Wednesday, 24 April 2024
POLITICS

“แรมโบ้” ไม่เห็นด้วยม็อบ 3 นิ้ว ประกาศเคลื่อนขบวนไปยังพระบรมมหาราชวัง 7 ส.ค. เป็นการจาบจ้วง ก้าวล่วงที่มิบังควร คนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย หวั่นมือที่ 3 สร้างสถานการณ์ พร้อมเตือนหากก่อความรุนแรง จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2564 นายเสกสก อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ระบุว่าไม่เห็นด้วยกับการนัดชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ ม็อบ 3 นิ้ว ในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ที่จะเคลื่อนขบวนไปยังพระบรมมหาราชวัง เพราะที่ผ่านมาการชุมนุมของม็อบกลุ่มนี้ได้สร้างความรุนแรง มีทั้งระเบิดเพลิง ระเบิดปิงปอง อาวุธ หนังสติ๊ก กระสุนเหล็กต่าง ๆ ระดมใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มที่ ยั่วยุทุกรูปแบบ ปิดถนนสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนที่สัญจรไปมาได้รับผลกระทบการทำมาหากินอย่างหนัก

และในวันที่ 7 สิงหาคม การที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะเคลื่อนขบวนไปยังพระบรมมหาราชวังนั้นยังทำให้ประชาชนคนไทยที่ปกป้องและจงรักภักดี รับไม่ได้กับวิธีคิดเช่นนี้ โดยอย่าให้ประชาชนคนไทยที่จงรักภักดี ปกป้องสถาบันต้องออกมาชุมนุมคัดค้านกับกลุ่มนี้เลย ขณะเดียวกันการเคลื่อนไปพระบรมมหาราชวังยังเป็นการจาบจ้วง ก้าวล่วงที่มิบังควร ดังนั้นสิ่งที่กำลังคิดคนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอมเด็ดขาด

“สิ่งสำคัญการชุมนุมครั้งนี้อาจจะเกิดมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ สร้างความรุนแรง เราไม่ต้องการเห็นการเกิดความรุนแรงขึ้นในการชุมนุม จึงขอเตือนม็อบว่าอย่าได้มีการเคลื่อนไหว หรือเดินทางไปที่พระบรมมหาราชวัง และอย่าให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น

ส่วนพี่น้องประชาชนที่จงรักภักดี จะออกมาเคลื่อนไหวปกป้องสถาบัน แม้ว่าจะสามารถออกมาเคลื่อนไหวได้ตามสิทธิ แต่จะต้องเป็นไปตามกฎหมายเช่นกัน อย่าให้กระทบกระทั่งกัน อย่าให้เกิดความรุนแรงระหว่างม็อบด้วยกันจะเข้าทางม็อบสามกีบที่นิยมความรุนแรง เราคนไทยด้วยกันต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย อะไรที่ทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้และปลอดภัยจากวิกฤตโควิด จะต้องช่วยกันและก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกันจะดีกว่าที่จะมาทะเลาะกันรบราฆ่าฟันกันเองจนแผ่นดินไทยนองเลือด จุดนี้คือสิ่งที่เจ้าหน้าที่ต้องเฝ้าระวังที่สุดเพื่อระงับเหตุความรุนแรง

แต่หากกลุ่มผู้ชุมนุมปลดแอกหรือสามกีบ ก่อความวุ่นวายให้เกิดขึ้นหรือใช้ความรุนแรงเช่นเหตุการณ์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งเพียงแค่การร่วมชุมนุมก็มีความผิดทางอาญา โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เรื่อง การห้ามชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ฉบับที่ 9 ได้ มีผลตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2564

พร้อมฝากถึงแกนนำม็อบขอให้หยุดได้แล้ว เพราะขณะนี้บ้านเมืองต้องการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ไม่อยากเห็นคนไทยด้วยกันต้องมาทะเลาะกันเกิดเหตุรุนแรงบนท้องถนน

เพราะกลุ่มม็อบปลดแอกสามกีบนิยมความรุนแรงเพราะมีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่ต้องการให้เกิดความรุนแรงหรือสงครามกลางเมือง เพื่อต้องการที่จะให้ประเทศไทยเกิดความวุ่นวาย มีคนวางแผนต้องการทำลายสถาบันฯ อย่างนายปิยบุตร แสงกนกกุล และพวกล้มเจ้าที่คอยบัญชาการวางแผนอยู่ต่างประเทศ เพื่อทำลายการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของไทยเรา พวกเราคนไทยที่ปกป้องสถาบันรู้ทันคนเหล่านี้เป็นอย่างดี จึงยอมคนพวกชั่ว ๆ แบบนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน

“การเคลื่อนไหวอ้างว่า เรียกร้องประชาธิปไตยแต่กลับใช้ความรุนแรงและมุ่งหน้าไปพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ชัดเจนคนชั่ว ๆ เลว ๆ เหล่านี้เป็นคนหนักแผ่นจริง ๆ ไม่สมควรจะมีที่ยืนหรืออาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทยอีกต่อไป”


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ธนาธร’ ชี้ ถึงเวลาพูดความจริงกับประชาชน โควิด-19 เข้าสู่ภาวะวิกฤต ปลายกันยายนอาจติดเชื้อแตะวันละ 50,000 คน ผู้เสียชีวิตรายวันอาจจะเพิ่มขึ้นถึงกว่า 400 คน

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 64 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit ในหัวข้อ "ปัจจุบันและอนาคตประเทศไทยใต้โควิด" ถึงสถานการณ์โควิดในปัจจุบัน และความเป็นไปได้ของอัตราการระบาดของโรคในอีก 2 เดือนข้างหน้า

โดย นายธนาธร ได้ระบุว่า ตนมีความเชื่อเป็นอย่างยิ่ง ว่าการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย และรัฐต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจและเท่าทันถึงสถานภาพของปัญหานั้น ๆ โดยมีสติแต่ไม่ตื่นตระหนก ซึ่งความจริงที่ต้องพูดให้ชัดในวันนี้ ก็คือสถานการณ์โควิดของประเทศไทยอาจจะเลวร้ายกว่านี้ในไตรมาสที่สามของปี 2564 ต้องลดอัตราติดเชื้อลงให้ได้ถึง 50% ก่อนต้นก.ย. หวั่นแนวโน้มติดเชื้อพุ่ง 5 หมื่น ตาย 400 ต่อวัน

จาก Google Mobility Trend และ Facebook Movement Range Map ซึ่งเป็นข้อมูลที่ Facebook และ Google เปิดเผยแนวโน้มการเดินทางของประชากรจากสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้แอปพลิเคชัน มาแสดงให้เห็นว่าประชาชนคนไทยเดินทางออกนอกบ้านมากขึ้นหรือน้อยลงเท่าไหร่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลังสถานการณ์โควิดและการล็อกดาวน์รอบแรก คนไทยเดินทางน้อยลงประมาณ 35% จากสถานการณ์ปกติ เมื่อมาถึงระลอกที่สองประชากรมีการเดินทางน้อยลงประมาณ 20% จากสถานการณ์ปกติ จนมาถึงล็อกดาวน์ครั้งปัจจุบัน ประชากรเดินทางลดลง 30% เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติ

เมื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาเปรียบเทียบกับแบบจำลองอนาคต ที่จัดทำขึ้นโดยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จะพบว่ามีความแปรผันสอดคล้องกันในระดับหนึ่ง ที่ชี้ให้เห็นว่าอัตราการแพร่ระบาดสามารถลดลงได้เมื่อประชากรจำกัดการเดินทางลง

สิ่งที่น่ากังวล คือจากข้อมูลของแบบจำลองอนาคตนี้ หากเราสามารถลดการติดเชื้อได้เพียงแค่ 20% จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันอาจจะขึ้นไปถึง 50,000 คน ในปลายเดือนกันยายน หากลดการแพร่ระบาดได้ 25% จำนวนผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 35,000 คนต่อวันในปลายเดือนกันยายน แต่ในอัตรานี้จำนวนผู้ติดเชื้อจะค่อย ๆ ลดลงในปลายเดือนสิงหาคม และอาจเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากการหยุดล็อกดาวน์ในเดือนกันยายน

หากลดการแพร่ระบาดได้ 25% จำนวนผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 35,000 คนต่อวันในปลายเดือนกันยายน แต่ในอัตรานี้จำนวนผู้ติดเชื้อจะค่อย ๆ ลดลงในปลายเดือนสิงหาคมและอาจเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากการหยุด "ล็อกดาวน์" ในเดือนกันยายน แต่หากสามารถลดการแพร่เชื้อได้ 45-50% ขึ้นไป จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันอาจจะเหลือเพียงแค่ 4,000-5,000 คนและจะอยู่ในระดับคงที่หลังจากการล็อกดาวน์สิ้นสุดลง

นายธนาธร ยังกล่าวต่ออีกว่า ในแง่ของความต้องการเตียง แบบจำลองอนาคตนี้บ่งชี้ว่าปัจจุบัน มีจำนวนผู้ติดเชื้อที่ต้องการเตียงอยู่ที่ประมาณ 200,000 คน หากลดการแพร่ระบาดได้เพียง 20% จำนวนผู้ติดเชื้อที่ต้องการเตียงอาจจะเพิ่มขึ้นไปถึง 500,000 คน ในเดือนกันยายน แต่หากลดการแพร่ระบาดได้ถึง 50% จำนวนผู้ติดเชื้อที่ต้องการเตียง อาจะจะลดลงเหลือ 84,500 คนได้

ในแง่ของจำนวนผู้เสียชีวิตก็เช่นกัน หากลดการแพร่เชื้อได้เพียง 20% ผู้เสียชีวิตรายวันอาจจะเพิ่มขึ้นถึงกว่า 400 คนต่อวันในเดือนกันยายน แต่หากลดการแพร่ระบาดลงได้ถึง 50% จำนวนผู้เสียชีวิตรายวันอาจจะอยู่ที่ระดับ 100 คนต่อวันในเดือนกันยายน

นายธนาธร กล่าวต่ออีกว่า สถานการณ์วันนี้จึงขึ้นอยู่กับวัคซีน ว่าจะฉีดให้ครบจำนวนที่เพียงพอได้เมื่อไหร่ ซึ่งจากข้อมูล ณ วันที่ 2 สิงหาคม มีประชากรไทยที่ฉีดวัคซีนครบสองโดสแล้วเป็นจำนวน 3.9 ล้านคน หรือ 6% ของจำนวนประชากร คนที่ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อยหนึ่งโดสมีจำนวน 21.5% ของจำนวนประชากร หรือ 14.2 ล้านคน ซึ่งหากเราต้องการไปถึงเป้าหมาย 100 ล้านโดสภายในสิ้นปี 2564 จะต้องฉีดให้ได้ 5.47 แสนโดสต่อวัน ในทุกวันที่เหลือนับตั้งแต่วันนี้

ปัญหาก็คือวัคซีนที่ได้รับจัดสรรอยู่ในประเทศไทยมีทั้งหมด 18.9 ล้านโดส ฉีดไปแล้ว 18.1 ล้านโดส หมายความว่าประเทศไทยเหลือวัคซีนอยู่อีกเพียงประมาณ 8 แสนโดส ถ้าฉีดในอัตราปัจจุบัน คือประมาณ 2 แสนกว่าโดสต่อวัน เราจะสามารถฉีดได้อีกเพียง 3-4 วันเท่านั้น

ถ้าไม่มีวัคซีนล็อตใหม่เข้ามา เราจะไม่สามารถเพิ่มศักยภาพการฉีดวัคซีนอย่างเต็มที่ให้กับประชากรได้เลย การฉีดวัคซีนได้ช้าก็จะส่งผลให้เราต้องอยู่กับความเสี่ยงที่จะเกิดคลัสเตอร์ใหม่ ๆ และการแพร่ระบาดรอบใหม่อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเราจะควบคุมการแพร่ระบาดรอบนี้ไปได้


ที่มา : https://www.tnews.co.th/politic/546208/

https://www.facebook.com/ThanathornOfficial/videos/1113792065812237


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“กอ.รมน.”สนับสนุนการจัดตั้ง รพ.สนาม ศูนย์คัดกรองและรพ.สนาม ทบ. 37 แห่ง พร้อมเร่งทำความเข้าใจ ปชช.ถึงข้อมูลการเข้ารับการรักษา

พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กอ.รมน. แถลงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด – 19 ยังคงทวีความรุนแรงโดยเฉพาะไวรัสกลายพันธุ์ชนิดสายพันธ์เดลต้าที่เชื้อโรคสามารถแพร่กระจายและติดต่อโรคกันได้โดยง่าย ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมีการแพร่ระบาด ในวงกว้างทั่วประเทศ การดูแลช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อโควิด – 19 ถือเป็นภารกิจที่สำคัญเร่งด่วนของ กอ.รมน. ในการปฏิบัติงานเพื่อสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ปัญหาของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้เป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม. ในฐานะ ผอ.รมน. ที่ได้มอบหมายให้  พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ในฐานะ รอง.ผอ.รมน. ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหากับผู้ป่วย  ที่ยังไม่ได้เข้ารับการรักษาให้เข้าสู่ระบบอย่างรวดเร็วด้วยการตรวจหาเชื้อ, การคัดกรองผู้ติดเชื้อ, การแยกประเภทผู้ป่วย, การรักษาพยาบาลเบื้องต้น, การส่งผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาตามความรุนแรงของโรคในการเข้าร่วมบูรณาการ  กับทุกภาคส่วนทั้ง กองทัพบก, เจ้าหน้าที่สาธารณสุข, บุคคลกรทางการแพทย์, อสม. และสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) สนับสนุนการจัดตั้ง “รพ.สนามศูนย์คัดกรองสโมสร ทบ.” 

พล.ต.ธนาธิป กล่าวอีกว่า ในพื้นที่ส่วนกลาง และ รพ.สนามกองทัพบก ทั่วประเทศทั้ง 37 แห่ง พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการจัดตั้ง รพ.สนามหระทรวงสาธารณะสุข  จำนวน 26 แห่ง (กองทัพบกสนับสนุนกำลังพล, อาคารสถานที่, เตียงผู้ป่วย, เครื่องนอนและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น) และปัจจุบันได้มีการจัดตั้ง รพ.สนาม ทบ. เพิ่มเติมในพื้นที่ รพ.สังกัด กองทัพบกทั้ง 37 แห่งทั่วประเทศ เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีจำนวนมากขึ้นและเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรค ทั้งยังให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยเพื่อลดภาระของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่อีกด้วย และได้เตรียมการประสานงานเพื่อจัดตั้ง “รพ.สนามศูนย์คัดกรอง” ในส่วนภูมิภาคเป็นจุดให้บริการคัดกรองผู้ป่วยและเป็นจุดพักคอยเพื่อส่งต่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาใน รพ. ตามระบบต่อไปสำหรับ “รพ.สนามศูนย์คัดกรองสโมสร ทบ.” 

สำหรับพื้นที่ส่วนกลางมีขั้นตอนการให้บริการเริ่มจาก การลงทะเบียนยืนยันตัวบุคคล, การตรวจคัดกรองเชื้อเบื้องต้นโดย “รถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน” และรอผลตรวจประมาณ 30 นาที หากผลไม่พบเชื้อจะได้รับใบรายงานผลแล้วกลับบ้านได้ หากผลตรวจพบเชื้อ  จะได้รับการเอ็กซ์เรย์ปอดและเข้ารับการตรวจยืนยันโควิด – 19 อีกครั้งด้วยวิธีตรวจแบบ RT-PCR จากนั้นแพทย์จะทำการวินิฉัยอาการและรับการรักษาด้วยยารับประทาน พร้อมรับถุงยังชีพบรรจุสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการกักตัวประกอบด้วย เครื่องวัดค่าออกซิเจนในเลือด, เครื่องวัดอุณหภูมิ, อุปกรณ์รักษาโรคเป็นต้น จากนั้นผู้ป่วยจะเข้าสู่ระบบการรักษาของสำนักอนามัย กทม. ด้วยการกักตัวที่บ้าน (Home Isolation), การกักตัวที่ชุมชน (Community Isolation), รพ.สนาม หรือ รพ.ของ กทม. และสาธารณสุขต่อไป

นอกจากนี้ กอ.รมน. ได้บูรณาการและเสริมสร้างให้เครือข่ายมวลชน กอ.รมน. จากทั่วประเทศเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจชี้แจงกับประชาชนร่วมติดตามและเฝ้าระวังป้องกันแจ้งข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการต่อผู้หลบหนีเข้าเมืองตามแนวชายแดนโดยเฉพาะการดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเฉียบขาดต่อขบวนการนำพาผู้หลบหนีฯ สร้างความตระหนักรู้และการรับรู้กับประชาชนโดยเฉพาะการห้ามออกนอก     เคหะสถานตามห้วงเวลาที่กำหนด และลดการเดินทางที่ไม่จำเป็นในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด การรณรงค์ให้ความสำคัญกับการฉีดวัคซีนเพื่อช่วยลดอาการรุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตเป็นหลัก ส่วนการป้องกันการติดเชื้อยังคงให้ความสำคัญกับการป้องกันตนเองและการป้องกันการแพร่ระบาดด้วยการสวมอุปกรณ์ป้องกันตนเอง (หน้ากากอนามัย), การใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมืออย่างถูกวิธีรวมทั้งการดูแลเขตสุขาภิบาลและสิ่งแวดล้อมของ   ส่วนบุคคลและส่วนรวมตามมาตรฐานของกรมอนามัยกระทรวงสาธารณะสุข

“บิ๊กป้อม” สั่ง ฝ่ายมั่นคง เร่งคดี มาตกรรม นทท.ในจ.ภูเก็ต ชี้ กระทบความรู้สึกชาวภูเก็ต-ความเชื่อมั่นตปท. พร้อมประชุมรับมือสถานการณ์ความเสี่ยงชายแดนช่วงโควิด

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้สั่งการฝ่ายปกครองตำรวจ ให้ความสำคัญเร่งติดตามสืบสวนคดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวสวิสฯที่เสียชีวิตระหว่างท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ต ให้นำผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยเร็ว ให้เฝ้าระวังและเพิ่มความเข้มข้นมาตรการป้องกันดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวในภาพรวม

“คดีดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก ในขณะที่เรากำลังร่วมกันสร้างและเปิดพื้นที่นำร่อง เพื่อฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในช่วงที่ต้องอยู่กับสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิดต่อเนื่องกันไป  และเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีผลต่อความรู้สึกของชาวภูเก็ต ที่ช่วยกันประคับประคองดูแลมาตการต่างๆให้ภูเก็ตมีความพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวที่ผ่านมา จึงขอให้ชาวภูเก็ตร่วมให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ เพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยเร็วที่สุด” 

นอกจากนี้พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัญมนตรี  เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  เรียกประชุมหน่วยงานความมั่นคง ร่วมกับ รมว.มหาดไทย รมว.แรงงาน รมช.กลาโหม ผบ.ทสส. รวมทั้ง ผวจ.ชายแดนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบ VTC เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ความเสี่ยงชายแดนในห้วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่รุนแรง

ภาพรวมสถานการณ์การลักลอบข้ามแดน ยังพบและจับกุมผู้กระทำผิดได้อย่างต่อเนื่อง จากความต้องการแรงงานในประเทศที่ยังมีสูง  มีผู้ลักลอบเข้าเมืองตกค้างตามชายแดนจำนวนมาก เนื่องจากประเทศต้นทางไม่เปิดรับกลับ บางส่วนเป็นชนเผ่าและชนกลุ่มน้อยที่ไม่มีการรับรองสถานภาพ  ขณะเดียวกันสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศเพื่อนบ้านยังรุนแรง พบผู้ติดเชื้อในอัตราที่สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศเมียนมา ที่มีปัญหาการเมืองและสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ รวมทั้งการแพร่ระบาดของโควิดที่อยู่ในสภาวะวิกฤตและข้อจำกัดของระบบสาธารณสุข ที่อาจส่งผลให้มีการลักลอบเข้าเมืองจากเมียนมามากขึ้น

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร ย้ำเป็นนโยบายและสั่งการ ขอให้ฝ่ายปกครอง ทหารและตำรวจ รวมทั้งกระทรวงแรงงาน ประสานการทำงานร่วมกับกระทรวงต่างประเทศ ติดตามสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิด โดยให้ผนึกกำลังร่วมเฝ้าระวังพื้นที่ชายแดนและตรวจตราพื้นที่ชั้นใน บังคับใช้กฎหมายเข้มงวด เพิ่มมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การลักลอบค้าอาวุธและยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย ควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันและควบคุมโรค โดยขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้กลไก “ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด” บูรณาการการทำงานร่วมกันและนำเทคโนโลยีมาใช้เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ รวมทั้งให้เพิ่มสถานที่กักกัน ( OQ ) ให้เพียงพอ รองรับการลักลอบข้ามแดนที่มีมากขึ้น

พร้อมกำชับ ต่อสถานการณ์วิกฤตในประเทศเมียนมา  ขอให้ทุกจังหวัดชายแดนเมียนมา เตรียมพร้อมและพัฒนาแผนรองรับผู้หนีภัยความไม่สงบจากเมียนมา โดยให้มีการบูรณาการทำงานร่วมกัน จัดให้มีพื้นที่รองรับและสถานกักกันโรคอย่างเพียงพอ รวมทั้งการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ให้ติดตามเฝ้าระวังและทำลายโครงสร้างขบวนการค้าอาวุธสงคราม เพื่อมิให้เป็นเงื่อนไขขยายความรุนแรงในเมียนมาอย่างเด็ดขาด

สำหรับพื้นที่ชั้นใน ขอให้กระทรวงแรงงาน ประสานการทำงานกับ ตำรวจบังคับใช้กฎหมาย อย่างเฉียบขาดและลงโทษสูงสุดกับผู้นำพาและขบวนการค้าแรงงานผิดกฎหมาย โดยให้สืบเชื่อมโยงไปถึงการค้ามนุษย์  และขอให้เร่งพิจารณาแนวทางทะยอยนำแรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบตามกฎหมาย ภายใต้มาตการ กักตัวควบคุมโรค โดยเริ่มจากผู้ประกอบการที่มีความพร้อม เพื่อบรรเทาความต้องการแรงงานและลดการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมย้ำให้หัวหน้าหน่วยงานทุกระดับลงกำกับ ต้องไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐทุจริตหรือเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาด

“อุบลศักดิ์” ขอ 72 กมธ.งบ 65 ยุติแตกแยกเรื่องงบกลาง ยัน เพื่อไทยไม่ได้ช่วยนายกฯ-คิดร่วมพรรคใดพรรคหน่ึง ไม่อย่างนั้นคงไม่ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ 

ที่รัฐสภา นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายงบประมาณ 2565 แถลงว่า การประชุมกมธ. ในวันนี้(6 ส.ค.)ถือเป็นวันสุดท้ายและจะต้องมีการพิมพ์เล่มให้เสร็จภายในวันที่ 15 ส.ค.เพื่อนำส่งสภาฯ พิจารณาในวาระ 2-3 ในวันที่ 18-20 ส.ค. ดังนั้นสงครามทางความคิดในเรื่องงบประมาณของกมธ. ทั้ง 72 คนควรยุติได้แล้ว และกมธ.ได้มีมติตั้งอนุกมธ.ให้มีหน้าที่ปรับลดงบประมาณ ซึ่งโครงการใด หน่วยงานไหนที่มีความซ้ำซ้อนหรือรอได้ ก็ปรับลดเพื่อที่จะไปช่วยแก้ปัญหาโควิด-19 เพราะประชาชนได้รับผลกระทบแสนสาหัส แม้แนวความคิดของกมธ. ทั้ง 72 คนจะต่างกันอย่างหลากหลาย แต่เมื่อมีการปรับลดงบประมาณไปเท่าไหร่ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่จะต้องไปดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด เพราะการถกเถียงกันไปมาทำให้ประชาชนหมดความศรัทธา ดังนั้นจึงอยู่ที่จิตสำนึกของกมธ.แต่ละคน และตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ชัดเจนอยู่แล้วว่าทำไม่ได้ที่จะแปรไปเป็นอย่างอื่น งบต่างๆ ที่ถูกตัดออกก็ควรที่จะนำเข้างบกลาง ซึ่งหลายคนคิดว่าเอาไปกองให้นายกฯ ใช้นั้นไม่ใช่เพราะนายกฯ ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารจะต้องทำตามกระบวนการ และงบที่ได้ไปนั้น นายกฯ จะใช้หรือไม่ก็ไม่รู้เพราะในอนาคตท่านอาจจะลาออกหรือยุบสภาก็ได้ ซึ่งใครก็ตามที่เข้ามาเป็นรัฐบาลก็มีสิทธิที่จะบริหารแต่ไม่มีสิทธิใช้ 

นายอุบลศักดิ์ กล่าวต่อว่า อยากเรียกร้องวิงวอนให้สมาชิกทุกฝ่ายหันหน้ามาแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ไม่อยากให้มีการทะเลาะเบาะแว้งกันทางความคิด แต่เมื่อความคิดไม่ตรงกัน แล้วเสียงข้างมากเป็นอย่างไรก็ต้องยอมรับ จึงขอให้ทุกฝ่ายยุติการแสดงความคิดเห็นที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติและไม่ต้องไปใส่ความกัน เราจะโทษใครไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญเขียนมาอย่างนี้ จึงขอให้ทุกคนหันหน้ามาแก้ปัญหาและมาช่วยกันตรวจสอบงบประมาณว่าใครทำได้ถึงปลายทางอย่างไร

“ขอยืนยันว่าในฐานะพรรคเพื่อไทยไม่มีเจตนาจะไปช่วยนายกฯ เพราะเราเห็นว่าหากงบที่ถูกปรับลดไม่เอาไปไว้ในงบกลางก็จะเหลือทิ้ง ไม่สามารถใช้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องควรจะนำเงินส่วนนี้มาแก้ปัญหาโดยที่ไม่ต้องกู้ ถ้าพรรคเพื่อไทยช่วยนายกฯ หรือคิดจะไปร่วมกับพรรคนั้นพรรคนี้ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่เตรียมที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ  ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยพร้อมอยู่แล้ว 136 เสียงสามารถยื่นญัตติได้ด้วยตัวเอง แต่เราเห็นว่าพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายค้านด้วยกัน จึงประนีประนอมและให้โอกาสทุกคนช่วยกันคิด แต่ละคนอาจคิดไม่เหมือนกัน ซึ่งก็คิดได้ จึงคิดว่าฝ่ายค้านไม่มีความแตกแยก แต่อาจจะคิดไม่เท่ากันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง” นายอุบลศักดิ์ กล่าว

“สิระ” ยื่น อธิบดีศาลอาญาฯ บี้ ถอนประกัน "ไผ่ ดาวดิน”และพวก 29 คน เหตุก่อวุ่นวาย ผิดเงื่อนไข ตั้งค่าหัวนำจับ 500 บาท ไม่ห่วง ชุมนุม 7ส.ค.เชื่อคนร่วมน้อย

นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ในฐานะประธานกรรมาธิการกฎหมายฯยื่นหนังสือถึงอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ให้พิจารณาถอนประกันตัวนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ไผ่ ดาวดิน)กับพวก รวม 29 คน ผู้ต้องหาข้อหาร่วมกันชุมนุม ก่อความวุ่นวาย ร่วมกันพยายามข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายและร่วมกันชุมนุมหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรคในพื้นที่ที่มีการประกาศหรือคำสั่งกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จากกรณีที่ชุมนุมกดดันหน้ากองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด(บช.ปส.)ถนนวิภาวดีรังสิต ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจคืนรถบรรทุก6ล้อและเครื่องขยายเสียง ซึ่งถูกยึดเป็นของกลางในคดี และสาดสีแดงใส่รั้วประตูและเจ้าหน้าที่ และพยายามเข้าสถานที่ราชการเพื่อเอาของกลางที่ถูกยึดไว้ ซึ่ง จนท.ตำรวจได้เข้าจับกุม และต่อมาศาลอนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 29 คน แต่ผู้ชุมนุมก่อความวุ่นวาย พร้อมทั้งทำลายทรัพย์สินของราชการของสน.ทุ่งสองห้อง หลังจากที่ได้รับการปล่อยตัว

“พฤติการณ์ของนายจตุภัทร์ เป็นการกระทำความผิดในลักษณะเดิม ไม่เกรงกลัว ไม่เคารพกฏหมายบ้านเมือง ที่อาจทำให้ผู้อื่นเอาเยี่ยงอย่างเพื่อก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง และผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวใน กรณีห้ามก่อความวุ่นวายหรือทำกิจกรรมในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหาในคดีแรก จึงขอให้อธิบดีผู้พากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตรวจสอบว่ากระทำที่ผิดเงื่อนไขให้ประกันตัวหรือไม่ และให้พิจารณาถอนการประกันตัว ผมในฐานะประธานกรรมาธิการกฎหมายฯ  ไม่ยอมให้คนกลุ่มนี้อยู่เหนือกฎหมาย และนายไผ่ จบนิติศาสตร์ รู้ดีว่าการกระทำใดเป็นการทำผิดกฎหมาย แต่ใช้กำลังทำตัวอยู่นอกกฎหมายตลอดเวลา บุคคลเหล่านี้ไม่ปกติ จะอยู่ร่วมกับคนปกติไม่ได้ และวันนี้ชัดเจนว่านายไผ่และพรรคพวกจงใจก่อม็อบเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในประเทศ และเจตนาล้มล้างสถาบัน ทั้งนี้มีการออกหมายจับนายไผ่ ดังนั้นประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากพบเจอจับกุมได้ทันที และตนตั้งรางวัลนำจับ 500 บาท ซึ่งแพงเกินความจริงแล้ว ตอนแรกจะให้ 5 บาท ก็เกรงใจจึงคิดว่ามีค่าเท่านี้ เหมือนโจร 500” นายสิระ กล่าว 

ผู้สื่อข่าวถามถึงการชุมนุมของเยาวชนปลอดแอกในวันที่ 7 ส.ค.นี้ นายสิระ กล่าวว่า ไม่ห่วงการชุมนุมที่จะเกิดขึ้น เพราะเชื่อว่ามีไม่กี่คนที่จะออกไปทำพฤติกรรมเลวแบบนั้น และผู้ปกครองต้องตักเตือนเยาวชนในปกครอง ที่สำคัญเยาวชนต้องรู้ทันแกนนำที่รู้กฎหมาย หากทำแล้วชอบด้วยกฎหมาย ทำไมแกนนำอีแอบ จึงปลอมตัว ปกปิดไปยืนหลังม็อบ เป็นเตี้ยหลังม็อบ ไม่ขึ้นเวทีเปิดเผยตัวให้ชัด แต่หลอกใช้เยาวชน ทั้งนี้สัปดาห์หน้าตนจะไปยื่นเอา ผิดกับส.ส.อีแอบ ที่อ้างว่าไปสังเกตการณ์ในที่ชุมนุมโดยไม่ได้รับการมอบหมาย

พลังธรรมใหม่ ทำนายม็อบ 7 ส.ค. รุนแรงแน่ เหตุแกนนำเจตนาร้ายหวังล้มล้างสถาบัน จงใจซ้ำเติมทำบ้านเมือง แนะ ตำรวจทำตามกม.เต็มที่ ชี้เหมือนจับโจรกลุ่มหนึ่ง

นายณัฐดนัย ชนิตร์วัฒน์ รองเลขาธิการพรรคพลังธรรมใหม่ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เพจเฟซบุ๊กเพจ เยาวชนปลดแอก-Free YOUTH ปลุกระดมม็อบในวันเสาร์ที่ 7 ส.ค.นี้ โดยนัดบุกพระบรมมหาราชวังว่า ถ้อยคำที่เยาวชนกลุ่มนี้ นำออกมาโพสต์แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า กำลังคิดจะทำอะไรกันอยู่ เหตุผลที่ออกมาก่อความวุ่นวายไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โควิด - 19 หรือการบริหารประเทศของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แต่เป้าหมายหลักคือ การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ตนเชื่อว่าสถานการณ์ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ จะมีความรุนแรงเกิดขึ้น เนื่องจากแกนนำจงใจ และมีเจตนาต้องการก่อความวุ่นวาย ซ้ำเติมทำบ้านเมืองให้วิกฤตหนักกว่าเดิม 

“นายพริษฐ์  ชิวารักษ์ นายอานนท์ นำภา และนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ล้วนเป็นผู้ต้องหามาตรา 112 มีคดีติดตัวทั้งนั้น มีหลักฐานการแสดงความผิดชัดเจน บรรดาแกนนำหยุดพูดเสียทีว่า เป็นการชุมนุมที่ถูกต้องตามสันติวิธี และหากเกิดการปะทะกันขึ้น กรุณาอย่าโยนความผิดให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกว่าใช้ความรุนแรงละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ไม่ดูสิ่งที่พวกคุณกล่าวอ้าง ว่าจาบจ้วงเกินเลยไปถึงเพียงใด ผมเห็นใจเจ้าหน้าที่ ที่ปฎิบัติหน้าที่จริงๆ เพราะทุกคนรู้ดีว่า การชุมนุมทุกครั้งที่ผ่านมา ผู้ร่วมชุมนุมมีเจตนาในการพกพาอาวุธครบมือเพื่อก่อความวุ่นวาย รวมถึงบรรดาแกนนำสามกีบผิดเงื่อนไขการประกันตัว และศาลสามารถเพิกถอนการประกันตัวได้ นี่คือการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่” นายณัฐดนัย กล่าว

นายณัฐดนัย กล่าวต่อว่า ตนขอแนะนำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฎิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพราะวันนี้การกระทำของคนกลุ่มนี้สถานะไม่แตกต่างจากโจร โดยโจรบางคนยังมีสามัญสำนึก รู้ผิดรู้ชั่ว มากกว่า ดังนั้น ถ้าอยู่ข้างนอกแบบคนปกติไม่ได้ ก็ควรเข้าไปอยู่ในคุก

“องอาจ” หนุนชาวบ้านตั้ง “จุดแยกผู้ติดเชื้อจากชุมชน” (Mini CI) ดูแลกันเองจนกว่าจะเข้าระบบของราชการได้

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างมากในขณะนี้ว่า จากการลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนใน กทม. ของอดีต ส.ส. ส.ก. ส.ข. และตัวแทนพรรคพบความจริงที่เกิดขึ้นว่า มีผู้ติดเชื้อจำนวนหนึ่งในชุมชนแออัดยังไม่สามารถเข้าสู่ระบบโฮมไอโซเลชั่น (HI) หรือ คอมมูนิตี้ไอโซเลชั่น (CI) ด้วยหลายสาเหตุ เช่น ติดต่อตามช่องทางต่างๆ ที่ทางราชการกำหนดขึ้นไม่ได้ โทรศัพท์ติดต่อไปเบอร์ต่างๆ แล้วไม่มีผู้รับสาย หรือมีผู้รับสายแล้วบอกให้รอ ซึ่งส่วนมากจะให้รอนานหลายวัน ทำให้ผู้ติดเชื้อในชุมชนแออัดซึ่งอยู่ในห้องเช่าแคบๆ กันหลายคนต้องติดเชื้อกันทั้งครอบครัว

นอกจากติดเชื้อกันเองในห้องเช่าแคบๆ แล้ว คนกลุ่มนี้ยังนำเชื้อกระจายออกไปติดผู้อื่นนอกบ้านอีกด้วย เพราะต้องออกไปทำมาหากินเพื่อยังชีพแบบหาเช้ากินค่ำ เมื่อผู้ติดเชื้อในชุมชนแออัดไม่สามารถกักตัวที่บ้านแบบ HI ได้ จะไปศูนย์พักคอยก็ยังไม่มี หรือที่เต็ม หากปล่อยให้ผู้ติดเชื้ออยู่ในชุมชนต่อไปโอกาสที่เชื้อจะแพร่กระจายในชุมชนก็จะมีมากขึ้น 

จึงมีคณะกรรมการชุมชนบางแห่งเริ่มใช้วิธี “ชุมชนจัดการตนเอง” โดยการจัดหาสถานที่ในชุมชนหรือใกล้ชุมชน เช่น วัด หรือโรงเรียน เป็นที่ให้ผู้ติดเชื้อที่ผ่านการตรวจหาเชื้อเบื้องต้นด้วยวิธี ATK มาอยู่ร่วมกัน แล้วมีคนในชุมชนช่วยกันดูแลเรื่องอาหาร 3 มื้อ และอุปกรณ์ที่จำเป็นต่างๆ เช่น หน้ากากอนามัย เครื่องวัดอุณหภูมิ ยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร เท่าที่จะหาได้ เพื่อช่วยกันดูแลช่วยเหลือกันเองจนกว่าผู้ติดเชื้อเหล่านี้จะสามารถติดต่อเข้าสู่ระบบการดูแลของทางราชการได้ 

การที่ชุมชนจัดการตนเองนี้ อาจจะเรียกว่าเป็นระบบ Mini CI (Mini Community Isolation) หรือระบบ “จุดแยกผู้ติดเชื้อจากชุมชน” ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่ชุมชนช่วยเหลือดูแลกันเอง และยังเป็นการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนได้อีกทาง ที่สำคัญยังอาจเป็นแบบอย่างให้ชุมชนอื่นๆ ที่มีผู้ติดเชื้อประสบปัญหากักตัวที่บ้านไม่ได้เพราะสถานที่ไม่อำนวย หรือยังไม่สามารถเข้าไปอยู่ในศูนย์พักคอย (CI) ของทางราชการได้ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้แยกผู้ติดเชื้อในชุมชนให้ออกมาอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมได้ชั่วคราว 

ขณะนี้พบว่ามีการดำเนินการจัดตั้ง “จุดแยกผู้ติดเชื้อจากชุมชน” (Mini CI) นี้ ที่ชุมชนวัดพระยาทำ เขตบางกอกน้อย ซึ่งชุมชนได้รับการสนับสนุนสถานที่จากทางวัดและจัดระบบดูแลกันเองได้เป็นอย่างดี ถือเป็นการแบ่งเบาภาระของทางราชการอีกทางหนึ่ง จึงขอฝากให้ทางราชการเข้าไปสนับสนุนบ้างตามสมควร เพื่อร่วมมือกันทำให้การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดลดน้อยถอยลงได้ในที่สุด

โฆษก ศบศ. เผย บิ๊กตู่ สั่งเยียวยา 29 จังหวัดสีแดงเข้ม บอก ม.33 โอนแล้ว 10 จังหวัด เกือบ 2 ล้านราย - ย้อน พิชัย เลิกหลอกตัวเอง เป็น กูรูเศรษฐกิจ 

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกประจำศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) เปิดเผยว่า ครม. มีมติขยายมาตรการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาเร่งด่วนผู้ประกอบการนายจ้าง ลูกจ้าง ตลอดจนแรงงานกลุ่มอาชีพอิสระ และพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการ 9 ประเภท จากการประกาศล็อกดาวน์ยกระดับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) เพิ่มจาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด โดยรูปแบบของการเยียวยาจะได้รับเช่นเดียวกับ 13 จังหวัดที่ประกาศมาก่อนหน้านี้ ซึ่ง ครม. ได้เห็นชอบขยายวงเงินเยียวยาจาก 30,000 ล้านบาท เป็นประมาณ 60,000 ล้านบาทแล้ว

นายธนกร กล่าวว่า  กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม เริ่มทยอยโอนเงินเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33  ที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 ในพื้นที่มาตรการของรัฐให้ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัดแล้ว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, นครปฐม, นนทบุรี, ปทุมธานี, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, นราธิวาส, ปัตตานี, ยะลา, สงขลา โดยยอดการโอน 2 วันแรกอยู่ที่ 1,829,387 ราย เป็นเงิน  4,573.47 ล้านบาท ซึ่งในวันที่ 9 สิงหาคม 2564 จะเริ่มโอนให้อีก 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา และฉะเชิงเทรา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีผู้ประกันตนมาตรา 33 ในระบบประกันสังคมในพื้นที่ 13 จังหวัด แบ่งเป็นนายจ้าง จำนวน  174,896 คน และลูกจ้างจำนวน  3.1 ล้านคน 

นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้ ลูกจ้างจะได้รับเงินเยียวยาจำนวน 2,500 บาท และนายจ้างจะได้รับเงินเยียวยา 3,000 บาทต่อจำนวนลูกจ้างหนึ่งคน แต่ไม่เกิน 200 คน และในส่วนของผู้ประกันตน มาตรา 39 และ มาตรา 40 ใน 13 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ยอดผู้ประกันตน มาตรา 39 จำนวน 1.3 ล้านคน และผู้ประกันตน มาตรา 40 จำนวน 4  ล้านคน แต่ที่ยังไม่ชำระเงินงวดแรกประมาณ 7 แสนคน โดยสำนักงานประกันสังคมได้ขยายเวลาให้ชำระภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ถึงจะถือว่าการลงทะเบียนสมบูรณ์ได้รับสิทธิ์ โดยคาดว่าจะสามารถโอนเงินเยียวยา 5,000 บาท สำหรับ มาตรา 39 และมาตรา 40 ได้ภายในวันที่ 24 สิงหาคม นี้

นายธนกร กล่าวว่า ในส่วนของมาตรการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาของพื้นที่จังหวัดที่ประกาศล็อกดาวน์เพิ่มขึ้นอีก 16 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี   สมุทรสงคราม  สุพรรณบุรี    เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี อ่างทอง  นครนายก  ปราจีนบุรี  ลพบุรี  ระยอง สิงห์บุรี   สระบุรี  นครราชสีมา   เพชรบูรณ์  และตาก ซึ่งจะได้รับการเยียวยาเช่นเดียวกับ 13 จังหวัดที่ประกาศมาก่อนหน้านี้ นอกเหนือจากมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานค่าน้ำ-ค่าไฟที่ใช้แล้วทั่วประเทศ ทั้งนี้ เบื้องต้นระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือ กลุ่ม 13 จังหวัดเดิม จะได้รับเยียวยา 2 เดือน ตั้งแต่กรกฎาคม – สิงหาคม 2564 ส่วนกลุ่ม 16 จังหวัดที่เพิ่มเติมจะได้รับการเยียวยา 1 เดือน ได้แก่ เดือนสิงหาคม 2564 ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับรู้ปัญหาของทุกกลุ่ม ไม่ทอดทิ้งอย่างแน่นอน ขอให้ทุกคนอดทนและร่วมฝ่าวิกฤตินี้ไปด้วยกัน ซึ่งจะมีการประชุมหารือหน่วยงานด้านเศรษฐกิจเพื่อพิจารณากฎเกณฑ์และแนวทางช่วยเหลืออื่นๆ ต่อไป

นายธนกร ยังกล่าวถึงกรณีที่นายพิชัย นริพทะพันธ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เตือน พล.อ.ประยุทธ์อย่าปล่อยคนไทยตามยถากรรม ต้องหัดมองเศรษฐกิจล่วงหน้าให้เป็นและเร่งแก้ไข หลอกตัวเองไปวันๆ มีแต่จะพัง ต้องเร่งหาวัคซีนเอง อย่าหวังพึ่งเอกชน ว่า พล.อ.ประยุทธ์มองคนไทยทุกคนเป็นเพื่อนร่วมชาติไทยเดียวกัน แล้วจะปล่อยตามยถากรรมได้อย่างไร ถ้าจะปล่อยก็คงเป็นการปล่อยนายพิชัยให้เรียกร้องคะแนนสงสารจากนายใหญ่ไปตามยถากรรมเสียมากกว่า เพราะยังคงหลอกตัวเองว่าเป็นกูรูเศรษฐกิจที่รู้ไปเสียทุกเรื่อง หัดพึ่งความสามารถตัวเองบ้าง ไม่ใช่หวังพึ่งแต่ม็อบให้กดดันรัฐบาลให้ลาออกเพียงอย่างเดียว

“แรมโบ้” ซัด “ม็อบ 3 นิ้ว” คนชั่ว-หนักแผ่นดิน” นัดเคลื่อนขบวนไปวังก้าวล่วงสถาบัน นิยมรุนแรง เพราะมีคนเบื้องหลัง เชื่อคนไทยไม่เห็นด้วย หวั่นมือที่ 3 สร้างสถานการณ์ ขู่ งัดกม.เอาผิด หากทำร้ายจนท.

นายเสกสก อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่กลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือม็อบ 3 นิ้ว นัดเคลื่อนขบวนไปพระบรมมหาราชวัง วันที่ 7 ส.ค.นี้ ว่า ไม่เห็นด้วยกับการนัดชุมนุม เพราะที่ผ่านมาการชุมนุมของม็อบกลุ่มนี้สร้างความรุนแรง มีใช้อาวุธหนังสติ๊ก ระเบิดเพลิง ระเบิดปิงปอง กระสุนเหล็ก ใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยั่วยุทุกรูปแบบ และปิดถนนสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน กระทบการทำมาหากินอย่างหนัก การประกาศไปพระบรมมหาราชวัง เป็นการจาบจ้วง ก้าวล่วง และการชุมนุมครั้งนี้อาจเกิดมือที่สาม เข้ามาสร้างสถานการณ์ สร้างความรุนแรงเกิดขึ้นได้ ซึ่งเราไม่ต้องการเห็น จึงขอเตือนม็อบว่าอย่าเคลื่อนไหว และจะยิ่งทำให้ประชาชนคนไทยที่จงรักภักดีและปกป้องสถาบันรับไม่ได้ จนต้องออกมาชุมนุมคัดค้านกับกลุ่มเยาวชนฯ  ส่วนกลุ่มที่ต้องการปกปีองสถาบัน ถึงแม้การเคลื่อนไหวทำได้ตามสิทธิ แต่จะต้องเป็นไปตามกฎหมายเช่นกัน อย่าให้กระทบกระทั่งกัน อย่าให้เกิดความรุนแรงระหว่างม็อบเพราะจะเข้าทางม็อบสามกีบที่นิยมความรุนแรง เราคนไทย ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย อะไรที่ทำให้บ้านเมืองสงบสุขปลอดภัยจากวิกฤตโควิด จะต้องช่วยกันและก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกัน ดีกว่าทะเลาะรบราฆ่าฟันกันเองจนแผ่นดินไทยนองเลือด จุดนี้คือสิ่งที่เจ้าหน้าที่ต้องเฝ้าระวังที่สุดเพื่อระงับเหตุความรุนแรง

นายเสกสกล กล่าวว่า หากกลุ่มผู้ชุมนุมปลดแอกหรือสามกีบก่อความวุ่นวายให้เกิดขึ้นหรือใช้ความรุนแรง เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนี้ หากแค่มาร่วมชุมนุมมีความผิดทางอาญา โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เรื่อง การห้ามชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ฉบับที่ 9  มีผลตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. 2564 

“ฝากถึงแกนนำม็อบปลดแอกให้หยุดได้แล้ว ขณะนี้บ้านเมืองต้องการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ไม่อยากเห็นคนไทยด้วยกันต้องมาทะเลาะเกิดเหตุรุนแรงบนท้องถนน ม็อบกลุ่มนี้นิยมความรุนแรง เพราะมีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ที่ต้องการให้เกิดความรุนแรงหรือสงครามกลางเมือง ต้องการที่ให้ประเทศไทยเกิดความวุ่นวาย มีคนวางแผนต้องการทำลายสถาบันฯอย่างนายปิยบุตร แสงกนกกุล และพวกล้มเจ้าที่คอยบัญชาการวางแผนอยู่ต่างประเทศ เพื่อทำลายการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระประมุขของไทยเรา พวกเราคนไทยที่ปกป้องสถาบันรู้ทันคนเหล่านี้เป็นอย่างดี จึงยอมคนพวกชั่วๆแบบนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน การอ้างว่าเรียกร้องประชาธิปไตย แต่กลับใช้ความรุนแรงและมุ่งหน้าไปพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ชัดเจนว่าคนชั่วๆเลวๆเหล่านี้เป็นคนหนักแผ่นจริงๆ ไม่สมควรจะมีที่ยืนหรืออาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทยอีกต่อไป "นายเสกสกล กล่าว

‘อรรถวิชช์’ เสนอ เพิ่มงบสภากาชาดไทย และ 4 องค์กร จัดการโรคระบาด หาวัคซีน-ฟาวิพิราเวียร์ สู้โควิด ขออย่าโยกงบ 16,300 ล้านไปงบกลาง

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวถึงมติที่ประชุม กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่ตกลงตัดงบประมาณ 16,300 ล้านบาท จากรายการอื่น ๆ แล้วไปเพิ่มให้งบกลางของรัฐบาลว่า ไม่สมควรอย่างยิ่ง เหมือนการให้เงินไปใช้ทั้งที่ไม่มีแผนงานโครงการ เพราะเวลา 1 ปีกว่าที่ผ่านมานี้ รัฐบาลมีเงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว และที่กู้เพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท แต่ปัญหาตอนนี้คือ ‘ระบบราชการรวมศูนย์’ เงินมีแต่ใช้ไม่เป็น ระบบล่าช้า ระเบียบรุงรัง ไม่ตอบโจทย์สถานการณ์วิกฤต จึงอยากเสนอให้แปรญัตติงบประมาณไปไว้ในองค์กรที่เกี่ยวข้องโดยตรง 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย

1.) สภากาชาดไทย

2.) ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

3.) กรมควบคุมโรค

4.) องค์การเภสัชกรรม

5.) สถาบันวัคซีนแห่งชาติ

“หน่วยงานทั้ง 5 มีอำนาจทะลุกรอบปกติในยามวิกฤตโควิด ตามที่ ศบค. ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งงานจัดหาวัคซีน การผลิตและส่งยาฟาวิพิราเวียร์ให้กับผู้ติดเชื้อ ถ้ามีงบชัดด้วย เชื่อว่างานเดิน โดยเฉพาะ ‘สภากาชาดไทย’ ที่มีวัฒนธรรมจิตอาสา มีประสบการณ์ในการรับมือวิกฤตทั้งสงครามและโรคระบาดมา 128 ปีแล้ว ตั้งแต่วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ไทย-ฝรั่งเศส โรคระบาดอหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ กาฬโรค” นายอรรถวิชช์กล่าว

เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวด้วยว่า เป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าในวิกฤตโรคระบาด แต่องค์กรเหล่านี้กลับถูกปรับงบลดลงจากปีที่แล้ว ได้แก่สภากาชาดไทย ถูกปรับลด 606 ล้านบาท, ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ถูกปรับลด 1,990.9 ล้านบาท, กรมควบคุมโรค ถูกปรับลด 478.9 ล้านบาท, สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ถูกปรับลด 1.2 ล้านบาท, และองค์การเภสัชกรรม มีเงินทุนหมุนเวียนปี 2564 เพียง 2,650 ล้านบาทเท่านั้น จึงอยากให้ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ที่อยู่ในกมธ.งบประมาณฯ ทบทวนมติแล้วจัดสรรงบให้องค์กรที่มีความพร้อมอย่างแท้จริง


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ฝ่ายความมั่นคง ฮึ่ม!!ม็อบชุมนุม 7 สิงหา ยกระดับดูแลพระบรมมหาราชวัง ตำรวจเข้มห้ามเข้าใกล้ยกเหตุการณ์ดินแดงเป็นตัวอย่าง

แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มเยาวชนปลดแอก และกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย นัดชุมนุมบริเวณพระบรมมหาราชวัง ในวันที่ 7 ส.ค. ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายความมั่นคงเตรียมยกระดับดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย และรักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญคือพระบรมมหาราชวังอย่างเต็มที่ ซึ่งต้องดูว่าในวันที่ 7 ส.ค. กลุ่มผู้ชุมนุมจะพยายามแหย่เจ้าหน้าที่แบบไหน และมากน้อยแค่ไหน จะเหมือนกับเหตุการณ์ที่ดินแดงครั้งล่าสุดหรือไม่ 

โดยเจ้าหน้าที่จะเก็บรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้มากที่สุด เพื่อดำเนินการตามกฎหมายในภายหลังกับแกนนำและผู้ชุมนุมต่อไป ซึ่งเชื่อว่าการเรียกร้องแบบนี้จะไม่จบแค่วันที่ 7 ส.ค. อย่างที่แกนนำกล่าวอ้างแน่นอน และคิดว่ายังคงนัดชุมนุมแบบนี้ไปอีกเรื่อยๆ จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตามยืนยันว่าในวันที่ 7 ส.ค. ทางเจ้าหน้าที่จะสับเปลี่ยนกำลังดำเนินการอย่างเต็มกำลังความสามารถ และไม่ยอมให้ผู้ชุมนุมเข้าใกล้พื้นที่ เพราะพระบรมมหาราชวังเป็นสัญลักษณ์ของประเทศเด็ดขาด โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนจะตั้งแถวล้อมรอบพื้นที่พระบรมมหาราชวัง และนำตู้คอนเทรนเนอร์มาตั้งเป็นแผงกั้นไว้แบบเดิม ขณะนี้ภายในพระบรมมหาราชวังจะมีกำลังของทหารในพื้นที่ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มข้นด้วย

ดร.สุวินัย ฟันธงม็อบ 7 สิงหาอาละวาดหนัก ชี้มี 'กูรูมืดและองค์กรกูรูมืด' คอยครอบงำปล่อยเฟกนิวส์

5 ส.ค. 64 ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Suvinai Pornavalai ในหัวข้อ ’กูรูมืดและองค์กรกูรูมืด’ มีเนื้อหาดังนี้ กูรูมืดและองค์กรกูรูมืดมีลักษณะร่วมกันอยู่ 4 อย่าง คือ ‘หลอกลวง ครอบงำ ควบคุม และครอบครอง’

อย่างแรก คือ ‘โกหก หลอกลวง’ เงื่อนไขนี้มาก่อนเลย ถ้าหลอกลวงด้วยเฟกนิวส์ได้แล้ว ที่ตามมาอย่างที่สอง คือ ‘การครอบงำความคิดของสาวก’ ที่หลงเชื่ออย่างเนียน ๆ แทบไม่รู้ตัว จนถลำลึกมากยิ่งขึ้นทุกที พอครอบงำความคิดจนเกิดอุปทานหมู่ หลงเชื่อตาม ๆ กัน โดยมีกลไกหลอกลวง โฆษณาชวนเชื่อ ตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดเวลา ก็จะมาสู่อย่างที่สามคือ ‘การควบคุมพฤติกรรมของสาวก’ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

โดยที่ในขั้นที่สี่หรืออย่างสุดท้ายคือ ‘การครอบครองร่างกายและชีวิตจิตใจ’ รวมทั้งจิตวิญญาณของผู้นั้นอย่างสิ้นเชิง จะใช้ให้ทำอะไรก็ได้ จะให้ก่อการร้ายทำร้ายผู้บริสุทธิ์ หรือจะให้ฆ่าตัวตายรวมหมู่ก็ยังได้

กูรูมืดและองค์กรกูรูมืดจึงมีหลายระดับก็จริง แต่แค่หลอกลวงด้วยเฟกนิวส์ก็เข้าสู่วิถีของกูรูมืดเต็มตัวแล้ว แปลกแต่จริงที่องค์กรกูรูมืด บางครั้งก็เป็นขบวนการทางการเมืองอย่างขบวนการนปช. องค์กรคนเสื้อแดงในอดีต หรือขบวนการล้มเจ้าชูสามนิ้วในปัจจุบัน...ไม่จำเป็นต้องเป็นองค์กรศาสนาเสมอไป

สังคมที่ปล่อยให้เฟกนิวส์อาละวาด โดยที่ทางการอ่อนแอทำอะไรไม่ได้เลย คือสังคมที่อ่อนแอทางสติ อ่อนแอทางปัญญาความคิดวิเคราะห์ และอ่อนแอทางจิตวิญญาณ คนยุคนี้ต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติและไม่ประมาท เพราะกูรูมืดแฝงอยู่ในทุกวงการ

ในทางการเงิน กูรูมืดคือเจ้าพ่อแชร์ลูกโซ่ หรือ เทรดเดอร์โฟโต้ช็อปที่สร้างภาพว่าเป็นเทพ

ในทางการเมือง กูรูมืดคือแกนนำในขบวนการทางการเมืองที่สร้างวาทกรรมปลุกปั่นให้ประชาชนเกิดความเกลียดชังประเทศตนเองและสถาบันหลัก ๆ ของประเทศอาฆาตอย่างรุนแรง

7 สิงหาคมนี้ คนพวกนี้จะออกอาละวาดอีกครา จงอย่าให้ชีวิตของตนเองและครอบครัวต้องพังพินาศเพราะหลวมตัวหลงไปเชื่อกูรูมืดและองค์กรกูรูมืดเป็นอันขาด

ถ้าใช้หลักเกณฑ์ 4 ข้อ เรื่อง ‘หลอกลวง ครอบงำ ควบคุม ครอบครอง’ ที่ผมยกมาข้างต้นจะช่วยแยกแยะได้ว่าใครเป็นกูรูมืดและองค์กรกูรูมืด

สุวินัย ภรณวลัย


ที่มา : https://www.thaipost.net/main/detail/112261

https://www.facebook.com/suvinaip/posts/4152940241409752


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘สุวัจน์' หนุนปลูก ฟ้าทะลายโจร แจก 1.2 หมื่นกล้า สู้โควิด-19  จี้ รัฐ เร่งหา-กระจายวัคซีน โดยเร็ว ให้สอดรับสถานการณ์

ที่บ้านราชวิถี 20 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์ฅนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน เปิดเผยว่า ในวันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม นี้ ศูนย์ฅนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกันจะได้แจกจ่ายต้นกล้าฟ้าทะลายโจร จํานวน 12,000 ต้น ให้กับพี่น้องชาวโคราช เพื่อส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยในการสู้ภัยโควิด ที่ที่ทําการศูนย์ฅนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน พรรคชาติพัฒนา  

นายสุวัจน์ กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในจังหวัดนครราชสีมา ยังพบผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง ขณะนี้เทศบาลนคร นครราชสีมา ได้จัดตั้งสถานที่กักตัว (State Quarantine) สําหรับกลุ่มเสี่ยงที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง เพื่อใช้เป็นที่พักคอยก่อนตรวจหาเชื้อโควิด หากพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อก็จะส่งตัวเข้ารักษา ที่โรงพยาบาลต่อไป โดยใช้สถานที่โรงแรมฟอร์จูน อําเภอเมืองนครราชสีมา สามารถรองรับได้ 120 คน  โรงพยาบาลมหาราช ตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติมอีก 1 แห่ง โดยใช้หอพักพยาบาลของโรงพยาบาลมหาราช สามารถรับผู้ป่วยเพิ่มได้อีก 240 คน ซึ่งศูนย์ฅนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน ได้ช่วยกันสนับสนุนอุปกรณ์จําเป็นต่างๆ อาทิ เช่น ตู้เย็น พัดลม และ อ่างล้างมือ ให้กับโรงพยาบาลสนาม เพิ่มประสิทธิภาพในการให้การดูแลผู้ป่วยโควิด-19

นายสุวัจน์ กล่าวว่า ขณะนี้การแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเร่งด่วนคือ การจัดหาวัคซีนให้เร็วที่สุด และมีจำนวนเพียงพอกับประชากร และสถานการณ์การแพร่ระบาด จะต้องจัดลําดับการฉีดและกระจายจัดวัคซีนไปยังกลุ่มต่างๆ ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร และให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องต่างๆ เกี่ยวกับวัคซีน สถานการณ์ของโรค ไปยังพี่น้องประชาชนอย่างรวดเร็ว เพื่อลดความวิตกกังวล และสร้างความเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถฝ่าฟันวิกฤตโควิด-19 ไปได้ เพื่อจะได้เกิดความร่วมมือจากทุกฝ่าย 

นายสุวัจน์ กล่าวว่า การส่งเสริมให้ใช้สมุนไพรไทยที่ประเทศเรามีอยู่ ไม่ต้องพึ่งพาการนําเข้าจากต่างชาติ เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19ได้ ตามที่ได้มีการประกาศให้ฟ้าทะลายโจร อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร และมีการส่งเสริมให้มีการนํามาใช้ เพราะมีสารสกัดแอนโดรกราโพไลด์ ซึ่งสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและสามารถรักษาผู้ป่วย โควิด-19 ที่ไม่มีอาการหรือผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย โดยได้มีการทดลองนํามาใช้กับผู้ป่วย และ เกิดผลสำเร็จในการรักษา ทำให้ขณะนี้ สมุนไพรไทย ฟ้าทะลายโจรจึงมีความต้องการสูงมาก เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทยให้เกิดประโยชน์ในการต่อสู้กับโควิด-19 ศูนย์ฅนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน จึงได้จัดหาต้นกล้าฟ้าทะลายโจรไว้จํานวน 12,000 ต้น โดยได้รับการ สนับสนุนจากมูลนิธิเก้ายั่งยืน มูลนิธิรักษ์ดิน รักษ์น้ำ และออฟฟิศชาวนา ช่วยกันจัดหาเพิ่มเติมอีกด้วย  เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนจำนวน 5,600 ต้น และหน่วยงานราชการ เทศบาล อบต. ตําบล ชุมชนต่างๆ อีกจำนวน 6,400 ต้น เพื่อนําไปปลูกและใช้ประโยชน์ และเป็น ส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาโควิด-19 และสร้างขวัญกําลังใจให้กับพี่น้องประชาชน 

นายสุวัจน์ กล่าวว่า ศูนย์ฅนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน และพรรคชาติพัฒนา ได้ดำเนินการช่วยเหลือพี่น้อง ประชาชนทางโคราชมานับแต่เริ่มต้นของสถานการณ์ COVID-19 เมื่อต้นปี 2563 ด้วยการแจกจ่าย อาหาร  หน้ากากอนามัย  แอลกอฮอล์สเปรย์ฆ่าเชื้อ  ถุงน้ำใจ ข้าวกล่อง  อุปกรณ์ทางการแพทย์  และอื่นๆ เพื่อช่วยพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง และ ขอส่งกําลังใจมายังพี่น้องประชาชนทุกคน ขณะที่รอการฉีดวัคซีนนั้น ขอให้พวกเรามีกําลังใจ ร่วมกันฝ่าฟันโควิดไปด้วยกัน ให้ความร่วมมือ กับมาตรการต่างๆ ด้านสาธารณสุข และ ดูแลตนเองให้ดีที่สุด ในสถานการณ์ที่การฉีดวัคซีนยังไม่ทั่วถึง  ด้วยการใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ มีระยะห่าง อยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมตลอดเวลา ก็สามารถที่จะสร้างความปลอดภัยจากโควิด-19 ได้

นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความ ระบุ ม็อบ 7 สิงหา ที่จะไปที่พระบรมมหาราชวัง จบไม่สวย!!

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ม็อบ 7 สิงหา ที่จะไปที่พระบรมมหาราชวัง

ได้ทำลายการเคลื่อนคาร์ม็อบพินาศสิ้น!!!!

ทำลายโดยมีแผน หรือโดยมั่ว?

แต่ผลคือทั้งแกนนำและม็อบ 7 สิงหา จบไม่สวย!!


ที่มา : https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/photos/a.481669931931684/4134871973278110/


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top