Saturday, 4 May 2024
POLITICS

‘โรม’ ห่วง ใช้ ‘แก๊สน้ำตา - กระสุนยาง’ เป็น ‘มาตรฐานปกติ’ คือการทำร้ายประชาชนเพื่อทำลายสิทธิเสรีภาพ ชี้ ศาลแพ่งคุ้มครองชั่วคราว ระงับคำสั่ง ‘ห้ามเผยแพร่ความกลัว’ ของ ‘ประยุทธ์’ สะท้อน ขัดรัฐธรรมนูญและผิดจริยธรรม เตรียมยื่น ปปช.สอบ ตาม ม.234 สัปดาห์หน้า

ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของพรรคก้าวไกล รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงใน 3 ประเด็น ได้แก่ ความเห็นต่อมาตรการสลายการชุมนุมและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้ความรุนแรงเกินสัดส่วน เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา ,ความเห็นต่อกรณีศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้ประกาศฉบับ 29 ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีการบังคับใช้ และข้อสังเกตต่อคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 83 และมาตรา 91 ที่มีความเร่งรัดและไม่เป็นไปตามหลักการรัฐสภา

ทั้งนี้ รังสิมันต์ กล่าวว่า พรรคก้าวไกลรู้สึกผิดหวังที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมการชุมนุมของประชาชนด้วยความรุนแรงและกังวลว่าความรุนแรงแบบนี้จะขยายตัวไปเรื่อยๆ จากที่ได้ติดตามมาตลอดพบว่าความรุนแรงของการควบคุมการชุมนุมมีความรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ก่อนหน้านี้การฉีดน้ำแรงดันสูงหรือยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมยังไม่มากขนาดนี้ และการใช้กระสุนยางยิ่งไม่บ่อยนัก แต่ช่วงที่ผ่านมา การใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางกับผู้ชุมนุมเหมือนกลายเป็นมาตรฐานการควบคุมการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ไปเสียแล้ว

“เมื่อวานช่วงเที่ยง มีหลักฐานเป็นภาพเคลื่อนไหวว่า มีการใช้กระสุนยางกับคนในบริเวณนั้นซึ่งอาจแค่มารอการชุมนุมที่จะมีขึ้นในตอนบ่ายโมง คือยังไม่ทันทำอะไร แค่มารอและคนยังเบาบาง แต่กลับมีการควบคุมสถานการณ์และบีบพื้นที่เข้ามา ธรรมชาติของการชุมนุมที่มีคนหลายพันคน อาจมีคนหลายประเภทในนั้น จริงอยู่ว่าที่อาจมีบ้างที่เตรียมอุปกรณอย่างหนังสะติ๊กมาเพื่อตอบโต้เจ้าหน้าที่ แต่ก็มีคนจำนวนมากเช่นกันที่มีแค่กระดาษเพื่อมาเรียกร้องต่อรัฐบาลในความเดือดร้อนของเขาอย่างสันติ การใช้ความรุนแรงในการจัดการจึงทำให้เสียงของเขาเหล่านี้หายไปด้วยเช่นกัน”

รังสิมันต์ กล่าวว่า ตนได้ไปสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดบริเวณดินแดง เชื่อว่าภายในหนึ่งนาที มีการยิงแก๊สน้ำตาไม่ต่ำกว่า 3 ลูก จำนวนหนึ่งไปตกอยู่บริเวณบ้านเรือนใกล้เคียงที่ชุมนุมและปั๊มน้ำมัน สะท้อนว่าเป็นการยิงดะโดยไม่สนว่าผู้ชุมนุมมีพฤติการณ์รุนแรงหรือไม่ ทั้งนี้ ตามมาตรฐานในการควบคุมการชุมนุมที่ควรเป็น อุปกรณ์เหล่านี้ควรใช้กับต่อกรณีที่เผชิญกับพฤติการณ์รุนแรงจริงๆ เช่น มีการฝ่าไปจะทำร้ายเข้าหน้าที่ แต่การใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกิดขึ้นคือการใช้เพื่อทำลายการชุมนุมซึ่งเป็นเสรีภาพประชาชน ขอย้ำว่าการใช้ความรุนแรงไม่ใช่การแก้ปัญหาในกรณีที่ประชาชนออกมาเรียกร้องเนื่องจากได้รับความเดือดร้อนจากรัฐบาล ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการตอบโต้ด้วยการทำงานให้มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด หรือไม่การลาออกก็เป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งในการแก้วิกฤตการเมืองได้ อย่าใช้เจ้าหน้าที่เป็นเครื่องมือทำร้ายประชาชน เพราะเรารู้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้ถูกฝึกในการรับมือสถานการณ์อย่างถูกต้องมาแล้ว เราอยากเห็นความอดกลั้น ซึ่งในส่วนผู้ปฏิบัติหน้าที่ชั้นผู้น้อยก็พอเห็นความพยายามอยู่ แต่ในส่วนผู้อยู่ในตำแหน่งและมีอำนาจตัดสินใจก็มีคำถามว่าเหมือนจะต้องการให้บานปลายหรือไม่ 

ประเด็นที่สอง การออกข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่อนุญาตให้ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ซึ่งอาจส่งผลต่อการรับรู้ข่าวสารของประชาชน ล่าสุด ศาลแพ่งได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่มีประเด็นสำคัญสองประเด็น คือ หนึ่ง การออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะเกินความจำเป็นต่อสถานการณ์ สอง คือการไม่มีอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้ตัดอินเทอร์เน็ตได้ ดังนั้น ในสัปดาหหน้า พรรคก้าวไกลจะรวบรวมหลักฐานเพื่อทำคำร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ปปช.) ตาม มาตรา 234 อนุ 1 ตามรัฐธรรมนูญเพื่อเอาผิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยรายละเอียดของมาตรานี้ว่าด้วย ปปช. มีหน้าที่และอํานาจไต่สวนและมีความเห็นกรณีมีการกล่าวหาว่าผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ หรือผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพื่อดําเนินการต่อไปตามรัฐธรรมนูญหรือตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งกรณีนี้เห็นได้ชัดว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ออกข้อกำหนดที่ศาลวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ และยังมีความผิดในเรื่องจริยธรรม เช่น ข้อที่ 7 ต้องถือผลประโยชน์ประเทศชาติเหนือกว่าผลประโยชน์ส่วนตน ซึ่งการห้ามกระทั่งการเผยแพร่ข่าวจริงจึงเป็นการกระทำที่อาจจะเกินเลยกว่าผลประโยชน์ของชาติ หรือข้อที่ 12 จะ ต้องยึดมั่นในหลักนิติธรรม เป็นต้น

ทั้งนี้ รังสิมันต์ กล่าวว่า หาก ปปช.วินิฉัยว่ามีมูล จะต้องดำเนินต่อตาม มาตรา 235 หากเป็นการผิดจริยธรรมร้ายแรงต้องส่งต่อเพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัย แต่หากผิดจริยธรรมไม่ร้ายแรงต้องส่งต่อไปยังอัยการสูงสุดเพื่อส่งต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และหากมีการรับเรื่องไว้พิจารณา พล.อ.ประยุทธ์ก็จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที

ประเด็นที่สาม ความคืบหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  รังสิมันต์ กล่าวว่า ปัจจุบันมีการตั้งกรรมาธิการเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจากการยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภาเพื่อพิจารณา 13 ฉบับ ปรากฏว่า
มีเพียงฉบับเดียวที่ผ่านการรับหลักการของสภาในวาระที่ 1 คือ ร่างที่เสนอมาโดยพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งระบุในหลักการอย่างชัดเจนว่า เพื่อแก้ 83 และ 91 โดยทั้งสองมาตราไม่ใช่การแก้เรื่องระบบเลือกตั้งทั้งหมด 

“ปรากฏว่าในกระบวนการพิจารณาชั้น กมธ. ผมซึ่งอยู่ในกมธ.ด้วย สังเกตว่ามีความพยายามเร่งรัดเพื่อแก้รัฐธรรมนูญอย่างรวดเร็วจนผิดปกติ โดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธาน กมธ. ต้องการพิจารณาให้เสร็จในสัปดาห์นี้ ในสถานการณ์โควิดที่ประชาชนกำลังลำบากกลับไม่พบว่าประชาชนจะมีส่วนร่วมในกระบวนการแก้รฐธรรมนูญได้เลย ทั้งที่เรื่องระบบเลือกตั้งซึ่งก็คือการกำหนดว่าเขาจะได้รัฐบาลแบบไหนมาบริหาร ประชาชนก็ควรมีสิทธิ มีปากมีเสียงในการแสดงความเห็นว่าเขาต้องการเห็นระบบอะไร เราเห็นแต่การรวบรัดโดยไม่สนใจขั้นตอนปฏิบัติ เป็นการแก้รัฐธรรมนูญในแบบที่คนไม่กี่คนมาสุมหัวกันโดยประชาชนไม่มีสิทธิอะไร ที่สำคัญก็คือคนที่แก้ต้องการให้ผลลัพธ์ที่ออกมาตรงกับ ร่างที่สภามีมติไม่รับหลักการไปแล้ว หากเป็นแบบนี้กลไกสภาและสิทธิประชาชนอยู่ตรงไหน จึงอยากให้จับตาว่ารัฐธรรมนูญจะมีหน้าตาอย่างไรต่อไป เพราะในสัปดาห์หน้าจะเป็นสัปดาห์ของการแก้รัฐธรรมนูญ”

“รองโฆษกพปชร.” ชง “นายกฯ”ปรับครม. โยก “บิ๊กป็อก” นั่งคุมสธ. ให้ “อนุทิน”เป็นมท.1

นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.เขต นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดในขั้นรุนแรง ซึ่งทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นสูงสุดติดต่อกันเกือบทุกวัน จนทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งขาดความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการสถานการณ์ จึงขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พิจารณาปรับเปลี่ยนตำแหน่งรัฐมนตรีในการบริหารงานของรัฐบาลใหม่ โดยสลับให้พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีมหาดไทย รมว.มหาดไทย มาเป็นรมว.สาธารณสุข เนื่องจากบุคลิกการทำงานที่เป็นผู้นำ มีความเด็ดขาดของทหาร สามารถสั่งการ ทั้งเรื่องของควบคุมการแพร่ะระบาดโควิด การตรวจเชื้อเชิงรุก และการจัดสรรวัคซีน และทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายไปได้ เพื่อแก้ไขสถานการณ์การควบคุมโควิด-19 ที่จะต้องรัดกุม และเด็ดขาด ทำให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้

ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข เหมาะสมที่จะเป็นรมว.มหาดไทย เนื่องจาก นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล บิดา เคยดำรงตำแหน่งดังกล่าวมาแล้ว สามารถถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานได้ รวมทั้งประสบการณ์ของนายอนุทิน ซึ่งเคยบริหารบริษัทเอกชนมาแล้ว จะสามารถนำมาปรับใช้กับรูปแบบการบริหารในส่วนของการปกครองที่จะต้องกระจายอำนาจให้กับส่วนภูมิภาคได้ 

ทั้งนี้ตนเสนอในนามส.ส.มีหน้าที่ดูแลประชาชน และเห็นว่าควรมีการปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อให้ การดูแลและแก้ไขสถานการณ์โควิดในปัจจุบันสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ต่อการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาลได้มากยิ่งขึ้น

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอประณามผู้ชุมนุมกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่ออกมาเคลื่อนไหว ม็อบ 7ส.ค.

ซึ่งไม่เป็นไปตามกฎหมาย มีการก่อเหตุรุนแรงก่อน มีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำลายทรัพย์สินของราชการ  และมีความผิดกฎหมาย ทั้งพ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้าควบคุมสถานการณ์ตามขั้นตอน   นอกจากนี้ตำรวจยังสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 8 คน พร้อมของกลาง ประกอบด้วย พลุไฟ สิ่งเทียมวัตถุระเบิด, หัวน็อต , หนังสติ๊ก, วิทยุสื่อสาร, เกราะอ่อนพลาสติก รวมถึงหมวกนิรภัย และหน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตา น้ำเกลือจำนวนมากจึงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่ากลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้ตั้งใจเคลื่อนไหวที่จะมาเรียกร้องตามข้อเรียกร้อง แต่เป็นการเตรียมตัวมาเพื่อที่จะสร้างความรุนแรงวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง 

“ขอเตือนไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมหากจะออกมาเคลื่อนไหว ทำให้ประชาชนเกิดความเดือดร้อน และเพื่อสร้างความรุนแรงตามใบสั่งของแกนนำม็อบและนายทุนที่สนับสนุน เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องบังคับและทำตามกฎหมายที่มีอยู่อย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุม หรือแม้แต่ผู้ที่สนับสนุนผู้ชุมนุมโดยเฉพาะนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า หรือแม้แต่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ก็ไม่ควรออกมาเรียกร้องเช่นเดียวกันว่าเจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ  ใช้กำลังกับกลุ่มผู้ชุมนุม และจะต้องถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกับผู้ชุมนุมถ้าตรวจสอบพบหลักฐานว่ามีการสั่งการเชื่อมโยงกับม็อบกลุ่มนี้จะเจ้าหน้าที่ไม่ปล่อยให้ลอยนวลเด็ดขาด”นายเสกสกลกล่าว

นายเสกสกล กล่าวว่า หากนายธนาธร จึงรุ่งเรื่อวกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า แน่จริงก็ไม่ควรที่จะหลอกใช้เยาวชน หรือเป็นอีแอบ อยู่เบื้องหลังเยาวชนในการเคลื่อนไหว เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเองเท่านั้น ทั้งนี้ มองว่าการที่นายธนาธร และนายปิยบุตร ไม่กล้าออกมา เพราะอาจไม่อยากรับผิดชอบในเรื่องใด แต่อยากได้ประโยชน์จากเยาวชนกลุ่มนี้” 

"พี่น้องประชาชนที่จงรักภักดีคนไทยส่วนใหญ่ทนไม่ไหวกับพฤติกรรมม็อบก้าวล่วงจาบจ้วงสถาบันกลุ่มนี้ ใช้ความรุนแรงอย่างป่าเถื่อนใช้อาวุธหนังสติ๊กลูกเหล็ก ระเบิดไฟ ระเบิดเพลิง ปะทัดยักษ์ระเบิดปิงปอง และอาวุธสารพัดชนิด ถล่มใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างหนัก จนได้รับบาดเจ็บหลายนายบางคนบาดเจ็บสาหัสแทบเอาชีวิตไม่รอด พฤติกรรมเช่นนี้นายธนาธรยังกล้าออกมาพูดว่า ม็อบสู้สองมือเปล่า มีความคิดสร้างสรรค์เป็นอาวุธ นายธนาธรช่างกล้าออกมาพูด ไม่อายปากตัวเอง ยิ่งพูดยิ่งทำให้ประชาชนเข้าใจชัดเจนมากขึ้นว่า นายธนาธรจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังวางแผนเกี่ยวข้องกับม็อบกลุ่มนี้ คงไม่ต้องเป็นอีแอบอีกต่อไป ตนก็ขอท้านายธนาธร นายปิยะบุตร แน่จริงอย่าเป็นนักปั่น ยุยงอยู่เบื้องหลัง ให้ออกมาเป็นแกนนำม็อบเหล่านี้ให้ชัดเจนไปเลย อย่าเกาะหลังเด็กหากินกับเด็ก ให้ออกไปสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายในบ้านเมือง นิสัยประเภทนี้เขาไม่เรียกว่า ลูกผู้ชายตัวจริง ประเภทพวกหนักแผ่นดินคิดร้ายต่อบ้านเมือง ทำลายประเทศชาติมากกว่า" นายเสกสกลกล่าว

แจงประเด็นโซเชียลมีเดียวิจารณ์ “อนุทิน” กรณีมอบวัคซีนไฟเซอร์จังหวัดนครสวรรค์ “ยัน”เกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อน  

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่โซเชียลมีเดียนำภาพซึ่งระบุว่ามาจากงานภารกิจนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ลงพื้นที่เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2564 เพื่อตรวจเยี่ยมการดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่โรงพยาบาลท่าตะโก อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ มาโพสต์พร้อมระบุข้อความว่ารองนายกรัฐมนตรีเคลมว่าวัคซีนไฟเซอร์เป็นผลงานของตนเองนั้น เป็นการแสดงข้อความที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงและทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด  

ข้อเท็จจริงคือรองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจการทำงานแก่เจ้าหน้าที่ในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งพร้อมกับการลงพื้นที่ก็ได้มีการตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ล็อตที่ได้รับบริจาคจากประเทศสหรัฐฯ ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครสาธารณสุขและบุคลากรด่านหน้าในพื้นที่ด้วย ส่วนการจัดเตรียมป้าย หรือข้อความต่างๆ ก็จัดโดยเจ้าหน้าที่ในจังหวัด ซึ่งจากการตรวจสอบก็ไม่พบข้อความที่มีการส่งต่อข้อความที่มีการส่งต่อทางโซเชียลมีเดียแต่อย่างใด  

“ในการลงพื้นที่จังหวัดหวัดนครสวรรค์ นอกจากรองนายกฯอนุทินแล้ว ยังมีปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีกรมควบคุมโรคร่วมเดินทางด้วย ซึ่งภารกิจของการลงพื้นที่คือการไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ ติดตามการดำเนินงานการควบคุมและแพร่ระบาดของโรคโควิด19  จากการสอบถามในคณะผู้ลงพื้นที่ ก็ไม่มีใครเห็นข้อความใดที่มีการส่งต่อในโซเชียลมีเดีย ก็ยังสงสัยเช่นกันว่าข้อความนั้นอยู่ส่วนใดของงาน” น.ศ.ไตรศุลี กล่าว  

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล หากเป็นการวิจารณ์บนข้อมูลและเป็นความจริง และเพื่อเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีขึ้น เป็นสิ่งที่ประชาชนทุกคนทำได้อยู่แล้ว  แต่ขอความร่วมมืออย่าสร้างและส่งต่อข้อมูลที่ก่อความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่จะกระทบต่อขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ที่เป็นด่านหน้าปฏิบัติงานอย่างหนัก  โดยเป้าหมายของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขเวลานี้คือการสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่  

รัสเซียแทรกกลาง 'จีน-สหรัฐฯ'​ เดินหน้าผูกมิตร ASEAN จริงจัง | NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

ชวนคิด​ หมีขาวขอคั่ว ‘ขั้วที่ 3’
เมื่อรัสเซียเดินหน้าผูกมิตร ASEAN 
โฉบความสัมพันธ์ออกจากอก ‘จีน-สหรัฐฯ’

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“โจ้ ยุทธพงศ์” กัด “เรืองไกร” ไม่ปล่อย ขอ “ชวน” สอบเบนซ์หรู ก่อนบรรจุ งบ65 วาระ 2-3 อัด “อาคม” ไม่ยอมสอบเรื่องนี้ ระวังโดนม. 144 ด้วย

ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี และน.ส.ชนก จันทร์ทาทอง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงข่าว

โดยนายยุทธพงศ์ กล่าวว่า เรื่องรถเบนซ์ ของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กรรมาธิการ(กมธ.)ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565  สัดส่วนพรรคพลังประชารัฐ เคยให้สัมภาษณ์เอง ว่า จริงๆ นายเรืองไกรอยากได้เงิน 30 ล้านบาท แต่อีกฝ่ายให้เป็นรถหรูราคา 5 ล้านบาทมาแทน ขณะเดียวกันนายเรืองไกรก็ยอมรับว่าถูกผู้ใหญ่ใจดีเฉ่งปมรถหรู เรื่องนี้เป็นข่าวที่นายเรืองไกรให้สัมภาษณ์เอง ปัญหาคือ นายเรืองไกรได้รับรถเบนซ์คันนี้มาขณะมีตำแหน่งเป็นกมธ.งบประมาณ มีหน้าที่พิจารณา และปรับลดงบประมาณต่างๆ ดังนั้น ตนจึงทำหนังสือร้องไปยังนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ในฐานะประธาน กมธ.งบประมาณปี 65  ให้ตรวจสอบนายเรืองไกร ตามมาตรา 144  แต่ผลปรากฎว่านายอาคมกลับไม่ดำเนินการตรวจสอบ แต่มีหนังสือไปถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบนายเรืองไกร  

“ผมมองว่าไม่ถูกต้องเพราะนายอาคมเป็นประธาน กมธ.ฯและเรื่องของนายเรืองไกรเกิดใน กมธ.ฯ นายชวนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย นายอาคมทำไมจึงไม่สอบเอง การที่ไม่ยอมสอบเองนี้นายอาคมอาจจะผิดมาตรา 144 ด้วย”นายยุทธพงศ์ กล่าว 

นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ตนได้มีหนังสือไปถึงนายชวน ลงวันที่ 30 ก.ค. 64 ด้วยว่าก่อนบรรจุวาระร่างพ.ร.บ.งบ 65 ในวาระ 2 และ 3 ขอให้ตรวจสอบเรื่องนี้กับนายอาคมก่อน ว่ารถถเบนซ์หรูนี้ได้มาอย่างไร มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการพิจารณางบประมาณของ กมธ.หรือไม่ และนายเรืองไกรต้องบอกมาว่าผู้ใหญ่ใจดีที่ให้รถเบนซ์หรูคนนั้นคือใครเพราะนายเรืองไกรบอกว่า ใหญ่กว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ ไม่เช่นนั้นการพิจารณางบฯ 65 อาจมีการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ได้

“ยุทธพงศ์” เตรียมชงชื่อ “บิ๊กป้อม” ขึ้นเขียงซักฟอก ต่อหน.พท.พรุ่งนี้

ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงว่า สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมีกการยื่นญัตติในวันที่ 16 ส.ค.นั้น คนที่จะถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจคือแน่ๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข โดยประเด็นที่ตนจะยกเป็นนำจิ้มคือ กรณีพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะที่เป็น รมว.กลาโหม เพราะกองทัพบกได้ขอเงินจากสภาฯจัดหายานยนต์สายสรรพาวุธ จำนวน 921 ล้านบาท เมื่อสภาฯอนุมัติไปแล้วแทนที่จะนำไปซื้อรถใหม่ กลับมีการเปลี่ยนแปลงงบฯเป็นเอาไปซ่อมรถ M35 ค่าซ่อมคันละ 2.5 ล้านบาท ขณะที่บริษัทซ่อมรถดังกล่าวที่เสนอราคามาแล้ว คือ บริษัท ชัยเสรีเม็ททอลแอนด์รับเบอร์ จำกัด เรื่องนี้มีความผิดปกติ เพราะขอสภาฯซื้อรถใหม่ แต่กลับเอาเงินไปซ่อมรถเก่าที่ใช้มากว่า 40 ปี และไม่มีการผลิตอะไหร่แล้ว ต้องไปเอาอะไหร่เก่าจากประเทศเกาหลีมาซ่อม ซึ่งพล.อ.ประยุทธเป็นผู้เซ็นต์เสนอเรื่องนี้เข้า ครม. 

นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่าในวันที่9 ส.ค. นายสมพงศ์ อมรวิวัฒน์ ส.สงเชียงใหม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้เชิญตนในฐานะรองหัวหน้าพรรคให้เข้าพบเวลา 13.00 น. โดยตนเตรียมเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะผู้ให้กำเนิดเรือดำน้ำในประเทศไทยตอนที่ยังเป็น รมว.กลาโหม ให้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย ซึ่งตนมีข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของประทรวงกลาโหมจำนวนมาก

“องอาจ” เสนอภาครัฐระดมหมอ พยาบาลเกษียณช่วยงานดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ว่า ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดจะลดลง ทำให้ภาครัฐพยายามหาวิธีการต่างๆ ในการแยกผู้ติดเชื้อออกมาจากผู้ไม่ติดเชื้อ ด้วยการเพิ่มระบบ Home Isolation (HI) Community Isolation (CI) ศูนย์พักคอย โรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น 

แต่การดำเนินการทุกระบบดังกล่าวจำเป็นต้องมีบุคลากรทางการแพทย์ คือ แพทย์ พยาบาล มาทำงานดูแลรักษาผู้ติดเชื้อตามมาตรฐานการดูแลผู้ติดเชื้อที่หน่วยงานภาครัฐกำหนดขึ้นมา เช่น โรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนาม มีแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ทำงานเต็มเวลาอยู่แล้ว รวมถึงการจัดตั้งศูนย์พักคอย หรือ Community Isolation (CI) ก็ต้องมีโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์เข้ามาทำงานดูแลผู้ติดเชื้อจึงจะเปิด CI หรือศูนย์พักคอยได้ ถ้าไม่มีแพทย์ พยาบาลมาทำงานก็เปิดไม่ได้ ถึงแม้จะมีสถานที่ มีอาหาร 3 มื้อ มีที่นอน หมอนมุ้ง และเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆ ก็ตาม ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ภาครัฐกำหนดขึ้น แม้แต่ระบบ HI ก็ต้องมีแพทย์ พยาบาลคอยดูแลติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

ที่ผ่านมาการทำศูนย์พักคอย และ CI เพิ่มเติมให้เพียงพอต่อการรองรับผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเป็นไปอย่างล่าช้า เพราะไม่สามารถหาสถานพยาบาลที่มีแพทย์ พยาบาลมาช่วยทำงานตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นได้ รวมทั้งเสียงติติงของผู้ติดเชื้อในระบบ HI บางส่วนที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าที่ควรจากภาครัฐก็เพราะไม่มีบุคลากรมากเพียงพอที่จะดูแล 

จึงขอเสนอภาครัฐระดมแพทย์ พยาบาลเกษียณ และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ ที่เกษียณแล้วมาช่วยงานรักษาผู้ติดเชื้อโควิด โดยมีค่าตอบแทนให้ตามสมควร

เชื่อมั่นว่าจะมีแพทย์ พยาบาลเกษียณจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะเข้ามาช่วยงาน ซึ่งจะทำให้มีคนทำงานที่มีความจำเป็นเพิ่มมากขึ้นก็จะช่วยทำให้ระบบต่างๆ ที่กำหนดขึ้นสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทุเลาเบาบางลงได้ในที่สุด

“สุทิน” จ่อเสนอ “พท.-ฝ่ายค้าน” ยื่นร้องศาลถอดถอน “ประยุทธ์” ออกจากตำแหน่งหลังศาลแพ่งคุ้มครองห้ามปิดปากสื่อ-ปชช. ลั่นผิด รธน. ซัด “บิ๊กตู่” เหิมเกริมในอำนาจมากไปแล้ว

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม  รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวกรณีศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามนายกฯ ใช้ข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 29 ให้อำนาจ กสทช.ฟันเฟกนิวส์ และตัดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสื่อจนกว่ามีคำสั่งอย่างอื่นว่า การที่ศาลแพ่งมีคำสั่งเช่นนี้ ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลได้ออกประกาศและปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการปฎิบัติหน้าที่ขัดต่อกฎหมายอีกครั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เป็นความผิดที่ชัดเจนชัดแจ้ง

ดังนั้นตนในฐานะประธานวิปฝ่ายค้านจะเสนอเรื่องเข้าหารือในที่ประชุมพรรค พท.และที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านในสัปดาห์หน้า เพื่อถอดถอน พล.อ.ประยุทธ์ออกจากตำแหน่งนายกฯ โดยจะยื่นร้องต่อศาลคดีอาญาทุจริต เพราะถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว ทั้งนี้ เราจะให้เวลาพล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่จงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อกฎหมายก่อน หากพล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลไม่แสดงความรับผิดชอบ  เราก็จะดำเนินการยื่นถอดถอน พล.อ.ประยุทธ์ทันทีเพราะถ้าไม่ทำไม่หยุดยั้งก็จะทำให้พล.อ.ประยุทธ์เหิมเกริม ใช้อำนาจขัดต่อกฎหมายจนเป็นนิสัย

“ก่อนหน้านี้ก็ออกมาพูดให้ชาวบ้านดูแลรักษาตัวเอง ทำให้ประชาชนต้องต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ด้วยการควักเงินส่วนตัวเพื่อซื้อวัคซีนเพื่อป้องกันโรค นี่ก็ถือว่า พล.อ.ประยุทธ์กระทำผิดรัฐธรรมนูญแล้ว พอมีคนทักท้วงท่านกลับออกคำสั่ง ออกข้อบังคับขึ้นมาปิดปากประชาชนอีก ท่านมีความละอายใจบ้างหรือไม่” นายสุทิน กล่าว

“บิ๊กช้าง” ย้ำเร่งตั้ง รพ.สนามและ CI และเร่งช่วยคัดกรองเชิงรุก นำผู้ป่วยเข้าระบบให้มากที่สุด

ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ  ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม  เปิดเผยว่าพล.อ.ชัยชาญ  ช้างมงคล รมช.กลาโหมและพล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ประชุมร่วมกับ กอ.รมน. นขต.กห. เหล่าทัพ และ ตร. ผ่านระบบ VTC เพื่อติดตามการสนับสนุนรัฐบาลแก้ปัญหาวิกฤตโควิด 19 

โดยภาพรวมจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคที่ยังรุนแรง และยังพบผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนมากขึ้นต่อเนื่องที่ผ่านมา กองทัพ และ ตำรวจ ยังคงความต่อเนื่องสนับสนุน กระทรวงสาธารณะสุข แก้ปัญหาวิกฤตร่วมกันต่อเนื่องมา โดยเร่งเสริมขีดความสามารถ รพ.สนาม 29 แห่ง 6,799 เตียง ที่กองทัพดูแลเดิม และอยู่ระหว่างเร่งจัดตั้ง รพ.สนามและพื้นที่แยกกักคุมโรคชุมชน ( CI ) ทั้งในหน่วยทหารทั่วประเทศและสนับสนุนการจัดตั้งหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. ให้เพียงพอรองรับจำนวนผู้ป่วยที่มีมากขึ้น  

สำหรับ รพ.สนามศูนย์คัดกรอง สโมสรทหารบก ได้เปิดบริการประชาชนแล้ว ในการตรวจคัดกรอง และนำเข้าระบบการรักษา รวมทั้งจ่ายยาและพากลับบ้าน ซึ่งมีประชาชนมารับการบริการแล้วกว่า 5,000 คน ขณะเดียวกัน กองทัพได้เสริมกำลังร่วมกับ กทม.จัดชุด CRT 200 ชุด เข้าตรวจเชิงรุกคัดแยกผู้ป่วยในชุมชนต่างๆ และสนับสนุนเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากบ้านและชุมชน เข้าสู่ระบบการรักษา ผ่านสายด่วน 1138  และ “จุดบริการประชาชน” 68 จุด ที่กระจายจัดตั้งในชุมชนต่างๆ โดย “ศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย” แล้ว กว่า 16,000 คน ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พล.อ.ชัยชาญ ได้ย้ำ ขอให้ กองกำลังป้องกันชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำ สนับสนุนภารกิจ “ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด” เฝ้าระวังคุมเข้มชายแดนทุกด้านต่อเนื่อง โดยเฉพาะ จว.ชายแดน ติดประเทศเมียนมา  และขอให้เร่งจัดตั้ง รพ.สนาม และ CI เพิ่มในทุกหน่วยทหาร รองรับการดูแลชุมชนให้มากที่สุด พร้อมทั้งขอให้พิจารณาปรับ “จุดบริการประชาชน” ให้เหมาะสมเข้าถึงชุมชนมากขึ้น เพื่อช่วยเหลือประชาชนได้ทันในทุกเหตุการณ์   ทั้งนี้ ยังให้คงความต่อเนื่องสนับสนุนการบริจาคโลหิต ตามโรงพยาบาลต่างๆ และสภากาชาดไทย ซึ่งยังอยู่ในสภาวะขาดแคลนโลหิตและมีผู้ป่วยรอการรักษาอีกจำนวนมาก

รุกกระจาย “รัฐบาล”เร่งกระจายชุดตรวจ ATK 1.1 ล้านชุด ให้แก่ 13 จว.สีแดงเข้ม

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้จัดสรรและกระจายชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) ที่ได้รับจากสมาพันธรัฐสวิส จำนวน 1.1 ล้านชุด เพื่อใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสมแล้ว โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้กระจายชุดตรวจ ATK ตามความจำเป็นเร่งด่วน อย่างทั่วถึง เป็นธรรม ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้จัดสรรไปยังจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด ตามจำนวนผู้ป่วยและความเหมาะสมแล้ว ดังนี้ กรุงเทพมหานครจำนวน 200,000 ชุด นนทบุรี ปทุมธานี จังหวัดละ 75,000 ชุด พระนครศรีอยุธยา สมุทรสาคร นครปฐม ชลบุรี สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา จังหวัดละ 75,000 ชุด 4 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา จังหวัดละ 45,000 ชุด และสำรองที่กระทรวงสาธารณสุขจำนวน 150,000 ชุด

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ได้รับมอบจากสมาพันธรัฐสวิส และได้แจกจ่ายแล้วนี้ จะมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้ไทยสามารถควบคุมจำกัดวงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ในส่วนของเครื่องช่วยหายใจ จำนวน 102 เครื่อง ที่ได้รับมอบจากสมาพันธรัฐสวิส ในโอกาสเดียวกันนี้ จะได้แจกจ่ายตามความเหมาะสมต่อไป 

รองโฆษกรัฐบาล เผย ซุปเปอร์ไรเดอร์ ส่งยาด่วน ให้ผู้ป่วยสีเขียว เป็นอาสาสมัครช่วยสธ. เผย ชุดตรวจATKจากสวิตเซอร์แลนด์ กระจายไปหลายจังหวัด

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล" ถึงกรณีหน่วยส่งยาด่วน “super rider” (ซุปเปอร์ไรเดอร์) เป็นอาสาสมัครที่เข้ามาช่วยกระทรวงสาธารณสุขในการจัดส่งยาด่วน โดยมีหน้าที่ส่งยาให้ผู้ป่วยกลุ่มที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยเป็นกลุ่มสีเขียว ซึ่งชุดที่ส่งจะประกอบด้วย ยาพารา ยาฟ้าทะลายโจร ปรอทวัดไข้เครื่อง วัดออกซิเจนแอลกอฮอล์และหน้ากากอนามัย เป็นหนึ่งโครงการดีๆที่ประชาชนมีจิตอาสามาช่วยกัน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องการได้รับชุดการตรวจหาเชื้อแบบแอนติเจน เทสต์ คิท (เอทีเค) มาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่า ในตอนนี้มีการกระจายชุดตรวจเพื่อเตรียมให้กับผู้ที่ต้องตรวจด้วยตัวเอง โดยชุดตรวจเอทีเคส่งให้กับกทม. 200,000 ชุด จังหวัดนนทบุรีและปทุมธานีได้รับ 75,000 ชุด พระนครศรีอยุธยา, สมุทรสาคร, นครปฐม, ชลบุรี, สมุทรปราการและฉะเชิงเทรา ได้รับ 70,000 ชุด จังหวัดนราธิวาส, ปัตตานี, ยะลา และสงขลา ได้รับ 45,000 ชุด มีสำรองที่กระทรวง 150,000 ชุด รวมทั้งสิ้นครบ 1.1 ล้านชุด

คนเสื้อแดงปากน้ำ ประกาศไม่เข้าร่วมม็อบบุกวัง 7 ส.ค. นี้ ย้ำ จะเข้าร่วมคาร์ม็อบ 'บก.ลายจุด' เป็นหลัก

นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์กรณีเคยประกาศรวมตัวคาร์ม็อบเพื่อชุมนุมร่วมกับแนวร่วมกลุ่มต่าง ๆ วันที่ 7 ส.ค. ว่า...

เนื่องจากการชุมนุมวันที่ 7 ส.ค.ไม่ได้ดำเนินการในรูปแบบคาร์ม็อบ ทราบมาว่า การเคลื่อนขบวนคาร์ม็อบจากทั้งกลุ่มของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ (บก.ลายจุด) และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยังไม่เกิดขึ้นวันที่ 7 ส.ค. หากดำเนินการเรื่องดังกล่าวจะมีคาร์ม็อบเพียงสายเดียวจากสมุทรปราการ ซึ่งจะไม่สามารถแสดงพลังได้เต็มที่ อยากให้การเคลื่อนขบวนคาร์ม็อบเกิดขึ้นหลายสายพร้อมกัน เพื่อให้เห็นถึงพลังประชาชนที่ต้องการขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม

"ดังนั้นจึงขอเลื่อนการเคลื่อนขบวนคาร์ม็อบจากสมุทรปราการออกไปก่อน และจะประสานงานกับคาร์ม็อบสายต่าง ๆ เพื่อรวมพลังการขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ ในคราวเดียวกันต่อไป" นายวรชัย กล่าว


ที่มา : https://www.thaipost.net/main/detail/112389


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“แรมโบ้” ไม่เห็นด้วยม็อบ 3 นิ้ว ประกาศเคลื่อนขบวนไปยังพระบรมมหาราชวัง 7 ส.ค. เป็นการจาบจ้วง ก้าวล่วงที่มิบังควร คนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย หวั่นมือที่ 3 สร้างสถานการณ์ พร้อมเตือนหากก่อความรุนแรง จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2564 นายเสกสก อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ระบุว่าไม่เห็นด้วยกับการนัดชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ ม็อบ 3 นิ้ว ในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ที่จะเคลื่อนขบวนไปยังพระบรมมหาราชวัง เพราะที่ผ่านมาการชุมนุมของม็อบกลุ่มนี้ได้สร้างความรุนแรง มีทั้งระเบิดเพลิง ระเบิดปิงปอง อาวุธ หนังสติ๊ก กระสุนเหล็กต่าง ๆ ระดมใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มที่ ยั่วยุทุกรูปแบบ ปิดถนนสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนที่สัญจรไปมาได้รับผลกระทบการทำมาหากินอย่างหนัก

และในวันที่ 7 สิงหาคม การที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะเคลื่อนขบวนไปยังพระบรมมหาราชวังนั้นยังทำให้ประชาชนคนไทยที่ปกป้องและจงรักภักดี รับไม่ได้กับวิธีคิดเช่นนี้ โดยอย่าให้ประชาชนคนไทยที่จงรักภักดี ปกป้องสถาบันต้องออกมาชุมนุมคัดค้านกับกลุ่มนี้เลย ขณะเดียวกันการเคลื่อนไปพระบรมมหาราชวังยังเป็นการจาบจ้วง ก้าวล่วงที่มิบังควร ดังนั้นสิ่งที่กำลังคิดคนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอมเด็ดขาด

“สิ่งสำคัญการชุมนุมครั้งนี้อาจจะเกิดมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ สร้างความรุนแรง เราไม่ต้องการเห็นการเกิดความรุนแรงขึ้นในการชุมนุม จึงขอเตือนม็อบว่าอย่าได้มีการเคลื่อนไหว หรือเดินทางไปที่พระบรมมหาราชวัง และอย่าให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น

ส่วนพี่น้องประชาชนที่จงรักภักดี จะออกมาเคลื่อนไหวปกป้องสถาบัน แม้ว่าจะสามารถออกมาเคลื่อนไหวได้ตามสิทธิ แต่จะต้องเป็นไปตามกฎหมายเช่นกัน อย่าให้กระทบกระทั่งกัน อย่าให้เกิดความรุนแรงระหว่างม็อบด้วยกันจะเข้าทางม็อบสามกีบที่นิยมความรุนแรง เราคนไทยด้วยกันต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย อะไรที่ทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้และปลอดภัยจากวิกฤตโควิด จะต้องช่วยกันและก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกันจะดีกว่าที่จะมาทะเลาะกันรบราฆ่าฟันกันเองจนแผ่นดินไทยนองเลือด จุดนี้คือสิ่งที่เจ้าหน้าที่ต้องเฝ้าระวังที่สุดเพื่อระงับเหตุความรุนแรง

แต่หากกลุ่มผู้ชุมนุมปลดแอกหรือสามกีบ ก่อความวุ่นวายให้เกิดขึ้นหรือใช้ความรุนแรงเช่นเหตุการณ์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งเพียงแค่การร่วมชุมนุมก็มีความผิดทางอาญา โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เรื่อง การห้ามชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ฉบับที่ 9 ได้ มีผลตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2564

พร้อมฝากถึงแกนนำม็อบขอให้หยุดได้แล้ว เพราะขณะนี้บ้านเมืองต้องการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ไม่อยากเห็นคนไทยด้วยกันต้องมาทะเลาะกันเกิดเหตุรุนแรงบนท้องถนน

เพราะกลุ่มม็อบปลดแอกสามกีบนิยมความรุนแรงเพราะมีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่ต้องการให้เกิดความรุนแรงหรือสงครามกลางเมือง เพื่อต้องการที่จะให้ประเทศไทยเกิดความวุ่นวาย มีคนวางแผนต้องการทำลายสถาบันฯ อย่างนายปิยบุตร แสงกนกกุล และพวกล้มเจ้าที่คอยบัญชาการวางแผนอยู่ต่างประเทศ เพื่อทำลายการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของไทยเรา พวกเราคนไทยที่ปกป้องสถาบันรู้ทันคนเหล่านี้เป็นอย่างดี จึงยอมคนพวกชั่ว ๆ แบบนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน

“การเคลื่อนไหวอ้างว่า เรียกร้องประชาธิปไตยแต่กลับใช้ความรุนแรงและมุ่งหน้าไปพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ชัดเจนคนชั่ว ๆ เลว ๆ เหล่านี้เป็นคนหนักแผ่นจริง ๆ ไม่สมควรจะมีที่ยืนหรืออาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทยอีกต่อไป”


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ธนาธร’ ชี้ ถึงเวลาพูดความจริงกับประชาชน โควิด-19 เข้าสู่ภาวะวิกฤต ปลายกันยายนอาจติดเชื้อแตะวันละ 50,000 คน ผู้เสียชีวิตรายวันอาจจะเพิ่มขึ้นถึงกว่า 400 คน

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 64 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit ในหัวข้อ "ปัจจุบันและอนาคตประเทศไทยใต้โควิด" ถึงสถานการณ์โควิดในปัจจุบัน และความเป็นไปได้ของอัตราการระบาดของโรคในอีก 2 เดือนข้างหน้า

โดย นายธนาธร ได้ระบุว่า ตนมีความเชื่อเป็นอย่างยิ่ง ว่าการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย และรัฐต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจและเท่าทันถึงสถานภาพของปัญหานั้น ๆ โดยมีสติแต่ไม่ตื่นตระหนก ซึ่งความจริงที่ต้องพูดให้ชัดในวันนี้ ก็คือสถานการณ์โควิดของประเทศไทยอาจจะเลวร้ายกว่านี้ในไตรมาสที่สามของปี 2564 ต้องลดอัตราติดเชื้อลงให้ได้ถึง 50% ก่อนต้นก.ย. หวั่นแนวโน้มติดเชื้อพุ่ง 5 หมื่น ตาย 400 ต่อวัน

จาก Google Mobility Trend และ Facebook Movement Range Map ซึ่งเป็นข้อมูลที่ Facebook และ Google เปิดเผยแนวโน้มการเดินทางของประชากรจากสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้แอปพลิเคชัน มาแสดงให้เห็นว่าประชาชนคนไทยเดินทางออกนอกบ้านมากขึ้นหรือน้อยลงเท่าไหร่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลังสถานการณ์โควิดและการล็อกดาวน์รอบแรก คนไทยเดินทางน้อยลงประมาณ 35% จากสถานการณ์ปกติ เมื่อมาถึงระลอกที่สองประชากรมีการเดินทางน้อยลงประมาณ 20% จากสถานการณ์ปกติ จนมาถึงล็อกดาวน์ครั้งปัจจุบัน ประชากรเดินทางลดลง 30% เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติ

เมื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาเปรียบเทียบกับแบบจำลองอนาคต ที่จัดทำขึ้นโดยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จะพบว่ามีความแปรผันสอดคล้องกันในระดับหนึ่ง ที่ชี้ให้เห็นว่าอัตราการแพร่ระบาดสามารถลดลงได้เมื่อประชากรจำกัดการเดินทางลง

สิ่งที่น่ากังวล คือจากข้อมูลของแบบจำลองอนาคตนี้ หากเราสามารถลดการติดเชื้อได้เพียงแค่ 20% จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันอาจจะขึ้นไปถึง 50,000 คน ในปลายเดือนกันยายน หากลดการแพร่ระบาดได้ 25% จำนวนผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 35,000 คนต่อวันในปลายเดือนกันยายน แต่ในอัตรานี้จำนวนผู้ติดเชื้อจะค่อย ๆ ลดลงในปลายเดือนสิงหาคม และอาจเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากการหยุดล็อกดาวน์ในเดือนกันยายน

หากลดการแพร่ระบาดได้ 25% จำนวนผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 35,000 คนต่อวันในปลายเดือนกันยายน แต่ในอัตรานี้จำนวนผู้ติดเชื้อจะค่อย ๆ ลดลงในปลายเดือนสิงหาคมและอาจเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากการหยุด "ล็อกดาวน์" ในเดือนกันยายน แต่หากสามารถลดการแพร่เชื้อได้ 45-50% ขึ้นไป จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันอาจจะเหลือเพียงแค่ 4,000-5,000 คนและจะอยู่ในระดับคงที่หลังจากการล็อกดาวน์สิ้นสุดลง

นายธนาธร ยังกล่าวต่ออีกว่า ในแง่ของความต้องการเตียง แบบจำลองอนาคตนี้บ่งชี้ว่าปัจจุบัน มีจำนวนผู้ติดเชื้อที่ต้องการเตียงอยู่ที่ประมาณ 200,000 คน หากลดการแพร่ระบาดได้เพียง 20% จำนวนผู้ติดเชื้อที่ต้องการเตียงอาจจะเพิ่มขึ้นไปถึง 500,000 คน ในเดือนกันยายน แต่หากลดการแพร่ระบาดได้ถึง 50% จำนวนผู้ติดเชื้อที่ต้องการเตียง อาจะจะลดลงเหลือ 84,500 คนได้

ในแง่ของจำนวนผู้เสียชีวิตก็เช่นกัน หากลดการแพร่เชื้อได้เพียง 20% ผู้เสียชีวิตรายวันอาจจะเพิ่มขึ้นถึงกว่า 400 คนต่อวันในเดือนกันยายน แต่หากลดการแพร่ระบาดลงได้ถึง 50% จำนวนผู้เสียชีวิตรายวันอาจจะอยู่ที่ระดับ 100 คนต่อวันในเดือนกันยายน

นายธนาธร กล่าวต่ออีกว่า สถานการณ์วันนี้จึงขึ้นอยู่กับวัคซีน ว่าจะฉีดให้ครบจำนวนที่เพียงพอได้เมื่อไหร่ ซึ่งจากข้อมูล ณ วันที่ 2 สิงหาคม มีประชากรไทยที่ฉีดวัคซีนครบสองโดสแล้วเป็นจำนวน 3.9 ล้านคน หรือ 6% ของจำนวนประชากร คนที่ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อยหนึ่งโดสมีจำนวน 21.5% ของจำนวนประชากร หรือ 14.2 ล้านคน ซึ่งหากเราต้องการไปถึงเป้าหมาย 100 ล้านโดสภายในสิ้นปี 2564 จะต้องฉีดให้ได้ 5.47 แสนโดสต่อวัน ในทุกวันที่เหลือนับตั้งแต่วันนี้

ปัญหาก็คือวัคซีนที่ได้รับจัดสรรอยู่ในประเทศไทยมีทั้งหมด 18.9 ล้านโดส ฉีดไปแล้ว 18.1 ล้านโดส หมายความว่าประเทศไทยเหลือวัคซีนอยู่อีกเพียงประมาณ 8 แสนโดส ถ้าฉีดในอัตราปัจจุบัน คือประมาณ 2 แสนกว่าโดสต่อวัน เราจะสามารถฉีดได้อีกเพียง 3-4 วันเท่านั้น

ถ้าไม่มีวัคซีนล็อตใหม่เข้ามา เราจะไม่สามารถเพิ่มศักยภาพการฉีดวัคซีนอย่างเต็มที่ให้กับประชากรได้เลย การฉีดวัคซีนได้ช้าก็จะส่งผลให้เราต้องอยู่กับความเสี่ยงที่จะเกิดคลัสเตอร์ใหม่ ๆ และการแพร่ระบาดรอบใหม่อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเราจะควบคุมการแพร่ระบาดรอบนี้ไปได้


ที่มา : https://www.tnews.co.th/politic/546208/

https://www.facebook.com/ThanathornOfficial/videos/1113792065812237


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top