Sunday, 28 April 2024
POLITICS

“บิ๊กตู่”กำชับที่ประชุมศบค.ลุยตรวจสอบคัดกรองเชิงรุกเพิ่มขึ้นทุกจุด-ทุกพื้นที่ วอนทุกฝ่ายร่วมมือด้วยความเข้าใจให้ข่าวแนวทางเดียวกัน หวั่นเฟคนิวส์ทำปั่นป่วน ย้ำดูแลคนทุกคนบนแผ่นดินไทย ที่ประชุมเห็นชอบขยายพ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2 เดือน ส.ค.-ก.ย.

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด -19 (ศบค.) เป็นประธานการประชุมศบค.ชุดใหญ่ โดยนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในที่ประชุมว่า สำหรับมาตรการเยียวยาจะต้องดูแลทุกภาคส่วน โดยออกมาตรการที่เหมาะสม โดยมอบหมายสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งพิจารณาให้เร็วที่สุด และย้ำว่าการสื่อสารต้องไม่ให้สับสนอลหม่าน นอกจากนี้ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขมี ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน(Emergency Operation Center, EOC) และมีคณะกรรมการต้องชี้แจงเฉพาะเรื่องตามอำนาจหน้าที่ ขณะที่ศบค. ก็มีอำนาจหน้าที่ชัดเจน จึงให้ตระหนักว่าเราทุกคนคือ"ทีมประเทศไทย" 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ได้กำชับทุกภาคส่วนในการตรวจสอบคัดกรองเชิงรุกอย่างต่อเนื่องและต้องมีเพิ่มขึ้นทุกจุด ทุกพื้นที่ รวมถึงจุดตรวจของเอกชนและของสาธารณสุข ขณะที่ในส่วนของโรงพยาบาลสนามได้สั่งการไปแล้วตั้งแต่แรก โดยต้องเร่งดำเนินการศูนย์คัดกรองและให้มีการประกาศไปเลยว่ามีที่ไหนบ้าง โดยต้องเป็นเรื่องเร่งด่วน พร้อมการยกระดับเตียงโดยการบริหารจัดการเพิ่มและรัฐบาลพร้อมสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ โดยจัดหาให้ครบทุกกลุ่ม รวมถึงแพทย์เกษียณและนักศึกษาแพทย์

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับกลุ่มที่มีความเสี่ยงและพื้นที่เสี่ยงจะต้องเพิ่มความเข้มข้นขึ้น โดยยืนยันจะต้องดูแลคนทุกคนบนแผ่นดินไทย ส่วนการกำหนดจำนวนวัคซีนให้สอดคล้องกับจำนวนคนที่ต้องเร่งฉีด พร้อมกันนี้ให้เตรียมhome isolation โดยต้องเตรียมอุปกรณ์จัดหาให้พร้อม สิ่งสำคัญที่สุดต้องร่วมมือด้วยความเข้าใจให้ทุกคนทุกหน่วยงานประชาสัมพันธ์ให้เข้าใจในแนวทางเดียวกัน ขณะที่ในส่วนด้านความมั่นคงได้สั่งการไปแล้ว เพื่อให้ทันสถานการณ์

นายกรัฐมนตรึ กล่าวว่า ขณะเดียวกันขอให้สร้างความเข้าใจถึงสถานการณ์โลก โดยต้องให้ประชาชนรับรู้ว่าสถานการณ์ภายนอกยังไม่น่าไว้วางใจ นอกจากนี้การลักลอบเข้าแดนต้องเพิ่มความเข้มงวด  โดยตำรวจตระเวนชายแดนจะมีการประสานกับประเทศเพื่อนบ้านในการรับส่งกลับ อีกทั้งในส่วนของแรงงานต้องมีการลงไปสำรวจและขึ้นทะเบียน ไม่ให้มีการลักลอบเข้ามาเด็ดขาด ต้องทำลายกระบวนการลักลอบ

นายก พี่กำชับในช่วงท้ายว่า ขณะเดียวกันต้องแก้ไขเฟคนิวส์ให้ได้ เพราะจะเป็นการสร้างความปั่นป่วน ย้ำว่าทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายทุกประการ

“สุริยัณห์”โฆษกศาลยุติธรรม เผยศาลทั่วประเทศยังเปิดทำการให้บริการ ปชช.เเต่เน้นทางออนไลน์ ลดความเสี่ยงแพร่ระบาดโควิด 

นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นวงกว้างในขณะนี้ สำนักงานศาลยุติธรรมขอแจ้งว่า ศาลยุติธรรม ทั่วประเทศยังคงเปิดทำการและให้บริการแก่คู่ความ ประชาชน ในการอำนวยความยุติธรรมเช่นเดิม แต่เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  คู่ความสามารถติดต่อราชการศาลยุติธรรมเพื่อรับบริการทุกประเภทได้ผ่านช่องทางออนไลน์  

ทั้งการยื่นฟ้องคดี ยื่นคำให้การต่อสู้คดี  ยื่นคำร้องคำขอต่าง ๆ การสืบพยาน การไกล่เกลี่ย ฯลฯ โดยศึกษาวิธีการจากข้อมูลติดต่อราชการศาลทางอิเล็กทรอนิกส์https://techno.coj.go.th/ th/content/category/detail/id/10/cid/21/iid/242617 หรือสอบถามได้ที่สำนักส่งเสริมงานตุลาการ โทร. 0 2512 8498-9 กด 0 หรือดูประกาศของแต่ละศาลได้จากเว็บไซต์ของแต่ละศาล https://www.coj.go.th/th/content/category/detail/id/6/iid/121186

“ศรีสุวรรณ” จี้ “ป.ป.ช.” สอบ ผู้ว่าฯกฟภ. ส่อทุจริต เอื้อประโยชน์ผู้รับเหมาสายส่งปัตตานี 125 ล้าน แต่ทิ้งงาน

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางมายื่นคำร้องกล่าวโทษผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)และคณะ ฐานทุจริตต่อหน้าที่ กรณีอาจเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการเอกชนที่ทำผิดสัญญาหรือทิ้งงานที่ทำไว้กับ กฟภ. โดยไม่ขึ้นแบล็คลิสต์หลังบอกเลิกสัญญา อีกทั้งภายหลังยังจัดทำทีโออาร์โครงการใหม่ตัดเงื่อนไขเดิมทิ้ง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายเดิมที่เคยถูก กฟภ.บอกเลิกสัญญา สามารถเข้ามาประมูลงานได้อีกนั้น
          
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า กฟภ.ได้ทำสัญญาว่าจ้างโครงการจ้างเหมาก่อสร้างสายส่งระบบ 115 เควี ช่วงสถานีไฟฟ้าปัตตานี 2-สถานีไฟฟ้าสายบุรี จังหวัดปัตตานี กับบริษัทเอกชนรายหนึ่งวงเงินจ้างตามสัญญา 125,000,000 บาท ตั้งแต่ 16 พฤศจิกายน 2558 มีกำหนดแล้วเสร็จภายใน 720 วัน แต่บริษัทผู้ประมูลงานได้ไม่สามารถดำเนินงานให้แล้วเสร็จภายในเวลาตามที่สัญญากำหนดได้ แต่ กฟภ.ก็ยังใจดี ขยายสัญญาต่อให้อีกหลายครั้งจนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 ก็ยังดำเนินงานไม่เสร็จอยู่ดี จนในที่สุด กฟภ.จึงได้ออกหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561
            
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า โดยหนังสือบอกเลิกสัญญาระบุไว้ชัดว่าบริษัทไม่สามารถปฏิบัติงานตามสัญญาต่อไปได้ เนื่องจากไม่สามารถเชื่อมต่อระบบได้ตามแผนงาน เพื่อมิให้เกิดความเสียหาย จึงขอบอกเลิกสัญญาและสงวนสิทธิ์ในการเรียกค่าปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญา รวมถึงค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเลิกสัญญา แต่ทว่าต่อมาไม่นานบริษัทดังกล่าวกลับไปได้งานจาก กฟภ. อีกรอบ ในการจ้างเหมาก่อสร้างสายส่งระบบ 115 เควี บริเวณสามแยกบ้านแกใหญ่-ทางหลวงหมายเลข 2076 (กม.ที่ 19+280 ) จังหวัดสุรินทร์ มูลค่า 137,699,370 บาท และยังมีชื่อในโครงการร่วมทุนและรับงานทำสายส่งระบบอีกหลายจังหวัดในปี พ.ศ. 2562-2563 ที่ผ่านมา
              
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ตามหลักการทางกฎหมาย การที่บริษัทฯถูกบอกเลิกสัญญาจ้าง เนื่องจากทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญาซึ่งเป็นการกระทำอันมีลักษณะเป็นการทิ้งงาน ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุ ภาครัฐ พ.ศ.2560 มาตรา 109 (2) จะไม่สามารถเข้ามาประมูลงานใด ๆ ของภาครัฐได้อีก รวมทั้งงานของ กฟภ.ซึ่งมักจะกำหนดในเงื่อนไขทีโออาร์ว่า“ผู้ยื่นข้อเสนอต้องไม่เคยถูก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บอกเลิกสัญญาในโครงการ ก่อสร้าง เนื่องจากทำงานไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาของสัญญา” แต่ทว่าบริษัทที่เคยทิ้งงานของ กฟภ.รายดังกล่าวกลับเข้ามาประมูลงานของ กฟภ.จนได้งานอีกนั้น เพราะมีการตัดทิ้งเงื่อนไขข้อดังกล่าวไปเสียโดยไม่มีเหตุผล
                
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวของ กฟภ.อาจถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตาม พรบ.การจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ม.109 (2) และม.120 ประกอบ พรป.ป.ป.ช.2561 โดยชัดแจ้ง สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงต้องนำความพร้อมพยานหลักฐานมาร้องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการสอบสวนเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

 

‘มาดามเดียร์’ หนุนล็อกดาวน์คุมโควิด พร้อมมาตรการเยียวยาประชาชนทุกกลุ่ม แนะผู้นำเรียกศรัทธาคืนด้วยการเปิดข้อมูลจริง

เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 64 น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว สนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีออกมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะยอดผู้เสียชีวิต และผู้ติดเชื้อเช้าวานนี้ (7 ก.ค.) ทุบสถิติสูงสุดของประเทศไทย และดูทีท่าว่าแนวโน้มตัวเลขจะยังคงสูงมากขึ้นต่อเนื่อง ตัวเลขของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้า (อินเดีย) ที่แพร่กระจายได้รวดเร็วกว่า 1.4 เท่า เข้ามาแทนที่สายพันธุ์อัลฟ่า (อังกฤษ) ทีมแพทย์และพยาบาลด่านหน้าต่างออกมาส่งเสียงร้องถึงความอ่อนล้าในการต่อสู้กับไวรัสโควิดมาปีกว่า จนหลายท่านถึงกับคาดการณ์ปัญหาว่าหากรัฐบาลยังปล่อยสถานการณ์ให้ดำเนินไปเหมือนเดิม ระบบสาธารณสุขไทยอาจต้องถึงคราวล่มสลายแล้วของจริง

"สนับสนุนให้นายกฯ ตัดสินใจล็อกดาวน์ แต่ต้องเตรียมมาตรการต่าง ๆ ให้พร้อมรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการล็อกดาวน์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การวางแผนรับมือระยะยาวในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ให้กับคนไทยที่จะต้องอยู่กับโควิด-19 ไปอีกนาน" น.ส.วทันยาระบุ

น.ส.วทันยา ระบุอีกว่า การเร่งจัดซื้อวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงเพิ่มงบวิจัยวัคซีน และยาสมุนไพรไทยต่าง ๆ ที่อาจเป็นทางเลือกในการใช้สร้างภูมิต้านทานและเป็นยาเพื่อรักษานอกจากการพึ่ง Favipiravir เพียงอย่างเดียว ปัจจุบันรัฐบาลได้ให้ทุนสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาแล้วกว่า 2,800 ล้านบาทซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดี และจากความคืบหน้าหลายโครงการก็คาดว่าจะมีข่าวดีมาให้คนไทยได้ภายในปลายปีนี้หรือช่วงต้นปีหน้า แต่หากเทียบงบวิจัยในหลายประเทศยังพบว่างบวิจัยวัคซีนของเรายังอยู่ในปริมาณที่ไม่สูงมาก

แต่ถึงอย่างไรก็ตามการสนับสนุนงบวิจัยเพียงอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอเพราะเราจำเป็นต้องการวางแผนการขยายกำลังผลิตและการเตรียมความพร้อมอุปกรณ์การแพทย์เพื่อเร่งกระจายวัคซีนให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด เพราะวัคซีนที่มีประสิทธิภาพคืออาวุธสำคัญในการต่อสู้กับวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น

นอกจากนี้ การควบคุมการแพร่ระบาดที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งคือการเร่งตรวจหาผู้ป่วยเชิงรุกเพื่อคัดแยกผู้ป่วยทำการกักตัว แต่ตั้งแต่เริ่มต้นการแพร่ระบาดระลอกที่ 3 จนถึงปัจจุบัน ปัญหาการตรวจคัดกรองผู้ป่วยยังคงเป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ในขณะที่หลายประเทศวันนี้ประชาชนสามารถหาซื้อที่ตรวจเชื้อโควิดได้ตามร้านขายยาทั่วไป เพื่อทำการเทสต์เองได้ที่บ้าน แม้ความแม่นยำอาจไม่เทียบเท่ากับการตรวจโดยสถานพยาบาล แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระการทำงานให้กับหน่วยงานด่านหน้าอย่างแพทย์และพยาบาล รัฐฯ ควรเร่งจัดหาให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจด้วยชุดตรวจแบบ แรพิดเทสต์ (Rapid Test) ที่สามารถใช้ตรวจเองที่บ้าน (Home Use) เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจได้ง่ายขึ้น และเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคอีกทางหนึ่ง

ที่สำคัญการล็อกดาวน์ต้องมาพร้อมกับมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการธุรกิจ SME ที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งทุนไม่มีสายป่านและโอกาสเหมือนบริษัทขนาดใหญ่ แต่เป็นกำลังหลักสำคัญที่ทำให้เกิดการจ้างงานและการกระจายรายได้ประชาชนฐานราก รัฐฯ ต้องมีแผนช่วยเหลือเยียวยาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน สื่อสารกับผู้ประกอบการและออกหลักเกณฑ์การเยียวยาเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน

"อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่มองข้ามไปไม่ได้ในการแก้ปัญหาโควิด-19 นั้นคือ ศรัทธา ของประชาชนต่อผู้นำประเทศ นาทีนี้การสร้างศรัทธาที่ที่ดีที่สุดคือการเปิดเผยข้อมูลจริง เพื่อให้ประชาชนเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมแก้ปัญหาไปด้วยกัน" น.ส.วทันยา ทิ้งท้าย

 

 

ที่มา : https://siamrath.co.th/n/260099


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘บิ๊กป้อม’ ประชุมติดตามแก้ปัญหา  ความเดือดร้อนปชช. ทุกกลุ่ม    มอบ ร.อ.ธรรมนัส  บูรณาการช่วยเหลือ/ลดความขัดแย้ง  ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว  เน้นสร้างความเข้าใจ  รับฟังทุกปัญหา  ร่วมกันหาทางออก

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า วันนี้เวลา10.00น.  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการ กำกับ ติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ของมวลชน ครั้งที่ 1/2564  ผ่านระบบ Video Conference  ณ  ห้องประชุม 108  อาคาร สปน.  ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุมได้รับทราบ ข้อห่วงใยของนายกรัฐมนตรี ต่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ละกลุ่มเป็นอย่างมาก อาทิ ปัญหาที่ดิน ทำกิน ,ปัญหาหนี้สิน ,การฟื้นฟูอาชีพ ,แรงงานผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และการก่อสร้างโรงงาน/โรงไฟฟ้า ที่ส่งผลกระทบ ต่อประชาชนในพื้นที่ เป็นต้น ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชน (ทุกกระทรวง) เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาตามหน้าที่และอำนาจของแต่ละกระทรวง จากนั้นคณะกรรมการกำกับติดตามฯ ได้มีการ พิจารณาเห็นชอบคณะอนุกรรมการ ติดตามการแก้ไขปัญหา จำนวน 3 คณะ เพื่อช่วยเหลือ เร่งรัด ติดตาม การดำเนินงาน ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว  ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.กษ. เป็นประธานอนุกรรมการฯ ทั้ง 3คณะ เป็นผู้บูรณาการ ติดตามการแก้ไขปัญหา ความเดือดร้อน ของมวลชนในภาพรวม ร่วมกับกระทรวงต่างๆ และสำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การช่วยเหลือ เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล 

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้ทุกกระทรวง และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องให้ความสำคัญ ต่อการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ อย่างจริงจัง โดยต้องเร่งรัดการช่วยเหลือมวลชน ทุกกลุ่ม ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว พร้อมทั้งต้องสร้างการรับรู้/ความเข้าใจให้แก่ประชาชน เพื่อให้การแก้ไขปัญหา ตรงตามความต้องการ ของมวลชน ตามกรอบของกฎหมาย ที่เป็นธรรม และมีความยั่งยืน ตลอดไป

“ประวิตร” ลั่น ไม่ล็อกดาวน์!! 

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเพียงสั้นๆภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชน ครั้งที่ 1 ถึงกระแสข่าวการล็อกดาวน์ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ว่า ไม่ล็อกๆ 

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าว ก่อนที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมเป็นประธาน อยู่ระหว่างประชุมเพื่อพิจารณาข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุข ถึงมาตรการคุมเข้ม6 จังหวัด

กมธ.ไอซีที วุฒิฯ หนุน ดีอีเอส เพิ่มระบบเตือนภัยผ่านแอป “ทางรัฐ”

คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเทคโนโลยี การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา ได้มีการหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับตัวแทนสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล(องค์การมหาชน) หรือ DGA สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) ในการให้บริการส่งเสริมสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด  - 19 รวมทั้งแนวทางการดำเนินการด้านดิจิทัลอื่นๆ
      
โดย พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ ส.ว. ในฐานะประธานคณะกมธ.ฯ กล่าวว่า สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ได้นำเสนอข้อมูล และแผนงานล่าสุด นับว่าเป็นแนวทางพัฒนาดิจิทัลที่มีความสำคัญในการพัฒนาประเทศหลายประเด็น ทำให้ทราบว่าหน่วยงานสำคัญของรัฐยังต้องการการพัฒนาทั้งทางด้านเทคโนโลยี และบุคลากรที่สนับสนุนกิจการในอนาคต ซึ่งในส่วนของกมธ. ได้ให้ความสนใจกับการพัฒนาระบบดิจิทัลไอดี  
       
พล.อ.อนันตพร กล่าวอีกว่า โครงการดิจิทัลไอดี  ขณะนี้ได้ทำออกมาเป็นแอปพลิเคชั่นชื่อ “ทางรัฐ”  ซึ่งทางคณะกมธ.ฯ ได้แนะนำให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล รวมไอดีอื่น ๆ ที่สำคัญเข้าไปด้วย เพื่ออำนวยความสะดวก และลดความซับซ้อนของประชาชน เช่น เชื่อมกับใบอนุญาตขับขี่ หรือ หมายเลขใบรับรองการฉีดวัคซีน และการแจ้งเหตุฉุกเฉินและภัยพิบัติได้ทันที เช่น เหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานสารเคมีที่กิ่งแก้ว เมื่อเร็วๆนี้ 
       
ด้าน นายสุพจน์ เธียรวุฒิ ผอ.สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กล่าวว่า จะรับข้อเสนอแนะของคณะกมธ.ฯ เพื่อดำเนินการต่อไป  

รัฐบาล ร่วมมือ สุวรรณภูมิตั้ง รพ.สนาม 5 พันเตียง พร้อมจัดทีมค้นหาเชิงรุกผู้ป่วยรอเตียงที่บ้าน 

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามข้อสั่งการพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะผอ. ศบค.  ที่ให้เร่งเพิ่มจำนวนเตียงผู้ป่วยโควิด-19 ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ทำการต่อสัญญาใช้สถานที่เมืองทองธานี สำหรับทำโรงพยาบาลบุษราคัมต่อไปอีกจนถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2564 แล้ว ทำให้มีเตียงรองรับผู้ป่วยมีอาการ (สีเหลือง)ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ตลอดจนผู้ป่วยจากจังหวัดใกล้เคียงได้ประมาณ 4,000 เตียง โดยมีบุคลากรการแพทย์จากต่างจังหวัดหรือในพื้นที่ที่ไม่มีการติดเชื้อโควิด19 รุนแรง เข้ามาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันดูแลรักษาประชาชน  

ขณะเดียวกัน กรมควบคุมโรคและกรมการแพทย์ประสานเครือข่ายกู้ชีพ กู้ภัย จัดทีมปฏิบัติการเชิงรุกค้นหาผู้ติดเชื้อที่รอเตียงที่บ้านในพื้นที่ กทม. เพื่อรับตัวเข้าสู่ระบบการรักษาตามระดับของอาการ  โดยโรงพยาบาลบุษราคัมจะรองรับกลุ่มเปราะบาง กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เพื่อลดความวิตกกังวลของประชาชนที่รอเตียงตามบ้าน นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงคมนาคมเตรียมตั้งโรงพยาบาลสนามณ อาคาร Satellite 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 5,000 เตียงในระยะแรก โดยใช้พื้นที่ชั้น 2 เป็นสถานที่ทำการของแพทย์และห้อง ICU ส่วนชั้น 3 และ 4 เป็นพื้นที่สำหรับคนไข้กลุ่มสีเขียวและเหลือง คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้อีกไม่นานนี้

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ส่วนความร่วมมือภาครัฐและเอกชน ทางกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลธนบุรีได้ขยายห้อง ICU ณ รพ.สนามราชพิพัฒน์ 1 เขตทวีวัฒนา เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ระดับอาการสีแดง ประมาณ 40 เตียง โดยจะทยอยเปิดรับผู้ป่วยเข้ารักษาได้ตั้งวันพรุ่งนี้ (10 กรกฎาคม) เป็นต้นไป ขณะที่ จ.สมุทรปราการ เตรียมเปิดโรงพยาบาลสนาม ณ คลังสินค้า ดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ มีเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ประมาณ 1,200 เตียง สำหรับทั้งคนไทยและแรงงานต่างด้าวไร้สิทธิ์ ขณะเดียวกัน กรุงเทพมหานครจัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อโรงพยาบาล (Community Isolation) ในพื้นที่ 6 กลุ่มเขต โดยตั้งเป้าหมาย 20 แห่ง รองรับผู้ติดเชื้อได้ 3,000 ราย ทั้งนี้ มีการเปิดให้บริการแล้ว 2 แห่ง คือวัดสะพาน เขตคลองเตย และศูนย์สร้างสุขทุกวัยบางแค และเปิดเพิ่มในวันนี้อีก 1 แห่ง คือ วัดปากบ่อ เขตสวนหลวง ซึ่งจะมีทีมแพทย์จาก รพ. สิรินธร เป็นผู้บริหารจัดการผู้ป่วยสามารถรับรองสูงสุดได้ 170 เตียง ส่วนที่เหลือจะทยอยเปิดให้ได้เร็วที่สุด และในพื้นที่จังหวัดอื่นๆ ก็ได้มีการเตรียมพร้อมในการเพิ่มโรงพยาบาลสนามเช่นเดียวกัน ซึ่งจะสามารถรองรับจำนวนผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที 

"ธนาธร" เปิดโครงการ "ก้าวหน้ากู้วิกฤตกิ่งแก้ว" ซ่อมบ้านปชช.รายได้น้อยที่เสียหายจากโรงงานระเบิดฟรี

ที่ผ่านมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า จัดเฟซบุ๊กไลฟ์ผ่านช่องทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประชาสัมพันธ์โครงการ “ก้าวหน้ากู้วิกฤติกิ่งแก้ว” ซึ่งคณะก้าวหน้าได้รวบรวมอาสาสมัครกว่า 30 ชีวิต เตรียมเข้าพื้นที่ซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จากกรณีเหตุระเบิดสารเคมีที่โรงงานหมิงตี้ เคมีคัล บนถนนกิ่งแก้ว เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยนายธนาธร กล่าวว่า แม้เหตุการณ์ดังกล่าวจะผ่านมาได้ 2-3 วันแล้ว แต่ยังมีประชาชนที่ได้รับผลกระทบอีกเป็นจำนวนมาก ตนในฐานะที่เป็นคนที่เคยทำงานแถวนั้น รู้สึกเสียใจต่อความสูญเสียและผลกระทบที่พี่น้องประชาชนทุกคนได้รับ ถนนกิ่งแก้วทั้งเส้นเป็นถนนเศรษฐกิจที่สำคัญ ประกอบด้วยร้านค้าพาณิชย์ ตลาดสด โรงงานอุตสาหกรรม และบ้านเรือนของประชาชนมากมาย เหตุการณ์โรงงานไฟไหม้มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 1 ราย เป็นอาสาสมัครดับเพลิง และยังมีผู้บาดเจ็บไม่น้อยกว่า 30 ราย กระทบโรงงานอุตสาหกรรมโดยรอบประมาณ 1,120 โครงการ และกระทบหมู่บ้านและชุมชนเป็นจำนวน 994 หมู่บ้าน จนถึงวันนี้มีผู้แจ้งความที่ สภ.บางแก้ว เป็นจำนวน 432 คน มีบ้านเรือนได้รับความเสียหายถึง 569 หลัง คณะก้าวหน้าจึงได้เริ่มโครงการ “ก้าวหน้ากู้วิกฤติกิ่งแก้ว” ขึ้นมา เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนที่ได้รับผลกระทบในส่วนที่คณะก้าวหน้ามีศักยภาพสามารถช่วยเหลือได้ โดยจะเป็นการเข้าไปฟื้นฟูชุมชนและบ้านเรือนประชาชนที่ได้รับความเสียหาย

นายธนาธร กล่าวต่อว่า หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทีมงานของคณะก้าวหน้าได้เข้าไปสำรวจความต้องการและความเสียหายที่เกิดขึ้น ตั้งแต่บริเวณ ซ.กิ่งแก้ว 23-25 ซึ่งคณะก้าวหน้าได้รวบรวมอาสาสมัครได้ประมาณ 30 ราย ที่พร้อมเข้าไปซ่อมบ้านเรือนให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน โครงการของเราส่วนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท เอสเอส ซึ่งเป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในซอยกิ่งแก้ว อีกส่วนหนึ่งโดย บริษัท ไทยซัมมิท รวมถึงกลุ่มช่างที่ทำงานรับเหมาก่อสร้างในชุมชนละแวกนั้นที่กำลังขาดงานและรายได้ในช่วงวิกฤตโควิด-19 เรานำอาสาสมัครทั้ง 3 กลุ่มนี้เข้ามารวมกันเป็นทีม ซึ่งพร้อมเข้าพื้นที่ปฏิบัติงานตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป คณะก้าวหน้าจะนำอาสาสมัครส่วนนี้เข้าไปซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนให้กับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ได้รับความเดือดร้อนจริงๆ ไม่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจจะสามารถซ่อมแซมบ้านเรือนด้วยตัวเองได้ และจะเข้าไปซ่อมแซมอาคารเรียน-ห้องพักครูให้กับโรงเรียนกิ่งแก้วด้วย โดยโครงการนี้คาดว่าจะสามารถสำเร็จลุล่วงได้โดยใช้เวลาไม่น่าจะเกิน 1 สัปดาห์ โดยสถานที่ที่จะใช้ในการประสานงานจะอยู่ในบริเวณโรงเรียนกิ่งแก้ว

“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เราจะอยู่ในชุมชนบริเวณนั้น ท่านใดต้องการเข้ามาพบปะพูดคุยกันสามารถมาพบกับเราได้ ขณะที่บ้านเรือนใดได้รับความเสียหายแล้วมีปัญหาทางเศรษฐกิจเดือดร้อนไม่สามารถซ่อมแซมได้ด้วยตัวเองก็มาบอกเราได้ หากไม่เหนือบ่ากว่าแรง พวกเราจะเข้าไปช่วยทุกท่าน” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นว่ายังมีปัญหาอีกมากมายที่จะต้องสะสางกัน จากกรณีระเบิดและเพลิงไหม้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม มลพิษทางอากาศ สิ่งปนเปื้อนที่จะลงไปในแหล่งน้ำ รวมทั้งการเยียวยาพี่น้องประชาชนจากทางบริษัทหรือจากทางภาครัฐ ที่จะต้องเรียกร้องกันต่อไป รวมถึงการหามาตรการทางอุตสาหกรรม ที่จะควบคุมโรงงานที่มีสารเคมีไวไฟเก็บไว้เป็นจำนวนมากอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่จะต้องอาศัยหน่วยงานของรัฐ แต่บางสิ่งที่พวกเราประชาชนคนละไม้คนละมือลงมือทำร่วมกันได้ เราก็อยากจะใช้ศักยภาพ ทรัพยากร และเครือข่ายที่พวกเรามีเข้าไปซ่อมแซมฟื้นฟูชุมชนให้กับคนที่ได้รับผลกระทบ 

“จากนี้ต่อไปภาครัฐก็คงจะต้องหาวิธีการที่จะเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ สืบหาต้นตอสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ ซึ่งจะนำมาสู่การปรับปรุงกระบวนการของภาครัฐที่เข้มงวดกับโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆ มากขึ้นต่อไป เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย แต่ในขณะเดียวกันบ้านเรือนของประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดในบริเวณรอบนั้นมีจำนวนมาก นี่เป็นสิ่งที่พวกเราพอจะทำได้บ้าง เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อาจจะได้ไม่มากมายนัก แต่ผมและทีมงานคณะก้าวหน้าก็พร้อมที่จะตั้งใจอย่างเต็มที่ มีเรื่องราวอย่างไรจะมาเล่าให้ทุกท่านทราบต่อไป” นายธนาธร กล่าว

ราเมศ เผย “จุรินทร์ ออนทัวร์” อุบลฯ อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ “มอบโฉนดที่ดิน” ตามติด “จับคู่กู้เงิน” เปิด“พาณิชย์ลดราคา” เดินหน้าพบ เกษตรกร

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดศรีสะเกษ ว่าในวันที่ 9 ถึงวันที่ 11 กรกฎาคม 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีกำหนดการลงพื้นที่ทำกิจกรรม “จุรินทร์ ออนทัวร์” ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดศรีสะเกษ 

วันที่ 9 กรกฎาคม จะเป็นประธานเปิดและปล่อยขบวนรถโมบายพาณิชย์ลดราคา ติดตามโครงการจับคู่กู้เงิน ติดตามความคืบหน้าการเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านปากแซง จังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 10 กรกฎาคม  จะมีการมอบเช็คชำระหนี้และมอบโฉนดที่ดินของกองทุนฟื้นฟูเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จากนั้นจะมีการพบเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ เปิดและปล่อยขบวนรถโมบายพาณิชย์ลดราคา มอบงบประมาณโครงการบ้านพอเพียง รวมถึงพบปะประชาชน จังหวัดอำนาจเจริญ
วันที่ 11 กรกฎาคม เป็นประธานมอบเงินชดเชยให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนหัวนา และเป็นประธานเปิดและปล่อยขบวนรถโมบายพาณิชย์ลดราคา พื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ

นายราเมศ กล่าวว่า การลงพื้นที่ของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ “จุรินทร์ ออนทัวร์” ได้รับเสียงตอบรับจากพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก  หัวหน้าพรรคได้เดินทางไปแล้วหลายจังหวัดและจะมีกำหนดการเดินทางไปทั่วประเทศ เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน ติดตามนโยบายต่างๆของพรรค รับฟังในทุกเรื่อง ทุกข์สุข ปัญหาต่างๆ ร่วมกันคิด และให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ในแต่ละพื้นที่ มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศให้มากที่สุด

รัฐบาลสนับสนุนถุงยังชีพกรณีต้องปิดหมู่บ้านจากการแพร่ระบาดของโควิด-19​ ไปแล้ว​ 17​ จังหวัด​ 45​ อำเภอ

นายธีรภัทร  ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยังคงทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลได้มีแผนดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ทั่วประเทศ และควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้น การติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ต่างจังหวัด ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีประสานผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่รับผิดชอบ ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19  ในภาพรวม ปัญหาและอุปสรรค และแนวทางการแก้ไขปัญหาในแต่ละจังหวัด รวมถึงความช่วยเหลือสนับสนุนถุงยังชีพ ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี 

ในการนี้​ นายอนุชา​ นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาเห็นชอบให้สนับสนุนถุงยังชีพให้กับประชาชน ในจังหวัดต่าง ๆ ที่คณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัดได้มีคำสั่งปิดหมู่บ้านหรือชุมชน ส่งผลให้ประชาชนและครอบครัวของประชาชนได้รับผลกระทบไม่สามารถจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคได้ โดยเห็นสมควรจัดหาถุงยังชีพ เพื่อแจกจ่ายให้แก่ครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ จากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการส่งมอบเงินจากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ไปให้แก่จังหวัดที่มีมาตรการในการปิดหมู่บ้าน เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 

ดำเนินการจัดซื้อจัดหาถุงยังชีพ เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนในหมู่บ้าน ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม​ 2564 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564​ รวมจำนวน 17 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่ 45 อำเภอ 106 หมู่บ้าน 10 ชุมชน​ 53​ ตำบล​ 28,241 ครัวเรือน 90,744 คน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 19,768,700 บาท (สิบเก้าล้านเจ็ดแสนหกหมื่นแปดพันเจ็ดร้อยบาทถ้วน) หากพี่น้องประชาชนต้องการสนับสนุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยเพิ่มเติม สามารถบริจาคเงินได้ที่กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี เลขที่บัญชี  067-0-06895-0 ธนาคารกรุงไทย

รัฐบาลเยียวยาผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บจากกรณีไฟไหม้โรงงานเม็ดโฟมพลาสติก

นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดเหตุระเบิดภายในโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก บริษัท หมิงตี้ เคมิคอล จำกัด ซอยกิ่งแก้ว 21 หมู่ 15 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564​ ส่งผลให้ตัวอาคารของโรงงานได้รับความเสียหายถูกเพลิงไหม้หมดทั้งหลัง เนื่องจากมีสารเคมีเกิดการรั่วไหลออกมา เป็นเหตุให้มีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัยที่เข้าดับไฟเสียชีวิต จำนวน 1 ราย ผู้ได้รับบาดเจ็บประมาณ 40 ราย และบ้านเรือนประชาชนเสียหายจากแรงระเบิดจำนวนมาก​ นายอนุชา​ นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย ได้อนุมัติในหลักการจ่ายเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่อาสาสมัครที่เข้าช่วยดับไฟ กรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ โรงงานหมิงตี้ เคมิคอล จำกัด ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ดังนี้​ 1.กรณีนายกรสิทธิ์ ลาวพันธ์ อายุ 19 ปี เสียชีวิต ช่วยเหลือค่าจัดการศพ​ 50,000 บาท และเงินทุนเลี้ยงชีพแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต 10,000​บาท รวมเป็นเงิน 100,000 บาท​ 2.กรณีบาดเจ็บช่วยเหลือเป็นเงินทุนเลี้ยงชีพ ได้แก่​ ผู้บาดเจ็บสาหัส หากต้องพักรักษาตัว ตั้งแต่ 20 วันขึ้นไป เงินทุนเลี้ยงชีพ รายละ 30,000 บาท  ผู้บาดเจ็บ หากพักรักษาตัวน้อยกว่า 20 วัน เงินทุนเลี้ยงชีพ รายละ 15,000 บาท

นายธีรภัทร กล่าวว่า สำหรับผู้บาดเจ็บ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย จะได้เร่งรัดประสานงานกับจังหวัดสมุทรปราการสำรวจและตรวจสอบรายละเอียดเจ้าหน้าที่อาสาสมัครที่เข้าช่วยดับไฟ และได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป

“อุตตม” นำทีมเปิดตัว “ไทยแลนด์ ฟิวเจอร์” เผย รวมพลังความคิดขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า

นายอุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคลัง ในฐานะประธานที่ปรึกษา สถาบันอนาคตไทยศึกษา (Thailand Future) เปิดเผยในโอกาสการเปิดตัว Thailand Future อย่างเป็นทางการ ว่า นับเป็นเวลาที่ประเทศไทยและคนไทย กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ประการแรก ในช่วงหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา โควิดส่งผลกระทบเฉียบพลันรุนแรงและกระจายสู่ทุกภาคส่วน โจทย์เร่งด่วนก็คือ เราจะร่วมกันจัดการต่อสถานการณ์โควิดให้มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงได้อย่างไร ทั้งเฉพาะหน้าและต่อเนื่องในอนาคต เพื่อความปลอดภัยซึ่งยึดโยงกับเรื่องปากท้องความเป็นอยู่ของประชาชนเช่นกัน

ประการที่สอง ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อน เราจำเป็นต้องมองไปข้างหน้า คำนึงถึงอนาคตของประเทศไทยในภาวะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดในแทบทุกมิติของสังคม ซึ่งโควิดเป็นตัวเร่งที่มีอิทธิพลสูง ประเทศไทยจะขับเคลื่อนการพัฒนาในแนวทางใด ให้มีขีดความสามารถที่จะปรับตัวและจัดการกับความท้าทายใหม่ ๆ ขณะเดียวกันก็สามารถสร้างโอกาสดี ๆ และความมั่นคงในชีวิตให้กับคนรุ่นต่อ ๆ ไป

จากโจทย์ที่สำคัญเหล่านี้ ทีม Thailand Future จึงเกิดขึ้นจากการรวมตัวของกลุ่มคนจากหลายภาคส่วน หลากหลายประสบการณ์และอาชีพ จากทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ รวมทั้งหลายช่วงอายุ โดยอาสาทำงานแบบเวทีเปิด (Open Platform) ที่ส่งเสริมสนับสนุน การรวมพลังความคิดของคนไทย เพื่อร่วมกันคิด วิเคราะห์และตกผลึกในการแก้ไขปัญหา อุปสรรคที่สั่งสมมานาน รวมทั้งขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศอย่างคลอบคลุมและยั่งยืน

“ในเวลาแบบนี้ ภาครัฐไม่ควรเป็นคอขวดของการแก้ไขปัญหา หรือนิ่งเฉยกับข้อจำกัด ข้อจำกัดของภาครัฐมีทุกประเทศ สิ่งที่ต้องทำคือ รีบกระจายอำนาจออกไปสู่บุคคลและหน่วยงาน รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานด้วยความชัดเจนและโปร่งใส เพื่อให้เกิดความคล่องตัวพอที่จะนำประเทศไทยให้รอดพ้นไปจากวิกฤตครั้งนี้ รวมถึงทะยานเหนือความท้าทายอื่น ๆ ที่ยังรอเราอยู่ หมดแล้ว ยุคสมัยของการทำนโยบายแบบบนลงล่างอย่างเดียว” นายอุตตม กล่าว


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

คนกรุงโล่งใจ นายก สั่ง รมว.เฮ้ง เปิดจุดตรวจโควิดเพิ่มที่สนามไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง เร็ว ๆ นี้

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นนั้น
ท่านนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี

ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั่วไปจากสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้มีข้อสั่งการให้ กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม
บูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 
เพื่อดำเนินการเปิดจุดตรวจคัดกรองโควิด-19 ขึ้น  แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และประชาชนทั่วไป ให้สามารถมาตรวจคัดกรองโควิด-19 ได้ ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ในเร็วๆ นี้

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า การเปิดจุดตรวจคัดกรองโควิด-19 เพิ่มในครั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกันตน แรงงานนอกระบบ และพี่น้องประชาชนทั่วไป
ที่เดือดร้อนจากการตรวจโควิด-19 ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอีกทางหนึ่งด้วย กรณีตรวจพบเชื้อและมีอาการจะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม ส่วนผู้ที่ตรวจพบเชื้อแล้วไม่มีอาการหรืออยู่ในระดับสีเหลืองตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด จะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่ Hospitel ของประกันสังคม ซึ่งจะมีทีมแพทย์และพยาบาลดูแล

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม จะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดรายละเอียดขั้นตอนในการให้บริการตรวจคัดกรองโควิด-19 โดยเร็ว จากนั้นจะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ทราบในทันที เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจคัดครองเชื้อโควิดได้ และหากพบว่าติดเชื้อจะได้เข้าสู่การรักษาได้อย่างทันท่วงทีต่อไป

“บิ๊กตู่” รับโควิดแพร่ระบาดรุนแรง “ลั่น” จำเป็นต้องใช้มาตรการเข้มงวด “วอน” ทุกฝ่ายร่วมมือป้องกันตัวเองและใช้สติในการรับข้อมูล

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวโดยระบุว่า จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ขณะนี้ ทุกคนทราบดีว่าการแพร่ระบาดมีความรุนแรงมากขึ้น จากการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิดที่แพร่ระบาดได้ง่ายยิ่งขึ้น มาตรการทุกอย่างที่รัฐบาลจะออกมา จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรัดกุม โดยให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และธุรกิจต่าง ๆ 

“ผมได้ติดตามสถานการณ์การระบาดอย่างต่อเนื่องด้วยความไม่สบายใจ และรับรายงานจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมินสถานการณ์และความจำเป็นในการใช้แผนเผชิญเหตุ เพื่อกำหนดมาตรการการควบคุมโรคที่จะต้องเกิดขึ้น และส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก แต่หากไม่ดำเนินการ อาจจะส่งผลกระทบให้เกิดความรุนแรงมากกว่านี้ ซึ่งเราอาจมีความจำเป็นต้องกำหนดมาตรการเข้มงวดมากยิ่งขึ้นในการจำกัดการเคลื่อนย้าย การป้องกันมิให้มีการรวมกลุ่มทำกิจกรรม การปิดสถานที่เพิ่มเติม และมาตรการอื่นๆที่จำเป็น โดยในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ผมได้เรียกประชุม ศบค. ชุดใหญ่ในเช้าวันพรุ่งนี้ (9 ก.ค.) เพื่อพิจารณามาตรการที่ฝ่ายต่าง ๆ ได้เสนอเข้ามา และจะแจ้งผลการพิจารณาให้ทราบโดยทันที”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกคน ช่วยกันดูแล ป้องกันตัวเอง ครอบครัว สังคม ประเทศชาติไปด้วยกัน ไม่มีใครหรือประเทศใด ที่จะสามารถแก้ไขปัญหาโควิดได้สำเร็จโดยคนเพียงคนเดียว หรือหน่วยงานเดียว ในยามที่เปรียบเสมือนการทำสงครามกับเชื้อไวรัสในครั้งนี้ สิ่งที่จะทำให้เราชนะได้ คือความสามัคคีของคนในชาติ ความมีวินัย ความอดทน การร่วมแรงร่วมใจ ช่วยเหลือกันของคนในชาติ และอีกสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ความมีสติในการรับข่าวสารในยามวิกฤต ที่มีผู้ไม่หวังดีสร้างข้อมูลเท็จที่มุ่งร้ายให้เกิดเข้าใจผิดและสับสนวุ่นวายในสังคมอย่างมากมาย ซึ่งต้องมีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด รวมถึงผู้ที่ฝ่าฝืนมาตรการของรัฐที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้อื่นด้วย 

“ผมขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ด่านหน้าทุกคนที่ทำงานอย่างเสียสละ และขอสัญญาว่าจะดูแลทุกคนอย่างดีที่สุด ผมและรัฐบาลจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top