Monday, 7 July 2025
POLITICS

'บีโอไอ' เคาะมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 65 เน้นดึงลงทุนขนาดใหญ่

น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ บีโอไอ ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบมาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 65 เน้นส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะมีผลในวงกว้างต่อการสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ครอบคลุมกิจการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งต้องเป็นโครงการที่มีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ภายใน 12 เดือนหลังออกบัตรส่งเสริม โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้วยการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% รวม 5 ปี แต่ต้องยื่นขอรับการส่งเสริมได้ถึงสิ้นปี 65

ขณะเดียวกันที่ประชุมยังเห็นชอบให้ขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ออกอีก 1 ปีถึงสิ้นปี 65 ยกเว้นโครงการที่ตั้งในเขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ 5 แห่ง ได้แก่ เมืองการบินภาคตะวันออก หรืออีอีซีเอ เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซีไอ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล หรืออีอีซีดี ศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ครบวงจร ธรรมศาสตร์ (พัทยา) หรืออีอีซีเอ็มดี และการแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) หรืออีอีซีจี สามารถยื่นคำขอตามมาตรการนี้ได้โดยไม่กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดในการยื่นคำขอ ส่วนในปี 66 จะมีการปรับปรุงมาตรการของอีอีซีใหม่ทั้งหมดอีกครั้งให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การลงทุนฉบับใหม่

ไทยจับตา 'โอมิครอน' หลังกระจาย 89 ปท.ทั่วโลก พบผู้ติดเชื้อกลับจากตะวันออกกลาง ติดโอมิครอน หลายพื้นที่ ห่วงเชื้อไม่แสดงอาการ เตรียมปรับมาตรการคนเข้าประเทศ ลั่น ฉีดวัคซีนครบ 100 ล้านโดสแล้ว

ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ทำเนียบรัฐบาล พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค ในฐานะผู้ช่วยรองโฆษก ศบค. กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ว่า องค์การอนามัยโลกได้เปิดเผยข้อมูลการแพร่ระบาดเชื้อโอมิครอนในปัจจุบันกระจายไปแล้ว 89 ประเทศ และมีการระบาดเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในระยะเวลา 3 วัน ขณะที่สถานการณ์ประเทศต่างๆ อาทิ สหรัฐอเมริกามีการระบาดแล้ว 36 รัฐ  ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีการประกาศล็อกดาวน์ช่วงเทศกาลคริสมาสต์ และปีใหม่ ประเทศฝรั่งเศส งดรับนักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักร

สำหรับตัวเลขการเดินทางเข้าราชอาณาจักร หากเปรียบเทียบการเดินทางเข้าในเดือนพฤศจิกายน มีทั้งสิ้น 133,061 คน ขณะที่เดือนธันวาคม ตั้งแต่วันที่ 1-19 ธ.ค. มีทั้งสิ้น 160,445 คน และภาพรวมผู้ติดเชื้อในส่วนนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในเดือนพ.ย.มีผูเติดเชื้อ 0.13% เดือนธ.ค.มีผู้ติดเชื้อไปแล้ว  0.22%  โดยผู้เดินทางเข้าประเทศวันที่ 19 ธ.ค.มีทั้งสิ้น 13,664 คน พบผู้ติดเชื้อ 42 ราย แบ่งเป็นกลุ่มเทสต์ แอนด์ โก 24 ราย ระบบกักตัว 11 ราย และระบบแซนด์ บ็อกซ์ 7 ราย ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อทั้ง 42 ราย มาจากสหราชอาณาจักรมากที่สุด 9 ราย รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา 6 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 4 ราย ซึ่งทั้ง 42 ราย ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ การตรวจเชื้อแบบ RT-PCR มีความจำเป็น และการกักตัวเพื่อสังเกตมีความสำคัญอย่างมาก

ขณะที่การพบเชื้อโอมิครอนในประเทศไทย ที่มีรายงานเพิ่มเติมวันนี้ เป็นคลัสเตอร์ที่รายงานจากสาธารณะสุขจังหวัดนนทบุรี เชื่อมโยงไปถึงจังหวัดปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา นครราขสีมา กทม. โดยรายเอียดเป็นผู้เดินทางไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ทั้งสิ้น 31 ราย ช่วงต้นเดือน ธ.ค. โดยเดินทางกลับถึงไทย วันที่ 15 ธ.ค. ตรวจพบเชื้อวันที่มาถึง 14 ราย มีเชื้อโอมิครอน 6 ราย เชื้อเดลตา 8 ราย ตรวจพบเชื้อเพิ่มเติมอีก 2 รายในวันที่ 19 ธ.ค.และตรวจพบเชื้อเพิ่มอีก 2 ราย ในวันที่ 20 ธ.ค.โดย 4 รายหลังอยู่ระหว่างรอการยืนยันสายพันธุ์  ทำให่กลุ่มนี้พบผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้น 18 ราย นอกจากนี้ยังพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน ที่เป็นคู่สามีภรรยาจากประเทศไนจีเรีย ที่เดินทางเข้าไทยวันที่ 26 พ.ย. ก่อนการประกาศมาตรการห้าม 8 ประเทศกลุ่มเสี่ยงจากทวีปแอฟริกาเข้าประเทศ

โดยทั้งคู่เขาสู่ระบบแซนด์ บ็อกซ์ โดยวันที่ 4-7 ธ.ค. สามีชาวโคลัมเบีย มีอาการไข้ เจ็บคอ จึงตรวจหาเชื้อแบบ ATK ผลเป็นลบ แต่ยังคงมีอาการ จึงตรวจแบบRT-PCR ในวันที่ 7 ธ.ค. ผลเป็นบวก จึงเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล จากนั้นวนที่ 10 ธ.ค.ภรรยาชาวไทย ได้ไปตรวจแบบ RT-PCR ผลเป็นบวกเช่นกัน ซึ่งวันเดียวกันนั้น การตรวจหาสายพันธ์ุของสามียืนยันเป็นโอมิครอน และมีการสอบสวนผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 1 ราย ผลตรวจ RT-PCR เป็นลบ และสัมผัสเสี่ยงต่ำ 83 ราย ทั้งหมดไม่มีอาการใดๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามอาการทั้งหมด โดยหญิงรายดังกล่าวถือเป็นการติดเชื้อภายในประเทศรายแรก 

ขณะเดียวกัน ยังมีคลัสเตอร์ จ.นราธิวาส 3 ราย เป็นผู้เดินทางกลับมาจากประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่ประเทศตะวันออกกลาง เข้าประเทศทางสนามบินภูเก็ต ในระบบเทสต์ แอนด์ โก โดยเป็นเป็นผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน 1 ราย สายพันธุ์เดลตา 3 ราย และมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 4 ราย สัมผัสเสี่ยงต่ำ 126 ราย ทั้งหมดอยู่ระหว่างกักตัวตรวจอาการ นอกจากนี้ ยังมีการรายงาน จากสำนักงานควบคุมโรค เขต 11 เป็นผู้เดินทางเข้าประเทศที่สนามบินภูเก็ต เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 4 ราย และสนามบินสมุย วันที่ 15-16 ธ.ค. 3  ราย ที่มีทั้งชาวต่างชาติ และคนไทย โดยทั้ง 7 รายตรวจแบบRT-PCR พบเป็นบวกตั้งแต่วันแรกที่มาถึง และยืนยันเป็นสายพันธุ์โอมิครอน ทั้ง 7 คน

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รายงานสถานการณ์การเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิดในประเทศไทย ระหว่างเดือนเม.ย.ถึงวันที่ 19 ธ.ค. พบว่ามากที่สุดยังเป็นสายพันธุ์เดลตา 68.67% สายพันธุ์อัลฟา 29.79% เบตา 1.41% และโอมิครอน 0.13% หากดูเฉพาะสัปดาหที่ผ่านมาวันที่ 11-19 ธ.ค. จะพบว่าสายพันธุ์เดลตา 96.61 % สายพันธุ์โอมิครอน 3.26% และจากการสุ่มตรวจ 1,595 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบเป็นเดลตา 96.61% โอมิครอน 3.26% และหากแยกย่อยในพื้นที่กทม.จะพบว่าเป็นเดลตา 81.1% โอมิครอน 18.3% และในส่วนภูมิภาค เป็นเดลตา 98.6% โอมิครอน 1.3% โดยกาาคาดการณ์การระบาด กรณีคนในประเทศไม่มีภูมิคุ้มกันเลย ผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา 1 คน  แพร่เชื้อได้ 6.5 คน สายพันธุ์โอมิครอน 1 คน แพร่เชื้อได้ 8.5 คน แต่จากข้อมูลผู้ติดเชื้อโอมิครอน ผู้ป่วยหนักและนอนโรงพยาบาลไม่สูงกว่าเดลตา 

โดยองค์การอนามัยโลกได้ให้ข้อมูลว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจะเพิ่มภูมิคุ้มกันเชื้อโอมิครอนได้มากขึ้น สรุปแล้วสถานการณ์สายพันธุ์โอมิครอนในไทย คล้ายกับสถานการณ์โลกที่พบผู้ติดเชื้อมากขึ้น ผู้ติดเชื้อทุกรายในประเทศไทย ยังผูกโยงกับผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ โดย 1 ใน 4 ของผู้ติดเชื้อที่ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ เป็นสายพันธุ์โอมิครอน 

‘เทพไท’ มั่นใจ ‘ดร.เอ้’ เบียดชนะ ‘ชัชชาติ’ โวเป็นม้าตีนปลาย คะแนนพุ่งเร็ว 

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความแสดงความเห็นประเด็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. โดย ระบุ เชื่อว่า สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ตัวแทนจากพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นม้าตีนปลาย เอาชนะคู่แข่งได้

ดร.สุชัชวีร์ ม้าตีนปลาย เมื่อวานนี้ (19 ธันวาคม) มีผลสำรวจของสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. พบว่า ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่

อันดับ 1 รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ 56.72%
อันดับ 2 ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 29.60%
อันดับ 3 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง 10.62%
อันดับ 4 รสนา โตสิตระกูล 2.26%
และคนอื่นๆ 0.80%

“แรมโบ้” ซัด “ก่อแก้ว” สงบปาก สงบคำ และเบิกตาดูก่อน นายกฯทำอะไรให้ประชาชนและประเทศบ้าง ชี้ประชาชนชื่นชอบหลายโครงการรัฐบาล  พร้อมยกผลโพลสำนักวิจัยซูปเปอร์โพล ให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนักการเมืองครองใจประชาชน

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ยก 7 เรื่องออกมาไล่ขยี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ลาออกเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน หลังจากที่นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ทุกกระทรวงจัดของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน โดยนายเสกสกล ระบุว่า นายก่อแก้ว ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเลย เพราะการที่ออกมาพูดอะไร ก็เข้าตัวหมด  นายก่อแก้ว อย่าลืมว่าตัวเอง มีชื่อของการเป็นเสื้อแดงติดอยู่ และคงจะติดตัวไปจนกว่านายก่อแก้ว จะตายจากไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่รับไม่ได้และรู้ดีว่าเสื้อแดงในอดีตทำอะไรกับประเทศไว้บ้าง สร้างความเสียหาย เผาบ้าน เผาเมือง เสียหายไปเท่าไหร่ ประชาชนที่ร่วมอุดมการณ์ติดคุกไปเท่าไหร่ ขณะที่แกนนำบางคนยังอยู่ดี มีสุข ลอยนวลสบายใจเฉิบ

7 ข้อที่ยกมา แค่คำที่ฝ่ายค้านหรือแกนนำเสื้อแดงอย่างนายก่อแก้วคิดว่าสวยหรู แต่ความจริงมันต่างกันมาก ประชาชนรู้ดีว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรี ทำอะไรให้เขาบ้าง อยู่ดีกินดีเห็นได้ชัด ทุกโครงการที่รัฐบาลโดยพล.อ.ประยุทธ์ ออกมาช่วยเหลือประชาชน ล้วนโดนใจ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหลายโครงการที่ออกมาจะมีชื่อของนายก่อแก้ว หรือคนในครอบครัว หรือสมัครพรรคพวก เป็นหนึ่งที่ได้รับอานิสงส์ด้วยหรือไม่  แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหน เสื้อสีอะไร ชอบหรือไม่ชอบ ฝ่ายค้าน หรือรัฐบาล ก็ได้ประโยชน์จากทุกโครงการของรัฐบาลทั้งสิ้น และนายกรัฐมนตรีก็บอกแล้วว่า เป็นนายกรัฐมนตรีของประชาชนทุกคน ทุกภาค ไม่ได้เลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

และล่าสุดผลโพลจากสำนักวิจัยซูปเปอร์โพลได้ทำการสำรวจด้านการเมืองภาพใหญ่ที่สุดแห่งปี 2564 โดยประชาชนเห็นว่านักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่น่าประทับใจและน่าพอใจที่สุดแห่งปี 2564 อันดับแรกคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพอใจนโยบายและโครงการต่างๆของรัฐบาล ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นการสะท้อนให้เห็นได้แล้วว่า ประชาชนประทับใจและพอใจกับการทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีจากผลงานที่ประสบความสำเร็จมากมาย รวมถึงการแก้ไขปัญหาจากวิกฤตการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างมาก ซึ่งรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีก็ได้มีมาตรการต่างๆออกมาจนสถานการณ์คลี่คลายและเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจจนเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย  

“เอ้ สุชัชวีร์” ประเดิมลงพื้นที่เขตบางรัก แหล่งพหุวัฒนธรรม ขอฟื้นคุณภาพโรงเรียนในสังกัด กทม. คืนพื้นที่สาธารณะคนกรุงเทพ ยีนยันความตั้งใจเป็นผู้ว่าการศึกษา

“เอ้”  สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่ครั้งแรกที่เขตบางรัก ร่วมกับนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ น.ส.อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ อดีต ส.ส. กทม. และผู้สมัคร ส.ก. สุวิทย์ เลิศธนากุลวัฒน์ โดยได้เดินทางไปที่มัสยิดฮารูณ ซึ่งเป็นมัสยิดเก่าแก่อายุกว่า 150 ปี ศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมย่านบางรัก ถนนเจริญกรุง ภายในมัสยิดมีความสงบและสวยงาม ตกแต่งภายในอย่างสมมาตร สะท้อนปรัชญาศาสนาอิสลามอย่างชัดเจน เป็นสถานที่ในการเรียนรู้การอยู่ร่วมกันโดยเฉพาะวัฒนธรรมที่มีความแตกต่าง พร้อมกับชื่นชมชุมชนมัสยิดฮารูณมีความสะอาดมาก และมีร้านอาหารอร่อยทุกร้าน 

หลังจากนั้นเดินทางไปสักการะประธานในอุโบสถ ณ วัดม่วงแค เจริญกรุง 34 พร้อมกับระบุว่า พื้นที่เขตบางรักมีลักษณะเป็นพหุวัฒนธรรม และมีโรงเรียนวัดม่วงแค ที่ในอดีตมีนักเรียนเข้าเรียนจำนวนมาก มีอาคารเรียนขนาดใหญ่รองรับนักเรียนตั้งแต่อนุบาล ถึงชั้น ป.6 ได้ราว 1,000 คน มีจุดเด่นอาหารกลางวันเป็นอาหารฮาลาล รองรับนักเรียนที่นับถือศาสนามอิสลามด้วย แต่ปัจจุบันพื้นที่ซึ่งเคยใช้เป็นที่เคารพธงชาติได้กลายเป็นที่จอดรถ เนื่องจากมีจำนวนนักเรียนลดลงเหลือเพียง 54 คน 

“เอ้” สุชัชวีร์ ระบุว่า โรงเรียนนี้เป็นตัวอย่างโรงเรียนสังกัด กทม. 430 โรง ที่อยู่ในพื้นที่กลางเมือง แต่คน กทม. ส่งลูกไปเรียนที่อื่น ด้วยเหตุนี้ตนจึงมีความตั้งใจในการเป็นผู้ว่าการศึกษา เพื่อฟื้นโรงเรียนในสังกัด กทม. ให้มีคุณภาพสู้กับสิงคโปร์ได้ พร้อมกับตั้งใจจะทำโรงเรียนวัดม่วงแค เป็นโรงเรียนตัวอย่างในพื้นที่เขตบางรัก พร้อมกับได้เข้าผู้อำนวยการโรงเรียนเพื่อรับฟังปัญหาต่างๆ เพิ่มเติมอีกด้วย 

“นายกฯ” หารือเอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ฯ มุ่งส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวระหว่างกัน ขณะที่มัลดีฟส์ฯ ชื่นชมบทบาทผู้นำนายกฯ ไทย พร้อมขยายความร่วมมือทุกด้านที่มีศักยภาพ

ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายมุฮัมมัด จินาห์ (H.E. Mr. Mohamed Jinah) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐมัลดีฟส์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่

นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ฯ ที่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ในไทย ซึ่งไทย-มัลดีฟส์มีความสัมพันธ์ทางการทูตที่แน่นแฟ้นกว่า 40 ปี รัฐบาลไทยพร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของเอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ฯ อย่างเต็มที่ พร้อมแสดงความยินดีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมัลดีฟส์ได้รับเลือกเป็นประธานการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ครั้งที่ 76 ตลอดจนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถกระชับความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว ตลอดจนความร่วมมือในกรอบพหุภาคีต่าง ๆ ให้มากขึ้น 

เอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ฯ รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้ารับตำแหน่งในไทย โดยนายอิบรอฮีม มุฮัมมัด ศอลิห์ ประธานาธิบดีแห่งมัลดีฟส์ได้ฝากความปรารถนาดีมายังนายกรัฐมนตรี ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นผ่านความร่วมมือในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุน ซึ่งไทยถือเป็นคู่ค้าที่สำคัญของมัลดีฟส์ พร้อมชื่นชมความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีและการบริหารงานของรัฐบาลไทยที่สามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนทำให้สถานการณ์คลี่คลายและสามารถเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ โดยเอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ฯ ยืนยันว่าจะส่งเสริมความร่วมมือในด้านที่มีศักยภาพระหว่างกันต่อไป

โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันในประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ อาทิ ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ามัลดีฟส์เป็นแหล่งลงทุนที่สำคัญของไทยในสาขาโรงแรม รีสอร์ต และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันมีภาคเอกชนไทยเข้าไปลงทุนหลายรายและมีแนวโน้มจะขยายการลงทุนในประเภทอื่น ๆ เพิ่มเติม โดยล่าสุดบริษัทไทยได้เข้าร่วมโครงการการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นการลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนโครงการแรกของผู้ลงทุนไทยในมัลดีฟส์ ขณะที่เอกอัครราชทูตมัลดีฟส์ฯ ขอบคุณการลงทุนที่มีศักยภาพอย่างยิ่งของภาคเอกชนไทย โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว พร้อมให้ความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมัลดีฟส์จะอำนวยความสะดวกและดูแลการลงทุนของไทยในมัลดีฟส์อย่างเต็มที่ 

“จุรินทร์” เผยประชาธิปัตย์มี “เศรษฐกิจทันสมัย” เป็นคำตอบขับเคลื่อนไทย 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  ร่วมงาน FINVERSE Financial TRENDS 2022 New Economic Forum จัดขึ้นที่ไปรษณีย์กลาง บางรัก พร้อมกับกล่าวถึงที่มาของงานว่า เกิดจากความคิดของประชาธิปัตย์ที่ต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศทั้งในปัจจุบันและในวันข้างหน้าถ้าเรามีโอกาสรับใช้บ้านเมืองต่อไปในอนาคต ซึ่งได้เล็งเห็นมาตั้งแต่ 2 ปีก่อนหลังจากตนรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคว่า ลำพังการขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้น เราจะอาศัยเฉพาะทีมงานเศรษฐกิจมหภาคขับเคลื่อนประเทศอย่างที่เคยทำมานั้นไม่พอ แต่เศรษฐกิจทันสมัยเป็นเรื่องที่จะก้าวเข้ามาหาเรา และเราต้องผ่านไปให้ได้ อยู่ด้วยกันให้ได้เพื่อพาประเทศนำไปสู่ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ ให้มากขึ้น 

ด้วยเหตุนี้พรรคประชาธิปัตย์ จึงมีทีมเศรษฐกิจทันสมัย โดยมอบหมายให้ ปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคตามภารกิจ เป็นหัวเรือใหญ่ และที่ผ่านมามีกิจกรรมหลายอย่าง และวันนี้เป็นอีกครั้งที่จัดหัวข้อเศรษฐกิจยุคใหม่ในรูปแบบซีรีส์ และวันนี้ถือเป็นการนับหนึ่ง เรื่อง New Economic forum Series โดยเริ่มจากเทคโนโลยีทางด้านการเงิน เนื่องจากเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้นโดยเฉพาะที่ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดเชื้อโควิด เพราะคนพบกันยากขึ้น เทคโนโลยีจึงเป็นตัวเชื่อมสำคัญให้คนมีโอกาสพบกันผ่านจอได้ ดังนั้นเทคโนโลยีจึงสำคัญยิ่งและมามาก มาเร็ว กว่าที่คิดไว้ เพราะนั้น Blockchain Cryptocurrency Metaverse และ Digital Art จึงเป็นหัวข้อสำคัญกับยุคสมัย 

ซึ่งในงานจะมีวิทยากรหลายท่านจะมาให้คำตอบ และเป็นประโยชน์กับผู้ร่วมงาน รวมถึงจะเป็นประโยชน์กับประชาธิปัตย์ด้วย ทั้งหมดจะบันทึกไว้และจะได้นำไปปรับใช้เพื่อขับเคลื่อนประเทศต่อไปในอนาคต เป็นนโยบายของพรรค ซึ่งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย วันนี้จึงเป็นรูปธรรมของการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาธิปัตย์ในการกำหนดนโยบายเพื่อเดินหน้าประเทศต่อไป

สำหรับซีรีส์ต่อๆ ไปนอกจากเทคโนโลยีด้านการเงินแล้ว ยังมีเรื่อง Bio Economy ที่ตนให้ความสำคัญ เพราะในอนาคตประเทศจำเป็นต้องขับเคลื่อนหลายด้าน ซึ่งได้มอบหมายให้นายอรรถ เหมวิจิตรพันธ์ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ต้น แม้จะได้ข้อสรุปหลายเรื่อง แต่ยังต้องการความเห็นเพิ่มเติมเพื่อจะนำไปเติมเต็มต่อไป

นอกจากนี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่าเรื่อง Bio Economy นั้น นอกจากเป็นทางเลือกสำหรับขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศแล้ว ก็ยังเป็นทางรอดอีกทางหนึ่ง เพราะ Bio Economy เป็นการใช้ Local Content สูงมาก ทำให้โอกาสที่เงินจะไปตกหล่นที่อื่นน้อยกว่าหลายตัว ซึ่งในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้นำมาเรียงดูแล้วจะเห็นว่าหากนำ Bio Economy มาขับเคลื่อนจะทำให้มีกำไรเหลือในประเทศสูง เนื่องจากประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก และเป็นประเทศที่มีพื้นฐานเกษตรกรรม ที่วัตถุดิบจำนวนไม่น้อยเป็นวัตถุดิบฐานเกษตร ซึ่งจะทำให้สอดรับกับการที่ประเทศไทยจะพัฒนา Bio Economy เพื่อนำรายได้ให้ประเทศอย่างจริงจังต่อไป 

นอกจากนี้ยังมีหัวข้อถัดๆ ไปที่จะจัดขึ้นจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Creative Economy ซึ่งไม่ใช่แค่สร้างผลิตภัณฑ์ หรือสร้างบริการมูลค่าเพิ่มให้ประเทศ หรือทำรายได้ให้เจ้าของกิจการ แต่ Creative Economy ต้องตั้งเป้าหมายที่จะทำให้สินค้า บริการเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงไม่ใช่แค่เพิ่มมูลค่าเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ อย่าง Digital Economy ในภาพรวม เรื่อง Silver Economy ซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ที่เราต้องให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ของผู้สูงอายุ ที่จะมีจำนวนมากขึ้น และประเทศไทยก็กำลังก้าวเข้าสู่ Aging Society 

รมช. กลาโหม รับเมียนมาทะลักเข้าไทยอยู่ศูนย์พักพิงชั่วคราวกว่า 2,000 คนแล้ว

ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม กล่าวถึง กรณีที่ผู้หนีภัยจากการสู้รบในพื้นที่ชายแดนประเทศเมียนมา และได้เข้าไทยบริเวณชายแดนแม่สอด จังหวัดตากอย่างผิดกฎหมายหลังมีสงครามภายใน ว่าพยายามที่จะดูแลพี่น้องประชาชนอย่างดีที่สุดโดยให้ศูนย์บัญชาการชายแดนจังหวัดตาก และหน่วยทหารในพื้นที่ร่วมการสนับสนุนการดำเนินการ 

"นายกฯ" หนุนไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ย้ำ บทบาทไทยในฐานะดีทรอยต์แห่งเอเชีย 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการขับเคลื่อนตามนโยบายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมตั้งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนอุตสาหกรรมก้าวหน้าที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมยานยนต์อัจฉริยะ ล่าสุดบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ได้ประกาศแผนการลงทุนมูลค่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 28,000 ล้านบาท ยกระดับกระบวนการผลิตในโรงงานด้วยเทคโนโลยีและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมที่ล้ำสมัย และเป็นการลงทุนในประเทศไทยครั้งใหญ่ในรอบ 25 ปี ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย มูลค่าการลงทุนสะสมกว่า 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1 แสนล้านบาท

ด้านบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA)เริ่มลงทุนเดินหน้าผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน และระบบกักเก็บพลังงานแบบครบวงจรที่ทันสมัย ซึ่งมีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และเป็นโรงงานแบตเตอรี่แห่งแรกที่มีกำลังการผลิตสูงถึง 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ในเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พร้อมยังเตรียมขยายกำลังการผลิตสู่ 50 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปีตามแผนในอนาคต ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ไทยเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมแบตเตอรี่รายใหญ่ที่สุดอาเซียนด้วย

นายธนกร กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย คิดเป็นประมาณ 5.9 เปอร์เซ็นต์ ของ GDP หรือประมาณ 11% ของ GDP ภาคอุตสาหกรรมในปี 2563 ไทยมีการผลิตรถยนต์รวม 1.4 ล้านคัน เป็นอันดับที่ 11 ของโลก  มีมูลค่าการส่งออกรวม 919,000 ล้านบาท และยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 นี้ การผลิตรวมราว 1.6 ล้านคัน ขยายตัวร้อยละ 15 และปี 2565 คาดว่าการผลิตจะขยายตัวอยู่ที่ 1.7 ล้านคัน โดยโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ไทยประกอบด้วยผู้ผลิตรถยนต์ 19 ราย ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ 10 ราย ผู้ผลิตชิ้นส่วนมากกว่า 2,300 ราย รวมแรงงานในภาคอุตสาหกรรม 750,000 คน 

นายธนกร กล่าวว่า ตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ย้ำให้ไทยรักษาความเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย โดยให้เตรียมพร้อมปรับทักษะ( Up-skill  Re-skill )ของภาคการผลิตของไทย สร้างนวัตกรรมใหม่ สร้างเศรษฐกิจมูลค่าสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ซึ่งเป็นทิศทางการผลิตของยานยนต์โลก รวมทั้งนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และแก้ปัญหามลพิษ ฝุ่น PM 2.5 เพื่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน 

โฆษกรัฐบาลเผย ”บิ๊กตู่” สั่งการเดินหน้า พลิกโฉมประเทศด้านการท่องเที่ยว ปรับยุทธศาสตร์เน้นการท่องเที่ยวคุณภาพ และความยั่งยืน 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินนโยบายตามแผนพลิกโฉมประเทศด้านการท่องเที่ยว โดยปรับยุทธศาสตร์เน้นการท่องเที่ยวคุณภาพ และความยั่งยืน (high-value and sustainable tourism) ภายใต้แผน 3R ประกอบด้วย (1) Reopen (ไตรมาสที่สามปี 2564) ช่วงทดลองเปิดประเทศภายใต้นโยบาย Phuket Sandbox (2) Recover (ไตรมาสที่สี่ปี 2565) การเปิดประเทศเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2564 และ (3) Resilient (ปี 2566-2570) การส่งเสริมการท่องเที่ยวไปสู่การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและความยั่งยืน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเล็งเห็นว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน หลายประเทศได้ปรับมาตรการด้านการเดินทางเข้า-ออกประเทศ ไทยจึงได้เตรียมแผนที่จะเปิดจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ มาเลเซีย เมียนมา ลาว และกัมพูชา ทั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ว่าน่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยเป็นประมาณ 8-15 ล้านคน และมีรายได้รวมทั้งสิ้นประมาณ 1.3-1.8 ล้านล้านบาท ในปี 2565 ซึ่งหากสามารถเปิดชายแดนได้ตามแผนก็คาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าที่ 15 ล้านคน

ละเมิดสิทธิ? นิวซีแลนด์เตรียมแผนห้ามวัยรุ่นเกิดหลังปี 2008 ซื้อ-สูบบุหรี่ | NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช EP.33

อีกบทพิสูจน์ครั้งใหญ่ของรัฐบาลนิวซีแลนด์ หลังวางยุทธศาสตร์ เป็นประเทศปลอดบุหรี่ให้ได้ในปี 2025

แต่ปัญหา คือ ภายใต้ยุทธศาสตร์สู่ปลายทางที่ยิ่งใหญ่ ดันไปเกี่ยวโยงกับประเด็นอ่อนไหว เช่น การ ‘ละเมิดสิทธิ’ 

หลังจากทางรัฐบาลนิวซีแลนด์เตรียมแผน ‘ห้ามวัยรุ่น’ ที่เกิดหลังปี 2008 ซื้อและสูบบุหรี่ ซึ่งฝ่ายที่คัดค้านเรื่องนี้ ก็เดินหน้ากดดันเต็มที่ว่านี่คือการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพส่วนบุคคลของผู้สูบบุหรี่ครั้งใหญ่ แถมอาจจะทำให้บุหรี่ถูกผลักไปอยู่ในตลาดมืด จนทำให้เกิดธุรกิจสีเทา การลักลอบขนส่งบุหรี่อีกด้วย

บทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ก็คงต้องติดตามดูกัน...

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระและอาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

.

.

Fake is Real ก้าวผ่าน...ปากเหวแห่ง ‘ความบิดเบือน’ | Contributor EP.22

ต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้ เฟกนิวส์ หรือ ข่าวเท็จ/ข่าวปลอม ที่ว่อนอยู่ทั่วสังคมไทย โดยเฉพาะในโลกโซเชียล สร้างความสับสนต่อคนไทยจำนวนไม่น้อย

งานนี้ คือ งานยากที่คนในรัฐบาลดูเหมือนจะตั้งรับได้ช้า จนต้องดึงภาคสังคมที่มีความชำนาญการมาช่วยจัดการ ซึ่งก็เริ่มเห็นว่าในช่วงหลังมีผู้ช่วย ที่ออกมาแก้ต่างเฟกนิวส์สุดบิดเบือนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการคลี่คลายความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ในเมืองไทย 

ในวันนี้ Contributor พามาคุยกับ…

‘ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต’ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)

หนึ่งในผู้ที่คอยสื่อสารและสร้างความเข้าใจกับประชาชน ตั้งแต่ การชี้แจงข่าวปลอม ข่าวบิดเบือน และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับข้อมูลที่ควรต้องเชื่ออย่างรวดเร็ว

เพื่อให้คนในสังคมไทยไม่ตกหล่ม ‘โลกบิดเบือน’ ในยุคข่าวเท็จสะเทือน ‘ความจริง’ จนบางคนมองเป็น ‘ข่าวจริง’

Fake is Real
ก้าวผ่าน...ปากเหวแห่ง ‘ความบิดเบือน’

'แรมโบ้' จวก 'ฝ่ายค้าน' ตั้งใจทำสภาล่ม ขอ ประชาชนลงโทษ สมัยหน้าอย่าเลือกเข้าสภา เหตุ ทำตัวสกปรก รกรุงรัง น่าอับอายที่สุด เสียดายเงินเดือน ส.ส.ที่มาจากภาษี

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน ระบุสภาฯล่ม เป็นการบ่งบอกถึงความไม่พร้อมของรัฐบาล และฝ่ายค้านไม่ได้เล่นเกม ไม่ใช่ต้นเหตุสภาฯล่ม ว่า พรรคฝ่ายค้านควรตั้งสติและลองทบทวนดูว่าในที่ประชุมมีฝ่ายค้านเข้าร่วมประชุมกี่คน และฝ่ายรัฐบาลเข้าร่วมประชุมกี่คน จากการตรวจสอบพบว่า ฝ่ายรัฐบาลมีส.ส. 268 คน ออกเสียง 219 คน แต่ส.ส.ฝ่ายค้าน มี 208 คน มาออกเสียงเพียง 14 คนเท่านั้น  ดังนั้นฝ่ายค้านไม่ควรที่จะออกมาโทษ ส.ส.จากฝั่งรัฐบาลเพียงอย่างเดียว

ขณะเดียวกันหัวหน้าพรรคเพื่อไทยยังออกมายอมรับแล้วว่าปัญหาสภาล่มหากมีการมองว่าเป็นเกมการเมือง ก็ไม่เถียง แต่เป็นการเล่นเกมการเมืองแบบโปร่งใส รัฐบาลมีหน้าที่เป็นฝ่ายรักษาองค์ประชุมในฐานะเสียงข้างมาก ซึ่งฝ่ายค้านจะให้บทเรียนรัฐบาลแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะปรับตัวเอง หรือจนกว่าจะยุบสภา  ซึ่งตนเองมองว่าการออกมาพูดแบบนี้เป็นการแก้ตัวน้ำขุ่นๆ และเป็นการแถไปเรื่อย ให้ตัวเองดูดี แต่ประชาชนเขารู้ทันอยู่แล้ว

เป็นถึง ส.ส. ผู้ทรงเกียรติในสภาฯแต่กลับไม่มีสมองคิด ทำผิดต้องยอมรับผิด ทำตัวไม่มีความน่าเชื่อถือ จะเป็นฝ่ายค้าน หรือ รัฐบาล ก็ถือว่าเป็น ส.ส. เช่นเดียวกัน มีหน้าที่ลงพื้นที่รับฟังปัญหาของประชาชน และเข้าประชุมสภาฯ แต่จะมาบอกว่าตนเองเป็นฝ่ายค้าน จึงไม่ต้องเข้าประชุม หากสภาฯล่มก็ถือเป็นความผิดของฝ่ายรัฐบาล แบบนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง 

ขอให้เลิกนิสัยเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นได้แล้ว และอย่าคิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้ว่าพรรคฝ่ายค้านจะทำอะไร เป็น ส.ส. มีหน้าที่ลงพื้นที่และประชุมสภาฯ ยังทำไม่ได้ แบบนี้จะดูแลประชาชนในพื้นที่ได้อย่างไร เสียดายเงินเดือน ส.ส.ที่มาจากภาษีของประชาชน 

"แสนยากรณ์" ชี้ ก่อนแก้ปัญหาอภัยโทษคดีทุจริต พรรคการเมืองใน ครม. ควรขอโทษสังคมก่อน เหตุออกมติ ครม. ทำให้หลายฝ่ายไม่สบายใจ 

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้า  กล่าวถึงกระแสวิจารณ์การลดโทษให้นักโทษคดีทุจริตจำนำข้าวว่า การลดโทษเนื่องในโอกาสสำคัญปีนี้เกิดขึ้น 2 ครั้ง ซึ่งจะต้องผ่านความเห็นชอบโดย ครม. ก่อนจะออกมาเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่เมื่อเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ก็ค่อยออกมาแก้กันทีหลัง ทำให้รู้ว่าการพิจารณาเรื่องนี้ ไม่ได้คำนึงถึงหลักความเหมาะสมตั้งแต่แรก 

"ตอนเห็นชอบเป็นมติ ครม. รัฐมนตรีจากพรรคตัวเองก็อยู่ในที่ประชุม ไม่มีใครทัก ไม่มีใครห้ามกันบ้าง พอเกิดปัญหา พรรคการเมืองบางพรรคก็จะเสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ส่วนรัฐบาลก็ตั้งกรรมการอิสระขึ้นมาดู ทั้งที่ต้นเหตุมาจากที่ประชุม ครม. แท้ๆ แบบนี้ควรจะขอโทษให้สังคมสบายใจก่อนครับ แล้วค่อยไปแก้ปัญหา" นายแสนยากรณ์ กล่าว 

'บิ๊กตู่' ย้ำ ใช้ ATK ตรวจช่วงปีใหม่ - ศบค. เปิดให้ดื่มสุราในร้านอาหาร แค่คืนส่งท้ายปีเก่า 31 ธ.ค. เท่านั้น - ขอให้ทุกคนเฉลิมฉลองอย่างมีสติ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวันวันนี้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 3,370 ราย  ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวัง  2,974 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 35 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำ ที่ต้องขัง 93 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 30 ราย  ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 28 ราย  มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 เม.ย. 64 จำนวน 2,159,766 ราย จำนวนผู้ที่หายป่วยสะสมจำนวน 2,096,543 ราย

ทั้งนี้  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุขยกระดับการใช้ชุดตรวจ ATK ด้วยตัวเอง เพื่อทดสอบผลการติดเชื้อก่อนเข้าร่วมกิจกรรม โดยเฉพาะในช่วงที่จะมีการจัดงานปีใหม่  ที่มีการรวมตัวมากกว่า 1 พันคน จะต้องดำเนินการจัดงานอย่างปลอดภัยภายใต้มาตรการทางสาธารณสุข โควิดฟรีเซ็ตติ้ง โดยผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมงานต้องฉีดวัคซีนครบโดส และต้องมีผลตรวจ ATK ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเข้าร่วมงาน เพื่อเฝ้าระวังอย่างสูงสุด

ส่วนการจัดงานที่ต่ำกว่า 1 พันคน ผู้จัดงานจะต้องฉีดวัคซีนครบและมีผลตรวจ ATK สำหรับผู้เข้าร่วมงานต้องฉีดวัคซีนครบและแสดงผลฉีดวัคซีนก่อนเข้าร่วมงาน ที่สำคัญ ขอให้ประชาชนให้ความสำคัญกับเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน ซึ่งจะต้องมีการแสดงในรับรองการฉีดวัคซีนมากขึ้นเพื่อการเข้ารับบริการ หรือเพื่อการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อกรณีที่มีผู้แอบอ้างว่าสามารถออกใบรับรองวัคซีนโควิด-19 ได้โดยไม่ต้องฉีดวัคซีน ซึ่งทั้งผู้ออกใบรับรองและผู้ใช้ใบรับรองวัคซีนปลอม จะมีโทษทั้งคู่ เพราะอาจทำให้เกิดการแพร่เชื้อได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top