Tuesday, 10 December 2024
POLITICS

ครม.อนุมัติต่ออายุโครงการให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด อีก 6 ปี

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติต่ออายุโครงการการให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด อาทิ อัฟกานิสถาน แองโกลา บังกลาเทศ และเอธิโอเปีย ซึ่งเป็นไปตามพันธกรณีของไทยในฐานะสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) โดยยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตา (Duty Free Quota Free Scheme : DFQF) ขยายระยะเวลาออกไปอีก 6 ปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2569 (จากเดิม โครงการระยะที่ 1 สิ้นสุดเมื่อ 31 ธันวาคม พ.ศ.2563) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ซึ่งการต่ออายุโครงการในครั้งนี้ มีจำนวนสินค้าที่ไทยให้สิทธิพิเศษภายใต้โครงการรวมทั้งสิ้น 7,187 รายการ หรือคิดเป็นร้อยละ 66.47 ของรายการสินค้าทั้งหมดในระบบ HS 2017 (ระบบพิกัดศุลกากรสากล) ส่วนประเทศที่ต้องการใช้สิทธิพิเศษ จะต้องดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าตามประกาศกรมศุลกากร

นางสาวรัชดา กล่าวว่า การต่ออายุโครงการดังกล่าว แม้จะเป็นการยกเว้นภาษี ซึ่งจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณปีละ 32-36 ล้านบาท แต่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศไทยทำให้มีแหล่งนำเข้าทางเลือกมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มวัตถุดิบและสินค้าขั้นต้น และมีราคาสินค้าที่ถูกกว่าหลายรายการ เมื่อเทียบกับราคานำเข้าเฉลี่ยจากทั้งโลกและจากแหล่งนำเข้าอื่น ๆ

“บิ๊กบี้” สั่ง กรมสวัสดิการทบ. พร้อมอนุเคราะห์ฌาปนสถาน จัดพิธีเผาหรือเคลื่อนย้ายศพผู้ติดเชื้อโควิด ลดภาระครอบครัวโดยให้แจ้งผ่าน ศูนย์ประสานงานต้านโควิด19 ทบ.

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่ส กองทัพบกยังคงสนับสนุน ทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ COVID- 19 ทุกด้าน ทั้งเรื่องโรงพยาบาลสนาม, สนับสนุนบุคลากร, เครื่องมือทางการแพทย์, ในการเฝ้าตรวจคัดกรองและรักษาผู้ป่วย

โดยพล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เห็นถึงข้อจำกัดและความไม่สะดวกในการจัดการพิธีศพของผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อ โควิด-19 รวมถึง การเคลื่อนย้ายศพจากโรงพยาบาลไปยังวัด เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาได้สั่งการให้กรมสวัสดิการทหารบก ซึ่งเป็นหน่วยรับผิดชอบศาสนสถานของกองทัพบก และหน่วยทหารทั่วประเทศ รวมทั้ง ฌาปนสถานของกองทัพบกในพื้นที่ กทม. ได้แก่ วัดอาวุธวิกสิตาราม เขตบางพลัด, วัดโสมมนัสวรวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย, วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต เขตบางเขน ได้ให้ความอนุเคราะห์ และช่วยอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการจัดเตรียมสถานที่ในการประกอบพิธีทางศาสนา การเผาศพให้กับศพของผู้ติดเชื้อโควิดที่ครอบครัวหรือญาติมีความเดือดร้อนและขอรับการสนับสนุน

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ได้มอบให้พิจารณาอำนวยความสะดวกในการจัดยานพาหนะช่วยเคลื่อนย้ายศพไปยังวัด ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อตามที่สาธารณสุขแนะนำอีกด้วย

ทั้งนี้ในการเคลื่อนย้ายศพจากโรงพยาบาลไปยังศาสนสถานของกองทัพบก จะดำเนินการโดย “ศูนย์ควบคุมการเคลื่อนย้าย ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านความมั่นคงกองทัพบก (กองทัพภาคที่ 1)” โดยขั้นตอนทั้งหมดเป็นการฌาปนกิจแบบไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อลดภาระของครอบครัวผู้ติดเชื้อและเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ในขณะนี้
 
ทั้งนี้ครอบครัวผู้เสียชีวิตที่เดือดร้อนหรือประสบปัญหาในการจัดการศพผู้ติดเชื้อ COVID-19 หรือการขนส่งเคลื่อนย้ายศพ สามารถประสานขอรับการสนับสนุน ผ่านศูนย์ประสานงานต้านโควิด-19 กองทัพบก โทร 0-2270-5685-9 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

สำหรับการช่วยเคลื่อนย้ายและจัดพิธีเผาศพดังกล่าว เป็นความตั้งใจของผู้บัญชาการทหารบก ที่ประสงค์ดูแลพี่น้องประชาชนเป็นการทำความดีด้วยหัวใจ  นำทรัพยากรและศักยภาพของกองทัพบกที่มีอยู่เพื่อการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุดและลดผลกระทบของ COVID-19 ต่อสังคมไทยโดยรวมอย่างแท้จริง

ล่าสุดมีครอบครัวของผู้ติดเชื้อ โควิด-19 ซึ่งเป็นหญิงไทย อายุ 84 ปี เสียชีวิตเมื่อ 4 พ.ค.64 ที่โรงพยาบาล รามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ ได้ติดต่อขอรับการช่วยเหลือในเรื่องการจัดพิธี ฌาปนกิจศพ ซึ่งจะประกอบพิธีในวันนี้เวลา 18.40 น. โดยกองทัพบกได้อำนวยความสะดวกตามการร้องขอจัดพิธีศพให้ในวันนี้ ณ วัดโสมมนัสวรวิหาร

ศาล รธน. ชี้ ธรรมนัส ไม่พ้นสมาชิกภาพ ส.ส. และ รมต. เหตุเป็นคดีที่เกิดในต่างประเทศ ไม่ผูกพันกับกฎหมายไทย ตามหลักอำนาจอธิปไตยของประเทศไทย

วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ รวมทั้งออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟัง เรื่องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งความเห็นของ ส.ส. 51 คน ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (10)

และความเป็นรัฐมนตรีของ ร.อ.ธรรมนัส สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบ มาตรา 160 (6) และมาตรา 98 (10) หรือไม่ จากกรณีเคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายอันถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้าซึ่งยาเสพติด ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยแล้วเห็นว่า ผู้ถูกร้องเคยต้องคำพิพากษาของออสเตรเลียก่อนสมัครส.ส. แต่ไม่ใช่คำพิพากษาของศาลไทย จึงไม่มีลักษณะต้องห้าม ตาม รธน. สมาชิกภาพ ส.ส. ของ ร.อ.ธรรมนัส ไม่สิ้นสุดลง ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามมาตรา 98 ผู้ถูกร้องไม่มีลักษณะตามรธน. จึงไม่มีเหตุให้ความเป็นรมต.สิ้นสุดลงตามมาตรา 160(6) และมาตรา 98 (10)

กรณีดังกล่าวทาง ร.อ.ธรรมนัส ถูกพรรคฝ่ายค้านกล่าวหาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ศาลออสเตรเลียได้มีคำพิพากษา เมื่อเดือนมีนาคม 2537 ว่ามีความผิดฐานนำเข้าและค้ายาเสพติดสั่งจำคุก 6 ปี แต่จำคุก 4 ปี ก่อนถูกเนรเทศกลับประเทศไทย จึงมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่ง ส.ส. และรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) และเข้าชื่อยื่นเรื่องให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

ศรชล.เข้มมาตรการ COVID-19

ศรชล.เข้มมาตรการ COVID-19

พล.ร.ต.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล(ศรชล.) เปิดเผยว่า พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ และรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) สั่งการให้ ศรชล. ยกระดับมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเข้มงวดโดยให้กำลังพลของ ศรชล. ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน COVID-19 ให้ปรับการทำงานของกำลังพลเป็นแบบ Work From Home และเน้นย้ำให้มีการเว้นระยะห่างทางสังคม การใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ การวัดอุณหภูมิก่อนเข้าหน่วย และการใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของ COVID-19 สูง รวมทั้งกำชับให้กำลังพลทุกนายใช้ Application "ไทยชนะ" เมื่อเดินทางไปในพื้นที่สาธารณะต่างๆและสั่งการให้หน่วยต่าง ๆ ปรับลดงบประมาณในการจัดหาพัสดุที่ไม่เร่งด่วนมาใช้ในการจัดหาแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย และเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกัน COVID-19 

ในส่วนของหน่วยปฏิบัติการทางทะเล รอง ผอ.ศรชล.ได้สั่งการให้ ศรชล.ภาค ศรชล.จังหวัด และศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัด (PSCC) ตลอดจนหน่วยกำลังในพื้นที่ดำเนินการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) อย่างเข้มงวดตามมาตรการ ข้อกำหนด แนวทางปฏิบัติของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มขีดความสามารถ รวมถึง ให้มุ่งเน้นการปฏิบัติงานในเชิงรุกโดยกำกับ ติดตามการปฏิบัติในการตรวจตราเรือสินค้า เรือประมง และเรือต่าง ๆ ในการผ่านด่านทางทะเลเข้าราชอาณาจักรอย่างเข้มงวด รวมทั้งการจัดเจ้าหน้าที่ชุดสหวิชาชีพ บูรณาการการตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ณ บริเวณท่าเรือ และแพปลาภายในจังหวัดที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะการสกัดกั้นผู้อพยพหรือผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้านทางทะเล เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำเชื้อ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ เช่นสายพันธุ์อินเดียซึ่งเพิ่งเริ่มมีการระบาดในประเทศเพื่อนบ้านของเราเข้ามาแพร่ในประเทศไทย

เพจไทยคู่ฟ้า เผยแพร่ข้อมูลยืนยันไฟเซอร์ยังไม่ได้นำเข้าในประเทศไทย ว่า “ยืนยัน! ไฟเซอร์ยังไม่นำเข้าวัคซีนโควิดในไทย

จากกระแสข่าว "มีการนำเข้าวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์มายังประเทศไทย" แล้ว ล่าสุด อย. ยืนยันว่า “ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด” 

ขณะนี้วัคซีนไฟเซอร์ยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนและอนุญาตให้นำเข้ามา และเมื่อตรวจสอบไปยังบริษัทผู้ผลิตก็ได้รับการยืนยันเช่นกันว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง

วัคซีนโควิด-19 ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศไทยแล้วขณะนี้มี 3 ราย คือ แอสตราเซเนก้า ซิโนแวค และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน โดยมีอีก 3 ราย (โมเดิร์นนา, โควัคซีน, สปุตนิค วี) ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาและยื่นเอกสาร 

ดังนั้น หากมีการนำเข้าวัคซีนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องจะถือว่าเป็นการกระทำผิด มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลการนำเข้าวัคซีนโควิดของไทยที่ถูกต้องได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th

ด้านบริษัทไฟเซอร์ประเทศไทยได้ออกเอกสารชี้แจงเช่นเดียวกันว่า จนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ผ่านสำนักงานในประเทศไทยแต่อย่างใด

#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19

Website : www.thaigov.go.th
Facebook/Twitter : ไทยคู่ฟ้า
YouTube : ไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
LINE : ไทยคู่ฟ้า (@thaigov)
TikTok : ไทยคู่ฟ้า (@thaigov)

“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” มีวาระแอบแฝงปฏิเสธเอกชนช่วยหาวัคซีนชี้รัฐบาลบริหารวัคซีนผิดพลาดทำเศรษฐกิจไทยทรุดหนักไร้ทางฟื้น

วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวบอำนาจในการบริหารสถานการณ์ การแก้ปัญหาการระบาดของวัสโควิด-19 ไว้แต่เพียงผู้เดียว ส่งผลให้เกิดการบริหารสถานการณ์ที่ผิดพลาด โดยเฉพาะการจัดหาวัคซีนที่ล่าช้า ส่งผลร้ายทั้งประชาชนและทำลายเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ถดถอยไปอีกหลายปี

กรณีที่ภาคเอกชนเสนอตัวเข้ามาช่วยในการจัดหาวัคซีนจำนวนมากกว่า 10-15 ล้านโดส เพื่อนำมาฉีดให้ประชาชนรวมทั้งเพื่อเปิดทางเลือกให้ประชาชน สามารถเลือกฉีดวัคซีนได้ เป็นเรื่องที่ดี รัฐบาลไม่ควรที่จะปฏิเสธความปารถนาดีของภาคเอกชน เพราะเมื่อรัฐล้มเหลวในการจัดการวัคซีนการที่เอกชนยื่นมือมาช่วยรัฐควรจะดีใจ แต่รัฐเลือกปฏิเสธเพราะอะไร หรือ มีอะไรแอบแฝงในการจัดหาวัคซีนของรัฐ

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า การที่รัฐบาลอ้างว่ากว่าภาคเอกชนจะหาวัคซีนได้ก็น่าจะเป็นปลายปี ซึ่งจะซ้ำซ้อนกับวัคซีนของรัฐบาล รัฐบาลรู้ได้อย่างไร ด้วยศักยภาพของเอกชนเชื่อว่าจัดหาวัคซีนได้เร็วและมีคุณภาพที่ดีกว่าของรัฐบาลแน่นอน เท่าที่ทราบเอกชนมีการติดต่อกับผู้ผลิตวัคซีนทั่วโลก ทั้งไฟเซอร์ โมเดน่า และยี่ห้ออื่นๆ เพื่อหาวัคซีนให้ประเทศไทย ดังนั้นการปกิเสธเอกชนเท่ากับการปิดโอกาสรอดชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ

“รัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลกฉีดวัคซีนได้หลัก 10 หลัก100 ล้านโดส และมีการสต็อกไว้ล่วงหน้าอีก 2 ปี นอกจากนี้ยังฉีดให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวประเทศเขาได้เพื่อเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ประเทศไทย ถึงวันนี้ฉีดวัคซีนแค่หลักล้าน ยังกล้ามาพูดว่าจะฉีดได้ 50 ล้านในปลายปี มันช้ามากคนไทยตายทุกวันและนอนรอความตายทั้งที่บ้านและที่โรงพยาบาล อีกหลาย 100 คน อยากถามรัฐบาลมีเหตุผลอะไรถึงปฏิเสธความช่วยเหลือจากเอกชน หรือมีผลประโยชน์อะไร เพราะเหตุผลที่รัฐบาลอ้างฟังไม่ขึ้น หรือรัฐบาลมีอะไรซ่อนเร้นจึงไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นนำเข้ามา การผูกขาดวัคซีนของรัฐบาลจะเป็นตัวฉุดรั้งความเชื่อมั่นของประเทศให้เสื่อมถอยไปหนักกว่านี้ จนยากที่จะกอบกู้ได้” นายสงครราม กล่าว

“ถาวร" จี้ใช้ยาแรง จัดการต้นตอเอาเชื้อ"โควิด"จากฝั่งเขมร มาปล่อยย่านทองหล่อ ไม่ใช่ลูบหน้าปะจมูก ถึงจะเรียกศรัทธารัฐบาลกลับมาได้ 

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะนี้ ว่า ตอนนี้มีการเสนอทางรอดหนึ่งในการแก้ปัญหาโรคโควิด-19 คือต้องบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ทุกฉบับไปจับกุมทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดการแพร่เชื้อคลัสเตอร์ย่านทองหล่อ ตั้งแต่ผู้ที่เดินทางเข้า-ออกประเทศกัมพูชา มายังย่านทองหล่อ แม้วิธีนี้จะช่วยเรียกความศรัทธาจากประชาชนได้ แต่กลับถูกให้ระงับการดำเนินการดังกล่าวเอาไว้ ซึ่งตนเห็นว่าถ้ารัฐบาลต้องการจะเรียกศรัทธาคืน จะต้องจัดการแนวทางนี้อย่างเด็ดขาด
        
"ผมเสนอด้วยความหวังดี ผมไม่พูดการเมืองมานาน แต่ตอนนี้เห็นคนไทยเดือดร้อน จึงทนไม่ได้ และมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ว่ามีนักการเมือง พ่อค้า ผู้มีอิทธิพล ไปปลูกกัญชาฝั่งกัมพูชาจำนวนมาก และไปทำบ่อนการพนันด้วย การเข้า-ออกของคนเหล่านี้มีอภิสิทธิ์ จนส่งผลให้นำเชื้อโควิด-19 เข้ามาด้วยอีกทางหนึ่งแล้วนำมาแพร่ในบ้านเรา” นายถาวร กล่าว
         
นายถาวร กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาโรคโควิด-19 ใช้อำนาจตาม พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ใช้กลไกหลายอย่างและใช้กฎหมายอีกหลายฉบับ ซึ่งมีการระบุไว้อยู่แล้วว่าใครบ้างที่เป็นผู้รักษาการ ตามกฎหมายแต่ละฉบับ คนเหล่านั้นจึงถือเป็นผู้รับผิดชอบต้องจัดการบังคับใช้กฎหมาย ดังนั้นขอให้รัฐบาลฉีดยาแรง และทำทันที จึงจะเรียกศรัทธากลับคืนมาได้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดในแต่ละรอบ ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะคนยากจน ไม่ได้ทำมาหากิน ส่งผลให้รัฐบาลต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการฟื้นฟูและเยียวยา รวมถึงพัฒนาประเทศ 
          
“การระบาดแต่ละรอบ ทำให้ประชาชนถูกจำกัดสิทธิ คนจนไม่ได้ทำมาหากิน เศรษฐกิจหยุดชะงักทุกด้าน ดังนั้นรัฐบาลต้องบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจัง เข้มข้น ไม่ลูบหน้าปะจมูก ถึงจะเอาอยู่ครับ"นายถาวร กล่าว

‘บิ๊กตู่’ นั่ง ผอ.ศูนย์แก้โควิดกทม.-ปริมณฑล ดึง 8 อาจารย์หมอ นั่ง ‘ที่ปรึกษา’ ให้ เลขาฯ สมช. นั่ง ประธาน กก.เฉพาะกิจบูรณาการด้านการแพทย์ ส่วน “หมอหนู-หมอตี๋” เป็นแค่ ‘ที่ปรึกษา’

พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะผอ.ศบค. ได้ลงนามคำสั่งตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขโควิด-19 พื้นที่ กทม.และปริมณฑล ตามที่พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) เสนอรายละเอียด

โดยมีนายกฯ เป็น ผอ.ศูนย์ฯ แบ่งการทำงานเป็น 5 ฝ่าย ได้แก่

1.) ฝ่ายอำนวยการ

2.) ฝ่ายปฏิบัติการการตรวจเชิงรุก

3.) ฝ่ายบริหารจัดหารผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยง

4.) ฝ่ายบริหารจัดการพื้นที่

5.) ฝ่ายบริหารจัดการการฉีดวัคซีน โดยให้ผอ.เขต , ผอ.ศูนย์ควบคุมการแพร่ระบาดโควิดในระดับเขต จะทำงานร่วมกับศูนย์ใหญ่ บริหารจัดการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกัน

นอกจากนี้ นายกฯยังได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้ง คณะที่ปรึกษาด้านการสาธารณสุขศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษา ความเห็น และข้อเสนอแนะทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับมาตรการสาธารณสุขและแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาสถานการณ์ ฉุกเฉินอันเกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ประกอบด้วย

1.) นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร

2.) นพ.อุดม คชินทร

3.) นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา

4.) นพ.สุทธิพงศ์ วัสรสิทธุ

5.) นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา

6.) นพ.อนันต์ ศรีเกียรติขจร

7.) พญ.จิรายุ เอื้อวรากุล และ

8.) นพ.ไพโรจน์ จงบัญญัติเจริญ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อการบูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 โดยมีคณะกรรมการ 22 คน ประกอบด้วย

1.)  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นที่ปรึกษา

2.) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นที่ปรึกษา

3.) เลขาธิการ สมช. เป็นประธานกรรมการ

4.) ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นรองประธานกรรมการ

5.) ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธานกรรมการ

6.) อธิบดีกรมการปกครอง  เป็นกรรมการ

7.) อธิบดีกรมการแพทย์ เป็นกรรมการ

8.) อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นกรรมการ

9.) อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นกรรมการ

10.) อธิบดีกรมสุขภาพจิต เป็นกรรมการ

11.) อธิบดีกรมอนามัย เป็นกรรมการ

12.) ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เป็นกรรมการ

13.) เลขาธิการองค์การอาหารและยา เป็นกรรมการ

14.) เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เป็นกรรมการ

15.) เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นกรรมการ

16.) ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เป็นกรรมการ

17.) เสนาธิการทหาร เป็นกรรมการ

18.) ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กระทรวงกลาโหม เป็นกรรมการ

19.) นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เป็นกรรมการ

20.) อธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นกรรมการและเลขานุการ

21.) รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ และ

22.) ผู้ช่วยเลขาธิการ สมช. เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ

รัฐบาล ยัน สปสช. พร้อมเยียวยาคนแพ้วัคซีนโควิด-19 ของรัฐ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล ยืนยันให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ช่วยเหลือดูแลคนไทยทุกสิทธิ์ทั้งสิทธิประกันสังคม บัตรทอง และสิทธิราชการ รวมทั้งบุคลากรสาธารณสุข หากได้รับความเสียหายจากการรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยรัฐ โดยเริ่มให้ความคุ้มครองตั้งแต่วัคซีนเข็มแรกที่ฉีดให้คนไทย เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2564 ตามหลักเกณฑ์การช่วยเหลือ มาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 โดยประชาชนสามารถยื่นเรื่องได้ทั้งที่โรงพยาบาล สาธารณสุขจังหวัด และเขต สปสช. ซึ่งจะมีคณะกรรมการพิจารณาอัตราช่วยเหลือเยียวยา ภายใน 5 วัน หลังจากที่อนุกรรมการได้รับเรื่อง 

“ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลดูแลความมั่นคงด้านสุขภาพของคนไทยทุกคน อย่างดีที่สุดรวมทั้งในช่วงวิกฤตโควิด-19 ทั้งประชาชนบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ด่านหน้า หากท่านได้รับความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขหรือกรณีของการรับวัคซีนโควิด-19 ของภาครัฐ ที่บางรายเท่านั้นที่เกิดอาการหรือผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ จะได้รับการดูแลช่วยเหลือจากรัฐบาล”

สำหรับปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนรับวัคซีนโควิด-19 จนถึงวันที่ 5 พ.ค. 2564 (ณ เวลา 08.00 น.) รวมจำนวน 1,016,893 คน โดยลงทะเบียนผ่านไลน์ 818,962 คน และแอปพลิเคชั่น 197,931 คน โดยได้มีการรายงานให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปแล้ว 1,573,075 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 1,150,564  ราย และมีผู้ได้รับแล้ว 2 เข็มจำนวน 422,511 ราย สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สะสมแล้ว 285,735 โดส

ส่วนจังหวัดภูเก็ตมีรายงานว่า มีประชาชนที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้วราว 1 แสนคน โดยโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตร่วมกับภาคเอกชน กระจายจุดฉีดวัคซีน 5 จุดใน 3 อำเภอ ที่ รร.อังสนา ลากูนา / สะพานหิน / ภูเก็ต ออร์คิด รีสอร์ท / ห้างจังซีลอน ด้วย

ครม. เคาะ คนละครึ่ง เฟส 3 แจกคนละ 3,000 บาท 31 ล้านคน ใช้งบ 9.3 หมื่นล้าน ฟื้น ศก. ไตรมาส 3-4 เพิ่มสิทธิใช้ร้านทำผม ร้านนวด

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการโครงการ "คนละครึ่งเฟส 3 "เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากคำสั่งเพื่อระงับยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดของสถานการณ์โรคโควิด-19  ระลอก 3 คนละ 3,000 บาท จำนวน 31 ล้านคน คิดเป็นวงเงินงบประมาณ 93,000 ล้านบาท ระยะเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม พ.ศ.2564 โดยเป็นโครงการที่ช่วยประคองกำลังซื้อในช่วงไตรมาสที่ 3-4 ของปีนี้
 
สำหรับรูปแบบการใช้จ่าย จะใกล้เคียงกับโครงการคนละครึ่งเฟสแรก และเฟส 2 แต่มีการเสนอรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมขยายสิทธิให้ร้านค้าภาคบริการอย่าง ร้านทำผม ร้านนวด เข้าร่วมด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้มีเพียงร้านขายสินค้าและอาหารเท่านั้น ทั้งนี้ จะต้องรอการชี้แจงรายละเอียดอีกครั้ง

ก้าวไกล เปิดตัว ‘กลุ่มเปลือกส้ม’ สู้โรคระบาด ร่วมส่งมอบเครื่องช่วยหายใจ HFNC สนับสนุน​ รพ. หลังหมดหวังในตัวรัฐบาล

5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ส.ส. และผู้สมัคร ส.ก.พรรคก้าวไกลในนาม “กลุ่มเปลือกส้ม” ร่วมส่งมอบเครื่องช่วยหายใจ HFNC ให้แก่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์และโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียนเพื่อสนับสนุนแพทย์สู้กับโควิด เชิญชวนประชาชนร่วมบริจาค-เตรียมทยอยส่งมอบเพิ่มเติมโดยเร็วที่สุด

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ในวันนี้ที่ตนและเพื่อน ส.ส. รวมทั้งผู้สมัคร ส.ก.พรรคก้าวไกลในนามกลุ่มเปลือกส้ม ได้มาร่วมส่งมอบเครื่องช่วยหายใจ HFNC มูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท ให้แก่โรงพยาบาลราชพิพัฒน์และโรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน โดยหวังว่าอุปกรณ์ดังกล่าวจะมีประโยชน์ในการช่วยเหลือสนับสนุนการทำงานของแพทย์และช่วยชีวิตประชาชนให้มากที่สุด โดยขอขอบคุณผู้ที่ร่วมระดมทุนสนับสนุนเข้ามาเป็นอย่างยิ่ง ยืนยันว่าจะมีการจัดหาและทยอยส่งมอบอุปกรณ์ดังกล่าวโดยเร็วที่สุด​ เพื่อตอบสนองความต้องการจำเป็นเร่งด่วนของแต่ละพื้นที่

ทั้งนี้ เหตุผลที่พรรคก้าวไกลเลือกบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพราะมองว่าเป็นการให้ที่ตรงจุด แม้จะเปรียบเหมือนเป็นไม้ซีกงัดไม้ซุงในสถานการณ์ปัจจุบันที่รัฐบาลทิ้งไว้ให้ เนื่องจากหมดหวังและคิดว่าพ่ายแพ้เรื่องวัคซีนไปแล้ว ไม่ว่าจะด้านปริมาณ หรือประเภท แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรพ่ายแพ้เรื่องอุปกรณ์เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของประชาชนอีก

โดยเครื่องดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็น เพราะสามารถลดภาวะโอกาสหัวใจล้มเหลวและลดความวิกฤติของผู้ป่วยได้ อีกทั้งยังจะช่วยให้ลดภาระในการจำเป็นต้องพึ่งพาห้องความดันลบอย่างเดียว รวมถึงลดความเสี่ยงของบุคลากรทางการแพทย์ ในนามกลุ่มเปลือกส้มจึงได้ช่วยกันระดมทุนเพื่อซื้อเครื่องดังกล่าวมามอบให้ตาม รพ. ต่าง ๆ เริ่มนำร่องในพื้นที่กรุงเทพมหานครก่อน

หัวหน้าพรรคก้าวไกลยังได้เสนอให้รัฐบาลเร่งจัดสรรงบประมาณโดยอนุมัติงบกลาง ในการจัดซื้อเครื่อง HFNC ให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อช่วยให้ประชาชนที่ติดเชื้อโควิด-19 มีโอกาสรอดชีวิตให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะเป็นการสนับสนุนการทำงานให้กับแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ให้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างปลอดภัย โดยตนมองว่านี่คือความเร่งด่วนที่รัฐบาลควรเร่งอนุมัติงบประมาณ เพื่อดำเนินการ

ขณะที่​ นาย​ศุภกร​ ตันติไพบูลย์ธนะ ตัวแทนกลุ่มเปลือกส้มกล่าวว่า​ กลุ่มเปลือกส้มเป็นการรวมตัวกันของว่าที่ผู้สมัครสก.พรรคก้าวไกล​ โดยในสถานการณ์เช่นนี้พรรคก้าวไกลได้ผนึกกำลังให้ตัวแทนแต่ละเขตร่วมกันทำงานเชิงรุกในแต่ละพื้นที่​ เพื่อบรรเทาสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ของพี่น้องประชาชน

"แน่นอนว่าเรามุ่งหวังจะสามารถส่งมอบเครื่อง HFNC ให้กับรพ.ในกรุงเทพมหานครที่มีความต้องการและจำเป็นให้ได้มากที่สุด โดยผู้ประสงค์ที่จะร่วมสมทบทุนในการจัดซื้อเครื่อง HFNC เพื่อมอบให้กับโรงพยาบาลที่มีความต้องการ สามารถโอนเงินบริจาคมาได้ที่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ชื่อบัญชี 'บจก.ส้มจี๊ด เอ็นเตอร์ไพรส์'​ เลขที่บัญชี 4831152045 โดยพรรคก้าวไกลและกลุ่มเปลือกส้ม จะรายงานความคืบหน้าในการจัดซื้อเครื่อง HFNC ให้กับประชาชนให้ทราบเป็นระยะๆ เพื่อความโปร่งใส ต่อไป"

รมว.สุชาติ เผย ดีเดย์!! เปิดตรวจโควิด-19 เชิงรุก ผู้ประกันตน แรงงานนอกระบบรอบใหม่ที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง และวิทยาลัยอาชีวะฯ ปทุมธานี วันที่ 5-11 พ.ค.นี้ 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ก.แรงงาน บูรณาการร่วมกับมหาดไทย กทม. สปสช. เปิดบริการจุดตรวจโควิด-19 เชิงรุก แก่ผู้ประกันตนและแรงงานนอกระบบรอบใหม่อีกครั้งเพื่อเร่งควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ที่สนามไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง และวิทยาลัยอาชีวศึกษาปทุมธานี วันที่ 5-11 พ.ค.นี้ เน้น อำนวยความสะดวก รวดเร็ว ลดแออัด สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกันตนที่ป่วยโควิด-19 ให้ได้เข้ารับการรักษา ลดอัตราความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต สอบถามเพิ่มเติมโทร.1506 กด 6

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ห่วงใยผู้ประกันตนและแรงงานนอกระบบ ผู้ประกอบอาชีพอิสระและประชาชนทั่วไปถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 เนื่องจากสภาพปัญหาในปัจจุบันได้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง และมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีดำริกำชับให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุก พร้อมแรงงานนอกระบบในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้ให้กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม บูรณาการความร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าราชการจังหวัด และกระทรวงสาธารณสุข โดย สปสช. ดำเนินการตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนและแรงงานนอกระบบ ตามโครงการแรงงาน...เราสู้ด้วยกัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งในวันนี้ (5 พ.ค.64) ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ได้เปิดตรวจโควิด-19 เชิงรุก อีกครั้ง โดยให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. โดยในแต่ละวันตรวจได้ไม่เกิน 3,000 คน รอบเช้า 1,500 คน และรอบบ่าย 1,500 คน 

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ กระทรวงแรงงานยังได้เปิดศูนย์ตรวจโควิด- 19 ที่อาคารโดมอเนกประสงค์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาจังหวัดปทุมธานี ให้บริการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเช่นกัน โดยตรวจได้วันละ 1,000 คน รอบเช้า 500 คน รอบบ่าย 500 คน ผู้ที่ต้องการตรวจสามารถลงทะเบียนจองคิวตรวจได้ที่เว็บไซต์ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php จากนั้นผู้ประกันตนกรอกเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก หรือเลขพาสปอร์ต กรอกข้อมูลประเมินความเสี่ยงตามที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด หากผู้ประกันตนรายใดลงทะเบียนแล้วไม่มาตรวจตามนัดจะต้องลงทะเบียนใหม่ และเมื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด -19 เรียบร้อยแล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที เนื่องจากผลการตรวจจะส่งทาง SMS ให้ผู้ประกันตนทราบตามหมายเลขโทรศัพท์ที่แจ้งไว้ ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวนาน ขอให้ผู้ที่มาตรวจนำบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้องมาด้วย ซึ่งทั้งสองแห่งจะเปิดตรวจตั้งแต่วันที่ 5-11 พ.ค.นี้

ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถสอบถามได้ที่โทรศัพท์ 1506 กด 6 เพื่อหาสถานที่ตรวจและสถานพยาบาล เข้ารับการรักษาในกรณีติดเชื้อได้ โดยให้บริการทุกวันจันทร์-อาทิตย์ เวลา 08.00-17.00 น. มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการทั้งสิ้น 10 คู่สาย ช่วยเหลือผู้ประกันตนและแรงงานนอกระบบที่เดือดร้อนจากการตรวจโควิด-19 ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอีกทางหนึ่งด้วย กรณีตรวจพบเชื้อและมีอาการจะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ส่วนผู้ที่ตรวจพบเชื้อแล้วไม่มีอาการหรืออยู่ในระดับสีเหลืองตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดจะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ Hospitel ของประกันสังคม ซึ่งมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแลเป็นอย่างดี

“เทพไท” หนุน ฉีดวัคซีนคนละ 1 เข็มแบบปูพรม ดีกว่ารอฉีดคนละ 2 เข็มจนครบ ชี้ ตราบใด รบ.ไม่สร้างความเชื่อมั่น ทำคะแนนนิยม “บิ๊กตู่” ลด  คะแน ”แม้ว” จะเพิ่มขึ้น

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ เฟสบุ๊กส่วนตัว ข้อความว่า กรณีการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส โควิด-19 นั้น จากข้อมูลของ นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ พูดถึงการฉีดวัคซีนให้กับคนไทยทุกคน คนละ1เข็ม โดยไม่จำเป็นต้องฉีดเข็มที่ 2 ซึ่งจะทำให้เสียเวลาในการฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับ พ.ท.นายแพทย์ เอนก ยมจินดา อดีตผู้อำนวยการสำนักนิติวิทยาศาสตร์ ต่างก็เห็นว่า การฉีดวัคซีนให้กับคนไทยแบบปูพรมคนละ 1 เข็มก่อน ย่อมมีผลในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ภายในประเทศ และสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ระดับหนึ่ง เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในยามที่เชื้อไวรัส โควิด-19 กำลังแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นทุกวัน จึงอยากสนับสนุนแนวความคิดเสนอให้รัฐบาล นำวัคซีนที่ได้มาในตอนนี้ ฉีดให้กับคนไทยทุกคน คนละ1เข็ม และถ้าหากมีวัคซีนเพิ่ม ก็ค่อยฉีดเข็มที่ 2 ให้กับคนไทยในภายหลัง ซึ่งจะได้ประโยชน์มากกว่า การรอฉีดวัคซีนคนละ 2 เข็ม ตามแผนที่กำหนดไว้  

“ถ้ารัฐบาลไม่มีความคืบหน้า ในมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว ก็จะทำให้คนไทยขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล และกลับไปให้ความสำคัญกับแนวความคิดของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาพูดคุยผ่านแอปพลิเคชั่น Clubhouse บ่อย ๆ โดยเสนอแนวความคิดการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ที่น่าเชื่อถือ ตราบใดที่รัฐบาลไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน หรือล้มเหลวในการแก้ปัญหาโควิด-19 ก็จะทำให้คนไทยส่วนหนึ่ง หันไปเรียกหานายทักษิณอีก และการขายฝันให้กับคนไทยต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะเป็นการดิสเครดิตรัฐบาลโดยตรง ยิ่งความนิยมในตัวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ลดน้อยลงไปเท่าไหร่ คะแนนนิยมในตัวนายทักษิณ ก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะทำให้กองเชียร์ทั้ง 2 ฝ่าย ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนกัน เป็นการทำให้สังคม ก้าวสู่การเมืองเลือกข้างอีกครั้งหนึ่ง และจะเป็นความขัดแย้งทางสังคมที่ไม่มีวันจบสิ้น” นายเทพไท กล่าว

'กรณิศ' ปูด ผู้มีอิทธิพล มีตำแหน่งที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม.ฮุบบัตรคิวตรวจโควิดชาวคลองเตย แจกให้พรรคพวก แฉ เตรียมลงสมัคร ส.ก. หวังหาคะแนนนิยม ข้องใจ ย้าย 5 จุดสถานที่ตรวจ-เพิ่มความเสี่ยงปชช.ต้องเดินทาง

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564  นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงข้อร้องเรียนของชาวคลองเตยที่พบว่ามีการเล่นพรรคเล่นพวก แจกบัตรคิวฉีดวัคซีนโควิด-19 รวมทั้งมีการย้ายสถานที่รถตรวจโควิด-19 ในชุมชนแออัดคลองเตย ว่า วันแรกที่มีการฉีดวัคซีนและตรวจหาเชิงรุกผู้ติดเชื้อโดยมีการแจกบัตรคิว ก็ได้รับเรื่องร้องเรียนว่าไม่เป็นธรรมโดยประชาชนและผู้นำชุมชนแจ้งเรื่องมาที่ตน และร้องเรียนเรื่องการยกเลิกจุดที่เป็นสถานที่ตรวจหาเชื้อโควิดกระทันหัน โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทย ทราบดีว่าจุดใดเหมาะสมที่จะตั้งเป็นจุดตรวจ และกำหนดมาเรียบร้อยพร้อมหมดแล้ว แต่มายกเลิกกระทันหัน 5 จุดเดิมและย้ายไปยัง 5 จุดใหม่ ที่ไกลกว่าเดิม ไม่ได้อยู่ในชุมชน ทั้งที่ประธานชุมชน เตรียมการไว้แล้วว่าให้มีจุดตรวจใกล้กับชุมชน ชาวบ้านสามารถเดินมาตรวจได้ ไม่ต้องมีการเคลื่อนย้ายไปไกลถึงวัดสะพาน แต่เมื่อยกเลิกจุดตรวจเดิมชาวบ้านต้องนั่งรถสองแถวรวมตัวกันไปเกือบ 20 คนต่อคัน เพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ จึงเกิดข้อสงสัยว่าทำไมไม่ใช้พื้นที่ซึ่งใกล้บ้านมากกว่าและอยากได้คำตอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะตอบประชาชนได้ถูก
 
นางกรณิศ กล่าวว่า ส่วนเรื่องแจกบัตรคิว ทางสำนักงานเขตไม่ได้แจกด้วยตัวเอง และไม่ได้ให้ประธานชุมชนเป็นผู้ดำเนินการมารับด้วยตัวเอง แต่ให้ตัวแทนของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่มารับไปเพื่อจ่ายให้กับผู้นำชุมชน มีการเล่นพรรคเล่นพวกกลายเป็นการไปสร้างคะแนนเสียงให้กับตัวเอง ในสถานการณ์ช่วงเวลานี้ไม่ควรเอาชีวิตของคนมาทำเช่นนี้ ทั้งที่นโยบายของนายกรัฐมนตรีต้องการตรวจเชิงรุกให้ได้จำนวนมากที่สุด เพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดในพื้นที่เขตคลองเตย แต่ตอนนี้จะเกิดปัญหาในพื้นที่ เนื่องจากเกิดความไม่เป็นธรรมกับการจัดระบบ

"ประธานชุมชนร้องเรียน เพราะอยากได้ความชัดเจนว่าจะได้สัดส่วนเท่าไหร่ ไม่ใช่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ จัดสถานที่รองรับ แล้วอยู่ดีๆมายกเลิกกระทันหัน บางชุมชนมีประชาชนมาลงทะเบียนเกือบ 1,000 คน แต่พอถึงเวลายกเลิกไปหมด ก็ตอบชาวบ้านไม่ได้ เรื่องนี้ก็จะตกเป็นภาระกับผู้นำชุมชน ซึ่งเราขอความชัดเจนเท่านั้น อย่าเอาความเป็นความตายของประชาชนมาใช้วิธีการเล่นพรรคเล่นพวกแบบนี้" นางกรณิศ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อสังเกตว่าปัญหาดังกล่าวมีสาเหตุมาจากความไม่ลงรอยกันในเรื่องตัวบุคคลที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ก.ในเขตคลองเตย หรือไม่ นางกรณิศ กล่าวว่า “เขาประกาศตัวว่าจะลง และตอนนี้ก็ไปเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม. แล้วใช้อำนาจของตัวเองมาบังคับข้าราชการ เอาคนของตัวเองมารับบัตรคิว อย่างนี้ไม่แฟร์กับชาวบ้าน ถึงได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ก็ใจเย็นแล้ว เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ผู้นำชุมชนได้โควตาบัตรคิว 450 คน แต่อยู่ดี ๆ คนของผู้มีอิทธิพลก็ไปรับบัตรคิวจากเขต ได้รับไป 450 บัตรคิว แต่เอาไปให้เขาแค่ 150 ใบ ประธานชุมชนก็โวยว่าทำไมทำแบบนี้ ทำให้เห็นว่าส่อทุจริต ไม่ตรงไปตรงมา จึงมีปัญหาว่าแจกบัตรคิวไปที่ไหนบ้าง ช่วยประชาสัมพันธ์และประกาศให้ชัดเจนได้หรือไม่ว่าชุมชนไหนได้บ้างและส่วนที่เหลือไปอยู่กับใคร บางชุมชนเป็นชุมชนขนาดใหญ่ แต่ได้จำนวนบัตรคิวน้อยกว่าบางชุมชนที่ขนาดเล็ก" 

เมื่อถามว่าที่ผู้มีอิทธิพลมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีบทบาทในพื้นที่อย่างไร นางกรณิศ กล่าวว่า “มีบทบาทมาก ฝั่งข้าราชการต้องซ้ายหันขวาหัน จึงอยากให้ความจริงปรากฏว่าคนที่เอาบัตรไปแจกคือใคร เป็นลูกน้องของใคร ไปถามประธานชุมชนได้ว่าเป็นคนของใคร ที่แน่ๆ ไม่ใช่ข้าราชการ ไม่ใช่สำนักงานเขต นี่คือข้อเท็จจริง ทำไมเขตไม่แจกเองหรือให้ผู้นำชุมชนไปรับบัตรคิวมาแจก”

เมื่อถามว่า ผู้มีอิทธิพลคนดังกล่าวเป็นคนที่ใกล้ชิดกับแกนนำระดับรัฐมนตรีในพรรคพลังประชารัฐ หรือไม่ นางกรณิศ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่ผู้ที่ประสงค์จะลงสมัคร ส.ก.ในเขตคลองเตยก็มีคนจากหลายพรรค ในส่วนของพลังประชารัฐ ยังไม่ทราบว่าจะมีการส่งผู้สมัครในนามพรรคหรือไม่อย่างไร เพราะฉะนั้นทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะเสนอตัวได้ทั้งนั้น ในเรื่องของการเมืองท้องถิ่นจะสังกัดพรรคหรือไม่ก็ได้ และในพื้นที่ก็มีหลายพรรคการเมืองที่ลงพื้นที่อยู่ในขณะนี้ 

ศรีสุวรรณ ยื่น ผกก.สน.พหลฯ แจ้งจับกลุ่มราษฎร-REDEM ชุมนุมหน้าศาลหมิ่นตุลาการ

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2564  นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่มีกลุ่มที่อ้างตัวเองว่าเป็นกลุ่มราษฎร กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กลุ่มเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี กลุ่มเยาวชนปลดแอก และกลุ่ม REDEM นำมวลชนจำนวนมากเดินทางมาร่วมจัดกิจกรรม ณ บริเวณด้านนอกและด้านในศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ กล่าวโจมตีศาล ผู้พิพากษา และเรียกร้องให้ศาลพิจารณาให้ประกันตัวแกนนำของตนที่ถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ ซึ่งการชุมนุมเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 เม.ย. และวันที่ 2 พ.ค. 64 ที่ผ่านมานั้น

การจัดชุมนุมและการแสดงออกดังกล่าว มิได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ ม.34 และ ม.44 แต่อย่างใด หากแต่เป็นการละเมิดอำนาจศาล และฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายหลายประการ อาทิ ฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามการชุมนุม ตาม พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 ฝ่าฝืน พรบ.โรคติดต่อ 2558 ฝ่าฝืน พรบ.การชุมนุมสาธารณะ 2558 ฝ่าฝืน พรบ.การรักษาความสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง 2535 ฝ่าฝืน พรบ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้ เครื่องขยายเสียง 2493 ฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา ม.215 และที่สำคัญ มีการกระทำในลักษณะฝ่าฝืนประมวลกฎหมายอาญา ม.112 อีกด้วย 

การกระทำดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นความผิดอาญาต่อแผ่นดิน ซึ่งเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นหน้าที่ของประชาชนไทยทุกคนที่พบเห็นการกระทำดังกล่าว สามารถนำความมาแจ้งความเอาผิดบุคคลที่ฝ่าฝืนกฎหมายข้างต้นต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน ทำสำนวน ออกหมายเรียกหรือออกหมายจับ เพื่อนำตัวผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดส่งอัยการเพื่อฟ้องร้องต่อศาล พิจารณาลงโทษ ตามครรลองของกฎหมายขั้นสูงสุดต่อไปได้

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงนำความ พร้อมพยานหลักฐานมาเพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษแกนนำกลุ่มต่าง ๆ ข้างต้น ต่อ ผกก.สถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน เพื่อดำเนินการออกหมายเรียกบุคคลผู้ถูกกล่าวหาและพวกทั้งหมด มาดำเนินการสืบสวนสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเอาผิดตามกฎหมายข้างต้นและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อปกป้องผู้พิพากษาและหรือศาล อันเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตยไทยตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ มิให้ถูกกระบวนการทำลายความน่าเชื่อถือและความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรม ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ผิดๆต่อสังคมไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top