“ศรีสุวรรณ” ร้อง ป.ป.ช. สอบจริยธรรม “ส.ส.เจี๊ยบ ก้าวไกล” โผล่ร่วมม็อบ 20 มี.ค.

วันที่ 29 มีนาคม 2564 ที่สำนักงานป.ป.ช. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)เพื่อขอให้สอบสวนและเอาผิดนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กรณีที่เข้าร่วมชุมนุมประท้วงกับกลุ่มรี-เดม ( RE-DEM )เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา ที่สนามหลวงและถนนราชดำเนิน ซึ่งการชุมนุมดังกล่าวถือว่าเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ 2558 และมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 ฝ่าฝืน มาตรา34(6) แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 รวมทั้งฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา116,209 ,210 และมาตรา215 รวมทั้ง พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง 2535

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การจัดชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมายหลายฉบับ มีการทำลายและเผาป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในชาติบ้านเมือง เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของทางราชการเสียหาย และมีผู้บาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก โดยนางอมรัตน์ มีสถานะ ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ แต่ลดตัวลงมาคลุกคลีร่วมกิจกรรมกับกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งที่รู้ว่าเป็นการจัดการชุมนุมฝ่าฝืนกฎหมาย ถือว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด และตามประมวลกฎหมาย อาญา ม.83 ระบุว่า ในกรณีความผิดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า นางอมรัตน์ พยายามจะสื่อสารผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าอยู่หน้าม็อบเสมอ มิใช่เตี้ยหลังม็อบตามที่นายกรัฐมนตรีและสื่อมวลชนตั้งฉายาไว้ จึงเป็นประจักษ์พยานที่ตอกย้ำว่าเป็นพฤติการณ์ที่อาจฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯ 2561 อย่างร้ายแรง ในข้อ 5 ,6 , 7,12 และข้อ 17 ซึ่งเป็นมาตรฐานทางจริยธรรม ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 219 บัญญัติไว้ทางสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงขอให้ ป.ป.ช.ไต่สวนและมีความเห็น กรณีนางสาวอมรรัตน์ เข้าร่วมกิจกรรมการชุมนุมสาธารณะอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหลายฉบับตามประมวลกฎหมายอาญา หรือมีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ หากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติฯ ขอให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยตามกฎหมายต่อไป