Tuesday, 1 July 2025
POLITICS

ทัพเรือฯ จัดพิธีรับมอบเรือ ต.114 และ เรือ ต.115 จำนวน 2 ลำ

พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือเป็นประธานในพิธีรับมอบเรือ ต.114 และเรือ ต.115 จำนวน 2 ลำ ณ ท่าเรือแหลมเทียน การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี  ในวันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 โดยมี พล.ร.อ.วศินสรรพ์  จันทวรินทร์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ ในฐานะ ประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง  

พล.ร.อ.สุทธินันท์ สมานรักษ์ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ  พล.ร.ต.สุเทพ ลิมปนันท์วดี  ผู้บัญชาการกองเรือยามฝั่ง กองเรือยุทธการ  ตลอดจนข้าราชการกองเรือยามฝั่ง กองเรือยุทธการ  ให้การต้อนรับ โดยในช่วงเช้า พลเรือเอกวศินสรรพ์  จันทวรินทร์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ ในฐานะ ประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง  ร่วมด้วย คณะกรรมการร่วม กองทัพเรือ  และ บริษัท มาร์ซัน จำกัด (มหาชน) ได้จัดให้มีพิธีบวงสรวง เพื่อความเป็นสิริมงคล  ณ ศาลพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ แหลมปู่เจ้า อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี  

กองทัพเรือได้ดำเนินการจัดหาเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง จำนวน 2 ลำ เพื่อใช้ในภารกิจถวายความปลอดภัยแด่พระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ การลาดตระเวนตรวจการณ์ คุ้มครองเรือประมงและเรือสินค้า ป้องกันและต่อต้านการก่อการร้ายในทะเลและท่าเรือ ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายในทะเล การรักษากฎหมายในทะเล ตามอำนาจหน้าที่ที่กองทัพเรือได้รับมอบหมาย พร้อมทั้งสนับสนุนการปฏิบัติการทางเรือสาขาต่าง ๆ และการบรรเทาสาธารณภัยให้แก่พี่น้องประชาชนทั้งในทะเลและชายฝั่ง 

โดยได้ว่าจ้างให้ บริษัท มาร์ซัน จำกัด เป็น ผู้ดำเนินการ นับได้ว่าเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมการต่อเรือภายในประเทศ อีกทั้งยังเป็นการประหยัดงบประมาณมากกว่าการจัดหาจากต่างประเทศ โดยแบบเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งทั้งสองลำนี้ ได้รับการพัฒนาปรับปรุงมาจากแบบเรือชุดเรือ ต.111 โดยภายหลังจากพิธีรับมอบเรือแล้ว จะเข้าประจำการที่กองเรือยามฝั่ง กองเรือยุทธการต่อไป

สำหรับเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง ชุดเรือ ต.114 และ เรือ ต.115 นี้ สามารถปฏิบัติภารกิจได้ครอบคลุมพื้นที่อ่าวไทยและทะเลอันดามัน สามารถตรวจจับ ติดตาม และพิสูจน์ทราบเป้าผิวน้ำได้ด้วยระบบตรวจการณ์ของเรือ มีความคงทนต่อทะเลที่ดีในสภาวะทะเลระดับ 5 (Sea State 5) และปฏิบัติการทางเรืออย่างต่อเนื่องในทะเลได้ไม่น้อยกว่า 10 วัน

ขีดความสามารถปฏิบัติการรบ (Combat Capabilities) ของเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง เรือ ต.114 และเรือ ต.115 สามารถปฏิบัติภารกิจได้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติการในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน ระบบตรวจการณ์ของเรือสามารถตรวจจับ ติดตาม และพิสูจน์ทราบเป้าผิวน้ำ หยุดยั้ง ขัดขวาง เรือผิวน้ำ และป้องกันตนเองจากข้าศึกได้ ตามสมรรถนะของอาวุธประจำเรือ ปฏิบัติการทางเรืออย่างต่อเนื่องในทะเลได้ไม่น้อยกว่า 10 วัน และปฏิบัติงานได้สภาวะทะเลระดับ 5 (Sea State 5) เรือมีการทรงตัวและความคงทนทะเลที่ดี และ
ยังสามารถสนับสนุนการปฏิบัติการทางเรือสาขาต่าง ๆ ได้ 

คุณลักษณะทั่วไป มีความยาวตลอดลำ 36.00 เมตร ความกว้างของเรือ 7.60 เมตร ความลึกของเรือ 3.60 เมตร กินน้ำลึกตัวเรือ ไม่เกิน 1.75 เมตร ความเร็วสูงสุดที่ระวางขับน้ำเต็มที่ ไม่ต่ำกว่า 27.0 นอต ระยะปฏิบัติการ ไม่น้อยกว่า 1,200 ไมล์ทะเล กำลังพล ประจำเรือตามอัตรา 30+1+13 (ชปพ.นสร.) 44 นาย เครื่องจักร ที่สำคัญประกอบด้วย เครื่องจักรใหญ่ ตราอักษร CUMMINS 1,342KW (1,800bhp) 1,900rpm จำนวน 3 เครื่อง และเครื่องกำหนดไฟฟ้า ขนาด 112KWe 380VAC, 3PH, 50HZ จำนวน 2 เครื่อง

อาวุธประจำเรือ อาวุธปืนหลัก ปืนกลขนาด 30 มม. ติดตั้งบริเวณหัวเรือ จำนวน 1 แท่น และอาวุธรอง ปืนกลขนาด 50 นิ้ว ติดตั้งบริเวณกราบเรือซ้ายขวา จำนวน 2 แท่น สำหรับพิธีรับมอบเรือ เป็นพิธีที่มีมาตั้งแต่ครั้นโบราณกาล ได้เริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อใดไม่พบหลักฐานที่แน่นอน แต่เมื่อปี พ.ศ. 2451 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีพิธีมอบเรือเสือทยานชล เรือตอร์ปิโดที่ 1 เรือตอร์ปิโดที่ 2 และเรือตอร์ปิโดที่ 3 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2451 จากนายทหารเรือญี่ปุ่น โดยนำเรือทั้ง 4 ลำ ซึ่งต่อจากประเทศญี่ปุ่น เข้ามายังกรุงเทพฯ ในปัจจุบันเมื่อถึงเวลารับมอบเรือจะต้องทำพิธีเพื่อให้เกิดสวัสดิมงคลแก่ตัวเรือเสียก่อน โดยบูชาพระรัตนตรัย พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์

นฤมล นั่งหัวโต๊ะ กำหนดแผนพัฒนาแรงงานรับ S - curve

นฤมล เดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาแรงงาน รับ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย นำทีมกำหนดแผนขับเคลื่อนพัฒนาแรงงาน ดึงพันธมิตรร่วมทำงานกว่า 30 หน่วย

วันที่ 29 มีนาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุม คณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve ครั้งที่ 1/2564 โดยมีหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมประชุม และอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ทำหน้าที่เลขานุการ ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า การประชุมในวันนี้ ต้องการรับฟังข้อเสนอแนะ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาแรงงานป้อน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยคณะกรรมการชุดนี้ จะทำหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่กำลังแรงงาน กำหนดแผนปฏิบัติการ รวมถึงเชิญชวนบุคคลหรือคณะบุคคล ที่มีความเชี่ยวชาญแต่ละด้าน เข้าร่วมจัดทำแผนพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในอุตสาหกรรมเป้าหมาย  การประชุมในวันนี้นับเป็นกลไกที่สำคัญที่จะทำให้การดำเนินการของคณะอนุกรรมการในระยะต่อไป มีความชัดเจนและมีประสิทธิผล

คณะอนุกรรมการที่เข้าร่วมประชุมในวันนี้ มีตัวแทนจากหลายหน่วยงาน เช่น ผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผู้แทนกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผู้แทนสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ผู้แทนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และผู้แทนสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา  ซึ่งการพัฒนาบุคลากรและกำลังแรงงาน เพื่อป้อนอุตสาหกรรม S - curve นั้น มีหลายหน่วยงานที่มีการจัดทำแผนและดำเนินการอยู่แล้ว การดำเนินงานดังกล่าว จึงควรบูรณาการทำงานร่วมกัน เพื่อให้การพัฒนามีประสิทธิภาพ และตอบโจทก์ภาคอุตสาหกรรมได้ 

ที่ประชุมได้กำหนดให้แต่ละหน่วยงานที่มีข้อมูลและแผนพัฒนากำลังแรงงานรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย จัดส่งข้อมูลเพื่อให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานรวบรวมและจัดทำร่างแผนพัฒนากำลังแรงงานรองรับอุตสาหกรรม S - curve ภายในต้นสัปดาห์หน้า พร้อมนัดประชุมคณะอนุกรรมการอีกครั้งในวันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564   ซึ่งจะได้เห็นแผนพัฒนาที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น 

“การเตรียมแรงงานให้มีความพร้อมในอุตสาหกรรม S - curve จะช่วยให้แรงงานมีทักษะ ความรู้ ความสามารถ เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานได้ ช่วยสร้างอาชีพการส่งเสริมการจ้างงาน และมีรายได้ที่มั่นคงต่อไป ข้อเสนอแนะจากที่ประชุม จะได้นำไปกำหนดแผนการดำเนินงานเพื่อพัฒนากำลังแรงงานต่อไป” รมช. แรงงาน กล่าวในท้ายสุด

"กรณ์" ลงพื้นที่สวนทุเรียนชุมพร หารือเกษตรกร - นักธุรกิจพื้นที่ ย้ำศักยภาพสู้ประเทศคู่แข่งได้ แนะรัฐกำกับดูและตรงไปตรงมา ระบบข้อทูลเปิด สร้างกลไกตลาดตามจริง

29 มีนาคม 2564  นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงการลงพื้นที่จังหวัดชุมพร โดยได้ พูดคุยกับกลุ่ม Young Smart Farmers กลุ่มนักธุรกิจจากสภาหอการค้า และกลุ่มนักธุรกิจหอการค้ารุ่นใหม่ (YEC) รวมไปถึงผู้ประกอบการค้าโดยเฉพาะเรื่อง "ผลไม้" ซึ่งชุมพรโดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งคือ "ทุเรียน" 

นายกรณ์ กล่าวว่า ตนเองและ พ.ต.ท.ทศพล โชติคุตร์ ผู้กล้าชุมพร วิเคราะห์กับผู้รู้ในพื้นที่จริง โดยเฉพาะตัวเลขที่เกริ่นไว้ว่า จะดีแค่ไหนหากเกษตรกรไทยมีรายได้ไร่ละ 1 แสนต่อปีจากการทำการเกษตร ซึ่งไทยปลูกทุเรียนรวมแล้วกว่า 1 ล้านไร่ กระจายหลักๆ ในจันทบุรี และชุมพร สูสีกัน จังหวัดอื่น ๆ ได้แก่ ระยอง ยะลา นครศรีฯ และสุราษฎร์ ทั้งหมดนี้สร้างผลผลิตให้ประเทศไทยกว่า 1.3  ล้านตัน ส่งออกเป็นหลัก และแปรรูปกับบริโภคภายในอีกบางส่วน เฉลี่ยราคาขาย คิดแบบขั้นต่ำสุด ก็สร้างรายได้ที่ประมาณ ไร่ละ 1 แสนบาท แต่หากควบคุมคุณภาพของทุเรียนได้เข้มข้นมากขึ้นกว่านี้ รายได้ต่อไร่ของเกษตรกรสูงกว่านี้แน่นอน 

นายกรณ์ กล่าวว่า หากดูข้อมูลกลุ่มลูกค้าหลักของไทยคือจีน ซึ่งปัจจุบันบริโภคทุเรียนไทยปัจจุบันปีละ 250 ล้านลูก เทียบประชากรพันกว่าล้านคน หากเราเพิ่มกำลังผลิตอีกเท่าตัว ในแง่กำลังซื้อในตลาดถือว่ายังเหลือเฟือส่วนคู่แข่งอย่างเวียดนามมีกระแสข่าวว่าจีนกว้านซื้อที่ปลูกเอง ดูเหมือนน่ากลัว แต่เทียบโดยพื้นที่แล้วห่างชั้นกับไทยมากเพียง 25,000 ไร่ เทียบกับไทยที่ปลูกอยู่เป็นล้านไร่ และยังไม่นับเรื่องรสชาติ 

นายกรณ์ กล่าวว่า เมื่อมีเป้าหมายขยายโอกาสให้ชาวสวนแล้ว ประเด็นสำคัญของพรรคการเมือง และภาครัฐที่ต้องดูแลอย่างตรงไปตรงมาคือการเป็นผู้กำกับดูแล "ตลาดกลาง" ทางการค้า ให้มีความเป็นข้อมูลเปิด โดยเฉพาะเรื่องราคาตามคุณภาพ รวมไปถึงการสร้างกลไกตลาดที่เป็นความจริง รัฐไม่ควรควบคุมจนเข้มเกินไป และรัฐมีหน้าที่เอื้อให้เกิดการแข่งขันที่โปร่งใสไร้มาเฟีย 

"เชื่อเถอะครับว่าไม่มี "ทุเรียน" ที่ไหนอร่อยเท่าบ้านเรา แต่โจทย์ของบ้านเราคือ จะทำอย่างไรให้ทั้ง เกษตรกรไทย ผู้ค้า และผู้ส่งออก มีการแบ่งปันรายได้ที่เป็นธรรม" หัวหน้าพรรคกล้ากล่าว

“พล.อ.ประวิตร” ประชุม คกก.กองทุนดิจิทัล เห็นชอบเปิดรับโครงการ วิจัย/พัฒนา และสนับสนุน5G ส่งเสริม ศก./สังคม รองรับการพัฒนาประเทศ สู่ยุคดิจิทัล เน้นสร้างการรับรู้ มุ่งให้ปชช.ได้รับประโยชน์สูงสุด

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 ที่ห้องประชุม 301  ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 1/2564  โดยมี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส เข้าร่วมประชุม 

ที่ประชุม ได้รับทราบผลการดำเนินงาน ของกองทุนพัฒนาดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีความคืบหน้า ตามแผนงานในภาพรวม โดยกระทรวงการคลังได้สนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม และจัดทำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลร่วมกัน ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเห็นชอบโครงการที่สำคัญได้แก่ การเปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรม ที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนประจำปี2564 ภายใต้กรอบนโยบาย 6 ด้าน อาทิ Digital Manpower ,Digital Health ,Digital Agriculture ,Digital Technology ,Digital Government & Infrastructure และ Digital Agenda  และอนุมัติกรอบวงเงินกองทุนมาตรา 26 (1)(2) ประจำปีงป.64 ครั้งที่ 1 จำนวน 3,000 ล้านบาท 

โดยกำหนดระยะเวลาเปิดรับการอุดหนุนการวิจัยและพัฒนา ตั้งแต่ 22 เมษายน - 31พฤษภาคม 64 และ เห็นชอบ(ร่าง)ประกาศคณะกรรมการ ,หลักเกณฑ์การพิจารณา และคณะทำงานกลั่นกรองโครงการสำหรับ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 5G ของประเทศไทย เพื่อการต่อยอดการใช้ประโยชน์ รวมถึงให้ความเห็นชอบ แนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา การจัดสรรประโยชน์ และการรักษาสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา กรณีผู้รับทุน และผู้ให้ทุน เป็นเจ้าของร่วมกัน และอนุมัติโครงการที่ผ่านการกลั่นกรองจากคณะอนุกรรมการแล้ว จำนวน 5 โครงการ ตามมาตรา 26 (3)

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร ได้กำชับคณะกรรมการฯ ให้มีการกำกับ ติดตามโครงการต่าง ๆ ที่ผ่านความเห็นชอบแล้ว ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และมีการประเมินผลงาน อย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนา ด้านดิจิทัลของประเทศ ให้เห็นผล เป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนโดยรวม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ ต่อไป

“ศรีสุวรรณ” ร้อง ป.ป.ช. สอบจริยธรรม “ส.ส.เจี๊ยบ ก้าวไกล” โผล่ร่วมม็อบ 20 มี.ค.

วันที่ 29 มีนาคม 2564 ที่สำนักงานป.ป.ช. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)เพื่อขอให้สอบสวนและเอาผิดนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กรณีที่เข้าร่วมชุมนุมประท้วงกับกลุ่มรี-เดม ( RE-DEM )เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา ที่สนามหลวงและถนนราชดำเนิน ซึ่งการชุมนุมดังกล่าวถือว่าเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ 2558 และมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 ฝ่าฝืน มาตรา34(6) แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 รวมทั้งฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา116,209 ,210 และมาตรา215 รวมทั้ง พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง 2535

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การจัดชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมายหลายฉบับ มีการทำลายและเผาป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในชาติบ้านเมือง เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของทางราชการเสียหาย และมีผู้บาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก โดยนางอมรัตน์ มีสถานะ ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ แต่ลดตัวลงมาคลุกคลีร่วมกิจกรรมกับกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งที่รู้ว่าเป็นการจัดการชุมนุมฝ่าฝืนกฎหมาย ถือว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด และตามประมวลกฎหมาย อาญา ม.83 ระบุว่า ในกรณีความผิดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า นางอมรัตน์ พยายามจะสื่อสารผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าอยู่หน้าม็อบเสมอ มิใช่เตี้ยหลังม็อบตามที่นายกรัฐมนตรีและสื่อมวลชนตั้งฉายาไว้ จึงเป็นประจักษ์พยานที่ตอกย้ำว่าเป็นพฤติการณ์ที่อาจฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯ 2561 อย่างร้ายแรง ในข้อ 5 ,6 , 7,12 และข้อ 17 ซึ่งเป็นมาตรฐานทางจริยธรรม ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 219 บัญญัติไว้ทางสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงขอให้ ป.ป.ช.ไต่สวนและมีความเห็น กรณีนางสาวอมรรัตน์ เข้าร่วมกิจกรรมการชุมนุมสาธารณะอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหลายฉบับตามประมวลกฎหมายอาญา หรือมีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ หากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติฯ ขอให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยตามกฎหมายต่อไป

รินทร์ ควง สินิตย์ ประชุมผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ทันที เดินหน้า 14 แผนงาน พร้อมแบ่ง 3 กรมและ 3 องค์การ ให้รัฐมนตรีช่วยคนใหม่ดูแล ด้าน "สินิตย์" ประกาศ "พร้อมทำงานเป็นทีม"

วันที่ 29 มีนาคม 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ คณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ประชุมร่วมกันหลังจากที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่เดินทางเข้ามารับหน้าที่วันนี้ ซึ่งทางกระทรวงพาณิชย์จัดพิธีต้อนรับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสินิตย์ เลิศไกร) ณ ห้องประชุมกิติยากรวรลักษณ์ ชั้น 4 สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยินดีต้อนรับท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ในโอกาสที่ท่านเข้ารับตำแหน่งในวันนี้ โดยกระทรวงพาณิชย์ให้คณะผู้บริหารบรรยายภารกิจต่างๆให้รัฐมนตรีช่วยได้รับทราบในเบื้องต้น

จากนั้น นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ตนเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นับเป็นเกียรติประวัติอันสูงสุด และในวันที่ 27 มีนาคม 2564 นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้นำเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่าให้มีกำลังกาย ให้มีกำลังใจ กำลังปัญญา ปฎิบัติหน้าที่ให้ดีเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน วันนี้ตนได้เดินทางมาที่กระทรวงพาณิชย์ โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและจะได้ทำงานร่วมกันต่อไปในอนาคต ตนเน้นการทำงานเป็นทีมและอยู่ในหลักของธรรมาภิบาล เพื่อผลักดันให้กระทรวงพาณิชย์เดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางคือเศรษฐกิจเจริญเติบโต สู่เศรษฐกิจยุคใหม่อย่างยั่งยืน 

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ยินดีต้อนรับท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตนมั่นใจว่าโดยประสบการณ์ในฐานะที่เคยทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติของท่านรัฐมนตรีช่วย ที่สั่งสมมาตลอดการเป็นผู้แทนราษฎร 5 สมัยของจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจะมีส่วนสำคัญในการเป็นพื้นฐานก้าวเข้ามาทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายบริหารในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เป็นอย่างดี และจะมีส่วนสำคัญในการช่วยให้นโยบายของกระทรวงพาณิชย์บรรลุเป้าหมายประสบความสำเร็จต่อไป จะช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซึ่งงานของกระทรวงพาณิชย์มีอยู่จำนวนมากและมีผลกระทบต่อประชาชนทุกภาคส่วน

ท่านจะเข้ามามีส่วนสำคัญในการช่วยทำงานให้กับรัฐมนตรีว่าการและจับมือกับเพื่อนข้าราชการทุกท่านในการพากระทรวงเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จมีประสิทธิภาพมีประสิทธิผลสามารถรับใช้ราชการและรับใช้พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้เป็นอย่างดีและต่อจากนั้น นายจุรินทร์ได้ลงนามแบ่งงานของกระทรวงพาณิชย์ซึ่งมีภารกิจ 7 กรม 3 องค์การมหาชนกับ 1 รัฐวิสาหกิจ โดยจะมอบงานให้เช่นเดียวกับที่เคยมอบให้กับรัฐมนตรีช่วย "วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล" ก่อนหน้านี้ทุกประการ โดยมอบงานให้รัฐมนตรีช่วยสั่งปฏิบัติราชการ 3 กรม คือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมทรัพย์สินทางปัญญา และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และ 3 องค์การมหาชนจะมอบให้ท่านดูทั้งหมดทั้งสถาบันอัญมณี ไอทีดี และศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ 

โดยนายจุรินทร์ระบุด้วยว่ามั่นใจว่าจะช่วยแบ่งเบาภาระและขับเคลื่อนงานในความรับผิดชอบโดยตรงไปสู่ความสำเร็จได้ต่อไป และขอถือโอกาสมอบแผนงานปี 64 ที่ตนและเพื่อนข้าราชการทั้งกระทรวงกำหนดร่วมกันเดินหน้าขับเคลื่อนในปี 64 จำนวน 14 แผนงาน ที่จะถือเป็นแผนแม่บทสั่งปฏิบัติราชการต่อไป จากนั้นและนายจุรินทร์ และข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ได้มอบดอกไม้แสดงการต้อนรับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งมอบคำสั่งแบ่งงานและ 14 แผนงานปี 2564 ของกระทรวงพาณิชย์โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ด้วย

กรมโยธาธิการและผังเมือง จัดประชุมรับฟังความคิดเห็น การวางผังนโยบายระดับภาค (กลุ่มภาคเหนือตอนบน)

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 ที่โรงแรม เชียงใหม่ แกรนวิว โฮเทล แอนด์  คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัดเชียงใหม่ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง จัดการประชุม  เชิงปฏิบัติการ การวางผังนโยบายระดับภาค ภาคเหนือ และการประชุมกลุ่มย่อยระดับกลุ่มจังหวัด ครั้งที่ 1 กลุ่มภาคเหนือตอนบน (จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน) เพื่อระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหา ศักยภาพ โอกาสการพัฒนาอย่างมีระเบียบ แบบแผนและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่         

นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผยว่า การวางผังนโยบายระดับภาค   เป็นการวางผังนโยบายการใช้พื้นที่โดยรวมของภาคในอนาคต ชี้นำการพัฒนาพื้นที่ให้กับกลุ่มจังหวัด จังหวัด เมือง และชุมชน ในด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน การตั้งถิ่นฐาน และระบบชุมชน การคมนาคมขนส่ง สาธารณูปโภค สาธารณูปการ และการบริการสาธารณะ ควบคู่กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และศิลปวัฒนธรรม ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับศักยภาพ   ของพื้นที่ ถ่ายทอดนโยบายจากผังประเทศสู่การพัฒนาพื้นที่ภาคอย่างเป็นระบบ ซึ่งการวางผังนโยบายระดับภาค ภาคเหนือ (กลุ่มภาคเหนือตอนบน) จะเป็นการกำหนดนโยบาย แผนผัง มาตรการ และวิธีการดำเนินการ โดยประสานความร่วมมือ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถนำไปดำเนินการพัฒนาพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไปในทิศทางเดียวกัน                   
กรมโยธาธิการและผังเมืองได้จัดให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ การวางผังนโยบายระดับภาค ภาคเหนือ ครั้งที่ 1  และประชุมกลุ่มย่อยระดับกลุ่มจังหวัด เพื่อระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหา ศักยภาพ โอกาสและทิศทางการพัฒนาภาคเหนือ และการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ครั้งที่ 2 และประชุมกลุ่มย่อยระดับกลุ่มจังหวัด(จัดในวันที่ 30 มีนาคม 2564) เพื่อระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างวิสัยทัศน์ และกรอบนโยบายการใช้พื้นที่จากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน สถาบันการศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้นำหรือผู้แทนภาคประชาสังคม และประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากการประชุมฯ จะได้นำไปบูรณาการเพื่อการวางผังนโยบายระดับภาค ภาคเหนือต่อไป ภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน “ร่วมรู้ ร่วมคิด ร่วมทำ”     

โดยมีความสอดคล้องกับศักยภาพและจุดเด่นของแต่ละภาค ทั้งในด้านประชากร เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และวิถีชีวิต  ของประชาชน เพื่อเป็นกรอบชี้นำการพัฒนาเชิงพื้นที่ให้กับกลุ่มจังหวัด จังหวัด เมือง และชุมชน อย่างบูรณาการ

“การจัดประชุมฯ ดังกล่าว ถือเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ และภาค ภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ตามพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 โดยกำหนดให้ระบบการผังเมืองของประเทศ  ต้องมีกรอบนโยบายการใช้ประโยชน์พื้นที่ตั้งแต่ ระดับประเทศ ระดับภาค และระดับจังหวัด โดยให้หน่วยงานของรัฐ  ใช้ดำเนินการร่วมกัน เพื่อให้การวางและจัดทำผังเมืองและการใช้ประโยชน์พื้นที่และที่ดินในทุกระดับเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นประโยชน์แก่เศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งประโยชน์แก่สาธารณะ”

“สิระ” ท้า ”ธนาธร” ลงมานำม็อบเอง อย่ามัวแต่มุดใต้กระโปรงเยาวชน แนะ ให้ตั้งหมู่บ้านทะลุฟ้าหน้าพรรคจะได้มั่วสุมกันเต็มที่

วันที่ 29 มีนาคม 2564 นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้าว่า ให้หยุดดำเนินคดีกับชาวหมู่บ้านทะลุฟ้าทุกคน และรัฐต้องรับฟังไม่ใช่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับประชาชนนั้น ตนคิดว่านายธนาธรน่าจะเข้าใจอะไรผิด ในประเทศไทยไม่เคยมีใครตั้งตัวเป็นศัตรูกับใคร เขาอยู่กันอย่างสงบ จนกระทั่งนายธนาธรเข้ามามีบทบาททางการเมืองและปลุกปั่นเยาวชน ซึ่งตนมองว่านายธนาธรไม่ต้องออกมาเตือนคนอื่นในเรื่องนี้ หันกลับไปส่องกระจกดูตัวเองดีกว่า เรื่องสร้างความเกลียดชังให้ประชาชนแบ่งเป็นฝักฝ่ายน่าจะเป็นงานถนัดของนายธนาธร 

“ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนสามารถรับรู้ได้ว่า ทุกครั้งหลังมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นในการชุมนุม นายธนาธรก็จะปรากฏกายขึ้นทางโซเชียล เพื่อปลุกปั่น ยุยงการกระทำแบบนี้ ผมขอถามนายธนาธรว่าสะใจใช่ไหมที่ได้เห็นคนไทยมาฆ่ากันเอง และคงมีความสุขที่เห็นคนไทยย่ำยีประเทศชาติ ผมขอท้านายธนาธรนะ ให้กล้า ๆ หน่อย ตัวเองยังหนุ่มยังแน่น โอกาสที่จะกลับไปเล่นการเมืองก็ยังมี อย่างน้อยก็ 10 ปี จากการถูกตัดสิทธิทางการเมือง นายธนาธรน่าจะเอาเวลาว่างตรงนี้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ โดยการออกมาเดินนำม็อบเอง เหมือนตอนที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ลาออกมาตั้งม็อบกปปส. อย่าปอดแหก มีความเป็นลูกผู้ชายหน่อย ถ้าจะสู้ก็สู้ด้วยมือตัวเอง อย่าเอาหัวไปมุดใต้กระโปรงเยาวชน” นายสิระ กล่าว 

นายสิระ กล่าวต่อว่า "ข้อเสนอที่ตนพูดไป นายธนาธรควรจะรับไว้พิจารณา ผลงานแรกที่ควรทำคือ ถ้าคิดว่าหมู่บ้านทะลุฟ้าเป็นการชุมนุมที่ถูกต้อง ถูกกฎหมาย ก็ให้เอาไปตั้งไว้ที่ทำการพรรคก้าวไกลหรือบริษัทของนายธนาธร ให้ไปมั่วสุมกันที่นั่น จะมั่วเซ็กซ์ มั่วยาเสพติด ก็เอากันให้เต็มที่ อย่ามาสร้างความเดือดร้อนให้กับรัฐบาลที่กำลังบริหารประเทศ จะเล่นขายของไปเล่นไกล ๆ ตรงนู้น"

ปชป. เคลื่อนกิจกรรมขยายฐานมวลชนคนรุ่นใหม่ ผ่านแคมเปญ Social Media in Use

คณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ กรุงเทพมหานคร ที่มีนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ เป็นประธาน ได้จัดกิจกรรมอบรมการใช้งานโซเชียลมีเดียในชีวิตประจำวัน  “Social Media in Use”  สำหรับบุคคลทั่วไป หรือ Young Digital Democrat  ที่โรงแรมสุดาพาเลซ เพื่อให้องค์ความรู้ในการนำโซเชียลมีเดียไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้สำหรับคนทุกวัย ทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ

โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจทั้งการพูดคุยกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ของพรรค ทั้ง ผศ.ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เจ้าของเพจ ENVIRONMAN ภายใต้หัวข้อ สามหนุ่ม สามมุมนักการเมืองรุ่นใหม่ สวมหัวใจโซเชียลมีเดีย ดำเนินรายการโดยนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคฯ 

นอกจากนี้ยังมีการบรรยายพร้อมฝึกปฏิบัติการเกี่ยวกับการใช้งานด้านโซเชียลมีเดียอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจโดยทีมวิทยากรมืออาชีพ ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมส่วนใหญ่สะท้อนความรู้สึกประทับใจที่ได้รับองค์ความรู้ในการใช้งานโซเชียลมีเดียที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวันและมุมมองจากนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการทำงานทางด้านการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"วราวุธ" แจง มติปลดชัยวัฒน์ เหตุต้องทำตามป.ป.ท. ยัน ไม่ทำให้ ขรก.ใจฝ่อ ชี้ช่อง ยื่นอุทธรณ์ได้

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(อ.ก.พ.ทส.) มีมติลงโทษปลดออก นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ. สำนักบริหาร พื้นที่อนุรักษ์ ที่ 9 อุบลราชธานี อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตามที่คณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) ชี้มูลลงโทษ ว่า หลังจากที่ป.ป.ท.มีมติและส่งเรื่องมาให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยเห็นว่ามีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง จากนั้น อ.ก.พ.ของกระทรวงก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายภายใน 30 วัน จึงได้มีการประชุม และได้ตัดสินออกมาดังกล่าว 

ทั้งนี้ อ.ก.พ. กระทรวง ไม่สามารถย้อนคำตัดสินหรือเปลี่ยนแปลงคำตัดสินของ ป.ป.ท.ได้ สิ่งที่ทำได้จากนี้ คือนายชัยวัฒน์ สามารถไปยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของ ป.ป.ท. แต่ในส่วนของกระทรวงก็รู้สึกเห็นใจเจ้าหน้าที่แต่ละคนที่ทำงานด้วยความยากลำบาก ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ แต่เมื่อมีคำตัดสินอันนี้ออกมา ถ้า อ.ก.พ.กระทรวง ไม่ปฏิบัติตาม คำตัดสินของ ป.ป.ท.ที่ออกมานั้น อ.ก.พ. กระทรวงก็จะมีความผิด ฐานไม่ปฏิบัติตามหน้าที่

ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐมนตรีจะเรียกขวัญข้าราชการในกระทรวงอย่างไรเพราะบางกลุ่ม ได้ตั้งกลุ่มเซฟชัยวัฒน์ขึ้น นายวราวุธ กล่าวว่า เชื่อว่าข้าราชการทุกคนจะเข้าใจถึงกลไกการทำงานของกระทรวงของ ป.ป.ท.และ อ.ก.พ.กระทรวง เพราะเมื่อป.ป.ท.มีมติออกมาในระดับของกระทรวงคงทำอะไรได้ไม่มาก  

เมื่อถามว่าขณะนี้ นายชัยวัฒน์ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่ออนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) ของกระทรวง แล้วหรือยัง นายวราวุธ กล่าวว่า นายชัยวัฒน์ จะต้องไปยื่นอุทธรณ์กับ ป.ป.ท. เพราะไม่สามารถยื่นอุทธรณ์กับ อ.ก.พ.กระทรวงได้ 

เมื่อถามว่า อาจมีข้าราชการบางส่วน ที่รู้สึกว่า ทำงานดีมาตลอด แต่เมื่อเจอคดีนายชัยวัฒน์เช่นนี้ อาจรู้สึกใจฝ่อไป นายวราวุธ กล่าวว่า คดีเช่นนี้มีเกิดขึ้นหลายครั้ง และเมื่อไปยื่นอุทธรณ์ หรือบางครั้งก็มีคำสั่งศาลปกครองกลับคำสั่ง ซึ่งทางออกก็ต้องคืนตำแหน่งให้กับข้าราชการคนนั้น ๆ ซึ่งข้าราชการทุกคนก็ได้เห็นกลไกดังกล่าวมาโดยตลอด คงจะเข้าใจ 

เมื่อถามว่า ล่าสุดมีกลุ่มบุคคลหรือเอกชน เช่น แอ๊ด คาราบาว ตั้งกลุ่มขึ้นมาเซฟชัยวัฒน์ นายวราวุธ กล่าวว่า ถือเป็นสิทธิ์ของแต่ละท่านที่จะดำเนินการ แต่ทุกอย่างดำเนินการตามระเบียบ และข้อบังคับของกระทรวง เพราะไม่เช่นนั้น อาจจะเกิดปัญหาอีกหลายกรณี เราจึงต้องทำตามระเบียบที่มีอยู่ ซึ่งก็สามารถยื่นอุทธรณ์ได้

‘ลุงตู่’ ยังมา!! นิด้าโพล เผยผลโพล ยก ‘ประยุทธ์’ รั้งเบอร์ 2 นั่งต่อ ส่วนเบอร์ 1 = ยังหายาก

"นิด้าโพล" เปิดผลสำรวจคนเชียร์เป็นนายกฯ ‘ลุงตู่’  ยังรั้งอันดับ 2 ขณะที่ ‘หญิงหน่อย’ อันดับ 3 ตามมาด้วย ‘เสรีพิศุทธ์’ อันดับ 4 ส้วนทางด้านพรรคการเมือง ‘เพื่อไทย’ ยังนำ เป็นพรรคการเมืองที่ประชาชนสนับสนุนมากสุด

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 1/2564” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 23 – 26 มีนาคม 2564 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,522 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า



อันดับ 1 ร้อยละ 30.10 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้

อันดับ 2 ร้อยละ 28.79 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะ เป็นคนตรงไปตรงมา ตัดสินใจได้เด็ดขาด มีความซื่อสัตย์ มีโครงการต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือประชาชนทุกเพศทุกวัยได้อย่างทั่วถึง ชื่นชอบในการบริหารงานได้ดี เหมาะสมให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป และชื่นชอบเป็นการส่วนตัว 

อันดับ 3 ร้อยละ 12.09 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เพราะอยากให้ผู้หญิงขึ้นมาบริหารประเทศบ้าง  มีประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาได้ดี เป็นคนตรงไปตรงมา มีความเป็นผู้นำ และชื่นชอบเป็นการส่วนตัว

อันดับ 4 ร้อยละ 8.72 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (พรรคเสรีรวมไทย) เพราะเป็นคนตรงไปตรงมา พูดจริง ทำจริง ชื่นชอบนโยบายและการทำงานของพรรค มีความซื่อสัตย์ และชื่นชอบเป็นการส่วนตัว 

อันดับ 5 ร้อยละ 6.26 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) เพราะอยากได้คนรุ่นใหม่มาบริหารประเทศ อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ชื่นชอบนโยบายพรรค และชื่นชอบเป็นการส่วนตัว

อันดับ 6 ร้อยละ 3.25 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 

อันดับ 7 ร้อยละ 2.70 ระบุว่าเป็น นายกรณ์ จาติกวณิช (พรรคกล้า) เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง กล้าคิด กล้าทำ มีความสามารถทางด้านเศรษฐกิจ  มีผลงานในการทำงานที่ดีตั้งแต่อยู่พรรคเก่า มีความซื่อสัตย์ และมีความน่าเชื่อถือ 

อันดับ 8 ร้อยละ 2.02 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล  (พรรคภูมิใจไทย) เพราะ มีผลงานในการทำงานที่ดี โดดเด่น เป็นคนตรงไปตรงมา และชื่นชอบเป็นการส่วนตัว

อันดับ 9 ร้อยละ 1.90 ระบุว่าเป็น  นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ (พรรคเพื่อไทย) เพราะชื่นชอบการทำงานและผลงานของพรรคในการช่วยเหลือประชาชน และชื่นชอบเป็นการส่วนตัว 

อันดับ 10 ร้อยละ 1.15 ระบุว่า นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ (พรรคเศรษฐกิจใหม่) เพราะ มีนโยบายพรรคที่ชัดเจน มีวิสัยทัศน์ที่ดี น่าจะช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ดี และชื่นชอบเป็นการส่วนตัว 

และร้อยละ 3.02 ระบุอื่นๆ ได้แก่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (พรรคประชาธิปัตย์) น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม (พรรคไทยภักดี) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ)  นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นายชลน่าน ศรีแก้ว (พรรคเพื่อไทย) นายเทวัญ ลิปตพัลลภ (พรรคชาติพัฒนา) นายชวน หลีกภัย (พรรคประชาธิปัตย์)  พลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ)

และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 4/63 เดือนธันวาคม 2563 พบว่า ผู้ที่ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีสัดส่วนลดลง ในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส นายกรณ์ จาติกวณิช นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ และไม่ตอบ/ไม่สนใจ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น



ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 29.82 ระบุว่า ไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใดเลย อันดับ 2 ร้อยละ 22.13 ระบุว่า พรรคเพื่อไทย อันดับ 3 ร้อยละ 16.65 ระบุว่า พรรคพลังประชารัฐ อันดับ 4 ร้อยละ 13.48 ระบุว่า พรรคก้าวไกล อันดับ 5 ร้อยละ 7.10 ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 6 ร้อยละ 3.81 ระบุว่า พรรคเสรีรวมไทย อันดับ 7 ร้อยละ 3.25 ระบุว่า พรรคภูมิใจไทย อันดับ 8 ร้อยละ 1.03 ระบุว่า พรรคชาติไทยพัฒนา และร้อยละ 2.73 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พรรคกล้า พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคเพื่อชาติ พรรคชาติพัฒนา พรรคไทยภักดี พรรคประชาชาติ พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย พรรคไทยศรีวิไลย์ และไม่ตอบ/ไม่สนใจ

และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 4/63 เดือนธันวาคม 2563 พบว่า ผู้ที่ระบุว่า พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคก้าวไกล และพรรคประชาธิปัตย์ มีสัดส่วนลดลง ในขณะที่ผู้ที่ระบุว่า ไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใดเลย พรรคเสรีรวมไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

“ชัยวุฒิ” ไม่หนักใจ โซเชียลตีรัฐบาลหนัก ชี้ มีกฎหมายจัดการ

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมครั้งที่ 1 /2554 ว่า วันนี้เป็นการทำงานวันแรกหลังได้รับตำแหน่ง โดยประชุมเรื่องกองทุนดิจิทัลฯ ที่จะเป็นเงินทุนใช้เกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้งภาครัฐและเอกชน  จากนั้นในช่วงบ่ายจะเข้าปฎิบัติงานที่กระทรวงดีอีเอส เพื่อเร่งรัดงานที่ค้างอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่าหนักใจในการทำงาน ในสถานการณ์ที่มีการกล่าวจาบจ้วงและโจมตีรัฐบาลบนโซเชียลมีเดียหรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ไม่หนักใจ ค่อย ๆ แก้ปัญหาไป ทุกอย่างมีทางออกและทุกเรื่อง เราต้องหาทางออกร่วมกันกับทุกฝ่าย 

เมื่อถามว่าจำเป็นต้องตั้งวอร์รูมเพื่อมอนิเตอร์ความเคลื่อนไหวบนโซเชียลหรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ยังไม่ได้หารือกันในเรื่องนี้ เมื่อถามย้ำว่าต้องจับตาการกระทำผิดเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มากขึ้นหรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ที่ทำอยู่ก็ดีอยู่แล้ว และกระบวนการที่ทำอยู่เป็นไปด้วยดี หากมีอุปสรรคก็คงต้องปรับแก้และทำไป ไม่น่ามีอะไรหนักใจ เพราะมาตรา 112 เป็นกฎหมายอยู่แล้ว และหน่วยงาน ทุกภาคส่วนก็บังคับใช้ตามกฎหมายนี้อยู่แล้ว

‘บิ๊กตู่’ นั่งหัวโต๊ะถก คทช. ย้ำเร่งรัดดำเนินการให้ประชาชนพึงพอใจ ‘กำชับ’ส่งข้อมูลคืบหน้าให้สภาแก้ข้อกล่าวหารัฐบาลไม่ทำอะไร

ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอขา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 พร้อมกล่าวช่วงหนึ่งในการเปิดประชุม ว่า วันนี้เป็นการประชุมนโยบายของรัฐบาลที่จะจัดหาที่ดินให้กับประชาชน ผู้ไร้ที่อยู่ที่ทำกิน ตามหลักการใหม่ของเราที่ให้ ใช้กลไกของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ดำเนินการ ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้วแต่เราจำเป็นต้องเร่งรัด 

ทั้งนี้ ตนได้อ่านรายละเอียดข้อมูลแล้วรู้สึกพอใจ เพราะได้เตรียมการไว้ครบถ้วน แต่อย่างไรก็ต้องเร่งรัดการดำเนินการเพื่อให้เกิดความพึงพอใจของประชาชน ที่ยังได้รับความเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ ใน 2 ประเด็น ประกอบด้วย การจัดสรรที่ดินใหม่ และที่ดินที่มีความทับซ้อน ซึ่งต้องนำมาแก้ปัญหาใหม่ทั้งหมด ทั้งนี้การดำเนินการมาระยะหนึ่งก็ได้ผลดี  “แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการประชุมนี้จะได้สรุปข้อมูลและตอบข้อซักถาม และนำข้อสังเกตมาเป็นประโยชน์” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว พร้อมถอนหายใจ

โดยนายกรัฐมนตรี กำชับผู้เข้าร่วมประชุม ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมหารือ ว่า กรณีการทำงานเมื่อมีความก้าวหน้าให้สรุปรายละเอียดทั้งหมด ทุก ๆ พื้นที่ ส่งข้อมูลให้กับสภาฯ เพื่อให้สมาชิกได้รับทราบ ไม่เช่นนั้นก็จะกล่าวหาอีกว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลย

เทพไท ถามเจ็บ เลือกตั้งเทศบาลไหนไม่ซื้อเสียงบ้าง จวก กกต.ล้มเหลวจับคนซื้อเสียง เสนอยุบทิ้ง โยนให้ มท.จัดเลือกตั้งดีกว่า

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสเฟสบุ๊กส่วนตัว ข้อความว่า ผมต้องขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะเลือกตั้งนายกเทศมนตรี และสมาชิกสภาเทศบาลทุกท่าน ที่ได้รับการเลือกตั้งจากพี่น้องประชาชน แม้ว่าวิธีการได้มาในการเลือกตั้งจะชอบธรรม หรือถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อได้รับชัยชนะเข้ามา ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการแข่งขันในครั้งนี้แล้ว

สำหรับการเลือกตั้งของเทศบาลทั่วประเทศ ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 2472 แห่ง ขอได้อย่าถามว่า เทศบาลไหนมีการซื้อเสียงบ้าง แต่ขอให้ถามว่ามีเทศบาลไหนบ้างที่ไม่มีการซื้อเสียง เพราะเชื่อว่าทุกเทศบาลที่มีการเลือกตั้ง  ในครั้งนี้ มีการซื้อเสียงทุกเทศบาลอย่างแน่นอน เพียงแต่คณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) ไม่สามารถจับการทุจริตซื้อเสียงได้ ถือว่าเป็นความล้มเหลวของ กกต.อย่างสิ้นเชิง องค์กร กกต.จัดตั้งขึ้นมาในรูปแบบองค์กรกลางที่เป็นอิสระ มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง เป็นองค์กรที่คัดกรองบุคคลก่อนเข้าสู่อำนาจ 

ถ้าหาก กกต.ไม่สามารถทำหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ ก็จะเป็นความล้มเหลวในการคัดกรองผู้เข้าสู่อำนาจ ซึ่ง กกต.ชุดนี้ ก็ไม่สามารถที่ทำหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้จริง นับตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 มีการเลือกตั้งจำนวน 350 เขต มีการซื้อเสียง ทุจริตการเลือกตั้งมากมาย แต่ กกต.ไม่สามารถจับผู้กระทำผิดการซื้อเสียงได้แม้แต่เขตเลือกตั้งเดียว จะมีการให้ใบเหลืองเพียง2เขต ในข้อหาใส่ซองทำบุญถวายพระ และใส่ซองทำบุญงานศพเท่านั้น ส่วนการซื้อเสียงที่มีการรับรู้กันทั่วประเทศ ไม่สามารถจับคนซื้อเสียงได้เลย

จนมาถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นในระดับองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) จำนวน76 แห่ง ก็มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันอย่างกว้างขวางเช่นกัน จนถึงการเลือกตั้งระดับเทศบาล ก็ยิ่งมีการซื้อเสียงมากยิ่งขึ้น และในวันที่ 27 มิถุนายนนี้ ก็จะมีการเลือกตั้งระดับองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) จำนวน 5300 แห่ง ก็จะมีการซื้อเสียงอย่างรุนแรงมากกว่าเดิมอีก เพราะเป็นองค์กรขนาดเล็ก มีพื้นที่น้อย สามารถที่ตรวจเช็คจำนวนคนลงคะแนนได้ ทำให้มีการแข่งขันสูง และจะมีการซื้อเสียงกันอย่างรุนแรงที่สุด

ถ้าหากองค์กร กกต.ล้มเหลวในการป้องกันปราบปรามการซื้อสิทธิ์ขายเสียงแล้ว จะทำให้การซื้อเสียงในการเลือกตั้งเป็นเรื่องปกติธรรมดา จนจะกลายเป็นวัฒนธรรมที่ถือปฏิบัติกันทั่วประเทศ และสำหรับในพื้นที่ภาคใต้ซึ่งมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงน้อยมาก แต่ในปัจจุบันได้ขยายวัฒนธรรมการซื้อสิทธิ์ ขายเสียงออกไปเต็มพื้นที่แล้ว และนับวันที่จะรุนแรงมากยิ่งขึ้น จนทำให้มีการกล่าวว่า ผลงานและความดีไม่สามารถเอาชนะเงินได้

จึงขอให้เรียกร้องให้ กกต.ได้ทบทวนการทำหน้าที่ขององค์กร ว่าได้ทำหน้าที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการจัดตั้ง กกต. ที่เป็นองค์กรอิสระ มีหน้าที่กำกับ ควบคุม และจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ ถ้าหากไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ควรจะยุบ กกต.ทิ้งไป และมอบหน้าที่ให้กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้จัดการเลือกตั้งทุกระดับเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

รมว.ศึกษาฯ สักการะสิ่งศักสิทธิ์ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ เตรียมผลักดัน 4 วาระเร่งด่วน เสนอรูปแบบการทำงานแบบ TRUST ต่อยอดจาก MOE ONE TEAM

29 มี.ค. เวลา 08:09 น.นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้ารับตําแหน่งอย่างเป็นทางการ ณ กระทรวงศึกษาธิการ โดยได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระพุทธรูปประจํากระทรวง พระพุทธบารมีศักดิ์สิทธิ์สยามิศรจักรี สัฏฐีอนุสรณ์ ศึกษาทรรังสรรค์ ศาลพระภูมิ และพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๖) จากนั้นพบปะและมอบนโยบายผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ ณ ห้องประชุมราชวัลลภอาคารราชวัลลภ 

เพื่อเป็นการตระหนักถึงความสําคัญของยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์โดยเฉพาะแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพมนุษย์การพัฒนาเด็กตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์จนถึงปฐมวัย การพัฒนาช่วงวัยเรียน / วัยรุ่น การพัฒนาและยกระดับศักยภาพวัยแรงงาน รวมถึงการส่งเสริมศักยภาพวัยผู้สูงอายุ ประเด็นการพัฒนาการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 และพหุปัญญาของมนุษย์ที่หลากหลาย และประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้อง 

โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้นําเสนอ 4 วาระเร่งด่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ได้แก่

1.) การผลักดันโรงเรียนคุณภาพของชุมชนและการพัฒนาเด็กปฐมวัย เป็นการสานต่อนโยบายเดิมของกระทรวงฯ ที่ต้องการขับเคลื่อนให้แต่ละชุมชนได้มีโรงเรียนที่มีคุณภาพอย่างน้อย 1 โรงเรียนขึ้นไป ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของโอกาสในการศึกษา ทําให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงโรงเรียนที่ดีใกล้บ้านของตนได้ ทั้งนี้ จะดําเนินการให้มีความพร้อมทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการส่งเสริมการศึกษา ตลอดจนด้านการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วม โดยทั้งสามด้านดังกล่าวมีประเด็นที่ต้องให้ความสําคัญเป็นอันดับแรก คือ “สวัสดิการครู” เพื่อเป็นการบํารุงขวัญกําลังใจของครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ปฏิบัติงาน 

สําหรับการพัฒนาเด็กปฐมวัยนั้น ขณะนี้เรามีพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 ซึ่งโดยหลักการสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่อยู่ในระหว่างการดําเนินการและคาดว่าจะประกาศใช้เร็ว ๆ นี้ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ทั้งนี้ตนได้ศึกษาเรื่องดังกล่าวมาอย่างดี โดยเชื่อว่า การพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีคุณภาพนั้นเป็นพื้นฐานที่สําคัญที่สุดต่อพัฒนาการของเด็กในช่วงวัยต่อมาจึงพร้อมที่จะดําเนินการต่าง ๆ ให้สอดรับกับกฎหมายแม่บทต่อไปอย่างแน่นอน

2.) ความปลอดภัยของสถานศึกษา โรงเรียนทุกแห่งในประเทศไทยถือเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” จากการบูลลี่และการทารุณกรรมเด็กโดยสําหรับนักเรียนแล้วโรงเรียนเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของพวกเขา ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับเด็กและผู้ปกครองในระยะแรกจึงต้องมีการดําเนินมาตรการขั้นเด็ดขาดกับผู้กระทําความผิดต่อนักเรียนที่ถูกละเมิดสิทธิ เสรีภาพ ไม่ว่าด้านชีวิต ร่างกาย เพศ หรือจิตใจ 

อันจะนํามาสู่การดําเนินการในระยะต่อมา คือ การสร้างความเข้าใจร่วมกันของทุกฝ่ายในการวางตัวและการปฏิบัติต่อกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักเรียนกับครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่จะมีตั้งแต่การลงรายละเอียดเป็นแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมการผลิตและสนับสนุนสื่อทั้งภาครัฐเอกชน และประชาสังคมให้มีการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเป็นวงกว้างไปจนถึงการส่งเสริมระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนทั้งที่จะพัฒนาใหม่และสานต่อโครงการเดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น Youth Counsel or ของ สพฐ.ให้มีการทํางานเชิงรุกตามสถานศึกษาต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น

3.) ความรู้เรื่องดิจิทัลและทักษะที่จําเป็นในศตวรรษที่ 21 เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในปัจจุบันได้ก่อให้เกิดความนิยมในรูปแบบการเรียนการสอนออนไลน์มากยิ่งขึ้น ทางกระทรวงฯ จะเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของโอกาสในการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องความพร้อมของโครงข่ายสัญญาณอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ที่จําเป็น ให้มีความทั่วถึง รองรับการใช้งานของผู้เรียนทุกระดับ 

นอกจากนี้ การพัฒนาแหล่งข้อมูล แหล่งเรียนรู้ให้มีความหลากหลายก็เป็นสิ่งจําเป็น โดยจะประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่มีศักยภาพในการรณรงค์เรื่องดังกล่าวเข้ามาทํางานร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มการเรียนรู้ด้วยดิจิทัลแห่งชาติและระบบฐานข้อมูลกลางทางการศึกษา เพื่อเตรียมคนไทยให้มีทักษะที่จําเป็นในศตวรรษที่ 21 ซึ่งมุ่งเน้นความเป็นผู้ประกอบการ และความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ

4.) การขับเคลื่อนภาพลักษณ์ที่ดีของการอาชีวศึกษาปัจจุบันประเทศไทยกําลังประสบปัญหาการขาดแคลนช่างฝีมือ ซึ่งเป็นผลจากการดําเนินนโยบายด้านการศึกษาที่ไม่สอดรับกับการพัฒนาในศตวรรษที่ 21 ประกอบกับทัศนคติของผู้ปกครองและผู้เรียนไทยที่มองว่าระบบอาชีวศึกษาเป็นที่รองรับของผู้เรียนที่ไม่สามารถศึกษาต่อในสายสามัญได้ จึงต้องมีการขับเคลื่อนภาพลักษณ์ที่ดีของการอาชีวศึกษาในประเทศไทยให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง 

โดยระยะแรกจะมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์สถาบันอาชีวศึกษาที่มีมาตรฐานชั้นนําในระดับประเทศให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง เพื่อให้ผู้เรียน และผู้ปกครองเห็นถึงโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตและความก้าวหน้าทางวิชาชีพอันจะก่อให้เกิดความมั่นใจที่จะเลือกศึกษาต่อในสายอาชีวะมากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการสนับสนุนผู้ประกอบการที่อํานวยความสะดวกในการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาผ่านมาตรการจูงใจต่าง ๆ ต่อไป

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการยังได้นําเสนอรูปแบบการทํางาน “TRUST” ดังนี้ 

“TRUST” หมายถึงความไว้วางใจ รูปแบบการทํางานที่จะทําให้ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครอง ผู้เรียน และประชาชน กลับมาให้ความไว้วางใจในการทํางานของกระทรวงศึกษาธิการอีกครั้ง โดย T ย่อมาจาก Transparency (ความโปร่งใส) / R ย่อมาจาก Responsibility (ความรับผิดชอบ) / U ย่อมาจาก Unity (ความเป็นอันหนึ่งอันเดียว) / S ย่อมาจาก Student Centricity (ผู้เรียนเป็นเป้าหมายแห่งการพัฒนา) / T ย่อมาจาก Technology (เทคโนโลยี) 

รูปแบบการทํางาน TRUST คือการพัฒนาต่อยอดจากรูปแบบการทํางาน “MOE ONE TEAM” หรือ การทํางานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวของกระทรวงศึกษาธิการ ที่กระทรวงศึกษาธิการได้ดําเนินการมาโดยตลอด ซึ่ง “TRUST” จะเข้ามาเป็นส่วนเสริมในเรื่องความโปร่งใสทั้งในเชิงกระบวนการทํางานและกระบวนการตรวจสอบจากภาคส่วนต่าง ๆ การสนับสนุนให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนดําเนินการตามภารกิจของตนด้วยความรับผิดชอบต่อตัวเอง องค์กร ประชาชน และประเทศชาติ ให้ความสําคัญกับการประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ผ่านกลไกการรับฟังความคิดเห็นมาประกอบการดําเนินงานต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการยกระดับคุณภาพการศึกษา 

ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการเป็นพื้นที่ของทุกคน มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวระหว่างครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครอง ผู้เรียน และประชาชน ซึ่งมีเป้าหมายร่วมกัน คือ การมีผู้เรียนเป็นเป้าหมายแห่งการพัฒนาโดยการทําให้ผู้เรียนมีวิธีคิดและทักษะที่เป็นสากลสอดคล้องกับพลวัตในศตวรรษที่ 21 ควบคู่ไปกับสํานึกและความเข้าใจในความเป็นไทย ผ่านการมีความพร้อมด้านเทคโนโลยี ทั้งในเชิงโครงสร้าง คือ การเข้าถึงสิ่งจําเป็นและสิ่งอํานวยความสะดวกด้านการศึกษาอย่างทั่วถึง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของโอกาสในการศึกษา และในเชิงการเรียนรู้ คือแหล่งข้อมูล แหล่งเรียนรู้รูปแบบต่างๆที่ทันสมัย และจะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนถึงพร้อมซึ่งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ทุกประการ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top