Wednesday, 8 May 2024
เซาท์ไทม์

พังงา - “นิพนธ์ฯ” ย้ำ! ที่ดินคือชีวิต เพราะเป็นทั้งที่อยู่อาศัย – ที่ทำกิน และมรดกให้ลูกหลาน ก่อนมอบโฉนด 1,500 แปลง แก่ชาวจังหวัดพังงา

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564  นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการมอบโฉนดที่ดินให้แก่ประชาชน ตำบลบ้านท้ายช้าง อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา ตามโครงการ “มอบโฉนดที่ดินทั่วไทย นำสุขคลายทุกข์ให้ประชาชน” โดยมี นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น.รองผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เจ้าพนักงานที่ดิน ข้าราชการ และประชาชนในพื้นที่ ร่วมมอบโฉนดที่ดินครั้งนี้ด้วย

นายนิพนธ์ กล่าวว่า โครงการมอบโฉนดที่ดินทั่วไทยนี้ เกิดขึ้นภายใต้หลักคิด ที่ดินคือชีวิต เพราะเป็นทั้งที่อยู่อาศัยที่ทำกินและเป็นมรดกให้ลูกหลาน ซึ่งเป็นนโยบาย นำสุขคลายทุกข์ให้ประชาชน เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล โดยกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทยต้องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความยากจน ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจังหวัดพังงาขณะนี้สามารถดำเนินการไปแล้วจำนวน 1,500 กว่าแปลง ตนต้องการที่จะเร่งรัดในการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินให้แก่พี่น้องประชาชนที่ถือครองที่ดินอยู่ ทำประโยชน์ในที่ดินนั้นมายาวนาน และที่ดินนั้นไม่ใช่ที่ดินของรัฐ

การมีเอกสารสิทธิ์ในที่ดินของตนเอง ถือว่าเป็นความมั่นคงในการถือครองที่ดิน คืนความสุขให้กับพี่น้องประชาชน สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในการเข้าถึงการใช้ทรัพยากรที่ดินของชาติ สร้างความมั่นใจ ประชาชนไม่ต้องเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกที่ดินของทางราชการ สามารถนำโฉนดที่ดินไปประกอบการพัฒนาในอาชีพของตนเอง เพิ่มผลผลิตและรายได้ ซึ่งเป็นผลดีในทางเศรษฐกิจของตนเองได้ต่อไป ซึ่งเมื่อพี่น้องได้รับโฉนดที่ดินแล้วขอให้เก็บรักษาดูแลไว้ให้ดี ใช้ที่ดินทำกินให้เกิดประโยชน์ในการสร้างรายได้เลี้ยงชีพครอบครัว อย่ายกที่ดินให้คนอื่น ที่สำคัญให้ระมัดระวังเรื่องการทำนิติกรรมสัญญาใด ๆ เกี่ยวกับที่ดิน ขอให้รักษาที่ดินนี้ให้ดีเพื่อส่งมอบเป็นมรดกให้ลูกหลานของพี่น้องในรุ่นต่อไป นายนิพนธ์ กล่าว

 

สตูล - วางพานพุ่มดอกไม้สด ถวายราชสักการะน้อมรำลึก “วันพระบิดาแห่งฝนหลวง” ประจำปี 2564

ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ศาลากลางจังหวัดสตูล นายทศพล สวัสดิสุข ปลัดจังหวัดสตูล เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มดอกไม้สดถวายราชสักการะและกล่าวรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันพระบิดาแห่งฝนหลวง ประจำปี 2564 โดยมีนางปิยรัตน์ ลัภกิตโร เกษตรและสหกรณ์จังหวัดสตูล พร้อมด้วยข้าราชการ และหน่วยงานส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมพิธี ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19

โอกาสนี้ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดสตูล นำประธานในพิธีและผู้เข้าร่วม เดินชมนิทรรศการโครงการพระราชดำริ “ฝนหลวง” ที่แสดงถึงพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงค้นคว้าวิจัยร่วมกับคณะ จนสามารถนำฝนจากบนฟากฟ้าให้ตกลงสู่ผืนแผ่นดินให้พ้นจากภัยแล้ง แก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ เปรียบดั่งสายฝนแห่งน้ำพระราชหฤทัยที่พระองค์ทรงห่วงใยในความเป็นอยู่ของราษฎร และจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2545 เห็นชอบการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในฐานะทรงเป็นพระบิดาแห่งฝนหลวง

ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ศาลากลางจังหวัดสตูล นายทศพล สวัสดิสุข ปลัดจังหวัดสตูล เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มดอกไม้สดถวายราชสักการะและกล่าวรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันพระบิดาแห่งฝนหลวง ประจำปี 2564 โดยมีนางปิยรัตน์ ลัภกิตโร เกษตรและสหกรณ์จังหวัดสตูล พร้อมด้วยข้าราชการ และหน่วยงานส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมพิธี ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19

โอกาสนี้ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดสตูล นำประธานในพิธีและผู้เข้าร่วม เดินชมนิทรรศการโครงการพระราชดำริ “ฝนหลวง” ที่แสดงถึงพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงค้นคว้าวิจัยร่วมกับคณะ จนสามารถนำฝนจากบนฟากฟ้าให้ตกลงสู่ผืนแผ่นดินให้พ้นจากภัยแล้ง แก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ เปรียบดั่งสายฝนแห่งน้ำพระราชหฤทัยที่พระองค์ทรงห่วงใยในความเป็นอยู่ของราษฎร และจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2545 เห็นชอบการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในฐานะทรงเป็นพระบิดาแห่งฝนหลวง

 

กระบี่ - 2 สามี-ภรรยา! บุกร้อง "แรมโบ้" ทวงคืน ที่ดินบรรพบุรุษหลังถูก จนท.ป่าชายเลน นำรถแบคโฮ ล้มต้นปาล์มกลางดึก ส่อพิรุธ! หลังเคยร้อง ผวจ.กระบี่ ตรวจสอบแต่เรื่องเงียบ

นายภพ สกุลสวน อายุ 55 ปี พร้อมด้วยนางสายใจ สกุลสวน อยู่บ้านเลขที่ 52/1 ม.5 ต.แหลมสัก อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ พร้อมด้วยครอบครัว และตัวแทนสภาเกษตรกร จ.กระบี่ ได้เดินทางมาที่ศาลากลางจังหวัดกระบี่ เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกรณีเจ้าหน้าที่ป่าชายเลนกระบี่ เข้ายึดพื้นที่โค่นทำลายต้นปาล์มน้ำมันในที่ดินทำกินที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ นับ 100 ปี รวมเนื้อที่ 17 ไร่เศษหลังทราบว่า นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางมาเปิดศูนย์ดำรงธรรมสวนหน้ารับเรื่องร้องเรียน สนับสนุนภารกิจนายกรัฐมนตรี ในการประชุม ครม.สัญจร 15-16 นี้ หลังจากที่เคยยื่นเรื่องขอความเป็นธรรม จาก ผวจ.กระบี่ ไว้แล้ว แต่เรื่องเงียบ

นายภพ และนางสายใจ สองสามีภรรยา กล่าวว่า สำหรับที่ดินแปลงนี้ เดิมเป็นที่ดินมรดก ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ทำกินมา 3 อายุคน รวม กว่า 100 ปี กว่าจะตกทอดมาถึงตนสองคน ครั้งแรกที่จำความได้ที่ดินแปลงนี้มีการทำนา และต่อมาปลูกปาล์มน้ำมันจนหมดอายุเก็บเกี่ยว ประมาณ 30 ปี และก็ได้โค่นทิ้ง และปลูกแทนใหม่ มีอายุ ได้ 13 ปี ก่อนที่จะถูกเจ้าหน้าที่ป่าชายเลน เข้าไปปักป้าย ยึดที่ดินและนำรถแบคโฮ ทำลายต้นปาล์ม เมื่อเวลาประมาณ ตี 3 กลางดึก เสร็จประมาณ 7 โมงเช้า ของคืนวันที่ 20 พ.ค.64 ที่ผ่าน ซึ่งตนเองมองว่าผิดวิสัยของข้าราชการ ที่เข้าทำลายผลอาสินของชาวบ้านในยามวิกาล แล้วยังข่มขู่ห้ามไม่ให้แสดงตัว จึงได้เดินทางมาร้องขอความเป็นธรรม ให้ระงับการดำเนินการและสอบสวนข้อเท็จจริง พร้อมกันนี้เตรียมรวบรวมหลักฐาน ยื่นฟ้องศาลปกครอง ม.157 ต่อไป

จากการตรวจสอบข้อมูลการถือครองที่ดินของนายภพ สกุลสวน และนางสายใจ วหุลสวน 2 สามีภรรยา เดิมเป็นของนายเฟื่อง เนื้ออ่อน เป็นตาของภรรยา ซึ่งนายเฟื่อง เนื้ออ่อน ได้ครอบครองและทำประโยซนในที่ดินดังกล่าวมาก่อน พ.ศ.2485 ซึ่งเป็นการครอบครองและทำประโยชน์มาก่อนที่จะมีประกาศของรัฐ ประกาศให้เป็นเขตป่าไม้ถาวร ประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ และประกาศให้เป็นเขตป่าขายเลน นายเฟือง ได้ทำประโยชน์ในที่ดินทำกินโดยการทำนามาอย่างต่อเนื่อง

และประมาณ พ.ศ.2530 จึงเปลี่ยนลักษณะการทำประโยชน์มาเป็นสวนปาล์ม น้ำมัน และได้ปลูกปาล์มน้ำมันเป็นรายแรก ๆ ในจังหวัดกระบี่ ซึ่งผู้เสียหายได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อจากนายเฟื่องฯ และได้ชำระภาษีบำรุงท้องที่ รวมถึงได้จดทะเบียนเกษตรกร และทำกินในที่ดินตลอดมา จนถึงปัจจุบัน และไม่มีสภาพเป็นป่า นอกจากนี้ที่ดินติดกันล้อมที่ดินของผู้เสียหายมีที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง มีถนน และไฟฟ้า มีทะเบียนบ้าน เป็นชุมชนมีราษฎรอยู่อาศัยหลายครัวเรือนและทำกินกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่จนท.กลับดำเนินการเฉพาะที่ดินของผู้เสียหาย

 

ปัตตานี - ศอ.บต. ร่วมสนับสนุนกิจกรรมทอดกฐิน ปี 64 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการทำนุบำรุง แหล่งศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ จชต.

นายวิสันติ์ ประเสริฐศรี ผู้ช่วยเลขาธิการ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมพิธีทอดกฐินพระราชทาน พร้อมถวายปัจจัย ในนาม ศอ.บต. เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทอดกฐิน ประจำปี 2564  โดยมีพระสิริจริยาลังการ รองเจ้าคณะภาค 18 /เจ้าอาวาสวัดตานีนรสโมสรพระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนางสุดา ก่อเกียรติพิทักษ์ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส

สำหรับพิธีทอดกฐินพระราชทาน ณ วัดตานีนรสโมสร พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน ให้ นางสุดา ก่อเกียรติพิทักษ์ ตามที่ขอพระราชทานเพื่อน้อมนำไปถวายพระสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ซึ่งจากการทำบุญในครั้งนี้รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 1,111,111 บาท

จากนั้นในเวลาต่อมา ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ได้เดินทางไปร่วมพิธีทอดกฐินสามัคคี ณ วัดกุหร่า หรือวัดเกาะอภินิหาร บ้านสวนโอน ตำบลเปียน อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา พร้อมถวายปัจจัยในนาม ศอ.บต. เพื่อสมทบทุนบูรณะวัด และก่อสร้างเสนาสนะ เป็นที่พักให้กับพระภิกษุ ใช้ในการทำกิจกรรมทางศาสนา ซึ่งเป็นแหล่งศูนย์รวมจิตใจ ของพี่น้องประชาชนไทยพุทธในพื้นที่ โดยมี ข้าราชการ หัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจ ตลอดจนประชาชนในพื้นที่เข้าร่วม ภายใต้การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

สำหรับวัดกุหร่า หรือวัดเกาะอภินิหาร เป็นวัดตามทำเนียบของสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสงขลา ซึ่งสันนิษฐานว่า สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยก่อนหน้านี้เกือบ 50 ปีไม่มีพระภิกษุอยู่จำพรรษา และตั้งแต่ปี 2563 ได้มีพระภิกษุอยู่จำพรรษา 2 รูป ประจำวัดแห่งนี้ โดยศูนย์พัฒนาและส่งเสริมพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะสงฆ์จังหวัดสงขลา หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้จัดให้มีการทอดผ้าป่าสามัคคีขึ้น เพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในการก่อสร้างเสนาสนะ เพื่อเป็นที่พักให้กับพระภิกษุและใช้สอยในการทำกิจกรรมทางศาสนา เป็นขวัญกำลังใจ และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยพุทธและมุสลิมในพื้นที่ ตลอดจนฟื้นฟูให้เป็นวัดที่สมบูรณ์ตามระเบียบการปกครองของคณะสงฆ์ต่อไป ซึ่งจากการทำบุญในวันนี้ รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น กว่า 830,000 บาท

 

นราธิวาส - ผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมหน่วยในพื้นที่ค่ายจุฬาภรณ์ ย้ำ!กำลังพลทำหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม

พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พร้อมด้วยนายกสมาคมภริยาทหารเรือและคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกำลังพลกองทัพเรือ กรมทหารราบที่ 3 กองพลนาวิกโยธิน หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ ณ ค่ายจุฬาภรณ์ อ.เมือง จ.นราธิวาส โดยมี นาวาเอกโยธิน ธนะมูล ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 3 กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน / ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ ให้การต้อนรับ

โดยพล.ร.อ.สมประสงค์ ผบ.ทร.ได้ถวายสักการะ พระอนุสาวรีย์ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ องค์บิดาของทหารเรือไทย และตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ จากนั้นได้ให้โอวาทและทักทายกำลังพลจากหน่วยต่าง ๆ ที่เข้าร่วมในพิธี โดยใจความสำคัญที่ผู้บัญชาการทหารเรือเน้นย้ำแก่กำลังพลที่ร่วมในพิธีคือ หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเอกราช และอธิปไตยของชาติในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ สร้างความปลอดภัยและให้การช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อนในด้านต่าง ๆ แก่ประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ

ทราบดีว่าที่ผ่านมาทุกคนนั้น ได้ปฎิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ ในพื้นที่เสี่ยง พื้นที่ที่มีความแตกต่างด้านวัฒนธรรม และพื้นที่ที่มีความแตกต่างทางสังคมของประชาชน แต่ก็ได้ทุ่มเทและมุ่งมั่นเสียสละ ไม่ย่อท้อในการทำหน้าที่ทำให้ได้รับความร่วมมือและความเชื่อมั่นจากประชาชนในพื้นที่ ส่งผลให้การปฎิบัติภารกิจของกองทัพเรือนั้นลุล่วงตามวัตถุประสงค์ ของหน่วยเหนือ ขอแสดงความชื่นชมและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

ขอให้ทุกท่านนั้นเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การปฏิบัติหน้าที่นั้นขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาท การที่จะทำหน้าที่ให้ได้รับความสำเร็จนั้น ต้องได้รับการยอมรับจากประชาชน ที่ผ่านมานั้นทุกท่านได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รักษาความสงบ รักษาความเรียบร้อย รักษาเอกราชและอธิปไตยใน พื้นที่ที่รับผิดชอบเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากลำบาก

อย่างไรก็ตามการดำรงไว้ซึ่ง หน้าที่และภารกิจที่ดีอยู่แล้วนั้นเป็นเรื่องที่ยากกว่า ก็ขอให้ทุกท่านดำรงความต่อเนื่องในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป การยอมรับของประชาชนในพื้นที่นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากประชาชนในพื้นที่ยอมรับการปฎิบัติงาน หรือให้ความร่วมมือ นั่นคือความสำเร็จสูงสุด ของการปฏิบัติการ ก็อยากจะฝากให้ทุกท่านให้ปฎิบัติหน้าที่ต่อเนื่อง อย่างเต็มกำลังความสามารถ ด้วยความจงรักภักดี ด้วยสติรู้ตัว ด้วยปัญญารู้คิด สุจริตจริงใจ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น และขอให้มุ่งมั่น ในอุดมการณ์ความรักชาติความเสียสละที่ทุกท่านนั้นได้ดำเนินการต่อเนื่องมาโดยตลอด

 

นราธิวาส - พิธีถวายผ้าไตรกฐินพระราชทาน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ วัดตันติการาม อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส

ที่ วัดตันติการาม หมู่ที่ 3 ตำบลตันหยงลิมอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส พลตรี ไพศาล หนูสังข์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นประธานในพิธีถวายผ้าไตรกฐินพระราชทาน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้ขอรับพระราชทานผ่านราชเลขานุการในพระองค์ เพื่อนำมาทอดถวายแด่พระสงฆ์ที่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาส ณ วัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเป็นการทำนุบำรุง สืบสานวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีในพระพุทธศาสนา

โดยมี พระเทพศีลวิสุทธิ์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 18 เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วย พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ, พันเอก ยุทธนา สายประเสริฐ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 151 / หัวหน้าคณะทำงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ คณะที่ 3, เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ หัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนพุทธศาสนิกชนในพื้นที่เข้าร่วมพิธี ซึ่งปัจจัยที่รวบรวมได้จากบริวารกฐินผู้มีจิตศรัทธาในครั้งนี้ มียอดรวมทั้งสิ้น 1,059,411 บาท ในการนี้ วัดตันติการาม จะนำไปทำนุบำรุง บูรปฏิสังขรณ์ศาสนสถานที่ชำรุดเสียหายภายในวัด เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจแก่พุทธศาสนิกชนในพื้นที่ โดยพิธีจัดขึ้นภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

 

นราธิวาส - พัฒนาฝีมือแรงงานนราธิวาส! ประชุมขับเคลื่อนโครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพ แก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ

นายบุญพาศ รักนุ้ย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุมบางนรา สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 25 นราธิวาส อ.เมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส เพื่อพิจารณากำหนดแผนการดำเนินงานโครงการ กำหนดหลักสูตรที่จะเปิดอบรม มอบหมายหน่วยงานต้นสังกัดสถานศึกษาจัดทำแบบสอบถามและแบบสรุปการสำรวจและจำแนกนักเรียนของจังหวัดนราธิวาส รวมถึงความร่วมมือจัดสรรงบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติมในการดำเนินโครงการฯ นอกเหนือจากงบประมาณปกติของสถาบันฯ

นายเสริมสกุล พจนการุณ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 25 นราธิวาส เปิดเผยว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับจังหวัดนราธิวาสจากหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดนราธิวาส และกระทรวงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ภาคการศึกษา ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม จำนวน 28 คน มีอำนาจหน้าที่อำนวยการวางแผนการดำเนินโครงการ โดยให้ความเห็นชอบปฏิบัติ ขั้นตอนการดำเนินงาน 12 ขั้นตอน ให้ความเห็นชอบหลักสูตรและงบประมาณ และจัดเตรียมตลาดแรงงาน มอบหมายและประสานการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำกับติดตามในการสำรวจและจำแนกกลุ่มนักเรียนเป้าหมาย ติดตามและสนับสนุนในการดำเนินการฝึกอาชีพและประเมินผลการดำเนินการโครงการ

ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนการดำเนินงานโครงการฯ โดยกำหนดประชุมชี้แจงผู้อำนวยการโรงเรียนและครูแนะแนว ระหว่างวันที่ 7 – 9 ธันวาคม 2564 สถานศึกษานำนักเรียนกลุ่มเป้าหมายเข้าศึกษาดูงาน ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 25 นราธิวาส ระหว่างวันที่ 21 – 25 ธันวาคม 2564 แต่เนื่องจากกลางเดือน เมษายน - พฤษภาคม 2564 เป็นช่วงเทศกาลถือศีลอด ดังนั้นจึงได้กำหนดวันรายงานตัวและปฐมนิเทศ ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2565 สำหรับหลักสูตรที่เปิดฝึก เป็นหลักสูตรเตรียมเข้าทำงาน ระยะเวลาฝึก 420 ชั่วโมง

 

 

สตูล - ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 ตรวจเยี่ยมหน่วยในพื้นที่จังหวัดสตูล พร้อมทั้งมอบนโยบายและสร้างขวัญ กำลังใจให้กับหน่วยงาน ศรชล.พื้นที่จังหวัดสตูล

พลเรือโท สมพงษ์ นาคทอง ผู้อำนวยการ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 พร้อมด้วยพลเรือตรี สุชาติ เปรมประเสริฐ รอง ผอ.ศรชล.ภาค 3 พลเรือตรี ทินกร กาญจนเตมีย์ ผอ.สน.ฝอ.ศรชล.ภาค 3 พร้อมนายทหารฝ่ายอำนวยการ ศรชล.ภาค 3 เดินทางมาตรวจเยี่ยมหน่วยงานใน ศรชล.ภาค 3 พื้นที่จังหวัดสตูลและได้เข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล/ผอ.ศรชล.จังหวัดสตูล จากนั้นได้รับฟังการบรรยายสรุปของหน่วยงาน ศรชล. ในพื้นที่จังหวัดสตูล เพื่อรับทราบปัญหาข้อขัดข้องต่างๆในการปฏิบัติงานที่ผ่านมาและได้เดินทางไปท่าเรือตำมะลัง ต.ตำมะลัง อ.เมือง จ.สตูล เพื่อตรวจเยี่ยมพร้อมทั้งมอบนโยบายจากหน่วยเหนือ และสร้างขวัญ กำลังใจให้กับหน่วยงาน ศรชล.พื้นที่จังหวัดสตูล

พลเรือโท สมพงษ์ นาคทอง ผู้อำนวยการ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 กล่าวว่า ศรชล.มีหน้าที่ รับผิดชอบในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในทุก ๆ ด้าน แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด 19 ในประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีความรุนแรงอยู่ ประกอบกับการมีนโยบายการเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน รวมถึง นโยบาย การนำแรงงานต่างด้าวที่ไม่ถูกกฎหมายมาขึ้นทะเบียน สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุทำให้ แรงงานต่างชาติลักลอบเข้ามาประเทศไทยย่างผิดกฎหมายเป็นจำนวนมาก

ดังนั้นในเวลานี้ ศรชล. จึงมีนโยบายมุ่งเน้นไปในด้านการสกัดกั้นแรงงานต่างชาติ โดยอนุมัติให้จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงในพื้นที่ภาคใต้ ศรชล.ภาค 3 (นก.กมต.ศรชล.ภาค 3) จังหวัดสตูลขึ้น โดยได้ปฏิบัติงานต่อเนื่องจากปีงบประมาณที่ผ่านมาหน่วยเฉพาะกิจนี้ได้บูรณาการ หน่วยงานใน ศรชล.ภาค 3 ได้แก่ ทัพเรือภาคที่ 3,ศรชล.จังหวัดสตูล, ศคท.จังหวัดสตูล,สถานีเรือละงู, เจ้าท่า,หน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลเกาะหลีเป๊ะ (สตูล),ตำรวจน้ำ,ศุลกากร,กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมกับหน่วยงานราชการและฝ่ายปกครองในพื้นที่

 

นราธิวาส - สุไหงโก-ลก ออกกฎเหล็ก! ไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ห้ามเข้าโดยเด็ดขาด

นายรุ่งเรือง ธิมาบุตร นายอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ในฐานะ ผอ.ศบค.อ.สุไหงโก-ลก มีมติออกมาตรการให้ผู้ที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก ต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาอย่างน้อย 1 เข็ม จากแอปพลิเคชั่นหมอพร้อม หรือ ไลน์หมอพร้อมมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ ยกเว้นกรณีเร่งด่วนด้านการแพทย์ หรือ มีเหตุจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากตรวจสอบพบว่ายังไม่ได้ฉีดวัคซีนจะไม่อนุญาตให้เข้ามาในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก อย่างเด็ดขาด โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 ต.ค. 64 เป็นต้นไป

จากการตระเวนตรวจสอบที่จุดตรวจจุดสกัด 3 แห่ง ที่มุ่งหน้าจาก อ.ตากใบ สู่เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก คือ จุดตรวจจุดสกัดบ้านน้ำตก และเส้นทางที่มุ่งหน้าจาก อ.แว้ง สู่เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก คือ จุดตรวจจุดสกัดบ้านบือเร็ง รวมทั้งเส้นทางที่มุ่งหน้าจาก อ.สุไหงปาดี สู่เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก คือ จุดตรวจจุดสกัดบุณยลาภนฤมิตร มีเจ้าหน้าที่ อส.ประจำที่ว่าการ อ.สุไหงโก-ลก เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สุไหงโก-ลก และเจ้าหน้าที่ไทยอาสาป้องกันชาติ หรือ ทสปช. แยกย้ายกันตรวจสอบประชาชนที่ขับยานพาหนะทุกชนิดผ่านจุดตรวจ ด้วยการขอตรวจสอบหลักฐานการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 จากแอปพลิเคชั้นหมอพร้อม หรือ ไลน์หมดพร้อม มายื่นยันต่อเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจ ว่าผ่านการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาแล้ว และมีประชาชนบางส่วนที่ยังไม่เคยผ่านการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้เข้าพื้นที่เขตเทศบาลโดยเด็ดขาด แต่หากต้องการเข้ามีกิจธุระจำเป็น เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้รอที่จุดตรวจจุดสกัด เพื่อประสานเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อ.สุไหงโก-ลก นำวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาบริการฉีดให้ถึงที่ แต่ทุกคนให้การปฏิเสธขอกลับภูมิลำเนา เพื่อไปฉีดวัคซีนตามโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแต่ละแห่ง ซึ่งมีบริการออกหน่วยฉีดให้กับประชาชนทุกวัน

นอกจากนี้แล้ว ณ อาคารรื่นอรุณ เขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ยังมีมาตรการเตรียมความพร้อมที่จะเปิดด่านพรมแดน 2 แห่ง คือ ด่านพรมแดน อ.ตากใบ ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับด่านพรมแดนเป็งกาลังกูโบ และด่านพรมแดนบูเก๊ะตา อ.แว้ง ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับด่านพรมแดนบูกิตบุหงา ประเทศมาเลเซีย ไปมาหาสู่กันในวันที่ 1 พ.ย. 64 ที่จะถึงนี้ เนื่องจากนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจส่วนใหญ่ จะมุ่งหน้ามาใช้บริการตามสถานประกอบการต่าง ๆ ในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก อาทิ ร้านอาหาร ตลาดสด แผงลอย สถานีขนส่งรถประจำทาง และสถานประกอบการโรงแรมต่าง ๆ ที่อาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทางโรงพยาบาลสุไหงโก-ลก ได้ขอความร่วมมือจากเจ้าของกิจการและผู้ประกอบการต่างๆข้างต้นทุกแห่ง มาทำการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยชุดตรวจ ATK หรือ ANTIGEN TEST KIT หากพบว่ามีผลเป็นบวก แพทย์จะประเมินอาการและให้ยาต้านเชื้อไวรัสมากินที่บ้านเป็นเวลา 5 วัน พร้อมทั้งจะมีการติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง และเมื่อผล RT – PCR ออกมาแล้ว จะประสานให้ไปพบแพทย์อีกครั้งที่คลีนิค ARI ของโรงพยาบาล

สงขลา - ‘นิพนธ์’ ชู! จชต.ต้องแก้ความยากจน + สร้างความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน สู่เป้าหมาย ปชช.อยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างสันติสุข ในเวทีรับฟังปัญหาของพระสงฆ์พื้นที่ชายแดนใต้

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 ณ ที่ โรงแรมตรังกรุงเทพ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ นายชนธัญ แสงพุ่ม รองเลขาธิการศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับฟังปัญหาและแลกเปลี่ยนหารือร่วมกับผู้แทนพระภิกษุสงฆ์ในพื้นที่จังหวัดยะลา จังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส และจาก 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา และเครือข่ายพุทธศาสนิกชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

นายนิพนธ์ กล่าวว่า “ได้ติดตามการทำงานของ ศอ.บต.มาโดยตลอดในฐานะรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย และในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) และขอให้ทุกฝ่ายได้คลายกังวล และขอยืนยันให้มั่นใจได้ว่าผมพร้อมรับฟังและประสานการแก้ไขทุกปัญหาของพี่น้องประชาชน ทั้งประเด็นการตั้งคณะทำงานใน 2 ระดับ เพื่อบูรณาการงานเชิงนโยบายและงานระดับพื้นที่ ที่มีกระทรวงมหาดไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ศอ.บต. ฯลฯเป็นแกนกลางเพื่อประสานบูรณาการทำงานร่วมกัน พร้อมทั้งการส่งเสริม สนับสนุนกิจของสงฆ์ในประเด็นเร่งด่วน 3 ด้านได้แก่ การศึกษาเคราะห์ การเผยแผ่ และสาธารณสงเคราะห์ (ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้) เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงพระพุทธศาสนาในพื้นที่จชต."

"นอกจากนี้ สิ่งที่ผลักดันขับเคลื่อนมาโดยตลอดและเกิดรูปธรรมแล้วก็คือเรื่องการศึกษา ที่ขณะนี้ 3 จังหวัดมีสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษาครบทุกจังหวัดแล้ว อย่างที่จ.ปัตตานีก็มีม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ที่จ.ยะลา ก็มีม.ราชภัฏยะลา และที่จ.นราธิวาสก็มีม.นราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักในการต่อยอดและเสริมสร้างความมั่นคงด้านการศึกษาในพื้นที่ การขับเคลื่อนต่อจากนี้ก็คือเรื่องของการแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่เนื่องจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นจังหวัดที่มีรายได้ประชากรต่อหัวต่ำที่สุดในประเทศ ซึ่งต้องมีการยกระดับปัจจัยต่าง ๆ เพื่อสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องการยกระดับการผลิตสินค้าภาคการเกษตร การกรรมสิทธิ์ในที่ดิน การเสริมสร้างช่องทางจำหน่ายตลาดออนไลน์ ตลอดจนการพัฒนาแห่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม เป็นต้น

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top