Saturday, 4 May 2024
POLITICS

'ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์' โฆษกฝีปากกล้าแห่ง 'พรรคก้าวไกล' | Contributor EP.4

พูดคุยกับ ผู้แทนราษฎรหนุ่ม ที่ยังคง ‘จิตวิญญาณ’ ของ ‘ประชาชนคนไทย’ ไว้เต็มขั้นกับ... กาย - ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกฝีปากกล้าแห่ง ‘พรรคก้าวไกล’

.

พรรคกล้า เสนอ รมว.ศึกษาฯ – รมว.อุดมศึกษา เลื่อนสอบทีแคส 64 , สอบ Gat/Pat , 9 วิชาสามัญ , O-Net ออกไป 1 เดือน แก้ปัญหาไม่ให้ทับซ้อนสอบปลายภาคเดือน มี.ค. ลดความเครียดเด็กม.6 รับผลกระทบการเรียนช่วงโควิด-19

นายมนต์ชีพ ศิวะสินางกูร กรรมการบริหารพรรคกล้า กลุ่มการศึกษา กล่าวแสดงความเป็นห่วงนักเรียนชั้น ม.6 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 รอบแรก ทำให้การสอบปลายภาคจากเดิมสอบช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ต้องเลื่อนไปสอบปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาทับซ้อนกับการสอบ Gat/Pat , 9 วิชาสามัญ , O-Net ของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ หรือ สทศ. ที่เด็กนักเรียนต้องสอบ และยื่นเข้าสู่ระบบการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย หรือ TCAS64

ขณะเดียวกันการระบาดโควิด-19 รอบสอง ทำให้เด็กกลุ่มนี้ต้องเรียนออนไลน์ตลอดเดือนมกราคม ซึ่งเป็นเรื่องผิดธรรมชาติการเรียนปกติ ทำให้ไม่สามารถเก็บได้ทุกวิชา รวมถึงยังไม่มีความชัดเจนว่าจะใช้วิธีการสอบกลางภาคและปลายภาคอย่างไร

นายมนต์ชีพ กล่าวว่า จึงเรียกร้องไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ขอให้หารือกันและตัดสินใจเลื่อน TCAS64 ออกไปก่อน และเลื่อนการสอบ Gat/Pat , 9 วิชาสามัญ , O-Net ตามออกไป ซึ่งจะเสียเวลาประมาณ 1 เดือน โดยเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการเปิดเทอมปีการศึกษาหน้า เพื่อจะได้ไม่ทับซ้อนกับการสอบปลายภาค ทำให้เด็ก ม.6 มีเวลาคิด มีช่วงเวลาให้หายใจมากขึ้น ลดความเครียดของเด็ก ลดความไม่สบายใจของผู้ปกครอง

เทคนิครับมือ​ ของ​ 'คน​สายชง'​ประจำปี 'ฉลู' โดย สมศักดิ์ ชาคริตฐากูร (พี่อ๋า) | Contributor EP.3-2

เทคนิครับมือ​ ของ​ 'คน​สายชง'​ประจำปี 'ฉลู' โดย สมศักดิ์ ชาคริตฐากูร (พี่อ๋า) นักออกแบบฮวงจุ้ยธุรกิจ ด้วยศาสตร์จีนโบราณแบบดั้งเดิม แห่งรายการ ‘ฮวงจุ้ยดี มีเฮ’

.

ผ่าดวง ‘ตู่’ พบ ‘ธร’ โดย สมศักดิ์ ชาคริตฐากูร (พี่อ๋า) | Contributor EP.3-1

ดวงเมืองจะเป็นอย่างไร? - ดวงโควิด-19 จะคลี่คลายแค่ไหน? - ดวง ‘ตู่’ พบ ‘ธร’ - ขอโทษ ๆ ผิด ๆ!! - ดวง ลุงตู่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ - ดวง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า จะเป็นเช่นไร? หาคำตอบทั้งหมดนี้ได้ จากเขาผู้นี้...  สมศักดิ์ ชาคริตฐากูร (พี่อ๋า) นักออกแบบฮวงจุ้ยธุรกิจ ด้วยศาสตร์จีนโบราณแบบดั้งเดิม แห่งรายการ ‘ฮวงจุ้ยดี มีเฮ’

.

“หมอประสิทธิ์” เผยข่าวดี!!! อาการผวจ. สมุทรสาคร ดีขึ้น เตรียมถอดเครื่องช่วยหายใจพรุ่งนี้ เชื่อไม่มีปัญหา ระบุหากออกไอซียู กักตัวต่อ 14 วันก่อนกลับไปทำงานที่บ้านต่อได้

ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ออกมาเปิดเผยถึงอาการของนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร หลังติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค. โดยระบุว่า วันนี้มีข่าวดี เพราะขณะนี้ผู้ว่าฯ อาการดีขึ้นมาก รู้สึกตัวดี และสามารถหายใจได้ดี คาดว่าช่วงเช้าวันที่ 14 ม.ค. จะสามารถถอดท่อ และเครื่องช่วยหายใจออกได้ เพื่อให้ผู้ว่าฯหายใจได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

รวมถึงตอนนี้แพทย์ได้ถอนยาออกหมดแล้ว เพื่อให้ผู้ว่าฯตื่น และจะประเมินการหายใจ พร้อมทั้งดูการทำงานของสมองต่อไป ส่วนอวัยวะอื่นๆ และการให้อาหารดี ทางเดินอาหารสามารถให้อาหารได้เต็มที่ ดูดซึมได้ดี ผลเลือดดีหมด ซึ่งสามารถฟื้นตัวได้แล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว สำหรับไตก็ดีมาพักใหญ่ ไม่น่ามีปัญหาอะไร อย่างไรก็ตามเมื่อออกจากห้องไอซียูแล้ว ทางผู้ว่าฯ ต้องพักดูอาการก่อน 14 วันที่โรงพยาบาล จากนั้นสามารถกลับไปทำงาน หรือเวิร์ค ฟอร์ม โฮมที่บ้าน จ. สมุทรสาครได้

‘ดร.นิว’ ศุภณัฐ อภิญญาณ โพสต์เฟซบุ๊ก โพสต์เปรียบเทียบความมั่นคงทางไซเบอร์ของไทย ห่างไกลสหรัฐอเมริกาหลายขุม ระบุแค่ส่งข้อความขู่บุคคลสำคัญ ถูก FBI เยี่ยมถึงบ้าน ส่วนเมืองไทย ทั้งๆ ที่รู้อยู่เบื้องหลังม็อบ แต่ปล่อยนั่งในสภาฯ สบาย

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ‘ดร.นิว’ นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Suphanat Aphinyan (ดร.ศุภณัฐ)’ โดยระบุว่า

#ความมั่นคงทางไซเบอร์ของสหรัฐอเมริกาที่ประเทศไทยไม่เคยมี

แค่ผู้ชายคนหนึ่ง (นาย Cleveland Grover Meredith) ส่งข้อความไปหาเพื่อน ในทำนองขู่ว่าจะทำร้ายประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกา (นาง Nancy Pelosi) แล้วเขาก็ถูกจับกุมตัวโดยตำรวจ FBI จากสำนักงานสอบสวนกลางในระยะเวลาอันรวดเร็ว

เหตุการณ์ในครั้งนี้บ่งบอกถึงอะไร?

1. สหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางไซเบอร์ (Cyber Security) อย่างมาก และมีระบบปฏิบัติการสอดแนมทางไซเบอร์ (Cybersurveillance Operation) ที่ทันสมัย สามารถสอดแนมและตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกไซเบอร์ แม้แต่การส่งข้อความหากัน เพื่อเฝ้าระวังภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้ในด้านความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ถูกเปิดเผยขึ้นครั้งแรกโดยนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ภายใต้ชื่อโครงการ PRISM ของ สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ หรือ National Security Agency (NSA) แม้จะถูกมองว่ามีแนวโน้มเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แต่โครงการดังกล่าวยังคงดำเนินการเรื่อยมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

2. สหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงอย่างสูงสุด หลังจากมีการส่งข้อความที่เข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคง บุคคลดังกล่าวก็ถูกจับกุมตัวทันทีภายในระยะเวลาราว 1 วัน อีกทั้งยังสามารถตรวจค้นและยึดวัตถุพยานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้อย่างเต็มที่

3. สหรัฐอเมริกามีกระบวนการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงที่รวดเร็ว มีการบูรณาการ และการประสานงานระหว่างเทคโนโลยี อัยการ ศาล รวมถึงตำรวจ ที่ดำเนินไปด้วยกันอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ

ถ้าประเทศไทยมีความมั่นคงทางไซเบอร์อย่างสหรัฐอเมริกา ขบวนการปลุกม็อบสร้างความแตกแยก รวมถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังคงถูกจับกุม และล้างบางด้วยการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงอย่างที่ควรจะเป็นไปตั้งนานแล้ว อีกทั้งคนไทยทั้งประเทศ คงไม่ต้องมาเห็นภาพจับๆ ปล่อยๆ จนดูเป็นเรื่องตลกดังเช่นทุกวันนี้ เสมือนว่าทั้งระบบของประเทศไทยไม่เข้าใจบริบทของ “กฎหมายความมั่นคง” แถมยังอ่อนข้อให้ผู้บ่อนทำลายความมั่นคงจน “กฎหมายความมั่นคง” แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย

แต่ที่น่าอับอายที่สุด คือ ประเทศไทยมี ส.ส. กบฏ ที่วันๆ คอยแต่สนับสนุนขบวนการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ และสร้างความแตกแยก นอกจากนั้นก็ทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ของนายทุน เจ้าของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังม็อบคนสำคัญ โดยที่ไม่ได้รับใช้ประชาชนเหมือนที่พูดจาไว้สวยหรู ประชาชนที่พวกเขาแอบอ้างจึงมีเพียงแค่ม็อบ ซึ่งก็คือมวลชนผู้ตกเป็นเหยื่อและเครื่องมือทางการเมืองของเจ้านายพวกเขา ไม่ใช่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ หรือความมั่นคงของชาติอันเป็นตัวแทนความมั่นคงของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศแต่อย่างใด

ดร.ศุภณัฐ

13 มกราคม พ.ศ. 2564

#ประชาธิปไตยTheseries by ดร.ศุภณัฐ


อ้างอิง...

https://ojs.imodev.org/index.php/RIDDN/article/view/302/491

https://www.thesun.ie/.../cleveland-grover-meredith.../

Cr เพจ Suphanat Aphinyan (ดร.ศุภณัฐ)

'ปกป้องสถาบัน’ และ ‘ดำรงไว้ซึ่งแก่นแท้ของวัฒนธรรมไทย' กับ 'นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม' | Contributor EP.2

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานกลุ่มไทยภักดี ถอดรหัส ‘อุดมการณ์’ การเมืองไทยแบบ ‘ชัดสุดขั้ว’ ‘ปกป้องสถาบัน’ และ ‘ดำรงไว้ซึ่งแก่นแท้ของวัฒนธรรมไทย

.

.

หลังจากมีโอกาสกวาดสายตาไปอ่านความคิดเห็นในทวิตเตอร์ของคนญี่ปุ่นบางส่วน ที่กำลังเผชิญกับภาวะโควิด-19 หนักหนากว่าไทยเรามากนักนั้น

ก็ทำให้แอบตกใจในความคิดของคนในประเทศเขา เพราะถึงแม้ญี่ปุ่นจะมีการประกาศภาวะฉุกเฉินในประเทศเพื่อยกระดับป้องกันโควิด-19 ไประดับหนึ่ง แต่วิถีการใช้ชีวิต สภาพการเดินทางในขนส่งสาธารณะก็ยังเหมือนเดิม ซึ่งพฤติกรรมต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึง ‘การ์ดตก’ จากตัวเองล้วน ๆ

คำตอบของการแพร่ระบาดแบบไม่ลด มันเลยถูกชำแหละออกว่าทำไมหลายๆ​ ประเทศถึงไม่สามารถคุมเชื้ออยู่ และไม่มีโอกาสใดๆ เลยที่จะทำให้เกิดการหยุดการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ในระยะเวลาอันใกล้ได้

ว่าแล้ว!! ดีดออกจากรั้วชาวบ้าน แล้วมาดูรั้วบ้านเราบ้าง​ เพราะรั้วบ้านเราก็มีวิธีคิดไม่ได้ยิ่งหย่อนไปจากประเทศเขานัก

จากโพสต์เฟซบุ๊กของ นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ศิษย์เก่าสงขลานครินทร์ ผู้จัดระบบและวางยุทธศาสตร์รับมือโควิด-19 ที่ได้เคยโพสต์เนื้อหาเชิง ‘ถาม-ตอบ’ เกี่ยวกับมุมคิดของคนไทยที่เริ่ม ‘การ์ดตก’ จนเกิดความหย่อนยานในการระวังตัวให้อ่าน

ในเนื้อหา ถาม - ตอบ ของ นพ.ธนรักษ์ มันทำให้รู้สึกถึงความน่ากังวล เพราะระหว่างที่คนกลุ่มหนึ่งกลัวและหาทางระวัง แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งพร้อมจะไม่สนใจ!!

หมอถาม: คนไทยรู้มั้ยว่าเรามีโอกาสที่โควิด จะกลับมาระบาดอีก?

ไทยตอบ: รู้

หมอถาม: คนไทยกลัวมั้ย ถ้าโควิด จะกลับมาระบาดอีก?

ไทยตอบ: รู้สึกว่าคนไทยจะไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่นะ สังเกตได้จากการปฏิบัติตัว

หมอถาม: สังเกตจากอะไร?

ไทยตอบ: จากการที่คนไทยบางคนเริ่มไม่ระมัดระวัง

- ร้านค้าไม่คัดกรอง

- ร้านค้าให้ความสำคัญกับเงินมากกว่าการป้องกัน

- ร้านค้าไม่ใส่ใจที่จะไม่ยอมให้คนไม่ใส่หน้ากากเข้าร้าน

- ร้านค้าไม่ยอมบอกให้ลูกค้าใส่หน้ากาก

- ลูกค้าก็มีความสุขที่จะไม่ต้องใส่หน้ากาก

***เห็นแบบนี้แล้ว มันก็ทำให้แอบ ‘เบ้ปากมองบน’ ได้เหมือนกัน เพราะหากคนไทยมีมุมคิดแบบนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โควิดจะไหลไปแบบ Super Spread และยากเกินคุม จาก ‘พฤติกรรมของคนไทย’ ล้วน ๆ

แต่อันที่จริง ลองหันมามองมุมกลับและให้ความเป็นธรรมกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาบ้าง ซึ่งหากวิเคราะห์กันแบบฉาบฉวย เรื่องมันก็มาจาก ‘ความอัดอั้น’ ของคนนั่นแหละ!!

...แล้วอะไรคือ ‘ความอัดอั้น’?

แม้ประเทศไทยจะได้รับคำยกย่องชมเชยในการจัดการโควิดระยะแรกเมื่อปีก่อน (2563) ได้ดี แต่อย่าลืมว่าต้นตอของการแพร่ระบาดในแต่ละครั้ง มักมีปมมาจาก ‘รอบรั้วรัฐบาล’ เข้ามาเอี่ยวเกือบทั้งสิ้น

- สนามมวย คนของใคร?

- บ่อนระยอง คนจากที่ไหน?

- และไหนจะย่านสถานบันเทิงที่เปิดกันแบบไม่เกรง พรก.

แค่จั่วหัวแบบนี้ขึ้นมา วงเป้าของการ์ดที่ตกลง ก็คงจะไม่ใช่แค่ ‘พฤติกรรมคน’ อย่างเดียว

แต่มันเกิดขึ้นจาก ‘แรงเหวี่ยง’ ของความไร้สำนึกจากคนแค่บางกลุ่มที่เร่งกระตุ้นพฤติกรรมให้คนที่เคย​ 'ใส่ใจ'​ เริ่ม​ 'หมดใจ'​ ลุกลามจนคิดสั้นแบบชาติตะวันตกที่ว่าโควิดมันก็แค่เชื้อหวัดอย่างหนึ่ง​ แล้วก็​ 'ปลดการ์ด' ตนเองลง​ แม้จะมีภัยมาเยือนถึงตัวแบบ​ 'จ่อคอหอย'​

จนเชื่อได้ว่าวันนี้น่าจะมี​ 'คนไทย'​ บางกลุ่มเริ่มอยากตั้งคำถาม 'กันเอง' ที่อาจจะดูย้อนแย้งกับสิ่งที่ นพ.ธนรักษ์ โพสต์ไว้!!

ไทยถาม: คิดว่าทหาร ตำรวจ และหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ เขาจะรู้ไหมว่าโควิดมีโอกาสที่จะกลับมาระบาดอีกครั้ง?

ไทยตอบ: รู้

ไทยถาม: แล้วคิดว่าหน่วยงานเหล่านี้เกรงกลัวหรือไม่ หากโควิดจะกลับมาระบาดอีกรอบ?

ไทยตอบ: อาจจะไม่ค่อยกลัวเท่าไรนะ เพราะเคยคุมอยู่แล้วครั้งหนึ่ง รอบนี้ก็คงเอาอยู่ ลองสังเกตดูได้จากการปฏิบัติตัวก็รู้แล้ว?

ไทยถาม: สังเกตจากอะไร?

ไทยตอบ: ก็จากการที่หน่วยงานของรัฐ ทหาร ตำรวจและอื่นๆ เริ่มไม่ค่อยระมัดระวังแล้วน่ะสิ

- เอาจากเรื่องคนเข้าประเทศแล้วไม่ต้องคัดกรองในบางกลุ่ม

- หน่วยงานของรัฐเริ่มไม่ใส่ใจ และยอมให้คนไม่ตรวจคัดกรองสามารถวางแผนเดินทางเข้าประเทศได้

- แถมหน่วยงานของรัฐอนุมัติให้เข้ามาไม่ควบคุมให้ผู้มาเยือนปฏิบัติตัวตามระเบียบ

- ยิ่งไปกว่าไอผู้มาเยือนก็มีความสุขที่จะไม่ต้องคัดกรอง ไม่ต้องอยู่ในที่จัดไว้ให้ โดยเจ้าหน้าที่ก็ยินยอมให้เป็นไปตามนั้น

- และยิ่งของยิ่งไปกว่านั้น ตอนเกิดเหตุแพร่ระบาดสถานที่ต่างๆ ที่เป็นตัวระบาด ก็มาจากความหละหลวมของรัฐที่ยังปล่อยให้ไปรวมตัวกันเหมือนครั้งสนามมวยรอบแรกเกือบทั้งสิ้น

หน่วยงานของรัฐบางหน่วยไม่มีสติ ไม่มีความรับผิดชอบต่อประชาชน และต่อให้บางหน่วยอยากทักท้วง ก็ไม่กล้าพอที่จะพูดอะไร

***ฉะนั้นถ้าโควิดจะหนักจนเอาไม่อยู่ในรอบนี้ มันก็มีส่วนมาจากความหย่อนยานของหน่วยงานของรัฐด้วยเช่นกัน!!***

สรุปแล้ว ถ้ามองรอบด้าน มันคือความผิดที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะทั้งจาก ‘พฤติกรรมคน’ หรือแม้แต่ ‘พฤติกรรมรัฐ’

- มันจึงไม่น่าจะใช่แค่ใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ผิด

- เพราะมัน ‘ผิดทั้งคู่’

- แต่ผิดแล้ว ผิดอีก ไม่ว่าจะใครหรือใคร อันนี้แหละน่าเขกกะโหลก ทั้งนั้น!!

อยากให้คนไทยได้เที่ยวได้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย และกลับมาช่วยกันดูแลธุรกิจ/เศรษฐกิจให้สามารถพอเดินไปได้

ก็อย่า ‘การ์ดตก’ จน ‘หย่อนยาน’

ทั้ง ‘คน’ ทั้ง ‘รัฐ’...นะจ๊ะ!!

หมอชนะ/ไทยชนะ.....แต่ปู่แพ้นะ เพราะไม่มีสมาร์ตโฟน

หมอชนะ/ไทยชนะ.....แต่ปู่แพ้นะ เพราะไม่มีสมาร์ตโฟน

.

วิเคราะห์ ‘ข้อดี-ข้อเสีย’ 3 กลุ่ม ‘วัคซีนโควิด-19’ ที่อนุญาตให้ใช้ฉุกเฉินในมนุษย์ By ‘หมอยง’

สัญชาติญาณโดยอัตโนมัติของมนุษย์ทุกคนที่มี คือ "การเอาตัวรอด"

อารมณ์ว่าถ้าภัยมาถึงตัว ไม่ว่าจะ "ภัยเล็ก" หรือ "ภัยใหญ่" เราจะพยายามหาวิธีดิ้นรน เพื่อให้มันผ่านพ้นไปให้ได้ แม้วิธีการนั้นมันจะ "ชัวร์" หรือ "มั่วนิ่ม" ก็ไม่ติดขัดอันใด

ผลลัพธ์ของวัคซีนโควิด-19 ก็เช่นกัน ตอนนี้ เริ่มมีการนำเข้าวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ของประเทศต่างๆ จากหลายบริษัทผู้ผลิตมาใช้กันมากขึ้น

นี่คือ "ทางรอด" แต่มันก็มี "ทางร่วง" แทรกปนมา เพราะกระแสของผลข้างเคียงต่าง ๆ นานาที่เป็นข่าว จากวัคซีนของบางประเทศ เช่น ฉีดไปอีก 8 วันกลับมาติดเชื้อใหม่ หรือฉีดไป แพ้หนัก ตายเลย

มันก็เลยเป็นอะไรที่เริ่มแยกไม่ออก ระหว่าง "ความเสี่ยง" กับ "ความซวย" ว่าตกลงผลของมันดีหรือร้ายกันแน่

พอเป็นแบบนี้ มันก็เลยเกิดกระแสวิจารณ์ในวงกว้างทั้งทั่วโลก และรวมถึงในประเทศไทย ที่กังวลในผลลัพธ์ที่อาจกระทบชีวิตพอสมควร

เพราะต้องยอมรับว่าการเร่งผลิตวัคซีนในครั้งนี้มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงสูง...

สูงยังไง?

อย่าลืมนะว่าระยะเวลาการพัฒนาและทดสอบวัคซีนส่วนใหญ่โควิด-19 ในครั้งนี้ ‘สั้นมาก’ แค่ 10 เดือน ก็เริ่มเห็นนำวัคซีนเวอร์ชั่นต่างๆ ออกมาปล่อยของกันให้ว่อน

ซึ่งในความเป็นจริงนั้นกลุ่มวัคซีนของ "โรคอุบัติใหม่" ในอดีตก่อนหน้านี้ ยังต้องใช้เวลาพัฒนาและทดสอบกันร่วม 2 - 5 ปี ขึ้นไปเลย นั่นก็เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าวัคซีนที่ได้มานั้นใช้ได้ผล ปลอดภัย และป้องกันเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ไปเป็นชนิดย่อยๆ ได้ครอบคลุมที่สุด

แต่กับโควิด-19 มันต่างกัน!!

เพราะนี่คือโจทย์ที่ "ทิ้งเวลา" นาน ๆ ไม่ได้ วัคซีนจากแต่ละประเทศ ถูกดันออกมาเพื่อแข่งกับเวลา

• เวลาที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น

• เวลาที่จำนวนผู้เสียชีวิตไม่มีหยุดหย่อน

• และเวลาเดิมพันด้วยเศรษฐกิจของโลกใบนี้ที่หยุดชะงักไปเพราะไวรัสทำพิษ

มันจึงกลายเป็นการบีบแบบไม่มีทางเลือกนอกจากเร่งทำมันออกมาให้เร็วที่สุด

เอาเป็นว่าสุดท้าย ถ้ามันหมดทางเลือก เราก็ต้องยอมฉีด แต่จะฉีดทั้งทีก็ต้องรู้สรรพคุณ "ข้อดี - ข้อเสีย" ของแต่ละเวอร์ชั่นวัคซีนไว้บ้างก็ดี ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณยศ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงหลักการทำงาน และข้อดี ข้อเสีย ของวัคซีนโควิด-19 แต่ละชนิดไว้อย่างน่าสนใจ

โดยหมอยง ระบุว่า "วัคซีนมีหลายชนิด ขณะนี้ที่อนุญาตให้ใช้ในมนุษย์ในภาวะปกติและฉุกเฉินที่ผ่านการทดลองมี 3 กลุ่ม และ 2 ใน 3 กลุ่ม ก็เป็นวัคซีนที่จะใช้จริงกับคนไทยด้วย"

1.) mRNA วัคซีน เช่น วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ / Moderna

วัคซีนชนิดนี้จะเป็น mRNA ที่ถูกห่อหุ้มด้วย lipid nanoparticle เมื่อฉีดเข้าไปที่กล้ามเนื้อ particle จะเข้าสู่ เซลล์กล้ามเนื้อ mRNA จะถูกถอดออก ใน cytoplasm หรือของเหลวในเซลล์ แล้วmRNA จะเข้าสู่ ribosome ทำการสร้างโปรตีน ตามรูปแบบที่กำหนด messenger RNA

ดังนั้น RNA ที่ใส่เข้าไปจะต้องมี Cap, 5’ UTR, spike RNA, 3’UTR และ poly A tail อยากให้พวกเราสนใจวิทยาศาสตร์ จะเข้าใจง่ายขึ้น ในรูปแบบที่กล่าวถึงโรงงาน ribosome จะสร้างโปรตีนตามกำหนดและ ส่งผ่านออกทาง golgi ออกสู่นอกเซลล์

โปรตีนที่สร้างออกมาจะเป็นแอนติเจนไปกระตุ้นร่างกายสร้างแอนติบอดี ที่เป็นภูมิต้านทานต่อโรคโควิด 19

ข้อดี >> วัคซีนชนิดนี้ทำได้ง่าย และเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว เพราะทำในโรงงาน กระตุ้นภูมิต้านทานได้สูง

ข้อเสีย >> อยู่ที่ว่า RNA สลายตัวได้ง่าย เก็บที่อุณหภูมิต่ำมากๆ และวัคซีนชนิดนี้เป็นชนิดแรกที่ใช้ในมนุษย์ อาการข้างเคียงหลังฉีดพบได้บ่อยกว่า วัคซีนที่ทำโดยชนิดเก่า เช่นมีไข้ ปวดเมื่อย และผลระยะยาวคงต้องรอการศึกษาต่อไป เช่นติดตามเป็นปีหรือหลายปี

2.) ไวรัสvector (ของอังกฤษ, AstraZineca และรัสเซีย Spuknic V)

วัคซีนนี้จะใช้วิธีการเอาสารพันธุกรรมของไวรัส ใส่เข้าไปในไวรัสที่จะเป็นเวกเตอร์ หรือ ตัวฝากนั่นเอง ที่ใช้อยู่เป็น adenovirus, vesicula stomatitis virus ไม่ก่อโรคในคน

การใส่เข้าไปเข้าใจว่าเป็น cDNA ของ covid 19 เพื่อให้ไวรัส vector ส่งสารพันธุกรรม ของ covid-19 เข้าไปในเซลล์มนุษย์ เมื่อเข้าไปแล้ว ไวรัสจะถอดรูปพันธุกรรมที่ส่งเข้าไป จะต้องเข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์ เพื่อลอกแบบ และเปลี่ยนให้เป็น mRNA ออกมาในไซโตพลาสซึม แล้วส่วนของ mRNA จะไปที่ ไรโบโซม เพื่อทำการสร้างโปรตีน ตามรูปแบบที่กำหนดไว้ คือ spike โปรตีน ส่งผ่านออกมาทาง golgi ออกนอกเซลล์เช่นเดียวกับ mRNA

โปรตีนที่ส่งออกมา จะทำหน้าที่เป็นแอนติเจนกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี ต่อเชื้อโควิค 19

ข้อดี >> วัคซีนชนิดนี้ผลิตได้จำนวนมากได้ง่าย เพราะทำจากโรงงาน เป็น DNA จะมีความคงทนกว่า จึงสามารถเก็บได้ในอุณหภูมิ 2 - 8 องศา ราคาจะถูก เพราะทำได้จำนวนมาก

ข้อเสีย >> วัคซีนนี้เป็นชนิดใหม่เช่นเดียวกัน ผลระยะยาวจึงยังไม่ทราบ และ จะต้องคำนึงอีกประการหนึ่งคือขั้นตอนที่ผ่านนิวเคลียสของเซลล์ เราไม่ทราบว่าจะมีการรวมตัว integrate กับ DNA ของมนุษย์หรือไม่ หวังว่าคงไม่ ผลระยะยาวก็คงต้องติดตามต่อไป

3.) วัคซีนเชื้อตาย (ของจีน Sinovac, Sinopharm)

วิธีการผลิตจะใช้หลักการกับวัคซีน ที่ทำมาแต่ในอดีตเช่น วัคซีนตับอักเสบเอ วัคซีนโปลิโอ พิษสุนัขบ้าและอื่นๆอีกหลายชนิด

นักวิทยาศาสตร์จะใช้เชื้อโควิด 19 เพราะเลี้ยงบน Vero cell เซลล์ชนิดนี้ ใช้ทำวัคซีนหลายชนิดเช่นวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และใช้กันมานานมาก อย่างที่เราฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า

เมื่อเพาะได้จำนวนไวรัสจำนวนมาก ก็จะเอามาทำลายฤทธิ์หรือฆ่าเชื้อให้ตายแล้วนำมา formulation ใส่สารกระตุ้นภูมิต้านทาน

ข้อดี >> วัคซีนชนิดนี้ โดยวิธีการทำจะเป็นวิธีที่เรารู้กันมาแต่โบราณ ในเรื่องความปลอดภัย เป็นเชื้อตายสามารถให้ในคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องได้ ภูมิคุ้มกันต่ำ เชื้อไม่ไปเพิ่มจำนวน แต่การกระตุ้นภูมิต้านทานจะได้ระดับต่ำกว่าวัคซีนที่กล่าวมาจากข้างต้น

ข้อเสีย >> ของวัคซีนชนิดนี้คือการผลิตจำนวนมาก จะทำได้ยาก เพราะไวรัสชนิดนี้เป็นไวรัสก่อโรค จะต้องเพาะเลี้ยง ในห้องชีวนิรภัยระดับสูง ต้นทุนในการผลิตจะมีต้นทุนสูง ไม่สามารถลดราคาลงให้ถูกลงได้ ในทำนองเดียวกันการผลิตจำนวนมากของวัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อตาย ก็จะมีขีดจำกัดด้วย

อินโดนีเซีย จัดทัพตำรวจและทหารกว่า 8 หมื่นนาย คุ้มกัน ‘วัคซีนโควิด-19’ เต็มอัตราศึก แต่วัคซีนถูกส่งถึงสนามบินซูการ์โน-ฮัตตา จนถึงบริษัทเภสัชภัณฑ์ในจังหวัดชวาตะวันตก

พ.ต.อ รุสดี ฮาร์โตโน โฆษกตำรวจอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า อินโดนีเซียจัดส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารรวม 83,566 นาย ไปปฏิบัติงานคุ้มกันวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) นับตั้งแต่วัคซีนถูกส่งถึงสนามบินซูการ์โน-ฮัตตา เพื่อนำไปส่งมอบให้ไบโอ ฟาร์มา (Bio Farma) บริษัทเภสัชภัณฑ์ในจังหวัดชวาตะวันตก และจัดสรรไปยังหลายภูมิภาคทั่วประเทศ

ฮาร์โตโน กล่าวว่า งานคุ้มกันเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการร่วมระหว่างบุคลากรกองทัพ ตำรวจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำกับดูแลระเบียบสาธารณสุข และส่งเสริมโครงการฉีดวัคซีนของประเทศให้ประสบความสำเร็จ

อินโดนีเซียจะเริ่มโครงการฉีดวัคซีนโรคโควิด-19 วันที่ 13 ม.ค. นี้ และตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้ประชาชน 181.5 ล้านคนจนถึงปี 2022

การฉีดวัคซีนระยะแรกจะมีขึ้นช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2021 โดยจะจัดสรรวัคซีนให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ 1.3 ล้านคน คนงานบริการสาธารณะ 17.4 ล้านคน และผู้สูงอายุ 21.5 ล้านคน ส่วนการฉีดวัคซีนระยะที่ 2 จะมีขึ้นช่วงเดือนเมษายน 2021-มีนาคม 2022 โดยจะจัดสรรวัคซีนให้คนกลุ่มเสี่ยง 63.9 ล้านคน และประชาชนกลุ่มอื่นอีก 77.4 ล้านคน


Cr : www.xinhuathai.com

จงภูมิใจเถิด ที่เกิดบนผืนดินไทย หลังพบประเทศศิวิไลซ์อย่างญี่ปุ่น มีผู้เสียชีวิตไปแล้วถึง 122 คนทั่วประเทศ เหตุเกิดเพราะอาการทรุดหนักจากโควิด-19 เพราะต้องรักษาตัวเองที่บ้าน

ญี่ปุ่น อาจจะเป็นประเทศในฝันของคนต่างชาติ ที่ทั้งอยากไปเที่ยว และอยากไปอยู่แบบยาวๆ เพราะหลงใหลในทุก ๆ มิติของความเป็นญี่ปุ่น ทั้งที่เที่ยว อาหารการกิน อากาศ ความสะอาด และวินัยของคนในประเทศ

แต่มันก็ไม่ได้มีมุมดี ๆ ทั้งหมด เพราะทราบหรือไม่ว่าในญี่ปุ่น แม้คุณจะรู้สึกไม่สบาย แต่ต้องใช้เวลาสักระยะ ก่อนที่คุณจะได้เข้ารับการรักษาในสถาบันทางการแพทย์ได้

ไม่นานมานี้มีข่าวการเสียชีวิตรวมตัวเลข 122 รายจากทั่วประเทศญี่ปุ่น ด้วยเหตุผลที่น่าสะเทือนใจ เพราะตัวเลขจำนวนดังกล่าว คือ กลุ่มผู้ที่ติดเชื้อโควิด และมีอาการลุกลามแบบฉับพลันภายในที่พักอาศัยของตน โดยผู้ป่วยเหล่านี้คาดว่าถูกปฏิเสธจากพยาบาล เพราะมองว่ายังไม่หนักหนา

ปัญหานี้เป็นจุดอ่อนที่โผล่ออกมาของระบบสาธารณสุขญี่ปุ่นที่ต้องประสบกับโควิดระบาดเมื่อต้นปีก่อน โดยสมาคมการแพทย์เฉียบพลันญี่ปุ่น และ สมาคมการแพทย์ฉุกเฉินญี่ปุ่น เคยให้ข้อมูลตรงกันว่า บรรดาห้องฉุกเฉินตามโรงพยาบาลปฏิเสธที่จะรับผู้ป่วยที่มีอาการเส้นเลือดตีบ หัวใจวาย และ อาการบาดเจ็บภายนอก เนื่องจากมีภารกิจดูแลผู้ป่วยโควิด-19 จนล้นมือ

ช่วงแรก ๆ ญี่ปุ่นสามารถควบคุมการระบาดได้ จึงไม่เกิดปัญหาใด ๆ แต่เมื่อแกะรอยเส้นทางระบาดไม่ได้ จึงเริ่มเผยให้เห็นจุดอ่อนในระบบสาธารณสุข ซึ่งเคยมีชื่อเสียงว่า มีระบบประกันสุขภาพที่มีคุณภาพ และ ค่ารักษาอยู่ในราคาเหมาะสม แต่ขณะนี้ผู้เชี่ยวชาญตำหนิรัฐบาลที่ไม่เตรียมการให้พร้อม ปล่อยให้อุปกรณ์การแพทย์ขาดแคลน

ญี่ปุ่นขาดแคลนตั้งเตียงผู้ป่วย บุคลากร และ อุปกรณ์ แต่ต้องรับผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งหมด แม้แต่ผู้ป่วยที่อาการไม่หนักมาก ทำให้โรงพยาบาลเต็มไปด้วยผู้ป่วย โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลช่วยดูแล

บุคลากรทางการแพทย์ต้องใช้หน้ากากอนามัย N95 แบบรียูส หรือนำกลับมาใช้ใหม่ ส่วนโรงพยาบาลในโอซากาต้องขอรับบริจาคเสื้อกันฝนพลาสติก มาใช้ใส่ป้องกันเชื้อในโรงพยาบาล

ที่สำคัญ ญี่ปุ่นมีห้องไอซียูในอัตราส่วนเพียง 5 ห้องต่อประชากร 1 แสนคน เทียบกับเยอรมนีที่มี 30 ห้อง สหรัฐฯ มี 35 ห้อง และ อิตาลีมี 12 ห้อง

ด้าน ศาสตราจารย์ คาซึฮิโระ ทาเทดะ แห่งมหาวิทยาลัยโทโฮ ซึ่งเป็นประธานของสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศญี่ปุ่น กล่าวถึงอาการของผู้ป่วยในญี่ปุ่นว่า "แม้ว่าอาการจะดูไม่รุนแรง แต่ก็มีบางกรณีที่อาการจะแย่ลงกะทันหัน ในกรณีนั้นจำเป็นต้องสร้างระบบ เพื่อรับการรักษาที่สถาบันทางการแพทย์โดยเร็วที่สุด”

สุดท้ายแล้ว คนไทยบางคนที่ชอบบอกว่าเมืองไทยไม่มีอะไรดีเลยนั้น ข่าวนี้น่าจะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐในประเทศ ที่สามารถดูแลผู้ป่วย กักกัน แกะรอย และรักษาจนหายได้ ไม่ได้ปล่อยให้คนที่ติดเชื้อ ต้องดูแลตัวเอง และตายคาบ้านเสียเท่าไร...


ที่มา: https://www3.nhk.or.jp/news/html/20210106/k10012798701000.html?utm_int=all_side_ranking-social_001

https://www.prachachat.net/world-news/news-451578

เพจ : ครบเครื่องเรื่องญี่ปุ่น

ตอนนี้ ถ้านั่งดูหัวตารางพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เขาเล่นกัน โดยเฉพาะกับทีมดัง ๆ ที่คุ้นตา เริ่มปรับฟอร์มการเล่นให้แฟน ๆ กลับมาชมได้สนุกขึ้น (มั้ง)

จริง ๆ มันก็ไม่ได้สนุกอะไรมากหรอก แค่ ‘ทีมดัง’ ที่เคยอวดโอ้โม้ถ้วยและความสำเร็จสมัยอดีต (หลาย ๆ ทีม) กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ร้อนแรงขึ้น (ทีมไรน้า?) เท่านั้นแหละ

แต่รู้ไหมว่า เวลาเห็นทีมดังๆ กลับมาเล่นได้ดี สิ่งหนึ่งที่คิดแว่บมาในหัวได้แบบไวๆ เลย คือ พวกเมิงก็เล่น ‘ฟอร์มแชมป์’ เป็นเหมือนกันนิหว่า ต่อบอลเข้าท่า กล้าเลี้ยงกล้าลุย จบสกอร์เป็นจบสกอร์ ไม่ป้อไปแป้มา แล้วก็โดนสวนตูมหายแบบเดิม แล้วก่อนหน้านั้นไปกระแดะเล่นทรง ‘ทีมตกชั้น’ เพื่ออัลไล?

คำตอบของเรื่องนี้ มันมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติของผู้เล่น และแท็กติกในการทำทีมของโค้ช ถ้าจะทำให้ดีมัน ก็ทำได้ เพียงแต่ทุกครั้งที่มันดี แล้วผลลัพธ์ไม่ได้ตรงใจ ก็ไม่ใช่ความผิดมหันต์ และควรคงของดี ๆ เอาไว้ อย่าเขว ‘แฟนบอล’ ที่แม่มคอยพร่ำบอกให้เล่นแบบนั้นนี้ ตามสไตล์โค้ชคีย์บอร์ด

เพราะสุดท้ายคนรับผิดชอบมันไม่ใช่ไอ้พวกหลังแป้นว้อยย!!

พอพูดถึงเรื่อง ‘ฟอร์มแชมป์’ กับ ‘ฟอร์มตกชั้น’ มันก็พลันให้จิตโยงคิดมาเรื่องประเทศไทย (ได้ยังไง แต่เออ มันก็วกได้)

เพราะวันก่อนได้อ่านบทความหนึ่งของ อาจารย์ สันต์ ศรีอรรฆ์ธำรง อาจารย์พิเศษคณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่ทำให้เบิกเนตรได้พอควรว่า...

‘ประเทศนี้’ มันไม่ใช่เรื่องที่จะมีใครก็ได้จะมาบอกว่าควรทำอะไรหรือไม่ทำอะไร แล้วก็ไปเชื่อเสียหมด!! แต่เราควรต้องปล่อยให้คนที่มีหน้าที่และทำได้ ทำไปตามเกมที่ถูกต้องและควรจะเป็น

เอาง่าย ๆ ก็กรณีโควิด-19 นี่แหละ!!

วันนี้ เราต้องยอมรับว่า ‘ระลอกใหม่’ หรือใครจะเรียกระลอกสอง ก็ตามแต่ มันกำลังวิ่งแซง ‘ระลอกแรก’ ทั้งในแง่ปริมาณและความร้ายแรง

รู้ไหมว่าเพราะอะไร?

เหตุผลเพราะ การเดินเกมแบบ ‘แชมป์’ หรือที่เคย ‘เล่นตามฟอร์มแชมป์’ ของประเทศไทย มันกำลังเบี่ยงวิถีไปเดินตาม ‘ฟอร์มตกชั้น’ แบบ Why Not?!!

จากมุมมองของ อ.สันต์ ที่เคยเขียนไว้ในเฟซบุ๊กของตน ทำให้ฉุดคิดได้อย่างหนึ่งว่า ตอนที่บ้านเราเจอการติดเชื้อในประเทศ ไม่รวม State Quarantine ที่มีขนาดประมาณ 2,900 คน

แถมมีช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับภาวะโควิดกระจายหนัก ประมาณ 4 เดือน ตั้งแต่ 13 ม.ค. - 18 พ.ค. 2563 เฮ้ย!! เราก็ ‘เอาอยู่’ ไม่ระบาดต่อมาเป็นเวลาอีกหลายเดือนจนถึงปลายปี เพราะการ์ดเราเหนียวมาก

แต่พอมาดูขนาดความรุนแรงของ ระลอกใหม่ ที่ติดเชื้อในประเทศและรวมทุกเชื้อชาติที่โผล่เข้ามา ทำไมมันถึงใหญ่โตกว่าขนาดระลอกแรกได้ไวเยี่ยงนี้

• 2 ม.ค. 2021: 2,893 คน

• 3 ม.ค. 2021: 3,187 คน

• 4 ม.ค. 2021: 3,916 คน

ร่วม ๆ ครึ่งเดือนเท่านั้น หากนับจากจุดเริ่มต้นของระลอกใหม่ ซึ่งมันใช้เวลาสั้นมากในการกระจายตัวของเชื้อ

คนเคยเป็นแชมป์ เล่นกันแบบนี้หรอ?

เหตุผลที่ อ.สันต์ วิเคราะห์ให้เห็น และมันใช่แบบขัดใจคนบางกลุ่ม คือ ‘ความลังเล’ ในการจะเลือกปกป้องอะไรและไม่ปกป้องอะไร ซึ่งบอกก่อนเลยว่ามันไม่ได้ ‘ผิด’ ในเชิงทฤษฎี

นั่นก็เพราะหลากคนก็หลากความคิด แต่ในทางปฏิบัติจริง ชุดความคิดที่กำลังจะพาประเทศไทย ‘ตกชั้น’ นั่นก็เพราะคนในรัฐบาลกลางและที่ปรึกษาจำนวนมาก รวมทั้งฝ่ายค้าน ยังมีความเข้าใจในยุทธวิธีที่คลาดเคลื่อน ที่ว่า…

• ‘ต้องปกป้องเศรษฐกิจไว้ก่อน’

• ‘เอาปากท้องประชาชนไว้ก่อน’

• ‘อย่าริดรอนสิทธิเด็กไม่ให้ไปโรงเรียน’

แล้วก็อีกหลายเหตุผล ที่ฟังตรง ๆ มัน ‘ดิสเครดิต’ มากกว่าป่ะแว้

สิ่งนี้กระทบมาสู่ฟอร์มการเล่นที่โคตรเลอะเทอะ!! ล่าช้า ไม่เฉียบขาด เพราะตลอดร่วม 1 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกพิสูจน์แล้วว่า ยุทธวิธี ‘จับปลาสองมือ’ สุดท้ายเศรษฐกิจก็เสียหายหนักกว่าเก่า แถมชีวิตคนมากมายก็ตายเป็นเบือ

ย้ำนะว่า ‘หากเรายิ่งเอาเศรษฐกิจเป็นตัวตั้งมากเท่าไร เศรษฐกิจก็จะยิ่งเสียหายมากขึ้นเท่านั้น’ นี่แหละคือความเป็นจริง

อันที่จริงอยากย้อนเป็นภาพชัดๆ เลยนะว่า ‘ฟอร์มแชมป์’ ของเรามันเฉียบขาดขนาดไหน โดยก่อนหน้านี้ ที่เราเอาอยู่ในระลอกแรก เพราะทุกท่านในรัฐบาลและที่ปรึกษาระดับเจ้าสัวต่างๆ ต่างยกให้ ‘เกม’ ของจีนสีจิ้นผิง ที่โค้ชเข้มจีนในช่วงระลอกแรกจากอู่ฮั่น ได้พาประเทศจาก ‘ตกชั้น’ ขึ้นไปนั่งบัลลังก์จ่าฝูง พาประเทศพ้นโควิด-19 ได้อย่างท็อปฟอร์ม

แต่พอมา ระลอกใหม่ มันแปลกตรงที่ ทำไมเราไปเลือกเล่นฟอร์มแบบทีมท้ายตาราง...

อะไรคือฟอร์มแบบทีมท้ายตาราง? มันเป็นยังไง? และโค้ชรายไหนที่ชี้นิ้วผิดๆ ให้ลองตาม?

ประเทศที่รัฐบาลกลางรณรงค์ให้ประชาชนลดการ์ด และห่วงเศรษฐกิจหนักหนา และพาชาวประชาให้เห็นว่าโควิดไม่ได้น่ากลัวนั้น ก็คือ ‘สหรัฐอเมริกา’ ภายใต้ผู้ที่กำลังจะเป็นอดีตประธานาธิบดีอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และบราซิลภายใต้ประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู ผู้สร้างวลี “โควิดก็แค่ไข้หวัดเล็กน้อย”

แล้วสรุปผลลัพธ์เป็นไงบ้างจนถึงวันนี้? ใช่เลย!! สองตาที่เห็นเต็มๆ จากทั้ง 2 ประเทศ คือ เศรษฐกิจพัง คนตายเป็นแสนเป็นล้าน

ประเด็น คือ ในทุกวันนี้ หลาย ๆ พฤติกรรมของรัฐบาลเรา ก็ดันเทไปตามสิ่งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ และ ฌาอีร์ โบลโซนารู เทรนเข้าไปเรื่อยๆ อ้าว!! ก็ไหนว่าจะชวนท่านสีจิ้นผิงมาลงทุนในประเทศไทย ทำไมกลับไปเดินตามทรัมป์

ตรงนี้เป็นเรื่องประหลาด แต่เป็นตลกร้ายของจริง เพราะ อ.สันต์ มองว่า ความคิดแบบเศรษฐกิจนำหน้า ได้ปลูกผลไม้พิษเอาไว้สำเร็จ และทำให้คนทั่วโลก รวมถึงไทย อยากเดินตามทรัมป์มากกว่าจะเดินตาม สี จิ้นผิง ในการสู้กับโควิด-19 แบบทิ้งการ์ด เพราะคำว่า ‘เสรีภาพ’ (ถรุย)

นาทีนี้ไทยจะพัง หรือจะปัง จึงขึ้นอยู่ที่จะเลือกเล่นฟอร์มไหน?

ทรัมป์จะเปิดจะปิดจะปล่อยอะไร ก็เรื่องของอดีตผู้มีอำนาจ แต่ในส่วนของไทยขอแค่ไม่ปล่อยการ์ดให้ตก ปิดคือปิด ล็อคคือล็อค เข้มคือเข้ม ไม่แคร์คนหรือเสียงนกเสียงกา แต่มองหาเส้นทางสู่แชมป์ที่แท้จริง แม้จะเล่นฟอร์มอุดแบบ มูริญโญ่ ตอนคุม ปอร์โต้ และ เชลซี จนได้มหาแชมป์มาครอบครอง ก็หาได้แคร์

เพราะ ‘ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ’ (พี่ตูนไม่ได้กล่าวไว้ แต่ร้องไว้) แต่ถ้าไม่มีชีวิต เศรษฐกิจมันจะยังเกิดอีกรึ?

เอาเป็นว่า หลาย ๆ สิ่งที่ไทยเราเคยเดินตามฟอร์มแชมป์แบบจีน จนทำให้ระลอกแรก ‘คุมอยู่’ ไม่รู้ตอนนี้จะต้องมาย่อยยับในระลอกใหม่เพราะระบบคิดในสมองคนมีอำนาจผิดเพี้ยนหรือไม่ อันนี้ยังไม่กล้าพูด แต่แววมันออก

แต่อย่างไรเสีย แม้วันนี้ไทยเราจะ ‘ล่าช้า’ ในการจัดการโควิดระลอกใหม่ แต่ถ้าความเข้มงวดของ ‘โค้ช’ ที่เข้มแข็งและไหวตัวทัน ก็เชื่อว่าไทยยังชนะได้อยู่

ขอแค่คนเป็นแชมป์ต้องรู้ตัวเองว่า เรานี่แหละเคยเป็นแชมป์ เพราะเรามีวิธีของเรา และเราก็จะชนะอีกครั้งหนึ่ง

แต่ต้องเล่นแบบแชมป์นะ ไม่ใช่ไปเล่นแบบทีมตกชั้น!!

เมื่อ ไชน่า = ลิเวอร์พูล

แล้ว แมนยู = อเมริกา...เกี่ยวกันไหม 555+ ทัวร์ลง!!


ที่มา: Sunt Srianthumrong

‘บ่อนระยอง’ เรื่องตลกที่ Google รู้ แต่ตำรวจบอก ‘ม่ายรู้’

‘บ่อนระยอง’ เรื่องตลกที่ Google รู้ แต่ตำรวจบอก ‘ม่ายรู้’

.

จากกรณีในหลาย ๆ สถานที่ที่ทางกรุงเทพมหานครได้มีการประกาศปิด และมีข้อจำกัดในการเปิดให้บริการที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หากจะเปิดให้บริการก็มีความสงสัยในประชาชนว่าที่ไหนเปิดที่ไหนปิดอย่างชัดเจน

ทาง ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร (กทม.) จึงได้โพสต์คำตอบผ่านเฟซบุ๊ก ‘เอิร์ธ พงศกร ขวัญเมือง - Earth Pongsakorn Kwanmuang’ โดยระบุว่า

"หลังจากที่ กทม. มีประกาศปิด 4 สถานที่ชั่วคราว ก็มีหลายคนสงสัยว่าตกลงแล้วสถานที่ใดปิดบ้าง สถานที่ไหนเปิดได้บ้าง วันนี้เลยเอาคำถามยอดฮิตที่ถามกันเยอะ มาตอบให้คลายความสงสัยกันครับ

ถาม: ร้านตัดผม/เสริมสวย เปิดได้ไหม?

ตอบ: เปิดได้ครับ

ถาม: ร้านอาหาร ที่มีบริการห้องคาราโอเกะ สำหรับลูกค้าร้องเพลงกันเอง เปิดได้ไหม?

ตอบ: เปิดได้ครับ แต่ต้องไม่มีพนักงานปรนนิบัติ และไม่มีพนักงานร่วมร้องเพลงกับลูกค้า

ถาม: ผับ / บาร์ / ร้านเหล้า ยังเปิดได้ไหม?

ตอบ: สถานที่ดังกล่าวเข้าข่ายเป็นสถานบริการ ตาม พ.ร.บ.สถานบริการพ.ศ.2509 ต้องปิดให้บริการชั่วคราวตามเวลา #แต่สามารถปรับเป็นร้านอาหารได้ แต่ต้องไม่มีการเต้น รำวง ไม่มีพนักงานปรนนิบัติลูกค้า ไม่มีพนักงานร้องเพลงร่วมกับลูกค้า หากมีดนตรีสดต้องเปิดไม่เกินเที่ยงคืน

ถาม: ร้านอาหาร สามารถเล่นดนตรีสด และจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ไหม?

ตอบ: ได้ครับ แต่ต้องไม่มีพื้นที่ให้เต้น ห้ามนักร้องร้องเพลงกับลูกค้า และต้องเปิดไม่เกินเที่ยงคืน

ถาม: ฟิตเนส/สระว่ายน้ำ เปิดให้บริการได้อยู่ไหม?

ตอบ: เปิดได้ครับ

ถาม: บ่อตกกุ้ง / ข้าวต้มโต้รุ่ง

ตอบ: เปิดได้ครับ

ถาม: ร้านเกมส์ / ร้านอินเทอร์เน็ต / สนุกเกอร์ เปิดได้ไหม?

ตอบ: เปิดได้ครับ

ถาม: ร้านนวดแผนไทย/นวดเพื่อสุขภาพ/สปาเปิดได้ไหม?

ตอบ : เปิดได้ครับ

ทั้งนี้ทุกสถานที่และทุกกิจกรรมต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid19"


ที่มา: เฟซบุ๊ก เอิร์ธ พงศกร ขวัญเมือง - Earth Pongsakorn Kwanmuang


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top