Saturday, 20 April 2024
POLITICS NEWS

“บิ๊กตู่” เรียกถก ผู้ว่าฯ13 จังหวัดสีแดง รับมือ-เร่งแก้โควิด เผยวานนี้ บ่นกลางที่ประชุม ครม.ขอโฆษกฯทุกกระทรวงเร่งสื่อสารทำความเข้าใจ “เคือง” ใครไม่อยากทำงานก็ลาออกไป

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรึ และ รมว.กลาโหม ในการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ว่า วันที่ 28 ก.ค.ภายหลังเสร็จภารกิจ เป็นประธานในพิธีวางพานพุ่ม ถวายพระพรชัยมงคล และถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2564 ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ในเวลา 08.30 น.แล้ว เวลา 13.00 น.พล.อ.ประยุทธ์ เรียกประชุม ผู้ว่าราชการจังหวัดสีแดงเข้ม 13 จังหวัดผ่านระบบ zoom จากบ้านพัก ภายในกรมทราบราบ มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.1 ทม.รอ.) เพื่อหารือถึงแนวทางการรับมือกับการแพร่ระบาด รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วย การตั้งโรงพยาบาลสนามต่างๆ รวมทั้งการสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชน

ทั้งนี้ รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า วานนี้ (27 ก.ค.) ช่วงหนึ่งในการประชุม ครม.พล.อ.ประยุทธ์ ได้ขอความร่วมมือจากทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะทีมโฆษกกระทรวงทุกกระทรวง ช่วยกันสื่อสารทำความเข้าใจข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องของมาตรการการแก้ปัญหา โควิด-19 ขอให้ทุกคนช่วยกันสื่อสาร แต่ถ้าไม่อยากทำก็ให้ลาออกกันไป 

'บิ๊กตู่' สั่ง ใช้ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปราบ 'เฟกนิวส์' เด็ดขาด

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในที่ประชุมครม. วันนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน หรือข่าวปลอม ซึ่งปัจจุบันแต่ละกระทรวงก็มีภารกิจคอยมอนิเตอร์ข่าวสารที่บิดเบือน หรือเฟกนิวส์ อยู่แล้ว โดยบางกระทรวงได้จัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมหรือศูนย์การชี้แจงข่าวต่างๆ แล้ว โดยนายกฯ ขอให้ทุกกระทรวงได้ดำเนินการอย่างแข็งขัน เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและสามารถทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างชัดเจน เพราะปัจจุบันเรื่องข่าวปลอมเป็นสิ่งที่รัฐบาลมีความกังวล 

"นอกจากนี้ จากข้อกำหนดฉบับที่ 27 ตามพระราชกำหนดฉุกเฉิน ที่ได้ประกาศใช้แล้ว ได้ระบุถึงการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจไม่ตรงกัน นายกฯ จึงได้ให้นำมาตรการนี้มาใช้ให้มีประสิทธิภาพและให้เกิดผลโดยเร็วที่สุด" นายอนุชา กล่าว 

“บิ๊กป้อม” ย้ำ มท. ประสาน กทม.-พม. ลงช่วยดูแลคนเร่ร่อน พร้อม เร่งจัดตั้งพื้นที่แยกรักษาตัวในชุมชน ( CI ) ในทุกเขต 

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กำชับกระทรวงมหาดไทย  และให้ประสาน กทม. เร่งจัดตั้งพื้นที่พักแยกรักษาตัว ( Community Isolation / CI ) เพื่อช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยสีเขียวในชุมชนต่างๆให้ครอบคลุมทุกจังหวัดเป็นการเร่งด่วน โดยเฉพาะพื้นที่ กทม.ต้องเร่งจัดหาพื้นที่ตั้ง CI ให้ได้อย่างน้อย 1 แห่งในทุกเขต รวมทั้งให้เปิดพื้นที่พักคอย ดูแลและคัดแยกผู้ป่วยติดเชื้อในทุกชุมชน ที่ร้องขอการสนับสนุนมากขึ้น พร้อมกันนี้ ได้ขอให้ มกระมทรวงมหาดไทย ประสานกับ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ ตำรวจ ร่วมกันลงพื้นที่ไปช่วยเหลือดูแลคนเร่ร่อน คนด้อยโอกาสใน กทม. นำเข้าพื้นที่ควบคุมโรคดูแลคุณภาพชีวิต เพื่อมิให้เกิดปัญหาการติดกระจายเชื้อหรือเจ็บป่วยถึงชีวิตในที่สาธารณะ  

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ย้ำฝ่ายปกครอง ประสานขอให้ กทม. โดยเขตต่างๆ เป็นหลัก ตอบสนองประชาชนต่อสถานการณ์วิกฤตการแพร่ระบาดของโรคด้วยความตื่นตัวต่อเนื่องกันไป โดยประสานการทำงานกับทุกส่วนราชการในพื้นที่อย่างใกล้ชิดมากขึ้น รวมทั้งลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับประชาชน เพื่อให้การสนับสนุนและร่วมช่วยเหลือดูแลกันและกัน ในการจำกัดและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค กทม.ให้ได้โดยเร็ว

ครม.ตั้งคนพรรค รวมพลังประชาชาติไทย นั่ง ผู้ช่วยรัฐมนตรี - ยัน มหาดไทย ยังไม่ชง โผ ปลัดมท.-ผวจ. เข้าครม.

น.ส. ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติ อนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง นางสาวเก็จพิรุณ เกาะสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 

ครม.เห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายดนุช ตันเทอดทิตย์ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง 

ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้ง นางสาวศิริพร บุญชู เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเกษตรในคณะกรรมการสำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป

ครม.เห็นชอบตามที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เสนอแต่งตั้ง นายประเวทย์ ตันติสัจจธรรม ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรม และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล) แทนผู้ที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในวันนี้ครม.ไม่มี การพิจารณาวาระแต่งตั้งโยกย้าย ของ กระทรวงมหาดไทย ทั้ง ตำแหน่งปลัดกระทรวง และผู้ว่าราชการจังหวัด แต่อย่างใด

ครม. ทุ่มกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ให้สปสช.ดูแลผู้ป่วยโควิด- เยียวยาผู้เสียหายจากวัคซีน ย้ำ เร่งประชาสัมพันธ์หลักเกณฑ์-เงื่อนไขให้ปชช.ทราบ

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติวงเงิน 13,026 ล้านบาท ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)เป็นค่าใช้จ่ายให้กับหน่วยบริการ สถานพยาบาล ที่ให้บริการสาธารณสุขโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับประชาชนทุกสิทธิ ระหว่างเดือนส.ค. - ก.ย.2564 ในกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 3,508,060 ราย ประกอบด้วย 1.กลุ่มเสี่ยงที่ได้รับการตรวจคัดกรองไวรัสโควิด-19 จำนวน 3,392,800 ราย  2.ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้รับบริการสาธารณสุข จำนวน 114,500 ราย และ 3.ผู้ได้รับความเสียหายจากการฉีดวัคซีนโควิด-19  จำนวน 760 ราย 

นายอนุชา กล่าวว่า โครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ของสปสช.จะช่วยลดงบประมาณด้านการรักษาพยาบาลในภาพรวม เนื่องจากเป็นโครงการลงทุนให้เกิดการบริการตรวจคัดกรองหรือป้องกันไม่ให้เกิดการติดโรค มีต้นทุนค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษาเมื่อป่วยแล้ว เป็นหลักประกันทางสังคมด้านสุขภาพสำหรับประชาชนไทย ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ให้สปสช.เร่งประชาสัมพันธ์กับประชาชน รับทราบถึงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อภายใต้สวัสดิการต่างๆของภาครัฐ รวมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาแนวทางการจัดบริการตรวจคัดกรองเชิงรุกในชุมชน เพื่อสนับสนุนให้แต่ละภาคส่วนสามารถจัดบริการป้องกันการติดเชื้อเชิงรุกในชุมชนได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพต่อไป

จีนออกกฎกติกาเข้มด้านการศึกษาหลายข้อที่สะท้อนความเป็น “ระบบแบบจีน” แล้วจีนทำเพื่ออะไร ?

#ระบบแบบจีน เน้นลดเหลื่อมล้ำการศึกษา​ ตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อลดอิทธิพลฝรั่ง

จีนออกกฎกติกาเข้มด้านการศึกษาหลายข้อที่สะท้อนความเป็น “ระบบแบบจีน” แล้วจีนทำเพื่ออะไร ?

ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีนจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้วิเคราะห์ไว้ในเฟซบุ๊ก Aksornsri​ Phanishsarn ดังนี้...

ทางการจีนได้ออกกฎระเบียบล่าสุดที่กำหนดให้ธุรกิจด้านการศึกษา และบริษัทเทคโนโลยีด้านการศึกษา หรือ Edu Tech รวมไปถึงโรงเรียนกวดวิชาต่าง ๆ ในจีนต้องเป็น “องค์กรไม่แสวงหากำไร”

กฎใหม่ของจีนนี้ส่งผลให้หุ้นของบริษัท EduTech ของจีนร่วงลงอย่างหนักมาตั้งแต่วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2564

จีนทำเพื่ออะไร ดร.อักษรศรี​ วิเคราะห์ว่า หากพิจารณาจากมุมของรัฐบาลจีน จะพบว่า นี่คือ ความพยายามจะลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาในจีน เพื่อป้องกันไม่ให้ลุกลามไปสร้างปัญหาทางสังคมอื่น ๆ ตามมา

ดร.อักษรศรี​ ให้ข้อสังเกตว่า ทางการจีนมักจะ “ตัดไฟแต่ต้นลม” และตัดวงจรก่อนปัญหาอื่น ๆ จะตามมา

กฎใหม่ของจีนที่ออกมาก็เพื่อจัดการกับโรงเรียนกวดวิชาและบริษัท Edu Tech ทั้งหลายที่เน้นธุรกิจมากจนสร้างความเหลื่อมล้ำให้ชาวจีนส่วนใหญ่ที่ไม่มีเงินจ่ายให้ลูกหลานตัวเองเข้าติวกับธุรกิจกวดวิชาเหล่านี้

นอกจากนี้ ทางการจีนต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านการเลี้ยงดูบุตรหลาน และลดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา (เช่น ต้องส่งลูกเข้าโรงเรียนกวดวิชา) ของผู้ปกครอง เพื่อจูงใจให้คนจีนยอมมีลูกมากขึ้น ตาม​ "นโยบายลูกสามคน” เพื่อรับมือปัญหาผู้สูงอายุ Aging Society ของจีนในอนาคตด้วย

ดร.อักษรศรี ยังย้ำประเด็นที่น่าสนใจ คือ ภายใต้กฎใหม่ จะมีการห้ามนำหลักสูตรของต่างชาติมาสอนในโรงเรียนเหล่านี้และห้ามจ้างครูต่างชาติมาเป็นผู้สอนด้วย ซึ่งจีนดำเนินการอย่างเด็ดขาดมาก และชัดเจนว่า จีนต้องการสร้างเกราะป้องกันไม่ให้ต่างชาติที่อาจจะทำเนียนเข้ามาแทรกแซงปลุกปั่นเยาวชนจีน

อย่างไรก็ดี ดร.อักษรศรี​ ชี้ให้เห็นว่า เหรียญมีสองด้าน ทางการจีนที่เป็น Regulator ทำเช่นนี้ ก็ถูกตั้งคำถามว่า จะเป็นการปิดกั้นหรือดับฝันการเติบโตของอุตสาหกรรมการศึกษาและ Edu Tech ของจีนหรือไม่ รวมไปถึงประเด็นคนรุ่นใหม่และ Startup จีนจะถูกควบคุมมากเกินไป หรือไม่?

ดร.อักษรศรี ได้สรุป สาระสำคัญภายใต้กฎใหม่ด้านการศึกษาของจีน ไว้ดังนี้...

1.) ธุรกิจ Edu Tech และสถาบันกวดวิชาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ระดมทุนหรือขายหุ้นสู่สาธารณะ

2.) บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของจีนก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงทุนหรือเข้าซื้อกิจการในธุรกิจดังกล่าวเช่นกัน

3.) เงินทุนจากต่างประเทศจะถูกกีดกันไม่ให้เข้าสู่ภาคการศึกษาของจีนด้วย

4.) ธุรกิจด้านการศึกษาในจีนห้ามนำหลักสูตรของต่างประเทศมาสอน และห้ามจ้างครูต่างชาติ มาสอนในสถาบันการศึกษาของตนด้วย

5.) หน่วยงานกำกับดูแลของจีนจะหยุดการออกใบอนุญาตจัดตั้งสถาบันกวดวิชาใหม่ ๆ และจะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบโรงเรียนกวดวิชาที่มีการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์เข้มงวดยิ่งขึ้น

6.) ควบคุมปริมาณสถาบันกวดวิชาไม่ให้มีจำนวนมากเกินไป

7.) นโยบายลดการบ้านหลังเลิกเรียน พร้อมห้ามไม่ให้มีการเรียนการสอนในช่วงสุดสัปดาห์

8.) ห้ามใช้หลักสูตรออนไลน์สำหรับเด็กอายุ 6 ปีหรือต่ำกว่า เพื่อลดความตึงเครียดจากการแข่งขันทางการศึกษาของเยาวชนจีน

9.) มีการจัดตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมาควบคุมสถาบันการศึกษาเอกชนโดยเฉพาะเพื่อกำกับดูแลค่าเล่าเรียน และจำกัดเวลาที่เด็กสามารถใช้ในโรงเรียนกวดวิชาไม่ให้มากเกินไป


ที่มา : https://www.facebook.com/1037140385/posts/10223687420627009/?d=n


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ธนกร’ สวนกลับ ‘นพ.ชลน่าน’ อย่าทำตัวไร้เกียรติ ไร้จรรยาบรรณบิดเบือนข้อมูล ปั่นเฟกนิวส์โจมตีรัฐบาลทุกวันเหมือนคนในพรรคที่ไม่มีงานทำ ย้ำวัคซีนไม่ได้หายไปไหน สธ.เตรียมฉีดไฟเซอร์-แอสตร้าฯ เป็นบูสเตอร์เข็ม 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) กล่าวถึงกรณีนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย ออกมาเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงข้อมูลวัคซีนเข็ม 3 ของบุคลากรทางการแพทย์ 4 แสนโดสหายไปว่า บอกตรง ๆ ตนผิดหวังกับนพ.ชลน่านอย่างที่สุด ไม่คิดว่าคนที่เป็นหมอจะกล้าบิดเบือนข้อมูล เอาข้อมูลเท็จมาโจมตีรัฐบาล ไร้ซึ่งเกียรติยศ และไร้จรรยาบรรณของแพทย์ที่สุด

ซึ่งในส่วนการของการฉีดวัคซีนบูสเตอร์เข็ม 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์เกือบ 7 แสนคนนั้น ขอย้ำให้นพ.ชลน่าน ได้ยินชัด ๆ ว่าวัคซีนไม่ได้หายไปไหน ยังอยู่ครบหมด โดยกระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าจำนวนหนึ่งและไฟเซอร์ไม่ต่ำกว่า 5 แสนโดสให้กับบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนตามรายชื่อที่แจ้งไว้ ทุกคนได้บูสเตอร์เข็ม 3 ตามความต้องการ และเรื่องนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ออกมาชี้แจงอย่างชัดเจนแล้ว แต่นพ.ชลน่าน ก็ยังออกมาโจมตีรัฐบาลอย่างหน้ามืดตามัว เป็นพฤติกรรมที่ไร้คุณธรรมมาก และน่าเศร้าใจมาก ตนแปลกใจมากที่นพ.ชลน่านทำตัวอยากดังเหมือนนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่เหมือนไม่มีงานทำในพรรค เลยออกมาโจมตีรัฐบาลทุกเสาร์-อาทิตย์แบบไร้เหตุผลรองรับ เหมือนตั้งระบบไว้ เสียดายจริง ๆ

นายธนกร กล่าวอีกว่า ตนไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า ทำไมพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านยังคงพุ่งเป้าโจมตีการทำงานของรัฐบาลในการแก้ปัญหาโควิด-19 ได้ทุกวัน ทั้งที่ทุกฝ่ายก็ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ บุคลากรทางการแพทย์ก็ทำงานอย่างหนัก แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเพิ่มมากขึ้น แต่ระบบการแก้ปัญหาก็เป็นระบบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาวัคซีน การเร่งฉีดวัคซีน การเยียวยา รวมไปถึงสิ่งที่นายกได้สั่งการไปไม่ว่าจะเป็น

1.) การเร่งจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่มขึ้น เพื่อรับผู้ป่วยไวรัสโควิด-19 ที่มีอาการ ให้เข้าถึงการรักษาและสถานพยาบาลให้มากและเร็วที่สุด

2.) เพิ่มขีดความสามารถโรงพยาบาลสนามที่มีอยู่ในขณะนี้ ให้สามารถรองรับผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดงให้มากขึ้น

3.) เห็นชอบแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน (Home Isolation - HI) และการดูแลผู้ป่วยในชุมชน (Community Isolation - CI) อย่างเป็นระบบ โดยจัดให้มีทีมแพทย์คอยติดตามอาการ ชุดเวชภัณฑ์และยาที่จำเป็นเพี่อคัดแยกผู้ป่วย ลดการแพร่เชื้อภายในครอบครัวและชุมชน สำหรับผู้ป่วยที่สามารถกักตัวที่บ้านได้ (HI) จะมีการจ่ายยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร เครื่องวัดอุณหภูมิ เครื่องวัดออกซิเจน สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถกักตัวที่บ้านได้จะนำส่งศูนย์พักคอย หรือ (CI) ซึ่งกรุงเทพมหานครจะได้จัดตั้งศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อให้ครบทั้ง 50 เขต

4.) มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาร่วมช่วยเหลือ สำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รวมถึงการจัดส่งอาหารและยาให้ผู้ติดเชื้อที่รักษาตัวที่บ้านและที่ชุมชนในแต่ละวันอย่างต่อเนื่อง

5.) ให้รัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยประสานผู้ป่วยกลับไปรักษาตัวในภูมิลำเนาได้ ตามมาตรการสาธารณสุขที่กำกับการเคลื่อนย้ายทุกขั้นตอน เพี่อลดปัญหาการได้เข้ารับการรักษาในพื้นที่ กทม. ที่มีข้อจำกัดเรื่องเตียง

6.) สนับสนุนทีมปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 เชิงรุก (Comprehensive Covid-19 Response Team) หรือ CCRT อย่างต่อเนื่อง โดยจะดำเนินการลงพื้นที่ทั้ง 50 เขต เพื่อตรวจคัดกรองเชิงรุกค้นหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชนให้ครอบคลุมและทั่วถึง เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเร็วที่สุด

และ 7.) ปรับปรุงระบบการรับเรื่องผ่านโทรศัพท์สายด่วนต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ให้สามารถประสานข้อมูลร่วมกัน เพื่อนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็ว

“ความจริงตนรู้สึกเบื่อมากที่จะต้องออกมาเสมือนตอบโต้กันไปมา แต่ตนก็มีความจำเป็นที่จะต้องออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงให้พี่น้องประชาชนได้ทราบ เพราะมีการบิดเบือนข้อมูล ปั่นเฟกนิวส์กันทุกวัน ทุกนาที และท่านนายกฯ เองก็ให้ความสำคัญในเรื่องการชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกบิดเบือนให้ประชาชนเข้าใจ โดยกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องออกมาชี้แจงให้ทันสถานการณ์ นาทีต่อนาทีเช่นเดียวกัน เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนไม่ให้เกิดความสับสน เข้าทางฝ่ายที่ต้องการออกมาโจมตีโดยไม่มีจิตสำนึกของความเป็นคนไทย หรือไม่มีจรรยาบรรณอย่างหมอบางคนที่หันมาเอาดีทางด้านการเมือง”


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“องอาจ” เสนอเร่งเพิ่ม Community Isolation รองรับผู้ติดเชื้อที่ผ่านการตรวจ ATK แล้ว

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคและประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ผู้ป่วยติดเชื้อโควิดตรวจหาเชื้อแบบ ATK (Rapid Antigen Test Kit) แล้วพบว่ามีผลเป็นบวกให้เข้าระบบกักตัวที่บ้าน หรือกักตัวที่ชุมชนเลย โดยไม่ต้องผ่านการตรวจแบบ RT-PCR ก่อน เหมือนที่ผ่านมาว่า เห็นด้วยกับวิธีการนี้ที่จะช่วยทำให้ผู้ติดเชื้อจากการตรวจ ATK เบื้องต้นมีที่แยกตัวไปอยู่เฉพาะในฐานะเป็นผู้ติดเชื้ออยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสจะนำเชื้อไปแพร่ระบาดที่อื่นต่อไปได้ถ้าไม่มีที่รองรับที่ชัดเจน

เพราะที่ผ่านมาผู้ผ่านการตรวจ ATK จะเข้าสู่การรักษาได้ต้องผ่านการตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR ก่อนซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการตรวจและต้องรอผลตรวจ 1-2 วัน จึงทำให้ผู้ติดเชื้อจากการตรวจ ATK ไม่มีที่รองรับระหว่างที่รอ ต้องกลับบ้านไปใช้ชีวิตปกติ ถ้าเป็นคนยากคนจนที่ต้องหาเช้ากินค่ำก็ต้องออกไปทำงานหารายได้ ทำให้มีโอกาสออกไปแพร่เชื้อเพิ่มมากขึ้น

ที่ผ่านมาพวกเราอดีต ส.ส. อดีต สก. สข. ตัวแทนพรรคที่ทำงานดูแลชาวบ้านในพื้นที่พบเห็นปัญหานี้มาโดยตลอด และพยายามแจ้งให้ผู้รับผิดชอบรีบแก้ไข วันนี้จึงเห็นด้วยที่ ศบค. แก้ไขให้ผู้ป่วยที่ตรวจหาเชื้อแบบ ATK หากผลเป็นบวกให้ติดต่อโรงพยาบาลที่ทำการตรวจเพื่อนำเข้าสู่ระบบ Home Isolation หรือการกักตัวที่บ้าน และ Community Isolation หรือการแยกกักตัวที่ชุมชน

แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ก็คือผู้ติดเชื้อที่อยู่ในชุมชนแออัดซึ่งมักอยู่แออัดกันหลายคนในห้องเล็กๆ ทำให้ใช้ระบบกักตัวที่บ้านไม่ได้แน่นอน คนกลุ่มนี้จึงควรนำเข้าระบบ Community Isolation หรือการแยกกักตัวที่ชุมชน โดยมีข้อเสนอให้ ศบค. พิจารณาดังนี้

1. เร่งเพิ่มจำนวนสถานที่แยกกักตัวที่ชุมชนให้เพียงพอ เพราะมีแนวโน้มว่าจำนวนผู้ติดเชื้อที่ผ่านการตรวจหาเชื้อแบบ ATK จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
2. สถานที่แยกกักตัวที่ชุมชนต้องมีความพร้อมที่จะดูแลผู้ติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพ
3. สถานที่แยกกักตัวที่ชุมชนบางแห่งอาจมีผู้ติดเชื้อที่รอผลตรวจ RT-CPR อยู่ก่อนแล้ว เมื่อมีผู้ติดเชื้อเข้ามาใหม่ อาจต้องมีการจัดการไม่ให้ปะปนกัน เพราะคนกลุ่มนี้ทั้งหมดเมื่อตรวจ RT-PCR อย่างละเอียดแล้วอาจมีผลเป็นผู้ไม่ติดเชื้อก็ได้

เชื่อมั่นว่าข้อเสนอจากการพบเห็นปัญหาจากการปฏิบัติจริงในพื้นที่เหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของทางราชการและผู้เกี่ยวข้องเพื่อช่วยให้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ชะลอตัวลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันจะทำให้สถานการณ์วิกฤตโควิดคลี่คลายได้ในที่สุด

ศรีสุวรรณ จี้ ป.ป.ช. สอบ จ.บุรีรัมย์ทั้งจังหวัด ปมฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้ตำรวจ บอก อนุทิน ต้องอธิบายสังคม

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า กรณีเพจเฟซบุ๊ก สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์ จ.บุรีรัมย์ โพสต์ข้อความระบุว่า มีข้าราชการตำรวจ 11 นาย ได้รับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า กับทางสาธารณสุขอำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์ โดยมีเจ้าหน้าที่ รพ. ดำเนินการให้ จนมีประชาชนจำนวนมากในโชเชียลตั้งคำถามว่า ทำไมตำรวจถึงได้รับการฉีดวัคซีนเข็ม 3 พร้อมบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ทั้งๆที่คนไทยกว่า 50 ล้านคนยังไม่ได้ฉีกเลยสักเข็มเดียวนั้น

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวแม้ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์จะแก้เกี้ยวโดยการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาแล้ว แต่ทว่าจากการให้สัมภาษณ์ของผู้บังคับการตำรวจบุรีรัมย์กลับชี้แจงว่า เป็นการใช้วัคซีนเหลือก้นขวด และใช้ฉีดให้กับตำรวจด่านหน้าที่ไปรับผู้ป่วยกรุงเทพฯกลับบ้านตามโครงการทำดีด้วยหัวใจสู้ภัยโควิดด้วยศรัทธาเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สังคมยังแคลงใจและฟังไม่ขึ้น

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าว เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมของการจัดสรรวัคซีนป้องกันโควิดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นการตอกย้ำข้อเท็จจริงที่ก่อนหน้านี้รายงานของทีดีอาร์ไอที่ระบุว่า “การกระจายวัคซีนบิดเบี้ยวไม่เป็นไปตามลำดับความสำคัญตามยุทธศาสตร์ ดังปรากฏว่า บางจังหวัดเช่นบุรีรัมย์มีการฉีดวัคซีนมากเป็นลำดับที่ 11 ของประเทศ ณ วันที่ 7 ก.ค. โดยมีการฉีดวัคซีนทั้งหมดประมาณ 3 แสนเข็มหรือคิดเป็นร้อยละ 19 ของประชากร แม้ไม่ได้เป็นพื้นที่ที่มีการระบาดสูง ไม่เป็นจังหวัดท่องเที่ยวหลักและไม่อยู่ในกลุ่มจังหวัดที่มีความเร่งด่วนในการได้รับวัคซีนตามแผนการกระจายวัคซีนที่กรมควบคุมโรคได้ประกาศ” ซึ่งกรณีดังกล่าว รมว.สาธารณสุข และหน.พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีฐานที่มั่นทางการเมืองอยู่ จ.บุรีรัมย์ต้องมีคำตอบให้กับสังคมในเรื่องนี้

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าว หากปล่อยให้การจัดสรรวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นไปโดยอำเภอใจของฝ่ายการเมืองและข้าราชการเส้นใหญ่บางจำพวกหรือพวกมือที่มองไม่เห็น การกระจายวัคซีนที่ควรจะเป็นไปอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมให้กับคนทั้งประเทศก็คงจะบิดเบี้ยวต่อไป การป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ก็คงจะยากและมีผลสัมฤทธิ์น้อยเต็มที หากสังคมไม่ร่วมกันกระชากหน้ากากของผู้ที่สั่งการ และหรือผู้ที่ชอบเชลียร์เอาใจนายจนมองข้ามความจำเป็นเร่งด่วนที่คนไทยกว่า 50 ล้านคนยังไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เลยแม้สักเข็มเดียวได้

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2560 ม.27 ประกอบ ม.47 โดยตรง อีกทั้งอาจเข้าข่ายการทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการฯ ตามกฎหมายของ ป.ป.ช.โดยชัดแจ้ง สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงส่งเรื่องไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.เพื่อให้ไต่สวนและวินิจฉัยเอาผิดบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่สั่งการให้มีการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ให้กับตำรวจในจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างของความไม่เป็นธรรมตามครรลองของกฎหมาย

“วิโรจน์” แนะ ศบค.เร่งทำ 3 ข้อ เพื่อประคับประคองสถานการณ์ ซัด บริหารสถานการณ์บกพร่องร้ายแรง ย้ำ ต้องอย่าทำให้ระเบียบราชการและการรอคอยทำปชช.เสียชีวิต 

เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ทำการพรรคก้าวไกล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิสร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวกรณีที่รัฐบาลบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดที่บกพร่องอย่างร้ายแรง โดยข้อเสนอดังกล่าวส่งตรงไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ล่าสุด มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นวันละ 14,000-15,000 ราย และเป็นการเพิ่มขึ้นมากกว่า 10,000 รายต่อวัน ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาถึง 10 วันแล้ว โดยการระบาดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ระยะเวลา 15 วัน จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากระดับ 7,000 เป็น 14,000 รายต่อวัน

นายวิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการบริหารจัดการ การจัดหา และจัดฉีดวัคซีน แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ได้กล้าหาญที่จะออกมากล่าวคำขอโทษกับประชาชนด้วยตนเอง แต่เหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าการออกมาขอโทษประชาชนของผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และเปลี่ยนการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ COVAX Facility เมื่อวันที่ 21 ก.ค. การที่คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ มีมติให้จัดหาวัคซีนที่สามารถตอบสนองต่อเชื้อกลายพันธุ์ได้จำนวน 120 ล้านโดส ในปี 2565 พร้อมกับเร่งรัดให้จัดหาวัคซีนภายในปีนี้ ให้ได้ 100 ล้านโดส เมื่อวันที่ 14 ก.ค. การที่ อนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทำหนังสือถึง AstraZeneca เพื่อขอให้เขาส่งมอบวัคซีนให้ได้เดือนละ 10 ล้านโดส เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตลอดจนการยื่นข้อเสนอซื้อวัคซีน Pfizer เพิ่มเติมอีก 50 ล้านโดส เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ก็คือ การที่รัฐบาลได้สารภาพผิดโดยพฤตินัย เพราะจำนนต่อหลักฐาน ซึ่งประชาชนและสังคมก็ได้พิพากษา พล.อ.ประยุทธ์ ,นายอนุทิน และรัฐบาลนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“การบริหารจัดการด้านวัคซีน ผมก็ได้แต่หวังว่ารัฐบาลจะสำนึกในบาปบุญคุณโทษ ที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้กับประชาชน และเร่งใช้ความสามารถทางการทูต และการเร่งรัดติดตามอื่นๆ เพื่อนำเอาวัคซีนที่มีประสิทธิผลต่อสถานการณ์การระบาด มาฉีดให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุด การดำเนินการดังกล่าว แม้ว่ารัฐบาลจะกลับเนื้อกลับตัวได้แล้ว ก็ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ มีมากกว่าผู้ที่หายป่วยกลับบ้านถึงวันละ 5,000-8,000 ราย สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การประคับประคองให้จำนวนผู้ติดเชื้อชะลอตัวลง และลดอัตราการเสียชีวิตของประชาชนให้น้อยลงกว่าที่เป็นอยู่นี้ให้ได้”โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าว 

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตนมีข้อเสนอแนะต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. จำนวน 3 ข้อ คือ 1.เร่งใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit ตรวจประชาชนให้มากที่สุด และจัดสรรให้ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะประชาชนที่พักอาศัยในพื้นที่สีแดง สามารถนำเอาบัตรประชาชนมาขอรับ เพื่อนำไปใช้ตรวจวินิจฉัยตนเองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ได้สัปดาห์ละ 1 ชุด โดยสามารถลงทะเบียนขอรับผ่านทางไปรษณีย์ หรือขอรับด้วยตนเอง ได้ที่หน่วยงานท้องถิ่น หรือหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย  เช่น สำนักงานเขต ศูนย์บริการสาธารณสุข พร้อมจุดบริการเสริมต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบล องค์กาบริหารส่วนจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ ในต่างจังหวัด ทั้งนี้เพื่อลดภาระของกระทรวงสาธารณสุขลง พร้อมให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณมาอุดหนุน เพื่อให้ราคาของชุดตรวจ Antigen Test Kit อยู่ที่ไม่เกินชุดละ 50 บาท และเร่งจัดหามาให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน เพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อได้ตามร้านขายยามาตรฐานทั่วไป

2.ให้รัฐบาลกระจายอำนาจจากกระทรวงสาธารณสุขให้กับหน่วยงานท้องถิ่น และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มสีเขียว และเหลืองอ่อน เพื่อให้กระทรวงสาธารณสุขสามารถทุ่มเท ดูแลรักษาผู้ติดป่วยในกลุ่มสีเหลือง สีแดง และผู้ป่วยในภาวะวิกฤติได้ โดยให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ คือ เร่งจัดทำศูนย์พักคอยเพื่อติดตามอาการ หรือ Community Isolation Center ให้มากที่สุด โดยใช้พื้นที่วัด ศาสนสถาน โรงเรียน ค่ายทหาร และสวนสาธารณะ ตลอดจนสถานที่ราชการต่างๆ เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียว และเหลืองอ่อน ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 70-75% ที่ไม่สามารถกักตัวรักษาตนเองที่บ้านได้ ระจายเป็นจุดต่างๆ อย่างครอบคลุม ในระดับแขวงเขต ตำบล และอำเภอ

ให้รัฐบาลกระจายอำนาจให้กับหน่วยงานท้องถิ่น หรือหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ในการดูแลศูนย์พักคอยเพื่อติดตามอาการ เช่น ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้สำนักอนามัย ศูนย์บริการสาธารณสุข และสำนักเทศกิจ ทำหน้าที่ดูแล และในพื้นที่ต่างจังหวัดให้ อบต. และอบจ. เป็นผู้ดูแล เป็นต้น

สำหรับผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียว ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ และไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel ภายใต้การดูแลของโรงพยาบาล หากพบว่ากักตัวมาเป็นระยะเวลา 10 วันแล้ว ไม่มีอาการของโรค และสภาพปอดปกติ ให้ผู้ป่วยกลับไปกักตัวรักษาตนเอง หรือทำ Home Isolation ที่บ้าน ให้โรงพยาบาลรับผู้ป่วยในกลุ่มที่เปลี่ยนจากสีเขียว เป็นสีเหลือง จากศูนย์พักคอยติดตามอาการ Community Isolation Center หรือ Home Isolation หรือกรณีใดๆ มารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หรือ Hospitel ภายใต้การกำกับดูแลของโรงพยาบาล โดยห้ามมิให้ปฏิเสธ

และ 3.ให้รัฐบาลตรวจสอบอุปสรรคหน้างานอย่างเร็วที่สุด โดยเฉพาะข้อจำกัดที่ทำให้ผู้ติดเชื้อเข้าถึงยาต้านไวรัสอย่างล่าช้า เร่งแก้ไขระเบียบ ลดขั้นตอน และลดงานเอกสารงานธุรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลและการเข้าถึงยาลง ในกรณีที่จำเป็น ก็ต้องใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในการแก้ไขปัญหาคอขวดที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว ที่เริ่มมีอาการ ตลอดจนผู้ติดเชื้อที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้มีโรคประจำตัว ได้เข้าถึงยา Favipiravir ได้เร็วที่สุด โดยการวินิจฉัยของแพทย์ ภายใน 4 วันนับจากวันที่เริ่มมีอาการ ซึ่งเป็นไปตามแนวเวชปฏิบัติ ของกรมการแพทย์ ฉบับวันที่ 21 กรกฎาคม 2564 แต่ในทางปฏิบัติยังไม่สามารถทำได้เป็นการทั่วไป นี่คือ สิทธิการมีชีวิตรอดของประชาชน ซึ่งไม่ควรต้องสูญเสียไป จากระบบงานธุรการ ที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์วิกฤติ

โดยให้ผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียว และสีเหลืองอ่อน ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 75% ควรลงทะเบียน โดยได้รับหมายเลขผู้ป่วยนอก (HN) หรือหมายเลขผู้ป่วยใน (AN) โดยเร็วที่สุด ลดเรื่องงานเอกสารธุรการลงทั้งหมด สำคัญที่สุด เมื่อประชาชนพบว่าตนเองติดเชื้อ จากการตรวจโดยใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit ประชาชนควรเข้าถึงการรักษาได้ทันที แพทย์สามารถจ่ายยา Favipiravir และยารักษาตามอาการได้โดยทันที การตรวจยืนยันด้วยวิธี RT-PCR และการตรวจวินิจฉัยอื่นๆ ตลอดจนการตระเตรียมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำ Home Isolation การทำ Community Isolation หรือการรับเข้ารักษาที่โรงพยาบาล
.
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า  รัฐบาลควรจะแก้ไขกฎระเบียบ ให้อาสาสมัครต่างๆ ที่ช่วยประสานหาเตียงให้กับผู้ติดเชื้อ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ศูนย์พักคอยติดตามอาการ Community Isolation Center สามารถที่จะประสานงานกับโรงพยาบาล เพื่อลงทะเบียนให้กับผู้ติดเชื้อได้ และสามารถรับยาที่แพทย์สั่ง มาจ่ายให้กับผู้ป่วยที่อยู่ในศูนย์พักคอยติดตามอาการ รวมทั้ง ‘นำส่งยาที่แพทย์สั่ง’ ให้กับผู้ติดเชื้อที่ทำ Home Isolation หรืออยู่ระหว่างการรอเตียง เพื่อลดโอกาสการเสียชีวิต ให้น้อยลงที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทั้งนี้ ตนข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาศูนย์ล้างไตให้กับผู้ป่วยโควิด-19 การหารือกับ กสทช. ร่วมกับค่ายโทรศัพท์มือถือต่างๆ ให้งดเว้นการตัดสัญญาณโทรศัพท์ และสัญญาณอินเตอร์เน็ต ที่ค้างชำระค่าบริการในช่วงนี้ ซึ่งการระบาดของโรคอย่างรุนแรง เนื่องจาก กระบวนการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การประสานงานเพื่อหาเตียง หรือการติดตามอาการผู้ป่วยที่ทำ Home Isolation ล้วนจำเป็นต้องใช้สัญญาณโทรศัพท์ หรือสัญญาณอินเตอร์เน็ต ทั้งสิ้น

“ผมขอฝากไปถึงรัฐบาลก็คือ ยา และเวชภัณฑ์ต่างๆ ที่จำเป็น เช่น ยา Favipiravir ยา Remdesivir หรือยาที่จำเป็นต้องใช้ในห้อง ICU เช่น ยา Nimbex, Propofol หรือ Midazolam รัฐบาลต้องดูแลไม่ให้สต๊อกยา และเวชภัณฑ์เหล่านี้ขาดแคลน และถ้าเป็นไปได้ รัฐบาลต้องมีวิสัยทัศน์ ในการพิจารณานำเข้ายาต้านไวรัสประเภทอื่นที่ผ่านการรับรองมาแล้ว เช่น ภูมิคุ้มกันสังเคราะห์ ที่เรียกว่า Monoclonal Antibody เพื่อให้แพทย์เลือกใช้ในการรักษาชีวิตของประชาชน นี่ไม่ใช่เวลาที่รัฐบาลจะมาประหยัดงบประมาณในส่วนนี้ ”นายวิโรจน์ กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top