเป็นพิเศษ การขนส่งสินค้าทางน้ำราว 15% ของทั่วโลกจะต้องผ่านคลองสุเอซ ซึ่งช่วยดึงเงินตราต่างประเทศเข้าสู่ประเทศอียิปต์ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ วิกฤตเรือยักษ์ขวางคลองครั้งนี้ ทำให้รัฐบาลอียิปต์ต้องสูญเสียรายได้ไม่ต่ำกว่า 14 - 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัน และการที่เรือลำนี้จอดปิดเส้นทางอยู่ก็ส่งผลให้อัตราค่าขนส่งของเรือบรรทุกน้ำมันพุ่งขึ้นเกือบ 2 เท่า ทั้งนี้ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางเรือบางรายตัดสินใจนำเรือไปอ้อมแหลม Good Hope แทน ซึ่งจะต้องใช้เวลาเดินทางนานขึ้นประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ ทำให้ต้นทุนของเชื้อเพลิงสูงอีกขึ้นด้วย

เรือ Ever Given ได้ถูกดึงกลับมาอยู่ในแนวขนานกับลำคลองเรียบร้อยแล้ว

คิดถึง “Dilwara” วัดเชนที่งดงามและทรงคุณค่าที่สุดในปฐพี

เพราะเจ้าโควิดนี่เองที่ทำให้ผู้คนไม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศกันได้เกินกว่า 1 ปีแล้ว ทั้ง ๆ ที่ผมตั้งใจไว้ตั้งแต่ก่อนเกษียณอายุราชการว่า หลังเกษียณจะทำสามสิ่งคือ “นอนตื่นสาย บ่ายเดินห้าง ว่าง ๆ ไปต่างประเทศ” แต่เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้เลยสักอย่าง ส่วนหนึ่งก็เพราะเจ้าโควิดนี่เอง โดยในสามสิ่งที่อยากทำและเสียดายมากที่สุดก็คือการเดินทางท่องเที่ยวไปในต่างประเทศที่เล็งไว้หลายที่

มีเพื่อนฝูงถามไถ่มาหลายคนว่าถ้าหมดโควิด (ซึ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะอีกนานแค่ไหน) จะไปเที่ยวประเทศไหนเป็นประเทศแรก ผมก็ตอบได้ทันทีแบบไม่ต้องคิดเลยว่า “อินเดีย” เพราะเคยประจำการอยู่ที่เมืองมุมไบหลายปีและได้หลงเสน่ห์อินเดียแบบถอนตัวไม่ขึ้นไปแล้ว โดยสถานที่แรกในอินเดียที่ผมจะต้องไปให้ได้และคิดถึงอยู่ตลอดก็คือ Dilwara วัดเชนที่แสนจะงดงามบนภูเขาที่ชื่อว่า Mount Abu ในรัฐราชสถานนั่นเอง

แต่ก่อนที่ผมจะพาทุกท่านไปพบกับความงดงามของ Dilwara ผมขออนุญาตเกริ่นนำให้รู้จักกับ “ศาสนาเชน” (ที่อินเดียจะออกเสียงเป็น “เจน”) ซึ่งเป็นที่มาของ “วัดเชน” เสียก่อนด้วยข้อมูลเบื้องต้นจาก Wikipedia โดยศาสนาเชน (Jainism) มาจากคำว่า “ไชนะ” หรือ “ชินะ” ในภาษาสันสกฤตซึ่งแปลว่า “ผู้ชนะ” และสามารถลุยข้ามสายน้ำแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ เป็นศาสนาเก่าแก่ของอินเดีย เป็นหนึ่งในลัทธิสำคัญทั้งหกที่เกิดร่วมสมัยกับพระโคตมพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน โดยในศาสนาเชนเชื่อว่ามีศาสดาที่เรียกว่า “ตีรถังกร” อยู่ด้วยกัน 24 องค์ในจักรวาลปัจจุบัน องค์แรกคือ พระอาทินาถ และองค์สุดท้ายก็คือ พระมหาวีระหรือพระมหาวีร์ โดยตีรถังกรคือบุคคลผู้บรรลุเกวลญานหรือเป็นสัพพัญญู และเผยแผ่ธรรมะนั้น โดยในบรรดาตีรถังกรทั้ง 24 องค์นั้น ที่ได้รับการเคารพบูชาสูงสุดมีอยู่สี่องค์คือ พระอาทินาถ พระเนมินาถ พระปารศนาถ และพระมหาวีระหรือมหาวีร์ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายมีชีวิตอยู่ราว 500 ปีก่อนคริสตกาล

โดยศาสนิกชนในศาสนาเชนที่เคร่งจะถือปฏิญญา 5 ประการ คือ อหิงสา (ความไม่รุนแรง) สัตยะ (ความจริง) อสตียะ (ไม่ลักขโมย) พรหมจรรย์ (การถือพรหมจรรย์) และอปริเคราะห์ (ความไม่ยึดติด) ซึ่งหลักการเหล่านี้นำไปสู่วัฒนธรรมเชนที่มีลักษณะเฉพาะหลายประการโดยเฉพาะการรับประทานอาหารมังสวิรัติที่เข้มงวดมากเพื่อป้องกันการทำลายสัตว์ต่าง ๆ และรบกวนวงจรชีวิตของมัน เพราะฉะนั้นศาสนิกชนในศาสนาเชนจะไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ไข่ และส่วนของพืชที่มาจากใต้ดินเนื่องจากการขุดดินลงไปอาจไปทำลายสัตว์เล็ก ๆ รวมทั้งแมลงหรือไข่ของแมลงที่อยู่ใต้ดินได้ โดยศาสนาเชนมีคติพจน์ว่า “ปรัสปโรปัครโห ชีวานาม” อันแปลว่า “หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตหนึ่งคือการช่วยเหลือกัน” เพราะฉะนั้นนักบวชในศาสนาเชนจึงไม่สามารถนั่งยานพาหนะใด ๆ ได้เพราะการเดินทางโดยยานพาหนะอาจจะไปทำลายสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ระหว่างการเดินทางโดยไม่ตั้งใจ ก็เลยทำให้การเผยแพร่ศาสนาเชนเป็นไปได้ยาก

ทั้งนี้ ศาสนาเชนหลัก ๆ แล้วจะแบ่งออกเป็นสองนิกาย ได้แก่ นิกายทิฆัมพร (นักบวชจะนุ่งลมห่มฟ้าเป็นชีเปลือย) กับนิกายเศวตัมพร (นักบวชจะนุ่งห่มด้วยผ้าสีขาว) และยังมีสาขาย่อยแตกออกไปอีกมากมาย ในปัจจุบันศาสนาเชนมีศาสนิกชนทั่วโลกแค่ประมาณ 4 - 5 ล้านคน โดยส่วนมากอยู่ในประเทศอินเดียแต่ก็มีสัดส่วนอยู่แค่เพียง 0.4% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของอินเดียเท่านั้น นอกจากนี้ ส่วนน้อยนอกอินเดียก็จะอยู่ที่แคนาดา ยุโรป เคนยา สหราชอาณาจักร ฮ่องกง ฟิจิ และสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจำนวนศาสนิกชนในศาสนาเชนจะมีจำนวนน้อยมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนรวยมีฐานะทางเศรษฐกิจดีเนื่องจากไม่สามารถประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรได้ เพราะการขุดดินหรือการไถพรวนดินจะทำให้สิ่งมีชีวิตในดินถูกทำลายลงซึ่งขัดกับคำสอนของศาสนา เพราะฉะนั้น ศาสนิกชนในศาสนาเชนส่วนใหญ่จึงเป็นนักการค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพ่อค้าเพชรซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรัฐคุชราตและในเมืองมุมไบในรัฐมหาราษฎร์ของอินเดีย และนั่นก็คือสาเหตุสำคัญที่วัดเชนทุกวัดจะถูกสร้างขึ้นมาอย่างสวยงามเพราะมีสปอนเซอร์ดีนั่นเอง

สำหรับ Dilwara Temples เป็นหมู่ศาสนสถานของศาสนาเชนที่ถูกสร้างขึ้นมาอยู่ในบริเวณเดียวกันจำนวน 5 วัดหรือ 5 มณเฑียร บางครั้งก็เขียนเป็น Delwara ตามการออกเสียง ตั้งอยู่บนภูเขาที่ชื่อว่า Mount Abu บนระดับความสูงประมาณ 1,219 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในรัฐราชสถาน โดยหมู่มณเฑียรทั้งห้านี้ตั้งอยู่รวมกันภายในกำแพงสูงหนึ่งเดียวท่ามกลางขุนเขาที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้ แต่ละแห่งมีเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมของตน โดยชื่อ Dilwara ก็มาจากชื่อของหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่หมู่มณเทียรนี้ตั้งอยู่ ซึ่งหมู่มณเทียรทั้งห้าแห่งนั้นประกอบด้วย

- วัดพระศรีอาทินาถหรือวัดวิมลวาซาฮี (Vimal Vasahi) สร้างขึ้นเพื่อบูชาตีรถังกรหรือพระศาสดาองค์แรกหรือพระศรีอาทินาถ

- วัดพระศรีเนมินาถหรือวัดลูนาวาซาฮี (Luna Vasahi) สร้างขึ้นเพื่อบูชาตีรถังกรองค์ที่ 22 ซึ่งก็คือ พระศรีเนมินาถ

- วัดปิตตัลหาร์ (Pittalhar) สร้างขึ้นเพื่อบูชาตีรถังกรองค์แรก พระศรีอาทินาถ

- วัดพระศรีปรศวนาถ (Parshvanath) สร้างขึ้นเพื่อบูชาตีรถังกรองค์ที่ 23 หรือพระศรีปารศนาถ

- วัดพระศรีมหาวีระสวามี (Mahavir Swami) สร้างขึ้นเพื่อบูชาตีรถังกรองค์ที่ 24 ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายคือ พระศรีมหาวีระหรือพระศรีมหาวีร์

แต่ว่าทั้ง 5 มณเฑียรของ Dilwara ปรากฏว่ามีเพียง 2 มณเฑียรเท่านั้นที่เสร็จสมบูรณ์ คือ วัดวิมลวาซาฮีกับวัดลูนาวาซาฮี ส่วนที่เหลืออีก 3 มณเฑียรสร้างไม่เสร็จ แต่แค่ 2 มณเฑียรที่สร้างเสร็จก็งดงามวิจิตรพิศดารด้วยงานแกะสลักหินอ่อนที่ละเอียดอ่อนช้อยและตระการตา ยากจะหาที่อื่นใดในโลกนี้มาเทียบได้ โดยทั้ง 5 มณเฑียรล้วนแต่สร้างขึ้นมาด้วยหินอ่อนทั้งสิ้น และเป็นหินอ่อนชั้นเยี่ยมที่มาจากเมืองมกรานา (Makrana) ในรัฐราชาสถาน แหล่งเดียวกับหินอ่อนที่ใช้ในการสร้างทัชมาฮาล ซึ่งถือเป็นแหล่งหินอ่อนคุณภาพสูงที่มีชื่อเสียงที่สุดของอินเดียโดยใช้ช้างในการขนส่งขึ้นภูเขามาสร้าง Dilwara แห่งนี้

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า Dilwara เป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามที่สุดเหนือกว่าสิ่งก่อสร้างไหน ๆ ในอินเดีย ครั้งแรกที่เดินทางไปถึงด้านหน้าของวัด Dilwara ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมากเพราะดูแล้วไม่มีอะไรจนแอบหวั่นใจว่าจะโดนหลอก เพราะมองไปก็เห็นเหมือนสิ่งก่อสร้างทั่วไปที่สร้างด้วยปูนซีเมนต์ แต่พอเดินเข้าไปในวัดเท่านั้นแหละ ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับงานแกะสลักหินอ่อนที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนและหลงรัก Dilwara มาตั้งแต่บัดนั้น และทุกครั้งที่มีเวลาว่างก็จะเดินทางไปเยือนสถานที่แห่งนี้เสมอ นับถึงปัจจุบันก็มากกว่า 10 ครั้งแล้วและก็จะยังกลับไปเยือนอีกถ้ามีโอกาส

สำหรับมณเฑียรที่โดดเด่นและสร้างเสร็จสมบูรณ์มีอยู่ 2 มณเฑียรคือ วัดพระศรีอาทินาถหรือวัดวิมลวาซาฮี (Shri Adinath Temple หรือ Vimal Vasahi Temple) กับวัดพระศรีเนมินาถหรือลูนาวาซาฮี (Shri Neminath Temple หรือ Luna Vasahi) โดยเราจะใช้เวลาเกือบทั้งหมดในการชมสองมณเฑียรนี้ ซึ่งตามปกติจะเปิดให้เข้าชมได้ทุกวันระหว่างเวลา 12.00 - 18.00 น. โดยไม่ต้องเสียค่าเข้าชม สาเหตุที่เปิดให้เข้าชมเฉพาะช่วงบ่ายก็เพราะว่าในช่วงเช้าศาสนิกชนที่นับถือศาสนาเชนจะเข้าไปสวดมนต์ตามปกติ ทางวัดก็เลยไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมได้

ในส่วนของวัดพระศรีอาทินาถหรือวัดวิมลวาซาฮี สร้างขึ้นโดยวิมล ชาห์ (Vimal Shah) รัฐมนตรีและผู้บัญชาการกองทัพบกของ Bima Dev I เจ้าผู้ครองแห่งราชวงศ์โซลังกี ออกแบบโดย วัสตุปาล (Vastupala) สร้างขึ้นในปี 1032 และมีชื่อเสียงด้วยงานหินอ่อนและงานแกะะสลักหินอ่อนอันประณีต ที่นี่เป็นสถานที่แสวงบุญสำคัญหนึ่งของศาสนาเชน และได้รับการเชิดชูว่าเป็นวัดเชนหรือมณเทียรที่ออกแบบมาได้สวยงามที่สุด โดยมีทางเข้าที่หรูหรา ส่วนตัวอาคารนั้นสร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย อันสะท้อนถึงคุณค่าของศาสนาเชนในความซื่อสัตย์และความประหยัด รายละเอียดของการแกะสลักตกแต่งไชนมนเทียรเหล่านี้มีความตระการตามาก เชื่อกันว่าช่างแกะสลักที่นี่ได้รับค่าว่าจ้างเป็นทองเท่ากับน้ำหนักของผงหินอ่อนที่เขาแกะสลัก วัดนี้เป็นวัดเชนที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาวัดเชนทั้ง 5 วัดใน Dilwara มีอายุประมาณ 1,000 ปี ภายในวัดประกอบไปด้วยโดมหลายโดมที่มีการแกะสลักเป็นรูปเทพที่สวยงามสมส่วนทั้งองค์เล็กองค์น้อยจำนวนมาก และทั้งวัดล้อมรอบด้วยพระระเบียงที่มีการแกะสลักหินอ่อนที่เสาและเพดานที่มีการแบ่งพื้นที่เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสจำนวนมากล้อมรอบวัด

อีกวัดหนึ่งคือ วัดพระศรีเนมินาถหรือวัดลูนาวาซาฮี (Luna Vasahi) สร้างขึ้นเพื่อบูชาตีรถังกรองค์ที่ 22 ซึ่งก็คือ พระศรีเนมินาถ วัดอันงดงามแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1230 โดยพี่น้อง Porwad สองคนคือ Vastupal และ Tejpal รัฐมนตรีทั้งสองของ Virdhaval ผู้ปกครอง Vaghela ของแคว้นคุชราต เพื่อรำลึกถึง Lunig พี่ชายผู้ล่วงลับไปแล้ว วิหารมีโครงสร้างคล้ายกับวัดวิมาลวาซาฮี แต่ความมีชีวิตชีวาของการแกะสลักภายในนั้นยิ่งใหญ่กว่า ห้องโถงใหญ่มีโดมตรงกลางซึ่งมีการแกะสลักอย่างประณีต มีรูปสลักของติรถังกรจำนวน 72 รูปอยู่ในท่านั่งและด้านล่างของวงนี้คือรูปสลักพระเชนขนาดเล็ก 360 รูปในอีกวงหนึ่งล้อมรอบรูปสลักของติรถังกร แต่จุดเด่นของวัดนี้จะอยู่ที่รูปแกะสลักซึ่งส่วนใหญ่จะแกะเป็นช่อดอกไม้ห้อยย้อยมาจากเพดานจำนวนมาก ดูเหมือนโคมไฟแชนเดอเลียร์ที่สวยงาม แต่เป็นฝีมือการแกะสลักหินอ่อนที่ละเอียดงดงามยากที่งานแกะสลักหินอ่อนที่ใดในโลกจะสามารถเทียบได้

ยิ่งเขียนยิ่งคิดถึง Dilwara ตอนนี้ก็แค่รอว่าโควิดหมดไปเมื่อไหร่ Dilwara จะเป็นสถานที่แห่งแรกในต่างประเทศที่ผมจะรีบเดินทางไปเยือนทันที

ก้าวแรกกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ

ปี 2564 นี้เป็นปีที่ประเทศไทยของเราจะเข้าสู่ “สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society)” คือมีประชากร “ผู้สูงอายุ” หรือคนที่อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เกินกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ แต่ประเทศไทยของเรายังขาดความพร้อมอีกหลายด้านในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุนี้ เช่น การขาดแคลนแรงงานในบางสาขาอาชีพ ระบบสาธารณูปโภคที่รองรับผู้สูงวัย รัฐสวัสดิการของผู้สูงอายุ เป็นต้น

ปัญหาใหญ่เรื่องหนึ่งที่เราพูดกันมานาน แต่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ก็คือ เงินที่จะใช้ในการดำรงชีพของผู้สูงวัยที่เกษียณจากการทำงาน ที่มีแนวโน้มว่าผู้สูงอายุหลายคนจะมีเงินไม่พอใช้ไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

หลายครอบครัวจึงส่งเสริมให้ลูกหลานไปสอบบรรจุเป็นข้าราชการ เพราะแม้ว่าเงินเดือนจะไม่มาก แต่มีความมั่นคงในอาชีพสูง และที่สำคัญ คือ เมื่อเกษียณอายุ รัฐก็เลี้ยงดูโดยการจ่ายเงินบำนาญให้จนกว่าจะลาโลกนี้ไป

ต่างจากการทำงานเป็นลูกจ้างของบริษัทเอกชน ที่มีเพียงเงินบำนาญหลังเกษียณจาก “กองทุนประกันสังคม” เพียงไม่กี่พันบาทต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเพียงพอต่อค่าครองชีพในอนาคตแน่นอน

ถ้าบริษัทไหนที่มีสวัสดิการดีหน่อย นายจ้างก็อาจจะมีการจัดตั้ง “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” ทำให้ลูกจ้างมีโอกาสได้รับเงินก้อนหลังจากเกษียณมาจำนวนหนึ่งด้วย

โดยเจ้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพนี้เกิดจากการหักเงินเดือนของลูกจ้างส่วนหนึ่งมาจ่ายสะสมเข้าไปในกองทุน และนายจ้างก็จะจ่ายเงินสมทบให้กับลูกจ้างในทุกเดือน ๆ ด้วย หลังจากนั้นผู้จัดการกองทุนก็จะนำเงินเหล่านั้นไปลงทุนเพื่อให้เงินในกองทุนนั้นงอกเงยขึ้นมา และเมื่อถึงวันที่ลูกจ้างเกษียณ ก็จะได้รับเงินคืนทั้งส่วนที่หักจากเงินเดือนของเรา ทั้งในส่วนของเงินที่นายจ้างจ่ายสมทบให้ และในส่วนของดอกผลที่ได้รับมาจากการลงทุนด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกบริษัทจะมีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพราะกฎหมายปัจจุบัน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นภาคสมัครใจ คือ นายจ้างรายใดสมัครใจตั้ง ก็ตั้งได้ รายใดไม่อยากตั้ง ก็ไม่ต้องตั้ง ดังนั้น ไม่ใช่ลูกจ้างทุกรายในภาคเอกชนที่จะได้รับเงินบำเหน็จหลังเกษียณจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ยังมีลูกจ้างในภาคเอกชนอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับสวัสดิการแบบนี้

ทำให้มีเสียงเรียกร้องและพูดคุยกันมาหลายปีแล้วถึง “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับ” โดยหวังว่าลูกจ้างในภาคเอกชนทุกรายจะมีเงินใช้อย่างเพียงพอภายหลังการเกษียณ ไม่ว่าจะเลือกรับไปในรูปแบบของเงินบำเหน็จ หรือเงินบำนาญ

ล่าสุดคณะรัฐมนตรีก็ได้มติเห็นชอบ (ร่าง) พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) แล้ว เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมานี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากฎหมายฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับทันที เพราะยังต้องผ่านกระบวนการของสภาผู้แทนราษฎรอีกยาวไกล กว่าจะประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายได้

แต่อย่างน้อย ก็ถือว่าเราได้เริ่มต้นนับหนึ่งแบบเป็นทางการแล้วสำหรับ “กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ”

ทั้งนี้ ร่างกฎหมาย กบช. นี้มีหลักการสำคัญที่จะนำไปใช้ในการพิจารณาร่างเป็นกฎหมายต่อไป ดังนี้

1.) กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาตินี้ จะถือเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับ โดยลูกจ้างในภาคเอกชนทุกรายที่มีอายุตั้งแต่ 15 – 60 ปี และนายจ้างไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้ จะถูกบังคับให้เข้ามาเป็นสมาชิกของ กบช. ทุกราย แต่ถ้านายจ้างที่ใดมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว ลูกจ้างก็จะเป็นสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงของนายจ้างได้ต่อไปตามปกติ

2.) ลูกจ้างที่เข้ามาเป็นสมาชิก กบช. แล้ว จะถูกหักเงินจากเงินเดือนส่งเข้ากองทุนในอัตราดังนี้

- ทำงานปีที่ 1 – 3 จะถูกหักเงินสะสมไม่น้อยกว่า 3% ของค่าจ้าง เช่น เราได้เงินเดือน 20,000 บาท ก็จะถูกหักเงินเดือน 20,000 x 3% = 600 บาท ส่งเข้ากองทุน

- ทำงานปีที่ 4 – 6 จะถูกหักเงินสะสมไม่น้อยกว่า 5% ของค่าจ้าง เช่น เราได้เงินเดือน 20,000 บาท ก็จะถูกหักเงินเดือน 20,000 x 5% = 1,000 บาท ส่งเข้ากองทุน

 - ทำงานปีที่ 7 - 9 จะถูกหักเงินสะสมไม่น้อยกว่า 7% ของค่าจ้าง เช่น เราได้เงินเดือน 20,000 บาท ก็จะถูกหักเงินเดือน 20,000 x 7% = 1,400 บาท ส่งเข้ากองทุน

- ทำงานปีที่ 10 เป็นต้นไป จะถูกหักเงินสะสมไม่น้อยกว่า 10% ของค่าจ้าง เช่น เราได้เงินเดือน 20,000 บาท ก็จะถูกหักเงินเดือน 20,000 x 10% = 2,000 บาท ส่งเข้ากองทุน

3.) เมื่อลูกจ้างจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนแล้ว ฝ่ายนายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนด้วยเช่นกัน เช่น เราเป็นลูกจ้าง ถูกหักเงินเดือน 600 บาทเข้ากองทุนนี้ นายจ้างที่จ่ายเงินเดือนให้เราก็จะถูกบังคับให้จ่ายเงิน 600 บาทไปออมเพิ่มให้เราด้วย หมายความว่าเราโดนหักเงินแค่ 600 บาท แต่เราได้เงินออมในกองทุนถึง 1,200 บาทเลยทีเดียว

4.) อย่างไรก็ตาม ลูกจ้างที่มีเงินเดือนน้อยกว่า 10,000 บาท จะได้รับการยกเว้น โดยเข้าเป็นสมาชิก กบช. แต่ไม่ต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนแต่อย่างใด แต่ฝ่ายนายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนนี้แทน เช่น เราเริ่มทำงานปีแรกได้เงินเดือน 8,000 บาท ความจริงควรจะถูกหัก 3% เข้ากองทุน แต่กฎหมายฉบับนี้ยกเว้นให้ แต่ในส่วนของนายจ้างไม่ได้รับการยกเว้น ก็ยังคงต้องจ่ายเงินสมทบ 8,000 x 3% = 240 บาท เข้าไปเป็นเงินออมให้เรา

5.) เงินค่าจ้างที่จะถูกนำมาคำนวณเพื่อหักเข้ากองทุนสูงสุดนั้นจะอยู่ที่อัตรา 60,000 บาท เช่น ลูกจ้างทำงานมาแล้ว 20 ปี มีเงินเดือน 100,000 บาท โดยหลักแล้วจะต้องถูกหักเงิน 10% เข้ากองทุน เพราะอายุงานเกินกว่า 10 ปี แต่ในการนำเงินส่งเข้ากองทุน ลูกจ้างรายนี้จะถูกหักเงินเพื่อนำส่งเข้ากองทุนเพียง 60,000 x 10% = 6,000 บาทต่อเดือนเท่านั้น

6.) เงินสะสมของลูกจ้าง และเงินสมทบของนายจ้างที่ถูกส่งเข้าไปในกองทุนนี้ กบช. จะนำไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวให้กับลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างอายุครบ 60 ปี ก็จะได้รับเงินคืน โดยสามารถเลือกได้ 2 รูปแบบ คือ รับเป็นเงินบำเหน็จก้อนเดียว หรือ รับเป็นเงินบำนาญรายเดือนไป 20 ปี

จะเห็นได้ว่า กบช. นี้จะเป็นการบังคับลูกจ้างในภาคเอกชนให้ออมเงินเพื่อการเกษียณ และเมื่อเกษียณแล้วลูกจ้างก็จะสามารถเลือกรับเงินบำเหน็จ หรือ บำนาญก็ได้ โดยรัฐบาลหวังว่าเงินออมเหล่านี้จะช่วยให้ลูกจ้างมีเงินเพื่อการดำรงชีพต่อไปได้ภายหลังการเกษียณ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากครับ

แม้ว่าหลักการของกฎหมายฉบับนี้จะออกมาดูดีมีประโยชน์ แต่ยังมีเรื่องที่รัฐบาลจะต้องไปทำการบ้านต่ออีกมาก เพราะ ปัจจุบันบ้านเรามีกองทุนเพื่อการออมหรือเพื่อการเกษียณจำนวนมาก เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนเงินออมแห่งชาติ (กบช.) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งบางกองทุนเป็นแบบสมัครใจ บางกองทุนก็เป็นแบบบังคับ ทำให้มีความซ้ำซ้อนอยู่มาก

ยกตัวอย่างเช่น ลูกจ้างที่ทำงานในบริษัทที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่แล้ว เมื่อลาออกแล้วย้ายไปทำงานบริษัทใหม่ ปรากฏว่าบริษัทนั้นไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลูกจ้างรายนั้นก็จะถูกบังคับให้เข้าไปเป็นสมาชิก กบช. แล้วแบบนี้จะมีการโอนย้ายเงินและนับอายุกันต่อไปอย่างไร

หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลูกจ้างสามารถขอรับคืนทั้งก้อนได้ตอนสิ้นสุดสัญญาจ้าง แต่กองทุน กบช. ลูกจ้างจะมีสิทธิได้เงินตอนอายุ 60 ปีเท่านั้น ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในทางปฏิบัติของสมาชิกกองทุนทั้งสอง รัฐบาลก็จะต้องออกกฎหมายมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วย

รวมทั้งระบบข้อมูลสมาชิกกองทุนต่าง ๆ ที่จะต้องบูรณาการเข้ามาไว้ด้วยกัน เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการออมข้ามไปมาระหว่างกองทุน

ดังนั้น กฎหมายฉบับนี้รัฐบาลและภาคเอกชนจะต้องร่วมกันศึกษาและเตรียมการกันอีกปีสองปีกว่าจะออกมาใช้บังคับได้จริง แต่ถึงอย่างไร การที่ร่างกฎหมาย กบช. นี้ผ่าน ครม. ออกมาได้แล้ว ก็ถือเราได้ออกเดินก้าวแรกแล้ว แต่ไม่ว่าหนทางจะยาวไกลสักเพียงใดถึงจะถึงจุดหมาย มันก็ต้องเริ่มต้นที่ก้าวแรกเสมอ ดังสุภาษิตจีนที่ว่า “หนทางหมื่นลี้ เริ่มต้นที่ก้าวแรก”

คอร์รัปชั่น...ไหมครับท่าน ตอนที่ 3

หน่วยงานหลักในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบในประเทศไทยถูกบัญญัติไว้ใน มาตรา 234 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 นั่นคือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการไต่สวนและวินิจฉัย รวมถึงหน้าที่อื่นตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายกำหนด โดยมีเจตนารมณ์ให้การปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพ เกิดความรวดเร็ว สุจริต และเที่ยงธรรม นอกจากนั้น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 61 มาตรา 62 มาตรา 63 มาตรา 64 มาตรา 65 และมาตรา 66 ได้กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 234 วรรคสอง กําหนดไว้ ด้วยหลักการของบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นศูนย์กลางของการรับเรื่องกล่าวหาร้องเรียนการทุจริตเจ้าพนักงานของรัฐทุกระดับ โดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2561

ในตอนนี้จะขอกล่าวถึง ปัญหาการรวมศูนย์ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ของการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ โดยอ้างอิง เอกสารสถานการณ์การทุจริตประเทศไทย พ.ศ. 2562

ในปีงบประมาณ 2562 คํากล่าวหาร้องเรียนที่เข้ามาสู่สํานักงาน ป.ป.ช. มีจํานวนทั้งสิ้น 10,382 เรื่อง แยกเป็น หนังสือร้องเรียน จํานวน 4,855 เรื่อง (ร้อยละ 46.76) บัตรสนเท่ห์ จํานวน 2,632 เรื่อง (ร้อยละ 25.35) หนังสือราชการ จํานวน 2,143 เรื่อง (ร้อยละ 20.64) ร้องเรียนผ่านทางเว็บไซต์ จํานวน 529 เรื่อง (ร้อยละ 5.10) ร้องเรียนด้วยวาจา จํานวน 184 เรื่อง (ร้อยละ 1.77) เหตุอันควรสงสัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จํานวน 30 เรื่อง (ร้อยละ 0.29) และแจ้งเบาะแส จํานวน 9 เรื่อง (ร้อยละ 0.09) ตามลําดับ

ภายใต้ขั้นตอนของการกลั่นกรองและพิจารณา จากคำกล่าวหาทั้งสิ้น 10,382 เรื่อง สํานักงาน ป.ป.ช. รับไว้ดําเนินการเอง จํานวน 2,889 เรื่อง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการแยกออกเลขเรื่องเพิ่มขึ้น จํานวน 396 เรื่องรวมเป็นคํากล่าวหาที่สํานักงาน ป.ป.ช. ดําเนินการเองจํานวนทั้งสิ้น 3,285 เรื่อง ส่งหน่วยงานภายนอก 3,488 เรื่อง รวมเป็น จํานวน 6,773 เรื่อง

จากคํากล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ในภาพรวม พบว่า คํากล่าวหาส่วนใหญ่เป็นประเภทปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เช่น ละเลย เพิกเฉยต่อการปฏิบัติตามหน้าที่ กระทําการเกินอํานาจหน้าที่โดยทุจริต และอนุมัติ/ไม่อนุมัติใบอนุญาตโดยมิชอบ เป็นต้น จํานวน 2,541 เรื่อง (ร้อยละ 37.52) รองลงมาเป็นประเภทจัดซื้อจัดจ้าง จํานวน 1,674 (ร้อยละ 24.72) และ ประเภทยักยอก/เบียดบังเงินหรือทรัพย์สินของทางราชการ จํานวน 896 เรื่อง (ร้อยละ 13.23) ตามลําดับ

แม้ว่าคํากล่าวหาที่สํานักงาน ป.ป.ช. รับไว้ดําเนินการเองในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 มีการแบ่งขนาดไว้เป็นขนาดเล็ก (S) ขนาดกลาง (M) ขนาดใหญ่ (L) และขนาดใหญ่มาก (XL) โดยการแบ่งขนาดคํากล่าวหาพิจารณาจาก

1) ตําแหน่งของผู้ถูกกล่าวหา

2) จํานวนผู้ถูกกล่าวหา และ/หรือประเด็นข้อกล่าวหา

3) งบประมาณโครงการ/มูลค่าความเสียหาย/ผลกระทบต่อระบบ ราชการหรือสังคมส่วนรวม และ

4) ความยุ่งยากในการรวบรวมพยานหลักฐานหรือพยานบุคคล ซึ่งพบว่า ส่วนใหญ่เป็นคํากล่าวหาขนาดกลาง (M) จํานวน 1,463 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 44.54 ของคํากล่าวหาที่สํานักงาน ป.ป.ช. รับไว้ดําเนินการเองทั้งหมด (จํานวน 3,285 เรื่อง) รองลงมาเป็นขนาดเล็ก (S) จํานวน 1,183 เรื่อง (ร้อยละ 36.01) ขนาดใหญ่ (L) จํานวน 483 เรื่อง (ร้อยละ 14.70) และขนาดใหญ่มาก (XL) จํานวน 156 เรื่อง (ร้อยละ 4.75) ตามลําดับ

หากพิจารณามูลค่าที่เกี่ยวข้องจะพบว่า จากคํากล่าวหาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ที่สํานักงาน ป.ป.ช. รับไว้ดําเนินการเองจํานวน 3,285 เรื่อง เมื่อพิจารณาวงเงินงบประมาณของโครงการและจํานวนเงินที่มีการทุจริตตามคํากล่าวหา มีมูลค่ารวม 236,243,838,413 บาท หากจําแนกตามประเภทคํากล่าวหา พบว่า คํากล่าวหาประเภทจัดซื้อจัดจ้าง มีมูลค่ามากที่สุด จํานวน 207,060,914,215 บาท คิดเป็นร้อยละ 87.65 รองลงมาเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จํานวน 23,840,211,033 บาท (ร้อยละ 10.09) และการบริหารงานบุคคล (การบรรจุ/แต่งตั้ง/เลื่อนตําแหน่ง/โยกย้าย/ลงโทษวินัย) จํานวน 2,053,203,519 ล้านบาท (ร้อยละ 0.87) ตามลําดับ

หากวิเคราะห์จากตัวเลขคํากล่าวหาที่สํานักงาน ป.ป.ช. ดําเนินการเองจํานวนทั้งสิ้น 3,285 เรื่องนั้นสํานักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลาง มีคํากล่าวหา จํานวน 746 เรื่อง หรือกว่าร้อยละ 22 ของคำกล่าวหาที่ สํานักงาน ป.ป.ช. รับดำเนินการเองทั้งหมด ในแง่ประสิทธิภาพพิจารณาจากภาพรวม สำนักงาน ป.ป.ช. จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จเฉลี่ยวันละ 10 เรื่อง โดยที่แต่ละเรื่องอาจมีความยากง่าย ในการสวบสวน ไต่สวน รวบรวมข้อมูลพอสมควร และค่าเฉลี่ยวันละ 10 เรื่องนั้น สํานักงาน ป.ป.ช. ส่วนกลางรับผิดชอบมากกว่า 2 เรื่องต่อวัน ส่วนที่เหลือ สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 1-9 รับผิดชอบเฉลี่ยวันละ 1 เรื่องต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค

นี่คือตัวเลขเพียงปีงบประมาณ 2562 ปีเดียว

หากพิจารณาเรื่องคงค้างประกอบจะพบว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 สํานักงาน ป.ป.ช. มีเรื่องกล่าวหาคงค้างสะสม (ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2561) จํานวน 16,232 เรื่อง เรื่องกล่าวหารับใหม่ (ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2561 -30 กันยายน 2562) จํานวน 3,285 เรื่อง รวมทั้งสิ้น 19,517 เรื่อง ซึ่งได้ดําเนินการเสร็จในชั้นการตรวจสอบเบื้องต้นและในชั้นการไต่สวนข้อเท็จจริง รวมทั้งสิ้น 5,893 เรื่อง หากคำนวณผลสำเร็จของการดำเนินการขั้นต้นจะพบว่า สํานักงาน ป.ป.ช. ดำเนินได้สำเร็จประมาณร้อยละ 30 เท่านั้น

หากเราหยุดเวลา โดยใช้อัตราความสำเร็จนี้ หมายความว่า สำนักงาน ป.ป.ช. ต้องใช้เวลาอีกกว่า 2 ปี ในการดำเนินการเรื่องคงค้างทั้งหมดโดยไม่รับเรื่องใหม่เข้ามา หรือ สำนักงาน ป.ป.ช. ต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้นกว่าเท่าเพื่อให้การดำเนินการแล้วเสร็จ ซึ่งในกรณีหลังก็ยากที่จะเป็นไปได้

ดังนั้น หากจะกำหนดตัวชี้วัดหน่วยงาน สมควรพิจารณาอัตราการดําเนินการเสร็จในชั้นการตรวจสอบเบื้องต้นและในชั้นการไต่สวนข้อเท็จจริง เป็นเป้าหมายในการดำเนินงานของ สำนักงาน ป.ป.ช. หรือเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพหรือไม่ คำถามนี้สำคัญมากๆ ซึ่งต้องดูข้อมูลเพิ่มเติม คือ

เรื่องที่ดําเนินการเสร็จในชั้นการตรวจสอบเบื้องต้นและในชั้นการไต่สวนข้อเท็จจริง รวมทั้งสิ้น 5,893 เรื่อง ถูกแบ่งออกเป็น (1) เรื่องกล่าวหาที่ดําเนินการเสร็จในชั้นการตรวจสอบเบื้องต้น จํานวน 5,470 เรื่อง และ (2) เรื่องกล่าวหาที่ดําเนินการเสร็จในชั้นการไต่สวนข้อเท็จจริง จํานวน 423 เรื่อง ซึ่งเรื่องในกลุ่มแรกนั้น จาก 5,470 เรื่อง สำนักงาน ป.ป.ช. จะต้องดำเนินการต่ออีกใน กลุ่ม “รับไว้ดําเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง” จํานวน 726 เรื่อง

ข้อมูลนี้หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่า ผลสำเร็จของการดำเนินการขั้นต้นที่คำนวณไว้ประมาณร้อยละ 30 นั้น “นับซ้ำ” และไม่ใช่อัตราผลสำเร็จที่แท้จริง เพราะเรื่อง 726 เรื่องนั้น ยังต้องดำเนินการต่อ ซึ่งความสำเร็จที่แท้จริงคือ 423 เรื่องที่ไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วเสร็จรวมกับเรื่องที่อยู่ในกลุ่ม 5,470 เรื่องหักด้วย 726 เรื่อง ซึ่งคิดเป็นอัตราความสำเร็จที่แท้จริง ร้อยละ 26.47 เท่านั้น

ตารางที่แนบมาร้อยละเรื่องคงค้างสะท้อนประสิทธิภาพการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ที่แม้ว่ามีแนวโน้มดีขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 5 ปี แต่ยังไกลจากเป้าหมายการปลอดคอร์รัปชั่น ที่สำคัญที่สุด ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มีมาตราที่ไม่ให้ดำเนินการกับกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาพ้นตำแหน่งไปแล้ว 5 ปี ซึ่งจะเป็นช่องว่างทางกฎหมายที่จะทำให้ผู้กระทำผิดไม่ต้องรับผิดชอบกับกรรมที่ตนและพวกได้ก่อไว้ แน่นอนว่า โดยถูกกฎหมาย ผู้อ่านสามารถสังเกตหรือตั้งคำถามกับรายการในปีงบประมาณ 2562 ในกรณี ไม่รับ/ไม่ยกขึ้นพิจารณา ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 2,106 เรื่อง หรือกว่าร้อยละ 40 ของเรื่องที่ดำเนินการแล้วเสร็จ

ในท้ายที่สุดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ที่ประสงค์ให้การปฏิบัติหน้าที่ของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีประสิทธิภาพ เกิดความรวดเร็ว สุจริต และเที่ยงธรรม กำลังได้รับการพิสูจน์โดยแท้

มายาคติ...ต่อผู้สูงอายุ

ช่วงนี้สนใจอยากพูดถึงเรื่องของผู้สูงอายุในบ้านเรา เพราะไม่ปีนี้ก็ปีหน้าคาดว่าประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ คือ มีสัดส่วนร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศแล้ว ดังนั้นการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง และในฐานนักวิชาการด้านสื่อก็เกิดความสนใจว่าการศึกษาด้านสื่อกับผู้สูงอายุในเมืองไทยนั้นมีมากน้อยเพียงใดและว่าด้วยเนื้อหาเรื่องใดบ้าง ก็ไปพบว่าอาจารย์กาญจนา แก้วเทพ ได้ทำการศึกษาประเด็นการสื่อสารกับผู้สูงวัย (2554)

อาจารย์พบว่างานวิจัยเกี่ยวกับการสื่อสารกับผู้สูงอายุในประเทศไทยตั้งแต่ประมาณปี พศ.2525 มาจนถึงช่วงเวลาปัจจุบัน รวมเป็นเวลาเกือบ 30 ปีนั้น มีงานวิจัยที่ระบุหัวข้อชื่อตรงกับผู้สูงอายุและการสื่อสารไม่เกิน 10 เล่มทั้งที่จำนวนผู้สูงอายุนั้นมีถึงเกือบร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด และยังพบว่าการวิจัยในประเด็นผู้สูงอายุที่มักเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยการสำรวจขนาดใหญ่นั้นไม่ช่วยเห็นลักษณะเฉพาะของความเป็นผู้สูงอายุได้และเมื่อผสมกับการขาดแนวคิดเกี่ยวกับผู้สูงอายุที่รอบด้านและชัดเจนจึงทำให้ขาดการวิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มผู้สูงอายุ ดังนั้นจึงทำให้ไม่มีข้อค้นพบเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของผู้สูงอายุในแง่มุมของการสื่อสาร และเมื่อศึกษางานวิจัยอื่น ๆ พร้อม ๆ ไปกับการสังเกตรายการในหน้าจอทีวี สังเกตได้ว่ามีความเข้าใจผิดหรือมีมายาคติเกี่ยวกับผู้สูงอายุอยู่มากในเรื่องใช้สื่อของผู้สูงอายุ ลองมาดูกันค่ะว่าเราเองก็เข้าใจผู้สูงอายุผิดไปหรือไม่

มายาคติผู้สูงอายุตื่นแต่มืดแต่ดึก : ผู้สูงอายุชอบตื่นแต่เช้ามืด ตี 4 - 5 มาดูทีวี มาฟังวิทยุ จริงหรือ?

อาจจะพูดได้ว่าการคิดว่าผู้สูงอายุชอบตื่นแต่เช้ามืดดังนั้นถ้าจะทำสื่อให้ผู้สูงอายุต้องใช้ช่วงเวลาตีสี่ตีห้า แต่แทนจริงแล้วเป็นเพียงมายาคติที่สังคมมองมายังผู้สูงอายุ เพราะมีงานวิจัยหลายเรื่องที่พบว่าผู้สูงอายุไม่ได้เปิดรับสื่อช่วงเช้ามืดอย่างที่สังคมเข้าใจ เช่น จากการศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนารายการโทรทัศน์เพื่อผู้สูงอายุ ของ จารุวรรณ นิธิไพบูลย์, สันทัด ทองรินทร์ และวิทยาธร ท่อแก้ว (2559) พบว่าผู้ชมที่มีอายุระหว่าง 60 - 65 ปีมีความต้องการในการชมรายการโทรทัศน์ ช่วงเช้า (06.01 น. - 09.00 น.) และ ช่วงสาย (09.01 น. - 12.00 น.) ผู้ชมที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีความต้องการในการชมรายการโทรทัศน์ช่วงเช้า (06.01 น. - 09.00 น.) และช่วงเย็น (16.01 น. - 19.00 น.) และพนม คลี่ฉายา (2555) ได้ทำการศึกษาวิจัย เรื่อง ความต้องการข่าวสาร การใช้สื่อ และนิสัยการเปิดรับสื่อของผู้สูงอายุไทย โดยมีสำรวจการเปิดรับสื่อ โดยพบว่าเปิดรับสื่อเป็นประจำมากที่สุด ได้แก่ โทรทัศน์ บุคคลใกล้ชิด และโทรศัพท์มือถือ ผู้สูงอายุมักจะชมโทรทัศน์มากที่สุด โดยชมรายการข่าวเป็นประจำ ในช่วงเวลา 17.01 - 21.00 น. ใช้เวลาในการชม คือ 1 - 3 ชั่วโมง/ครั้ง สอดคล้องกับแนวคิดของบริษัทอาร์เอสโปรโมชั่น ในการผลิตรายการโทรทัศน์ช่องเพลินทีวี ทีวีเพื่อผู้สูงอายุ ระบุว่าผู้สูงอายุมีวิถีชีวิต (Lifestyle) ในการรับชมโทรทัศน์อยู่กับบ้านเฉลี่ยมากกว่าบุคคลวัยอื่นถึงร้อยละ 10 โดยที่เวลาไพร์มไทม์ของกลุ่มคนสูงอายุอยู่ในช่วงเวลา 17.30 - 21.30 น. (แต่แอบกระซิบเบา ๆ ว่าหลังจากที่ออกอากาศได้เพียงแค่ 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558 บริษัทอาร์เอสฯได้ประกาศยุติออกอากาศในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ด้วยเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ)

ดังนั้นจะเห็นว่าสังคมมีความเข้าใจผิดคิดว่าผู้สูงอายุนั้นมักชอบชมรายการโทรทัศน์หรือฟังวิทยุในช่วงเวลาเช้ามืดนั้นไม่เป็นความจริง และหากจะถามหาเวลาที่เหมาะในการทำสื่อเพื่อผู้สูงอายุควรจะเป็นช่วงเย็น ๆ มากว่าช่วงเช้ามืดด้วยซ้ำไป

มายาคติผู้สูงอายุชอบทำบุญเข้าวัด : ผู้สูงอายุชอบรายการธรรมะที่สุด จริงหรือ?

มายาคติอีกเรื่องที่ไม่รู้ใครบัญญัติมาให้เชื่อตาม ๆ กัน คือการเหมารวมว่าการที่ผู้สูงอายุชอบเข้าวัดทำบุญดังนั้นจึงชอบดูรายการธรรมะที่สุด แต่จริง ๆ แล้วเป็นเช่นนั้นหรือไม่?

จากการศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนารายการโทรทัศน์เพื่อผู้สูงอายุ ของ จารุวรรณ นิธิไพบูลย์, สันทัด ทองรินทร์ และวิทยาธร ท่อแก้ว (2559) ในประเด็นการเปิดรับความต้องการและการใช้ประโยชน์รายการโทรทัศน์เพื่อผู้สูงอายุ พบว่าส่วนใหญ่มีการใช้ประโยชน์จากการชมรายการโทรทัศน์ 3 อันดับแรก ได้แก่

1) เพื่อรับทราบข้อมูลข่าวสาร

2) เพื่อสร้างความเบิกบานใจ ความสุข และคลายเหงา

3) เพื่อนำเนื้อหาไปปรับใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวันของตนเอง ลักษณะเนื้อหาในสื่อที่ผู้สูงอายุต้องการ จากผลงานวิจัยนี้ทำให้เชื่อมโยงได้ว่าผู้สูงอายุชอบรายการที่ให้ทราบข้อมูลข่าวมากว่ารายการธรรมะแน่ ๆ นอกจากนี้ยัง พบว่า

ผู้สูงอายุต้องการเนื้อหาให้สื่อนำเสนอให้เห็นถึงศักยภาพของผู้สูงอายุ ส่งเสริมภาพลักษณ์เชิงบวกหรือเชิดชูผู้สูงอายุ เนื้อหาที่แสดงให้เห็นความรักความผูกพันระหว่างผู้สูงอายุกับครอบครัว และเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การรักษาสุขภาพ สิทธิทางกฏหมาย และสวัสดิการต่างๆ เป็นต้นด้วย จากงานวิจัยที่กล่าวไปนี้น่าจะพอสรุปได้ว่ารายการธรรมะอาจไม่ได้เป็นรายการที่ผู้สูงอายุจะชื่นชอบที่สุดหรือจะเลือกชมเป็นลำดับต้นๆด้วยซ้ำไป

มายาคติว่าผู้สูงอายุทุกคนก็ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน : ผู้สูงอายุมีความต้องการใช้สื่อเหมือน ๆ กันหมดจริงหรือ?

มายาคตินี้เราเจอกับบ่อย ๆ เพราะการคิดเหมารวมอีกเช่นกันว่าขึ้นชื่อว่าผู้อายุก็คงจะมีความต้องการใช้สื่อเหมือนกันหมดเพราะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน แต่จากการศึกษาพบว่ากลุ่มผู้สูงวัยนั้นก็มีความต้องการในการใช้สื่อที่หลากหลายและแตกต่างกันไม่แพ้วัยเด็กและเยาวชน โดยสิ่งที่เป็นเงื่อนไขปัจจัยมีทั้งปัจจัยส่วนตัว เช่น ลักษณะบุคลิกภาพ ความชอบ ความถนัดและปัจจัยด้านการศึกษา และปัจจัยทางด้านสังคม สภาพครอบครัวและฐานะทางเศรษฐกิจ ตลอดจนปัจจัยทางกายภาพ เช่น พื้นที่อยู่อาศัยนั้น ล้วนส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้สื่อทั้งสิ้น ส่วนในภาพรวมนั้นอาจกล่าวได้ว่าแม้กลุ่มผู้สูงอายุจะเป็นกลุ่มที่ใช้อินเตอร์เน็ตน้อยที่สุดหากเทียบกับกลุ่ม Gen X และ Gen Y สื่อหลักอย่างโทรทัศน์และวิทยุก็ยังคงเป็นสื่อที่เข้าถึงผู้สูงอายุได้มากที่สุด

โดยที่สื่อวิทยุนั้นจะเข้าถึงกลุ่มผู้สูงอายุในเขตต่างจังหวัดได้มากกว่าเขตเมือง แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือมีแนวโน้มว่าผู้สูงอายุจะใช้สื่อออนไลน์มากขึ้นและสื่อออนไลน์ก็เป็นที่นิยมของผู้สูงอายุมากขึ้น และยังพบว่าผู้สูงอายุที่มีอายุแตกต่างกัน มีความพึงพอใจในการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์แตกต่างกัน ดังเช่นงานวิจัยของ กันตพล บันทัดทอง (2557) เรื่อง พฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์และความพึงพอใจของกลุ่มคนผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งผลการวิจัยพบว่าผู้สูงอายุที่มีอายุแตกต่างกัน มีความพึงพอใจในการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์แตกต่างกัน โดยผู้สูงอายุที่มีอายุ 66 ปีขึ้นไป มีความพึงพอใจในการใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์น้อยที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 66 ปีขึ้นไป อาจมีปัญหาเรื่องสุขภาพมากกว่ากลุ่มอื่น เช่น ปัญหาสายตา ปัญญาการใช้นิ้วหรือมือ จึงไม่สามารถใช้บริการเครื่อข่ายสังคมออนไลน์ได้ จึงมีความพึงพอใจต่ำกว่าผู้สูงอายุกลุ่มอื่น

มายาคติที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุที่กล่าวไปข้างต้นนั้นสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยโดยเฉพาะผู้ผลิตสื่อ ยังมีความเข้าใจผิดถึงพฤติกรรมการเปิดรับสื่อของผู้สูงอายุและยังไม่มีข้อมูลองค์ความรู้สำคัญพื้นฐานที่จะทำให้การผลิตสื่อที่เหมาะสมตรงความต้องการของผู้สูงอายุ ดังนั้นการทำความรู้จักและเข้าใจความต้องการของผู้สูงอายุอย่างถ่องแท้ จะเป็นประโยชน์มากในการพัฒนาสื่อเพื่อผู้สูงอายุ ภาครัฐควรสนับสนุนนโยบาย งบประมาณและพัฒนาบุคลากร เพราะในประเทศไทยการทำสื่อเพื่อผู้สูงอายุก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกับการทำสื่อเพื่อเด็ก คือผู้ประกอบการมองว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่ากับผลกำไรที่ได้ในทางธุรกิจ ดังนั้นรัฐจึงต้องเข้ามาช่วยหนุนเสริมภารกิจนี้อีกทาง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาสื่อเพื่อผู้สูงอายุเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและดึงศักยภาพของผู้สูงอายุออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม นอกจากนี้สื่อยังสามารถทำหน้าที่ช่วยให้คนในสังคมที่มีความหลากหลายของช่วงวัยเกิดความเข้าใจซึ่งกันละกัน ซึ่งจะนำไปสู่สังคมที่ยอมรับในความหลากหลายและเคารพคุณค่าและศักดิ์ศรีของคนทุกช่วงวัย อย่างที่ย้ำเสมอว่าการเป็นสังคมผู้สูงอายุไม่ใช่เป็นเรื่องของผู้สูงอายุเท่านั้นแต่เป็นเรื่องของเราทุกคนจริง ๆ


ข้อมูลอ้างอิง

กาญจนา แก้วเทพ.(2554).ผู้คนที่หลากหลายในการสื่อสาร: เด็ก สตรี และผู้สูงอายุ.พิมพ์ครั้งที่ 1.กรุงเทพฯ.

ห้างหุ้นส่วนจำกัดภาพพิมพ์

พนม คลี่ฉายา. (2555). ความต้องการข่าวสาร การใช้สื่อ และนิสัยการเปิดรับสื่อของผู้สูงอายุไทย: รายงาน

การวิจัย (Information Need, Media Uses and Media Habit of Thai Elderly: Research Report). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

กันตพล บันทัดทอง.(2558) พฤติกรรมการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์และความพึงพอใจของกลุ่มคนผู้สูงอายุใน

เขตกรุงเทพมหานคร.บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

“ช่องทีวีคนสูงวัย เซกเม้นท์นี้ “อาร์เอส” จอง.สืบคนเมื่อ 20 มกราคม 2556.จาก http://positioningmag.com/60832

Positioning. (2558) ช่องทีวีคนสูงวัย เซกเม้นท์นี้ “อาร์เอส” จอง. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2559. จาก http://positioningmag.com/60832

เผยแนวโน้ม “สื่อรุ่ง – สื่อร่วง” ปี ’59 ชี้ชะตาอนาคตสื่อปีหน้า ใครจะได้ไปต่อ !! สืบค้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม2559. จาก http://www.brandbuffet.in.th/2016/12/kantar-worldpanel-media-profiler-2016

เสียง (เพรียก) แห่งสายน้ำปัตตานี... ตอนที่ 2

แม่น้ำปัตตานีจัดว่าเป็นสายน้ำสั้นเมื่อเทียบกับแม่น้ำอื่น ๆ เพราะระยะทางยาวไม่เกิน 130 กิโลเมตร หากจ้ำพายคงใช้เวลาไม่เกิน 4 วัน พวกเรามีเวลา 7 วัน จึงมากพอที่จะอ้อยอิ่งและแวะทักทายพูดคุยกับผู้คน ขณะเดียวกันก็ไม่ถึงกับต้องรีบเก็บข้อมูลสายน้ำที่ได้รับการไหว้วานจากเพื่อนด้วย

ต้นน้ำปัตตานี ประกอบด้วยลำคลองสาขามากมายซึ่งไหลมาบรรจบกันจนสายน้ำลึกและใหญ่มากขึ้น จากที่กว้างเพียงไม่กี่เมตร กลายเป็นสิบเมตร ยี่สิบเมตร และกว้างกว่านั้นในช่วงปลายน้ำก่อนที่จะไหลออกสู่ทะเล

ยอมรับว่าไม่ได้ศึกษารายละเอียดของการเดินทางรอบนี้มากนัก เพราะรู้ว่าจะพายกับเพื่อนซึ่งเป็นคนในพื้นที่ เมื่อไม่ได้ทำการบ้านมาล่วงหน้า จึงไม่รู้ว่าจะคาดหวังอะไรกับสายน้ำนี้ มีแค่แอบหวั่นใจเล็ก ๆ ลึก ๆ ว่าอาจจะเจอกลุ่มคนน่ากลัวหรือเหตุการณ์อันน่าประหวั่น ส่วนแม่น้ำปัตตานีคิดว่าก็คงไหลเรียบ ๆ ไม่น่าจะมีเกาะแก่งสร้างความตื่นเต้นหวือหวา แต่ปรากฎว่าทุกวันพบเจอเรื่องราวและกิจกรรมสนุกตื่นเต้น ไฮไลต์ของแต่ละวันแตกต่างกันแทบจะโดยสิ้นเชิง อย่างวันแรกนั้นกว่าจะได้เริ่มพายก็บ่ายคล้อยมากแล้ว ล่องกันไปเพียงชั่วโมงครึ่งก็ต้องเริ่มมองหาสถานที่พักแรมแล้ว แต่ก็ดี เพราะถือเป็นการทำความคุ้นเคยกันระหว่างสองเกลอที่เพิ่งเจอกัน

และได้เริ่มสังเกตภูมิประเทศโดยรอบไปในตัวด้วย รู้สึกดีที่ได้ร่อนเร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่แปลกและสงบเช่นนี้ น้ำไหลเอื่อย บางช่วงตื้นเขิน ทำให้ท้องเรือครูดดินหิน ตามโค้งน้ำบางจุดมีกิ่งก้านไม้ขวาง ต้องพายฉวัดตวัดหลบบ้าง สนุกดี เสียงนกดังมาจากสุมทุมพุ่มไม้ ประกอบกับช่วงแดดร่มลมตกด้วยแล้วยิ่งทำให้จิตใจสงบได้อย่างน่าประหลาด พวกเราได้จุดพักแรมริมน้ำ เป็นหาดทรายกว้างพอให้สยายเต็นท์สองหลังกับเหลือพื้นที่สำหรับนั่งเล่นและทำสำรับกับข้าวอีกนิดหน่อย



ตลิ่งสูงสองฝั่งน้ำเป็นพื้นที่สวนยาง เขาต้องปลูกกันเป็นขั้น เพราะเป็นพื้นที่ค่อนข้างชัน มีกล้วยและทุเรียนปลูกสลับในบางพื้นที่ด้วย จุดสังเกตประการหนึ่งที่ค่อนข้างสร้างความประหลาดใจ คือแม้จะเข้าสู่เดือนมีนาคมแล้ว แต่ต้นไม้ใบหญ้ายังคงเขียวขจี ไม่เห็นไม้สลัดใบชัดเจนเหมือนป่าทางภาคเหนือ ที่ดีกว่ามากหลายเท่าก็คืออากาศสะอาด ไม่มีหมอกควันที่ส่งผลต่อทัศนวิสัยและต่อระบบทางเดินหายใจของคน ต้องบอกว่าคนแถวนี้โชคดีกว่าประชากรชาวเหนือโดยแท้

แต่สิ่งที่ไม่ค่อยต่าง คือมลพิษปนเปื้อนในน้ำ แม้จะลงไปอาบน้ำท่าในน้ำซึ่งคล้ายจะใส แต่ก็รู้สึกแขยงบ้าง ทั้งนี้เพราะรู้เห็นมาว่าต้นน้ำแถวเมืองเบตงนั้นมีสภาพเป็นน้ำครำ ถึงแม้จะเจือจางมาบ้างแล้วจากลำห้วยสาขาอื่น ๆ ก็ตามที แต่ระดับสิ่งเจือปนอันไม่พึงประสงค์น่าจะยังคงมากพอสมควร เช่นนี้แล้ว หากสามารถสะท้อนเสียงกลับไปยังเมืองต้นทางน้ำเสียได้บ้าง ก็อยากให้มีการจัดการบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ หากคุณภาพน้ำในแม่น้ำดี ก็จะเอื้อประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศด้วยเช่นกัน


 

มื้อเย็นทำทานกันง่าย ๆ ข้าวหม้อแกงหม้อ กินอิ่มหมีพีมันแล้วนั่งคุยสัพเพเหระกับเขียนอะไรต่อมิอะไรลงสมุดบันทึกสักพักก็แยกย้ายกันมุดเต็นท์ตัวเอง ตกกลางคืนอากาศเย็นเกือบหนาว ต้องนอนห่มผ้า ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะเข้าใจผิด คิดว่าภาคใต้มีแต่ฝนกับร้อนเท่านั้น เสียงน้ำไหลเป็นบทเพลงกล่อมนอนขนานเอก ถือเป็นเสียงดนตรีธรรมชาติบำบัดที่ดีมาก สำหรับตัวเองแล้ว ผมพบว่าการพาตัวเองไปให้ขุนเขาและสายน้ำโอบกอดนั้นเป็นการรีชาร์จแบตเตอรี่ชีวิต หรือเปรียบเทียบคล้ายกับเด็กทารกในอ้อมกอดมารดา หลับปุ๋ยอย่างอบอุ่นปลอดภัย

ด่วน! ตำรวจเข้าสลาย #หมู่บ้านทะลุฟ้า หน้าทำเนียบฯ หลังปักหลักต่อเนื่องหลายสัปดาห์

วันนี้ (28 มี.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 06.00 น. มีรายงานว่าตำรวจควบคุมฝูงชนได้เข้าสลายการชุมนุม #หมู่บ้านทะลุฟ้า หน้าทำเนียบรัฐบาล หลังปักหลักมาตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา พร้อมข้อเรียกร้อง 4 ข้อ คือ ปล่อยผู้ต้องหาคดีการเมือง ยกเลิก ม.112 เขียน รธน.ใหม่ และ นายกรัฐมนตรีต้องลาออก

โดยเพจ UNME โพสต์ภาพพร้อมข้อความ “เราโดนสลายแล้ว” ซึ่งปรากฎภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนเข้าปิดล้อมพื้นที่ และมีการควบคุมตัวกลุ่มผู้ชุมนุมขึ้นรถผู้ต้องขัง โดยยังไม่ทราบว่าจะนำตัวไปที่ใด สั่งให้กลุ่มผู้ชุมนุมปิดการไลฟ์ และให้เวลาเก็บของ ซึ่งเจ้าหน้าที่แจ้งว่าเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยอ้างถึงพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และมาตรการควบคุม โควิด-19

ช่วงหนึ่งในช่วงการไลฟ์ จนท.ระบุจะพาผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุม ไปควบคุมตัวที่ สน.นางเลิ้ง แต่รถกลับขึ้นทางด่วน คาดว่าจะพาไปควบคุมตัวที่ ตชด.ภาค 1 คลอง 5 จ.ปทุมธานี

บุรีรัมย์มาราธอน 2021 เปิดประวัติศาสตร์ใหม่ ! วิ่งไนท์รัน-วิถีใหม่ “สัญชัย” ครองถ้วยพระราชทานอีกสมัย

บุรีรัมย์สว่างไสวไปทั้งเมือง นักวิ่งกว่า 2.1 หมื่นคน ร่วมวิ่งไนท์รัน-นิวนอร์มอลครั้งแรกอย่างยิ่งใหญ่  “สัญชัย นามเขต” ดีกรีเหรียญเงินซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่ฟิลิปปินส์ รักษาแชมป์คนไทยพร้อมคว้าถ้วยพระราชทานไปครอง แม้จะพ่าย คู่แข่งเซอร์เก ซีรียานอฟ จากรัสเซีย ในการวิ่งมาราธอนแบบเฉียดฉิวใน 1 กม.สุดท้าย

การแข่งขันวิ่ง “บุรีรัมย์ มาราธอน พรีเซนเต็ด บาย เครื่องดื่มตราช้าง ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด “YOUR ULTIMATE DESTINATION-สวรรค์ของนักวิ่ง” ปีที่ 5 เป็นการแข่งขันวิ่งไนท์รันครั้งแรก ในรูปแบบนิวนอร์มอล ซึ่งออกสตาร์ท ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ และเข้าเส้นชัย ที่สนามช้าง อารีน่า จ.บุรีรัมย์ โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขัน ร่วมด้วย นายธัชกร หัตถาธยากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์, ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย, นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้บริหารจากภาครัฐและผู้ให้การสนับสนุนมากมาย โดยมีนักวิ่ง เข้าแข่งกว่า 21,000 คน

สำหรับ ผลการแข่งขัน ระยะมาราธอน 42.195 กิโลเมตร ผู้ที่เข้าเส้นชัยคนแรก ฝ่ายชาย ได้แก่ เซอร์เก ซีรียานอฟ ปอดเหล็กจากรัสเซีย ทำเวลาได้ 2.35.01 ชม.ที่ 2 สัญชัย นามเขต ดีกรีเหรียญเงินซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่ฟิลิปปินส์ ทำเวลาได้ 2.36.32 ชม.ได้รับถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ส่วนที่ 3 ธนาทิพย์ ดีฉิม ทำเวลาได้ 2.47.47 ชม.

ฝ่ายหญิง แชมป์ ระเบียง รังเพีย ทำเวลาได้ 3.14.57 ชม. ที่ 2 พิณทุอร วีระสมเกียรติ ทำเวลาได้ 3.15.19 ชม. ที่ 3 ลินดา จันทะชิด ทำเวลาได้ 3.26.02 ชม.

ระยะฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กิโลเมตร ที่ 1 “บิ๊ก” ณัฐวุฒิ อินนุ่ม คู่แฝดทีมชาติชุดซีเกมส์ ทำเวลาได้ 1.11.48 ชม.ที่ 2 “เฟรม” ชยพล บุญอุปละ 1.12.17 ชม. ที่ 3 ส.ต.ต.ปฏิการ เพชรศรีชา ทีมชาติ 1.18.26 ชม. ฝ่ายหญิง แชมป์ “ฝน” ณัฐธยาน์ ธนรณวัฒน์ อดีตทีมชาติไทย ทำเวลาได้ 1.26.55 ชม. ที่ 2 อรอนงค์ วงศ์ศร ทำเวลาได้ 1.27.38 ชม. ที่ 3 อรนุช เอี่ยมเทศ 1.30.11 ชม.

ระยะมินิมาราธอน 10 กิโลเมตร ฝ่ายชาย ที่ 1 “เบล” ณัฐวัฒน์ อินนุ่ม แฝดผู้น้อง ทำเวลาได้ 32.02 น. ที่ 2  จาตุรนต์ เขื่อนแก้ว ทำเวลาได้  33.07 น. ที่ 3 จูเลียส มูไต ทำเวลาได้ 33.38 น. ฝ่ายหญิง ที่ 1 ศรัญญา บัวไพร 38.00 น. ที่ 2 ปารียา สนเส็ม 38.38 น. ที่ 3 อริสรา 38.52 น.

สัญชัย นามเขต เปิดเผยว่า “สำหรับวิ่งบุรีรัมย์ มาราธอน ปีนี้ลงแข่งรายการนี้ รูปแบบไนท์รันครั้งแรก ทำสถิติไม่ดี โดยสถิติวิ่งล่าสุด เคยทำได้ 2.12 ชม. ส่วนการจัดงานรูปแบบไนท์รันเป็นมิติใหม่ แสงสีเสียง เรื่องอากาศร้อน ทางคนจัดการแข่งขันดูแลดีมาก มีการฉีดน้ำ แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องสภาพอากาศ ที่บังคับไม่ได้

สำหรับโปรแกรมทีมชาติช่วงนี้ ยังไม่มีโปรแกรมแข่งขัน เพราะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีเพียงรอแข่งซีเกมส์ปลายปีนี้ ถ้าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สงบ อาจจะไปแข่งวิ่งที่ บอสตันและเบอร์ลิน

ด้าน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ถือว่า เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของวิ่งบุรีรัมย์มาราธอน ในการแข่งขันทุกๆ ปี จะวิ่งตอนเช้า แต่ปีนี้เนื่องจากเลื่อนการแข่งขันมาเป็นเดือนมี.ค. ทำให้ปีนี้ จัดวิ่งตอนค่ำ ถือเป็นมิติหนึ่งของวงการมาราธอน เป็นตัวอย่าง สำหรับรายการอื่นๆ ของการแข่งขันวิ่งมาราธอน

 “รายการนี้ประชาชนบุรีรัมย์ให้การร่วมมือ ในการจัดการแข่งขันมาราธอนอย่างดี และให้กำลังใจนักกีฬาที่วิ่งในการแข่งขันตามจุดต่างๆ แม้ว่าจะไม่มีนักกีฬาต่างชาติ จะมีแต่นักกีฬาต่างชาติที่อยู่เมืองไทย ความสวยงามของแสง สีเสียง และมีชาวบุรีรัมย์มาเชียร์นักวิ่ง เป็นต้นแบบของการวิ่งมาราธอนแบบนิว นอร์มอล มีการเว้นระยะห่างตอนออกสตาร์ท ชุดละ 2 นาที ของแต่ละรุ่น ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อย จัดการแข่งขันอย่างยิ่งใหญ่ในระดับซิลเวอร์ ถ้าในปีต่อไปมีนักกีฬาต่างชาติ มั่นใจว่าบุรีรัมย์จะไปถึงในระดับโกลด์แน่นอน

“รายการนี้ ช่วยให้เศรษฐกิจสะพัด จากนักวิ่งกว่า 21,000 คน ส่วนใหญ่ขับรถพาครอบครัวมาเที่ยว ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ นำร่องเป็นตัวอย่างการจัดการแข่งขันสำหรับจังหวัดอื่น ว่าจะสามารถจัดการแข่งขันแบบนี้ได้หรือไม่ ถ้าจัดในกทม ต้องปิดถนน ทำให้ไม่สะดวก แต่ถ้าแข่งแบบไนท์รัน จะปิดถนนตอนกลางคืน ทำให้สะดวกกว่า จริงๆ ถ้านักวิ่งฉีดวัคซีน เราจะมีนักวิ่งอีลิทมาแข่ง ได้ในการวิ่งรายการต่างๆ พร้อมประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าไทยสามารถจัดการแข่งขันได้ ประมาณปลายปี นี้ จะมีนักวิ่งต่างชาติเดินทางมาแข่งขันได้แน่นอน”

รู้กันหมด ‘อนาคต’ รถยนต์ไฟฟ้าไทย แล้วจะถามกันไปทำไมว่า ‘พร้อม - ไม่พร้อม’

...ตาของเรา จะไม่ได้เห็นควันดำ

...จมูกของเรา จะไม่ได้สูดควันพิษ

...หูของเรา จะไม่ได้ฟังเสียงดังจากเครื่องยนต์

เสียงเรียกหา ‘รถยนต์ไฟฟ้า' หรือ EV (Electric Vehicle) โดยเฉพาะที่เป็นระบบรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% ยิ่งนานวันก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดคำถามซ้ำซากว่า รถยนต์ไฟฟ้าไทย ‘พร้อม - ไม่พร้อม’? คำตอบอยู่ไหน...เออ !! นั่นดิคำตอบอยู่ไหน

รู้อยู่ว่าความต้องการของประชาชนตอนนี้เริ่มชัดเจน อยากใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเต็มแก่ พร้อมเปลี่ยนรถยนต์สันดาป (เครื่องยนต์น้ำมัน) แบบทันทีทันใด หากแต่ติดอยู่แค่ว่า เมื่อไรรถยนต์ไฟฟ้าจะอยู่ในราคาที่เอื้อมได้ และสถานีชาร์จไฟฟ้าจะทั่วถึง

นี่ไงก็รู้คำตอบนิ!!

แต่รู้ทั้งรู้คำตอบเบื้องต้นแล้ว หลาย ๆ คน ก็ยังคงพยายามหยิบยกภาพตลาดต่างแดน ที่วิ่งแล่น ๆ กันเกร่อถนน แต่ไทยเราล้าหลังไม่คิดจะทำให้เหมือนเขาสักที !!

พูดมันง่าย แต่ในบริบทจริงมันไม่ได้ง่ายตามเสียงเรียกร้อง

หากลองเทียบรถยนต์ไฟฟ้ากับโทรศัพท์มือถือแบบทัชโฟน (รูดปื๊ดๆ) และสมาร์ทโฟน โดยย้อนไปได้ราว ๆ ช่วง 10 กว่าปีเห็นจะได้ เราจะพบว่า จากจุดนั้นกว่าที่คนหันมาเปลี่ยนจากโทรศัพท์มือถือแบบปุ่มกดมาเป็นทัชโฟนหรือสมาร์ทโฟนแบบทั่วถึง ก็ยังต้องใช้เวลาอีกร่วม ๆ 5 - 7 ปีต่อจากจุดเริ่มต้น จึงจะเข้าสู่ชีวิตประจำวันของผู้คนได้เช่นวันนี้

โดยระยะเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลง มาจากผู้บริโภคเริ่มกล้าใช้ ตัวสินค้าเริ่มมีประสิทธิภาพชัด ผู้ผลิตมีตัวเลือกให้เพียบ ราคาแตะต้องได้จากเริ่มต้นหลักหลายหมื่นมาสู่หลักพัน ศูนย์บริการตอบสนอง อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอะไหล่อิเล็กทรอนิกส์สมาร์ทโฟนปรับไลน์การผลิตรับของใหม่กันหมด

ภาพของรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเข้ามาครอบคลุมประเทศไทย ก็คงจะคล้ายคลึงกัน เพียงแต่จะเร็วกว่าหรือช้ากว่า อันนี้ต้องดูปัจจัยประกอบของประเทศนั้น ๆ...

มันไม่ผิดที่เราอาจจะไปมองต่างประเทศ ซึ่งเขาเปลี่ยนกันไว แล้วพอหันมาดูว่าไทยเรา ‘ล่าช้า’ มันช่างดูล้าหลัง ซึ่งอาจจะไม่ถูกเท่าไร เพราะประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา, ยุโรป หรือจีน ที่ปรับเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ EV ในบ้านตัวเองและเริ่มส่งออกกันแล้วนั้น ก็เพราะเขาอยู่ในฐานะ ‘ประเทศต้นขั้วสำเนาของเทคโนโลยี’ ส่วนประเทศไทยเราก็เป็นสำเนาที่รอการเมกชัวร์ !!

อันนี้อาจจะเป็นจุดเสีย? ที่พอให้บ่นกันได้ แต่มันก็คือความเป็นจริง !!

ทีนี้มามองปัจจัยประกอบที่แตะทิ้งไว้ตะกี้กันนิด ว่าเหตุใดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ถึงเดินเครื่องได้ไม่ทันใจผู้บริโภคที่เริ่มบอกว่าพร้อม ๆๆ

ในแง่ของความพร้อม จริง ๆ อธิบายได้สั้นมาก เพราะมันมีตัวแปรของการช่วยประหยัดค่าน้ำมันได้หลายเท่าตัว ช่วยรักษ์โลก (อันนี้ดูดี) แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 กันทุกปี

แต่กลับกันในความพร้อมใช้ มันก็มีความ ‘ไม่พร้อม’ ซ่อนอยู่ในระบบนิเวศน์นี้ ซึ่งตัวแปรหลักก็มีอยู่ 3 ส่วน ได้แก่...

ประชาชนผู้ใช้รถยนต์

ผู้ผลิตรถยนต์ - ผู้ติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้า

และภาครัฐ

...ในแง่ของประชาชน

สรุปแบบง่าย ๆ เรา ๆ ท่าน ๆ ถ้าคิดจะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า มันก็มีตัวแปรในการตัดสินใจหลักอย่าง ‘ราคา’ และ ‘สถานีชาร์จ’ (จริง ๆ ยังมีเรื่องการบริการซ่อมบำรุง แต่เอาเหอะ Skip ไป)

ตอนนี้ราคารถยนต์ที่ทำออกมาขายในตลาดเมืองไทย ถ้าเป็นเล็กแบบจิ๊ดจิ๋ว และมีแฟนคลับแบบกระจุกตัว ก็จะเป็น FOMM ONE ที่มีราคาร่วม 6 แสนบาท แล้วก็มีโปรโมชั่นลดราคาลงมาถึง 4 แสนบาทในบางช่วง ส่วนระดับกลางอย่าง MG ZS EV ของเครือเจ้าสัวซีพี ก็มีราคาแตะล้านนิด ๆ ด้านนิสสันก็มี Leaf ที่ปล่อยออกมาในราคาเหยียบ 2 ล้าน ส่วนค่ายยุโรปนี่ก็ไปไกลเลย อัพเกิน 2 ล้าน (ฝันหวานไปยาว ๆ)

ดูจากจุดนี้ มันมีคำตอบที่ชัดมาก คือ ราคายังสูง แต่รุ่นที่ราคาไม่สูง ก็ยากจะบรรยาย (คนไทยเรื่องเยอะ รถต้องคันใหญ่ เครื่องต้องใหญ่ ชาร์จทีนึงต้องวิ่งได้กรุงเทพฯ ยัน เชียงใหม่) คนก็เลยยังคิดหนัก และนั่นก็ทำให้คนเริ่มถามว่าจะให้รักษ์โลก จะให้ประหยัดพลังงาน แต่ทำไมทำรถที่ควรใช้ได้ในราคาเกินเอื้อมฟระ

อันที่จริง ต้นทุนหลักของรถยนต์ไฟฟ้ามันอยู่ที่ ‘แบตเตอรี่’ (ลิเทียม - ไออน) ที่มีราคาสูงมาก เฉพาะรวมราคาระบบแบตเตอรี่ทั้งหมดก็แตะหลัก 5 - 6 แสนบาทต่อคันเข้าไปแล้ว ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้า ที่แม้จะเปิดตัวในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นฝั่งญี่ปุ่น ในยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา ล้วนมีราคาเริ่มต้นระดับ 1 ล้านบาทขึ้นไปแทบทั้งสิ้น

แต่แนวโน้มก็น่าดีใจเพราะเริ่มลดลง เช่น ในปี 2015 แบตเตอรี่ขนาดกลางในอเมริกาอยู่ที่ 57% ของราคารถทั้งคัน และก็ค่อยๆ ขยับลดลงมาอยู่ 33% ในปี 2019

อ้าว !! แบบนี้ในปี 2021 มันก็น่าจะเห็นแววรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกในไทยแล้วดิ

คิดแบบผิวปาก มันก็ใช่ แต่ย้อนกลับไปด้านบนที่ว่า เราไม่ใช่ประเทศต้นสำเนา และส่วนใหญ่ก็ยังเป็นการนำเข้า แม้รัฐบาลจะมีนโยบายผลักดันให้ปั้นโรงงานผลิตรถ EV แต่ก็ยังตั้งไข่ รวมถึงลดอัตราภาษีนำเข้า EV แต่ยังมีภาษีสรรพสามิต และภาษีมูลค่าเพิ่มที่รวมแล้วไม่น้อย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้รถไฟฟ้ายังมีราคาแพงอยู่ในปัจจุบัน และเมื่อราคายังหนัก คนส่วนใหญ่ก็เลยคิดว่าการใช้เครื่องสันดาป (น้ำมัน) ต่อไป

ขณะเดียวกัน ในแง่ของสถานีชาร์จที่ยังไม่ครอบคลุม ก็คือ คำถามตัวใหญ่ของคนที่อยากใช้ (แต่ยังไม่กล้าซื้อ) แม้จะมีบริษัทพัฒนาแท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นมากมายทั้งจากภาครัฐและเอกชนแล้วก็ตาม

...ในแง่ของผู้ผลิตรถยนต์-ผู้ติดตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้า

หากดูข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงานระบุว่า ช่วงไตรมาส 2/2560 มีสถานีบริการน้ำมันรวมทั้งสิ้น 2.5 หมื่นแห่งทั่วประเทศ ขณะเดียวกันหากเทียบกับสถานีชาร์จที่มีอยู่ทั่วประเทศไทยตอนนี้ ตัวเลขจะอยู่ที่ราวๆ 600 กว่าแห่ง ซึ่งยังไม่ได้นับสถานีชาร์จตามศูนย์รถยนต์ และบ้านเรือนประชาชน แถมการชาร์จต่อครั้งก็มีระยะเวลาอย่างเก่งสุดของเทคโนโลยีการชาร์จก็ประมาณ 15-20 นาที ซึ่งมันไม่ทันใจคนไทยอะเนอะ

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มันเดินหน้าอยู่แล้ว ทั้งการเพิ่มสถานีชาร์จและความเร็วในการชาร์จ แต่จะพอดีจังหวะให้ใช้งานครอบคลุมอีกกี่ปี อันนี้ยังพูดยาก แต่แรงขับเคลื่อนน่ะมีแน่ เช่น ผู้ให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้ารายใหญ่ในตอนนี้ อย่าง อีเอ เอนีแวร์ (EA Anywhere) ของ บริษัท พลังงานมหานคร จำกัด ที่ตลอด 3 ปีเริ่มดำเนินการติดตั้งระบบชาร์จไฟฟ้า ทั้งระบบ AC (กระแสไฟฟ้าสลับ) และ DC (กระแสไฟฟ้าตรง) จนถึงปัจจุบัน มีสถานีชาร์จไฟฟ้า 405

แห่ง 1,611 หัวจ่าย และก็มีแผนจะขยายหัวชาร์จอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับทางภาครัฐ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, การไฟฟ้าฝ่ายผลิต และการไฟฟ้านครหลวง รวมถึงยังมี ปตท. ที่เริ่มขยับตัว

ขณะเดียวกัน การคิดแผนสำรองการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศเพื่อกรณีรถไฟฟ้าครอบคลุม มันก็ยังไม่เคลียร์ เพราะถ้าทุกคนใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันหมด ไฟฟ้าในประเทศคงไม่เพียงพอ มันต้องมีการส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าเองในชุมชน ซึ่งไฟฟ้านั้นอาจจะมาจากพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานน้ำ ดันสังคมให้เปลี่ยนมาเป็นสังคมไฟฟ้าเต็มตัวก่อน โดยไม่ต้องพึ่งไฟฟ้าส่วนกลางควบคู่กัน ซึ่งดูภาพรวมแล้วยังอีกไกล

ฉะนั้นในส่วนของพลังงานไฟฟ้าที่จะนำมาใช้ หากยังไม่พร้อม มันก็ยังยากจะปล่อยให้คนถอยรถมาใช้อย่างสบายใจเฉิบ

...สุดท้ายในแง่ของภาครัฐ หรือภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทย

หลัก ๆ เลย คือ ปริมาณการผลิตรถยนต์ในบ้านเราต่อปีเฉลี่ยอยู่ที่ 2 ล้านกว่าคัน 1 ล้านคันขายส่งออก อีก 1 ล้านคันขายในประเทศ หากทุก 1 ล้านคันมีการปรับเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสัก 3 แสนคัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นในเชิงผลกระทบทางเศรษฐกิจมันจะมี และมันไม่ใช่เรื่องที่แค่อยากเปลี่ยน ก็เปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ

บางคนอาจจะมองว่ามันก็เป็นเรื่องของทางภาครัฐ แต่เราก็ต้องคิดมุมกลับเหมือนกับตลาดทัชโฟน/สมาร์ทโฟน ที่มันจะมีขั้นบันไดของมันให้ทั้งระบบพร้อมกันเปลี่ยนหมด ไม่ใช่เปลี่ยนอย่างฉาบฉวย ไม่งั้นระบบนิเวศน์นี้อาจล้มเร็ว คนตกงาน กระทบเป็นโดมิโน่

อย่างกลุ่มผู้ผลิตค่ายรถยนต์ในประเทศ รวมถึงซัพพลายเออร์ในประเทศไทยที่ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์หรือเครื่องยนต์ต่าง ๆ เท่าที่ทราบเขาก็รู้ดีว่าจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อระบบการผลิตของพวกเขาในอีกประมาณ 5 ปีข้างหน้าแน่นอน เพราะทางกระทรวงอุตสาหกรรมเขาก็มีการส่งสัญญาณมาพักใหญ่แล้ว

ฉะนั้นหากจะสรุปความสำคัญของความพร้อมไม่พร้อม ‘ผลักดัน’ และ ‘ใช้’ รถยนต์ไฟฟ้าไทยแล้ว ภาครัฐคงเป็นตัวเอกของเรื่องนี้ไม่เปลี่ยน เพียงแต่จะเขย่าทั้งระบบให้พร้อมรบในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้เร็ว โดยมีการขยายฐานสถานีชาร์จแบบคู่ขนานและเร่งเกียร์ไปถึงจังหวะที่รถยนต์ไฟฟ้าจับต้องได้ง่ายเหมือนสมาร์ทโฟนเมื่อไร นั่นแหละคือ ‘ความพร้อม’ ซึ่งส่วนตัวแล้วก็คงสอดคล้องกับสัญญาณที่ภาครัฐและเอกชนมองต่อจากนี้ว่าน่าจะไม่เกิน 5 ปี

เอาล่ะ!! พักภาพความพร้อมไม่พร้อมของรถยนต์ไฟฟ้าในแบบบิ๊ก ๆ แล้วลองไปคลิกดูภาพย่อย ๆ จาก THE STATES TIMES ที่ได้ลงไปสำรวจความคิดเห็นคนไทยบางกลุ่ม ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มคนทำงานย่านใจกลางเมือง เช่น สีลม, ช่องนนทรี, สยาม และอโศก กันเล็กน้อย

โดยคำตอบของคนส่วนใหญ่ที่ ‘พร้อมเปิดใจใช้รถยนต์ไฟฟ้า’ ก็ไม่ได้แตกต่างจากที่เล่ามาข้างต้นนัก เช่น...

ช่วยเรื่องลดมลพิษ เพราะรถยนต์โดยทั่วไป ก็มักจะใช้น้ำมันซึ่งก่อให้เกิดมลพิษ

เชื่อว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะมาพร้อมกับรถยนต์ไฟฟ้า จะช่วยทำให้ชีวิตคนสะดวกสบายมากขึ้น อย่างรถบางค่ายก็มีระบบ Auto pilot กันแล้ว

ไฟฟ้าถูกกว่าการเติมน้ำมัน

แต่ในส่วนของ ‘ปัญหา’ หรือความไม่พร้อม เช่น…

สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ายังน้อย ไม่ค่อยมั่นใจแม้ว่าบางรุ่นจะให้กำลังวิ่งได้นานแบบข้ามจังหวัด

สถานที่อยู่อาศัยของแต่ละคนเนี่ย ก็ไม่เอื้ออำนวยต่อการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

การจราจรในเมืองไทยค่อนข้างแออัด รถติด ก็กลัวรถยนต์ไฟฟ้าจะแบตเตอรี่หมดกลางทาง

ส่วนข้อสุดท้าย คือ ราคารถยนต์ไฟฟ้าในตอนนี้ค่อนข้างสูง และราคาที่พวกเขารับไหวจะอยู่ในหลัก 3 ถึง 4 แสนบาท (ฝันไปเหอะ)

สุดท้ายแล้ว ย้อนกลับมามองมุมประชาชนตาดำ ๆ ไอ้คำว่าพร้อมหรือไม่พร้อมกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้น มันก็คงไม่น่าจะเป็นประเด็นสำคัญเท่ากับ ‘ใช้ได้อย่างสบายใจ’ แค่ไหน ?

เพราะในแง่เทคนิคความซับซ้อนของอะไหล่ที่ลดลงจากเครื่องยนต์สันดาป หายไปเป็นหมื่นชิ้นส่วน อันนี้อะดี >> พร้อม

ส่วนการกินไฟของรถพลังไฟฟ้า (รถ EV) ซึ่งมีการคำนวณออกมาเป็น กิโลเมตร ต่อ กิโลวัตต์ชั่วโมง (km/kWh) แล้วมันถูกกว่าการเติมน้ำมันร่วม ๆ 4 - 5 เท่าตัว อันนี้ก็ดี >> พร้อม

แล้วถ้าราคามันเอื้อมไหว ซึ่งนั่นก็คงหมายถึงวันที่แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าต้นทุนต่ำลงมาใบบัญญัติไตรยางค์แบบเดียวกับสมาร์ทโฟน อันนี้ใคร ๆ ก็ไม่ปฏิเสธชัวร์ >> พร้อม

รวม ๆ แล้วรถยนต์ไฟฟ้ามันจะเกิด หรือมันจะพร้อม หรือจะน่าใช้ และจะเป็นอนาคตของไทยหรือไม่นั้น ? คำคอบก็คงจะประมาณนี้แหละกระมัง...


สนับสนุนโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

นับถอยหลัง EV ไทย!! ‘บอร์ดอีวี’ ตั้งเป้าอีก 14 ปี EV เต็มถนน เชื่อยานยนต์ไฟฟ้าปั้นเศรษฐกิจใหม่ให้ประเทศ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ยานยนต์ไฟฟ้า’ หรือ ‘Electric Vehicle: EV) คือ เทรนด์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกอย่างแท้จริง หลังจากหลายประเทศทั่วโลกได้กำหนดเป้าหมายก้าวไปสู่การใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยมลพิษในอากาศอย่างถ้วนหน้า

เมื่อมองนโยบายด้านพลังงานของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จะเห็นว่า ทุกประเทศจะมีนโยบายสนับสนุนให้เกิดการใช้งาน EV แทบทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น อังกฤษ ที่ได้วางเป้าหมายส่งเสริมการผลิตรถ EV 100% ในปี 2035

ขณะที่สหรัฐอเมริกา ตั้งเป้าเพิ่มจำนวน EV บนถนน 4 ล้านคัน พร้อมพัฒนา EV Charging Station สาธารณะ 500,000 แห่งทั่วประเทศในปี 2030 พร้อมทั้งกำหนดให้เปลี่ยนรถสันดาป (ICE) ของรัฐบาลกลางเป็นรถ EV จำนวน 645,000 คัน โดยจะผลิตและใช้แรงงานในประเทศเป็นหลัก

ส่วนจีน เป็นหนึ่งประเทศที่มีอัตราการขยายตัวของ EV ค่อนข้างสูงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะผลักดันให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือ 0% ภายในปี 2060 โดยไม่สนับสนุนโรงงานผลิตรถยนต์สันดาปอีกต่อไป พร้อมกับประกาศว่า จะเปลี่ยนรถยนต์สันดาปเป็น EV ทั่วประเทศในปี 2040 คู่ขนานไปกับการพัฒนา EV Charging Station 4.8 ล้านหัวจ่าย ทั่วประเทศ

จากนโยบายที่ว่ามาของประเทศต่างๆ ได้ส่งผลให้ EV เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงตั้งแต่ปี 2014 - 2019 มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 60% ต่อปี โดยเมื่อสิ้นปี 2019 มี EV ทั่วโลกสะสมอยู่ราว 7.2 ล้านคัน และมีการประเมินว่าส่วนแบ่งตลาดรถ EV จะเท่ากับรถ ICE ในปี 2037 (พ.ศ.2580)

ทีนี้หากขยับมาดูนโยบายด้าน EV ของประเทศเพื่อนบ้านไทยในกลุ่มอาเซียน อย่าง อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งถือว่าเป็นคู่แข่งของไทยในการผลิตรถยนต์ ต่างก็พยายามผลักดันการผลิต EV เป็นนโยบายหลัก โดยอินโดนีเซีย ตั้งเป้าหมายผลิต EV 20% ในปี 2025 ส่วนมาเลเซีย ตั้งเป้าที่จะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ในภูมิภาคในปี 2022 พร้อมกำหนดรถยนต์ส่วนบุคคล ต้องเป็นรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสูง (Energy Efficient Vehicles : EEVs) จำนวน 1 แสนคัน ในปี 2030 และเวียดนาม ตั้งเป้าที่จะเป็นศูนย์กลางการลงทุนและร่วมทุนผลิต เทคโนโลยีระดับสูง ด้าน EV อันดับ 1 ของอาเซียน เช่นกัน

จะเห็นได้ว่า ประเทศที่เป็นฐานการผลิตรถยนต์ในอาเซียน ต่างตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำด้านการผลิต EV ทั้งสิ้น เพราะประเทศเหล่านี้ต่างหมายมั่นที่จะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์แข่งกับไทยนั่นเอง

เอาล่ะ!! ทีนี้มามองดูไทย ที่ถือเป็นประเทศฐานการผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของอาเซียนมายาวนานหลายทศวรรษ จนได้รับฉายาว่า ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’ จากการเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดอันดับที่ 12 ของโลก และใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน กับยอดการผลิตราว 2 ล้านคันต่อปี เป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน และบริโภคภายในประเทศอีก 1 ล้านคัน

แต่นั่น คือ ภาพของผู้นำการผลิตรถยนต์เครื่องสันดาป!!

ฉะนั้นเมื่อ EV กำลังก้าวขึ้นมาเป็นเทรนด์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ และถ้าประเทศไทยไม่อยากเสียแชมป์ด้านการผลิตในอุตสาหกรรมรถยนต์ ก็คงอยู่เฉยปล่อยให้คู่แข่งแซงหน้าไม่ได้ เพราะต้องยอมรับว่าประเทศไทยผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกราว 1 ล้านคันต่อปี แต่ในขณะที่ประเทศคู่ค้าที่นำเข้ารถยนต์จากไทยหลายประเทศ เริ่มประกาศนโยบายลดการใช้งานรถยนต์เครื่องสันดาปแล้ว หากไทยไม่เริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าแบบจริงจัง ก็อาจจะสูญเสียตลาดส่งออกรถยนต์ให้กับคู่แข่งเป็นแน่แท้

อย่างไรก็ดี การจะเปลี่ยนเทคโนโลยีจากรถยนต์สันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดปุ๊บแล้วทำได้ปั๊บ เพราะไม่ว่าจะด้านการผลิต การใช้งาน โครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ยังเป็นตัวแปรสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ปัจจุบันไปสู่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้าพอสมควร

ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม ทางรัฐบาล จึงได้แต่งตั้ง ‘คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ’ หรือ ‘บอร์ดอีวี’ ขึ้นมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งกรอบที่ทางบอร์ดอีวีได้วางไว้ในการประชุมครั้งแรก นั่นคือ เร่งให้เกิดการผลิต ยานยนต์ไฟฟ้า BEV (Battery Electric Vehicle: รถยนต์ที่พึ่งพิงกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว) ในประเทศไทยภายใน 5 ปี

ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2564 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ได้ร่วมประชุมบอร์ดอีวี โดยมี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม เพื่อกำหนดทิศทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย ด้วยการลดการใช้รถยนต์ที่่ใช้เครื่องยนต์สันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างเป็นรูปธรรม

โดยในที่ประชุมได้ร่วมกำหนดแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ผ่านมาผลิตเครื่องยนต์สันดาปซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จึงได้วางเป้าหมายการส่งเสริมการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า

ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก ทางบอร์ดอีวี ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงคมนาคม ร่วมกันพิจารณาส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ประกอบด้วย รถยนต์ จักรยานยนต์ และรถบัสสาธารณะ

โดยกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นเจ้าภาพในการเตรียมความพร้อมทั้งในส่วนของอุปทาน (ผู้ผลิต) โดยเฉพาะการเชื่อมโยงผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องในยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงผลักดันผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ เพื่อเร่งให้เกิดการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยโดยเร็ว

ขณะเดียวกัน ทางบอร์ดอีวี ยังได้กำหนดเป้าหมายการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ารวมทุกประเภทในปี 2568 รวมจำนวนทั้งสิ้น1,055,000 คัน แบ่งเป็น...

รถยนต์/รถปิกอัพ 402,000 คัน

รถจักรยานยนต์ 622,000 คัน

รถบัส/รถบรรทุก 31,000 คัน

และในปี 2578 ให้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนรวม 15,580,000 คัน แบ่งเป็น...

รถยนต์/รถปิกอัพ 6,400,000 คัน

รถจักรยานยนต์ 8,750,000 คัน

รถบัส/รถบรรทุก 430,000 คัน

ส่วนเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศในปี 2568 จะมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 1,051,000 คัน แบ่งเป็น...

รถยนต์/รถปิกอัพ 400,000 คัน

รถจักรยานยนต์ 620,000 คัน

รถบัส/รถบรรทุก 31,000 คัน

และในปี 2578 ให้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนรวม 18,413,000 คัน แบ่งเป็น...

รถยนต์/รถปิกอัพ 8,625,000 คัน

รถจักรยานยนต์ 9,330,000 คัน

รถบัส/รถบรรทุก 458,000 คัน

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้วางนโยบายการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าด้วยมาตรการระยะเร่งด่วนและมาตรการระยะ 1-5 ปี ประกอบด้วย...

มาตรการเร่งด่วน...

1.) มาตรการกระตุ้น การใช้รถ สองล้อ สาม ล้อ และสี่ล้อไฟฟ้า

2.) มาตรฐาน และ ศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ -แผนพลังงาน และ การจัดตั้งสถานีอัด ประจุสำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์

3.) ขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐจัดซื้อ/เช่ารถยนต์ไฟฟ้า

4.) จัดให้มีโครงการเช่ารถเมล์ ขับเคลื่อนด้วยพลังงาน ไฟฟ้า 2,511 คัน

ส่วนมาตรการในระยะ 1 - 5 ปี มีดังนี้...

1.) ด้านมาตรการแรงจูงใจ (Demand)

- ปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิต (เริ่มพ.ศ. 2569 หรือ ค.ศ.2026) เพื่อส่งเสริมการใช้ ZEV

- ปรับปรุงภาษีรถยนต์ประจำปี ตามหลักสากล “รถยิ่งเก่า ยิ่งต้องจ่าย แพง”

2.) ด้านโครงสร้างพื้นฐาน

- สนับสนุนให้มีสถานีชาร์จสาธารณะสำาหรับรถ BEV และ สถานี SWAP สำหรับ รถจักรยานยนต์ BEV ให้เพียงพอ

- มาตรการทางภาษี กองทุนเพื่อการบริหารจัดการแบตเตอรี่ในรถยนต์

- การบริหารจัดการซากรถยนต์ แบตเตอรี่และ Solar cell ใช้แล้วอย่างยั่งยืน

- การพัฒนาบุคลากร Upskill / Reskill ในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนสำหรับ ZEV รวมทั้งมาตรการรองรับบุคลากรจากอุตสาหกรรมยานยนต์เดิมไปสู่ S-Curve

พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติขึ้น ได้แก่

1.) คณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน

2.) คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและแบตเตอรี่เพื่อรองรับยานยนต์ไฟฟ้า

3.) คณะอนุกรรมการประเมินผลกระทบด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซเรือนกระจกจากการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า

4.) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

สำหรับคณะอนุกรรมการทั้ง 4 ชุด ตั้งขึ้นเพื่อให้การส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าดำเนินนโยบายไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมทั้งเกิดการบูรณาการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การนำประเทศก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลกนั่นเอง


สนับสนุนโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top