Monday, 29 April 2024
POLITICS NEWS

"ยุทธพงศ์" ร้อง "ประธานสภาฯ" สอบ ถอยเบนซ์ 5 ล้าน ขณะเป็นกมธ.งบ 65 ก่อนบรรจุวาระ 2-3

ที่รัฐสภา นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ยื่นหนังสือถึง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ขอให้ตรวจสอบนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ในฐานะกมธ.งบประมาณฯ ในสัดส่วนพรรคพลังประชารัฐ กรณีได้รับรถเมอร์ซิเดสเบนซ์หรูป้ายแดง มูลค่า 5 ล้านบาท ในขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นกมธ.งบประมาณฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ที่ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า เนื่องจากนายเรืองไกรได้โพสต์รูปคู่กับรถเมอร์ซิเดสเบนซ์ เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา พร้อมระบุข้อความว่า มีผู้ใหญ่ใจดีให้เงินซื้อรถใหม่เอาไว้ใช้ตามใจที่อยากได้ s 560 ป้ายแดง เลข 8807 ซึ่งปรากฏให้เห็นตามข่าว ต่อมาวันที่ 19 ก.ค. นายเรืองไกรยังให้รายละเอียดข้อมูลดังกล่าวเกี่ยวกับผู้ใหญ่ใจดีถึงการเจรจาต่อรองเรื่องเงินสด 20-30 ล้านบาท หรือผู้ใหญ่ใจดีจะให้เป็นรถยนต์แก่นายเรืองไกร และนายเรืองไกรยังได้ยอมรับในรายการเจาะลึกทั่วไทยโดยอ้างถึงผู้ใหญ่ใจดี แต่ต้องการปกปิดชื่อและสถานะของผู้ให้ทรัพย์สินดังกล่าว ตนจึงอยากให้ตรวจสอบว่าเงินสดจำนวน 5 ล้านบาทได้มาอย่างไร ได้มาอย่างโปร่งใสหรือไม่ เกี่ยวข้องกับการพิจารณางบประมาณฯ หรือไม่ และได้แจ้งธุรกรรมทางการเงินกับ ปปง. หรือไม่

"นายเรืองไกรเป็นนักตรวจสอบ ตรวจสอบคนอื่นมาเยอะ ก่อนจะไปตรวจสอบคนอื่นก็ควรปัดกวาดบ้านตัวเองให้สะอาดก่อน" นายยุทธพงศ์ กล่าว

นายยุทธพงษ์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ตนมายื่นเรื่องต่อนายชวนนั้น เนื่องจากนายชวนเป็นผู้บรรจุระเบียบวาระการประชุม ซึ่งหลังจากที่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ในฐานะประธานกมธ.งบฯ และนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธานงบฯ คนที่ 4 ตรวจสอบเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วจะต้องรายงานต่อประธานสภาฯ ก่อนบรรจุระเบียบวาระการประชุม พ.ร.บ.งบ 65 ในวาระที่ 2 และ 3 ซึ่งหาก พ.ร.บ.งบ 65 มีปัญหาในการพิจารณาว่ามีเรื่องผลประโยชน์หรือส่วนได้ส่วนเสีย อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 144 นายชวนจะได้ตรวจสอบก่อนบรรจุระเบียบวาระว่า ร่างพ.ร.บ.งบ 65 ถูกต้องหรือไม่ ด้านนายสมบูรณ์ กล่าวว่า ตนจะนำหนังสือดังกล่าวเข้าไปตามระเบียบของสภาและจะนำไปกราบเรียนนายชวนเพื่อพิจารณาและสั่งการต่อไป

“ชวน”ยันทุกฝ่ายต้องช่วยกัน หาวัคซีนป้องกันโควิด หลังประสานประธานสภาฯ จีน ช่วยสนับสนุนวัคซีนรุ่นใหม่ให้ไทย ชี้! เมื่อไม่มีวัคซีนก็ต้องป้องกัน เผยเดือน ก.ค.สภาฯติดโควิดแล้ว 16 คน  

ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการประสานกับประธานสภาประชาชนแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อขอวัคซีนซิโนฟาร์ม ว่า เป็นการคุยกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งมีประเด็นในเรื่องอื่นๆ ด้วยแต่ที่เสนอในนามของฝ่ายไทย มี 3 เรื่อง คือ 1.เรื่องนักเรียนไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางกระทรวงต่างประเทศทำอยู่ 2.เรื่องสายการบิน ซึ่งเป็นเรื่องชองฝ่ายบริหาร แต่เมื่อมีโอกาส จึงได้ขอให้ประธานสภาประชาชนแห่งชาติจีนติดตามเรื่องนี้ให้ด้วย และ 3.เรื่องของวัคซีน ซึ่งต้องขอขอบคุณที่ในยามยากลำบากจีนได้แสดงความเป็นมิตรแท้ ในยามที่เรามีปัญหาได้จัดส่งวัคซีนมาช่วยเราจำนวนมาก แต่ในขณะนี้สถานการณ์ในประเทศเรายังมีความรุนแรงอยู่ จึงได้ขอความกรุณาประธานสภาฯ จีน ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ขอให้ช่วยสนับสนุนให้จีนส่งวัคซีนรุ่นใหม่มาช่วยประเทศไทยเพิ่มขึ้น เผื่อว่าประธานสภาฯ จีนจะได้มีโอกาสได้คุยกับผู้บริหารของรัฐบาลจีน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ได้คุยกันเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาแล้วแต่ยังไม่ได้รับรายงานกลับมาว่าทางจีนจะบริจาควัคซีนให้อีกหรือไม่ เพราะเป็นการฝากให้ประธานสภาฯ จีนช่วยสนับสนุนเท่านั้น ซึ่งเราก็ได้บอกเขาไปตรงๆ ว่าขณะนี้ประเทศเป็นช่วงเวลาที่มีความต้องการวัคซีนสูง เพราะวัคซีนเราไม่พอ 

เมื่อถามว่า วัคซีนที่ขอไปคือซิโนฟาร์มใช่หรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ไม่ได้ระบุว่าเป็นวัคซีนชนิดใด เพียงแต่บอกว่าอยากได้วัคซีนรุ่นใหม่ที่จะมาช่วยประเทศไทย และที่ผ่านมาจีนก็ช่วยประเทศไทยมามากแล้ว ช่วยมากกว่าทุกประเทศ แต่เราก็ยังไม่พอ ซึ่งก็เหมือนกับกรณีขอวัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐฯ ก็เป็นเรื่องที่เพื่อนที่สหรัฐฯส่งข่าวมา และเรื่องนี้ทาง รมว.ต่างประเทศ บอกว่าทำมาก่อนแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จเป็นรูปธรรม นอกจากนั้นยังมีหมอที่สหรัฐฯได้โทรศัพท์มาหาตนว่าวัคซีนของ สหรัฐฯที่เหลืออยู่มากเป็นการกระจายไปยังรัฐต่างๆ จึงไม่ใช่ของง่าย แต่สิ่งที่เขาช่วยมาส่วนหนึ่งแน่นอนอยู่แล้ว ซึ่งรัฐบาลก็ทำมาก่อนอยู่แล้ว ดังนั้นมีทางไหนที่จะหาทางช่วยกันได้เราก็ต้องช่วยกัน เพราะในต่างประเทศเขาไม่รู้ว่าเรามีปัญหาในเรื่องความต้องการวัคซีน ต่อไปหากวัคซีนมีมากขึ้นความหมายก็จะน้อยลง แต่ตอนนี้วัคซีนมีความหมายมาก อย่างไรก็ตามวัคซีนไฟเซอร์อีก 1 ล้านโดสที่จะส่งตามมานั้น ตนไม่คิดว่าจะเป็นส่วนที่ได้ประสานไปแต่เป็นเรื่องที่เขาได้ติดต่อกันอยู่แล้ว แต่พวกเราติดต่อในวงนอก

“เมื่อเราพยายามช่วยกันให้เกิดความเร่งด่วนหลังจากนี้วัคซีนออกมามากความต้องการก็จะน้อยลง แต่ตอนนี้พี่น้องประชาชนเขาต้องการวัคซีนจึงเป็นช่วงสำคัญที่ทุกคนต้องช่วยกัน เพราะเป็นภาระของทุกฝ่าย ถึงแม้จะเป็นภาระหน้าที่โดยตรงของรัฐบาล แต่ในฐานะนิติบัญญัติมีทางไหนที่เราจะช่วยเสริมได้ เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้ประชาชนได้รับการดูแลทั่วถึงมากขึ้น อย่างเมื่อวาน(29 ก.ค.)ผมได้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 มา ก็ได้มีการพูดคุยกับแพทย์และผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งก็ให้พยายามช่วยรณรงค์ว่าอย่าไปคิดว่าเมื่อวัคซีนไม่มีแล้วจะต้องติดเชื้อ แต่ทุกคนต้องป้องกันให้มาก” นายชวน กล่าว 

นายชวน กล่าวต่อว่า ตนจึงย้ำเน้นในเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะในหน่วยงานอย่าให้ติดโดยเด็ดขาด แม้กระทั่งในสภาฯ เพียงเดือน ก.ค.มีผู้ติดเชื้อ 16 คน แต่ทั้ง 16 คนทางเลขาธิการสภาฯ ดูอย่างเข้มข้นไม่ให้เข้ามาในสภา ส่วนใหญ่ไม่ได้ติดจากสภาฯ แต่ติดจากญาติพี่น้อง รายล่าสุดเป็นนิติกร เมื่อดูไทม์ไลน์แล้วสันนิษฐานว่าน่าจะติดจากตอนไปตลาด ดังนั้นที่สภาฯถึงอย่างไรก็ต้องทำให้เข้มที่สุดเพราะต้องมีการประชุมสภาฯ เราหนีไม่พ้น จะต้องพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 65 จึงต้องพยายามให้เกิดความปลอดภัยที่สุด เท่าที่จะสามารถเป็นไปได้ในขณะที่ข้างนอกมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น ข้างในสภาฯก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดโปร่งอยู่ฝ่ายเดียว จึงเป็นเรื่องที่ไม่แแปลกที่จะมีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้น เพียงแต่เมื่อติดแล้วขอให้รู้ตัวและสะกัดคนๆ นั้นไว้ ไม่ให้สัมผัสกับคนอื่น

ราเมศ รวมนักกฎหมาย ช่วยครอบครัวผู้เสียชีวิตจากโควิด เรื่องทรัพย์สิน จัดการมรดก และด้านกฎหมายทุกเรื่อง

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการให้ความช่วยเหลือครอบครัวของพี่น้องประชาชนที่เสียชีวิตจากไวรัสโควิด 19 ว่า

จากเมื่อครั้งที่มีกรณีบริษัทประกันภัยบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด ตนได้ประกาศรวมนักกฎหมายกันกว่า 180 คน ขณะนี้มียอดรวม 240 คน ที่เป็นนักกฎหมายอยู่ทั่วประเทศทุกจังหวัด เพื่อเตรียมช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบในขณะนั้น จากการออกมาเรียกร้องและช่วยกันหลายภาคส่วนบริษัทประกันภัยก็ถอย ยกเลิกการดำเนินการดังกล่าว 

ขณะนี้เมื่อเห็นจำนวนผู้เสียชีวิต ก็มีกรณีที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตต้องดำเนินการจัดการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายภายหลังคนในครอบครัวที่ได้เสียชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ภาระหนี้สิน เรื่องสัญญาต่างๆที่ผู้เสียชีวิตอาจจะทำไว้ เรื่องการจัดการทรัพย์สิน คือการจัดการมรดก และเรื่องที่เกี่ยวข้องด้านกฎหมาย 
ในส่วนของคณะกรรมการกฎหมายพรรค ได้ร่วมกับกลุ่มนักกฎหมายกลุ่มดังกล่าวกว่า 240 คน ทั่วทั้งประเทศ ร่วมกันเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายปรึกษาด้านกฎหมาย ร้องจัดการมรดก และเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ประชาชนสามารถใช้บริการผ่านทางโทรศัพท์ ได้โดยไม่ต้องเดินทางมาที่ทำการพรรค โดยติดต่อ ได้ที่เบอร์โทรศัพท์กลาง  091-401-7777 095-458-2444  0813599703 
ทุกจังหวัดจะมีนักกฎหมายที่พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่

นายราเมศกล่าวต่อว่า  การดำเนินการทั้งหมดจะมี ศูนย์บริการกฎหมายสู้ภัยโควิด 19 เป็นหลักในการเป็นศูนย์กลางซึ่งพรรคได้เปิดบริการให้กับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด 19 ตั้งแต่ วันที่ 30 มีนาคม 2563  ซึ่งให้บริการประชาชนมานานแล้ว ด้วยมีเจตนารมณ์ต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องกฎหมายบางคนต้องถูกเลิกจ้าง ถูกพักงานเนื่องจากกิจการได้ปิดลงชั่วคราวหรือถึงขั้นถูกฟ้องคดี เพราะมีปัญหาหนี้สิน รวมถึงการมีปัญหาในการเข้าถึงสิทธิต่างๆของรัฐที่ประชาชนพึ่งมีพึ่งได้ หรือบางรายมีหนี้สินเมื่อไม่มีรายได้ก็ต้องการประนอมหนี้หรือชะลอคดีไว้ก่อน รวมถึงปัญหาข้อร้องเรียนในเรื่องต่างๆ
ศูนย์บริการกฎหมายจะให้ความช่วยเหลือให้คำปรึกษากับประชาชน โดยมีทีมนักกฎหมาย ที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา การรับสิทธิ การเข้าถึงสิทธิอันพึงมีพึงได้ การประนอมหนี้ การหยุดงาน การเลิกจ้างการถูกฟ้องคดีต่างๆพร้อมทั้งให้คำแนะนำการปฏิบัติตนในสภาวการณ์ในช่วงที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงรับฟังแลกเปลี่ยนทุกเรื่องที่เกี่ยวกับสถานการณ์ช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19"

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่า สถานการณ์ของประเทศช่วงนี้ ไม่มีสิ่งไหนดีไปกว่าการช่วยกันคนละไม้ละมือ ช่วยเหลือตามกำลังที่ทุกคนสามารถช่วยได้ เราทุกคนจะผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน

"แรมโบ้"จวก"ปลดแอกภูเก็ต” วางผ้าเปื้อนสีเลือด เป็นคนไทยหรือเปล่า บี้ จนท.ใช้กฎหมายเข้มเอาผิดคนเลวทราม ทำปชช.เดือดร้อน ปลุกชาวภูเก็ตประนาม 

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่กลุ่มปลดแอกภูเก็ต ออกมาสร้างความปั่นป่วนให้ชาวภูเก็ต โดยนำผ้าขาวมัน คล้ายผ้าห่อศพ ใช้สีแดงทาให้เหมือนเปื้อนเลือด ไปวางตามจุดต่างๆ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า เป็นการกระทำที่ไร้สามัญสำนึกของความเป็นคน เอาเรื่องของความเป็นความตายมาล้อเล่น ในขณะที่จังหวัดภูเก็ต กำลังเปิดรับนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการของจังหวัดภูเก็ต ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะได้กลับมาประกอบอาชีพได้ตามปกติ  แทนที่กลุ่มคนเหล่านี้จะช่วยกันสร้างบรรยากาศที่ดี เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว ทำให้ประชาชนคนภูเก็ตมีรายได้และมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่คนเหล่านี้คอยซ้ำเติมทำให้สถานการณ์แย่ลง เพราะหวังผลทางการเมือง ไม่อยากให้รัฐบาล ทำกิจกรรมภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ได้สำเร็จ เพราะหวั่นว่าพวกตนเองจะเสียคะแนนนิยม ถ้ารัฐบาลทำสำเร็จให้คนภูเก็ตมีเศรษฐกิจรายได้มากขึ้น ถือเป็นความคิดที่ชั่วช้าต่ำทรามที่สุด

นายเสกสกล กล่าวว่า การกระทำของคนกลุ่มนี้ทำให้เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกถ่วงความเจริญ ของบ้านของเมือง ด้วยการเอาคำว่าประชาธิปไตยมาแอบอ้าง การเคลื่อนไหวก็มีกลุ่มการเมืองอยู่เบื้องหลัง เช่น การจัดคาร์ม็อบ จนชาวภูเก็ตจำนวนหนึ่งไม่อดทน ต้องออกมาขับไล่พวกป่วนบ้านป่วนเมือง และท้ายที่สุดก็มีคนออกมาแฉว่ามีบรรดาที่ปรึกษาของ ส.ส.พรรคก้าวไกลบางคน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังกิจกรรมดังกล่าว ถึงแม้บรรดาคนเหล่านั้นจะออกมาบอกว่า เป็นเพียงผู้สังเกตุการณ์ แต่ฟังไม่ขึ้น ทุกวันนี้จะเห็นได้ว่าเกิดม็อบแต่ละครั้งก็จะมีส.ส.พรรคก้าวไกลไปร่วมอยู่ด้วยเสมอ และเมื่อแกนนำม็อบถูกจับ ก็จะมี ส.ส.พรรคนี้คอยวิ่งประกันตัวทุกครั้ง หัวหน้าพรรคก้าวไกลจึงต้องคอยตักเตือนสส.หรือคนในพรรคด้วยอย่าได้ไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมเช่นนี้ จะทำให้พรรคเสียหายได้ 

"การกระทำเลวๆที่ชัดเจนเช่นนี้ หวังเพื่อแอบอ้างเรียกร้องประชาธิปไตยบังหน้า คือการโกหกตอแหลพี่น้องคนไทย ขณะที่นายกฯและรัฐบาลตั้งใจจะช่วยคนภูเก็ตให้มีชีวิตใหม่ มีชีวิตที่ดีขึ้น คนเลวพวกนี้กับมาขัดขวาง เป็นตัวถ่วงความเจริญ ตนจึงขอวิงวอนให้คนภูเก็ตและคนไทยที่รักความถูกต้องได้ประณามพวกเลวชาติชั่วเหล่านี้ อย่าให้มีที่ยืนในสังคมและขอเรียกร้องให้ทางผู้ว่าฯภูเก็ตและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้บังคับใช้กฎหมายดำเนินคดีกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังผู้ที่สนับสนุนและกลุ่มคนสารเลวกลุ่มนี้ที่ขัดขวางการทำมาหากินของพี่น้องชาวภูเก็ต ย่ำยีหัวใจคนภูเก็ตเกินไป กลุ่มนี้คงไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขคนไทยอย่างแน่นอนจิตใจจึงโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้  ควรรีบเอาไปเข้าคุกเข้าตารางโดยเร็ว เพื่อชดใช้ในการกระทำที่เลวระยำที่สุดในครั้งนี้"

‘บิ๊กตู่’ ยืนยันรัฐบาลดูแลประชาชนทุกมิติ ย้ำระบบสาธารณสุขไทยมีประสิทธิภาพ ลั่นจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ท้อ ไม่ถอดใจลาออก วอนฝ่ายการเมืองอย่าซ้ำเติมปัญหา ไม่บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ร่วมกันเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ยืนยัน ยังไม่คิดถอดใจในการทำหน้าที่ เพราะไม่ใช่เวลา และยังเดินหน้าทำงานหนักต่อเนื่อง และคิดว่าได้ทำงานอย่างดีที่สุดแล้ว พร้อมกับรับฟังเสียงประชาชน รวมถึงติดตามสถานการณ์จากคณะแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งก็เห็นใจเพราะบางคนทำงานต่อเนื่องมา 60 วัน โดยไม่มีวันพัก และได้สั่งการให้ไปดูแลในการเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงเพิ่มเติมตามระเบียบราชการ รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย พร้อมกับขอร้องนักการเมืองอย่านำเรื่องสถานการณ์โควิดมาเป็นประเด็นทางการเมืองเพื่อสร้างความเกลียดชังกัน เพราะขณะนี้ประเทศชาติมีปัญหา

“ผมเห็นใจ ผมเสียใจ และพยายามแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่มีมากมาย นายกฯ ก็ยินดีทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และต้องเป็นความร่วมมือระหว่างกัน ด้วยข้อมูล ด้วยข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ตรงกัน ถึงจะแก้ปัญหาได้…นายกฯ ไม่เคยท้อ แต่ก็เสียใจกับคนที่สูญเสีย และให้กำลังใจกับคนที่ทำงาน อย่าท้อแท้”

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า มีความกังวลใจต่อกรณีผู้ป่วยติดเชื้อรอรับการรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ซึ่งอาจไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ได้ เพราะมีคนใช้บริการเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน แต่วันนี้ได้มีการปลดล็อกและเปิดช่องทางการติดต่อให้มากขึ้น และมอบหมายให้กสทช. มาช่วยดูแลเรื่องการให้บริการฟรีในการติดต่อด้านสาธารณสุขแล้ว

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ศบค.ยังถือเป็นกลไกหนึ่งที่มีความสำคัญ ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานของทุกกระทรวงและให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถทำงานตามอำนาจหน้าที่ของตัวเองได้ เพราะหากมีเพียงกระทรวงสาธารณสุขเพียงอย่างเดียว ก็จะติดขัดในข้อกฎหมายหากต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานอื่น ๆ จึงเป็นที่มาที่ต้องออกพรก.ฉุกเฉิน

ส่วนแนวทางการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ยืนยันว่า ในเดือนสิงหาคมจะดีขึ้น ซึ่งในหลายประเทศยังมีปัญหาเรื่องการสั่งจองวัคซีนเช่นกัน เพราะประเทศผู้ผลิตวัคซีนก็มีขีดความสามารถในการผลิต เพราะมีหลายประเทศสั่งจองเหมือนกัน

ส่วนโรงงานผลิตวัคซีนในไทย เป็นการรับออเดอร์โดยการถ่ายทอดเทคโนโลยีมา ซึ่งบริษัทแม่จะเป็นผู้บริหารจัดการและจัดส่งในอาเซียน ซึ่งวัคซีนที่เข้ามาต้องมีการตรวจสอบมาตรฐานทุกยี่ห้อก่อนจะกระจายส่งมอบ และแต่ละจังหวัดจะได้รับการฉีดตามสถานการณ์การแพร่ระบาด และขอร้องอย่ามัวจับผิดกันเลย

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเรื่องวัคซีนยังได้ให้กระทรวงการต่างประเทศช่วยเร่งเจรจาอีกทางหนึ่งกับบริษัทผู้ผลิตที่จะติดต่อจัดหาซื้อเพิ่มเติม หากสามารถนำเข้าได้จริงและมีคุณภาพพร้อมที่จะปลดล็อกการนำเข้าและให้ผ่านมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข โดยเปิดรับทุกยี่ห้อ และยืนยันว่า วัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐอเมริกาจะมาในวันที่ 30 ก.ค.

พร้อมยืนยันว่า ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ไม่ได้มีปัญหาในระดับผู้บริหาร แต่มีปัญหาภายนอกคือ มีประชาชนรอรับการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมากและเกิดภาพความแออัด ซึ่งต้องมีการเร่งการฉีดวัคซีนให้รวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริการ ทั้งพนักงานขับรถ การส่งไปรษณีย์ การส่งอาหาร ส่วนการปิดร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า เนื่องจากทางคณะแพทย์มีความเป็นห่วง เพราะยังมีพบการแอบรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังระบุด้วยว่า ได้เสนอในการประชุมกับทางผู้ว่าราชการ 12 จังหวัดเมื่อวานนี้ว่า ควรจะมีจัดตั้งหมู่บ้านสีฟ้าเกิดขึ้น โดยให้ชุมชนดูแลกันเองให้เกิดความเข้มแข็ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน รวมถึงการเร่งการเบิกจ่ายช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

มาดามเดียร์ แนะ สิ่งที่รัฐต้องแก้ก่อน คือ การสื่อสารข้อมูลกับประชาชน เพื่อป้องกันผู้ฉวยโอกาสปล่อยเฟกนิวส์

เส้นบาง ๆ ระหว่าง ปราบ Fake news กับ การปิดหูปิดตาประชาชน “การสื่อสาร” คือสิ่งที่รัฐต้องแก้ก่อน

ปรากฏการณ์ดารา คนมีชื่อเสียงออกมา call out จนตามมาถึงการประชุม ครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ที่นายกรัฐมตรีมีคำสั่งให้ทุกกระทรวงจัดตั้งหน่วยงานให้เร่งติดตามและเอาผิดคนที่ปล่อยเฟคนิวส์ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่องค์กรสื่อ บุคคลที่มีชื่อเสียงหรือกระทั่งประชาชนธรรมดา หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องให้สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้เลยทันที

ในขณะที่เมื่อวานนี้ 6 สมาคมสื่อมวลชนได้ร่วมออกแถลงการณ์คัดค้านคำสั่งของนายกรัฐมนตรีฯ ว่าการกระทำดังกล่าวเท่ากับเป็นการปิดปากสื่อมวลชน ซึ่งไม่ต่างจากการปิดหูปิดตาประชาชน เป็น “การจำกัดสิทธิและเสรีภาพ” ของพลเมืองไทย

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้สร้างความไม่สบายใจ ในฐานะที่เดียร์เคยทำงานในองค์กรสื่อ การแสดงจุดยืนของรัฐบาลที่มองการเรียกร้องความเดือดร้อนของประชาชนเป็นศัตรู ในขณะที่รัฐบาลคือตัวแทนประชาชนที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ และหน่วยงานราชการก็ควรเป็นที่พึ่งให้ประชาชนในการบริการและคอยให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ที่สุด โดยเฉพาะในเวลาที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤตเช่นนี้

จริงอยู่ว่าการบังคับใช้กฎหมายสำหรับผู้กระทำผิดโดยเฉพาะผู้ที่จงใจฝ่าฝืนกฎหมายนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ในยามที่ประชาชนทั่วทุกหย่อมหญ้ากำลังได้รับความเดือดร้อน คนกำลังล้มตายเป็นใบไม้ร่วง นั่นยังไม่นับรวมถึงคนที่เหมือนตายทั้งเป็นเพราะไม่มีเงินจะมาซื้อข้าวให้คลายจากความหิว ความรู้สึกเหล่านี้ประชาชนควรจะได้รับเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงออก

ดังนั้น การบังคับใช้กฎหมายเฟคนิวส์ที่การตัดสินอยู่บนดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ การแสดงความรู้สึกในทางลบ เช่น “วัคซีนไร้ประสิทธิภาพ” หรือ “รอวัคซีนนานแล้ว…รัฐบาลไม่ทำอะไร” หรือกระทั่งการวิจารณ์การทำงานก็หมิ่นเหม่ต่อการผิดกฎหมายเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่งของผู้มีอำนาจที่จะต้องทำด้วยความรอบคอบอย่างยิ่งต่อประชาชน เมื่อมีการบังคับใช้กฎหมายก็ต้องไม่ลืมที่จะทำงานเชิงรุกอย่างสร้างสรรค์ นั่นคือการปรับปรุงกระบวนการสื่อสารของรัฐที่ต้องสื่อสารข้อมูลสำคัญไปให้ถึงประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้ข้อมูลที่ครบถ้วนในการดูแลปกป้องตนเอง

การสื่อสารที่ไม่ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนจนสุดท้ายต้องพยายามวิ่งหาข้อมูลด้วยตนเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ประชาชนเกิดความสับสน ไม่แน่ใจในข้อมูล และที่สำคัญเมื่อเวลาต้องการหาข้อมูลแต่ไม่รู้ว่าจะเช็กข้อมูลถูกต้องได้ที่ไหน ก็จะเป็นโอกาสของผู้ที่ไม่หวังดีในการสร้างเฟคนิวส์

การบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าไม่แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุนั้นสุดท้ายแล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่อาจเป็นไปอย่างที่หวัง แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ “การที่ผู้บริหารประเทศไม่ได้ยินเสียงที่แท้จริงจากประชาชน”


ที่มา : https://www.facebook.com/100044178982009/posts/373834587432504/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'หมอปลา' ลั่นเห็นด้วยกับป๋าเทพในบางเรื่อง แต่ยังมองว่าการบริหารงานยังล้มเหลว แนะหากบริหารไม่เป็น ควรลาออกให้คนรุ่นใหม่มาทำหน้าที่แทน

'หมอปลา' ลั่นเห็นด้วยกับป๋าเทพในบางเรื่อง แต่ยังมองว่าการบริหารงานยังล้มเหลว มีแต่น้ำลาย ขายฝัน แถมติก็ไม่ได้อาจโดน "เห็บ-หมัด" เอากฎหมายมาจัดการ 7 ปี ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น ขนาดเรือดำน้ำถ้าไม่ได้พลังโซเชียลคงซื้อไปแล้ว แนะหากบริหารไม่เป็น ควรลาออกให้คนรุ่นใหม่มาทำหน้าที่แทน

จากกรณีศิลปินตลกชื่อดัง “เทพ โพธิ์งาม” หรือ “ป๋าเทพ” ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก พูดถึงสถานการณ์บ้านเมืองก่อนจะกล่าวเชิงตำหนิ กลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่ออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาล ว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ พร้อมยก “บิ๊กตู่” หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ในรายการ “ถกไม่เถียง” ทางช่อง 7HD ดำเนินรายการโดย ทิน โชคกมลกิจ ได้เชิญ “ป๋าเทพ” และ หมอปลา มือปราบสัมภเวสี ผู้มีความเห็นที่แตกต่างกัน ได้มาแสดงความเห็นในมุมมองของแต่ละคนไป

โดย หมอปลา กล่าวว่า บางประเด็นก็เห็นด้วยกับป๋าเทพ แต่ไม่เห็นด้วยเรื่องอวยรัฐบาล เพราะรัฐบาลนี้ติไม่ได้ พอมีคนติก็จะมีพวกเห็บหมัด เอากฎหมายมาจัดการ รัฐบาลนี้มีแต่น้ำลาย ไม่มีเนื้อหา บริหารอะไรก็ไม่เป็นรูปร่าง อย่างเรื่องวัคซีนเนี่ยไม่รู้หายไปไหน บางจังหวัดมีเข็ม 3 แล้ว ไม่รู้เอามาจากไหน พวกหมอยังไม่ได้ แต่บางคนได้แล้ว ผมมองว่าเป็นรัฐบาลที่ดีแต่ปาก

สถานการณ์ตอนนี้ พวกเขายังจะซื้อเรือดำน้ำ ถ้าไม่ได้พลังโซเชียล ก็คงซื้อไปแล้ว เขาไม่เห็นบ้างหรือว่าประชาชนกำลังจะตาย คุณต้องลองไปลงพื้นที่ ไปดูว่าประชาชนเป็นอย่างไร เขาจะตายกันหมดแล้ว รัฐบาลชุดนี้พยายามทำอะไรที่เป็นโครงการใหญ่ ๆ เพื่อเอาเม็ดเงินเหล่านั้นไปแบ่งกัน ใช่หรือไม่?

ผมคิดว่าถ้าเขาบริหารงานไม่เป็นก็ลาออกไปเถอะครับ ผมมองว่าการบริหารงานของเขามันล้มเหลว ขายฝัน อย่างเรื่องกัญชา เขาขายฝันให้ชาวบ้าน ชาวบ้านคิดว่าจะมีกิน แต่สุดท้ายเขาทำไม่ได้ แบบนี้ก็ควรจะออกไปไหม เมื่อคุณเป็นผู้นำ คุณต้องพร้อมรับคำติด้วย ไม่ใช่รับแต่คำชม ผมคิดว่าถ้ารัฐบาลชุดนี้ออกไปมันอาจจะดีกว่านี้ เปิดโอกาสให้คนใหม่เข้ามาทำต่อ

7 ปีที่ผ่านมามันล้มเหลวทุกอย่าง มันไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นสักอย่าง สิ่งที่ป๋าพูดคือการอวยให้รัฐบาลอยู่ต่อไป แต่ผมมองว่าถ้าเปลี่ยนรัฐบาลมันคงใช้เวลาไม่นานหรอก ผมว่าน่าจะมีบุคคลที่เขามีความสามารถ ไม่ใช้น้ำลายในการทำงาน แต่ตอนนี้รัฐบาลมีแต่น้ำลาย คำพูดขายฝันให้มันสวยหรู ผมอยากให้รัฐบาลแถลงบ้าง ไม่ใช่ แถ-ลง อย่างเดียว พูดอะไรที่เป็นกิจจะลักษณะให้ประชาชนฟังบ้าง


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“องอาจ” จี้รัฐทบทวนข้อกำหนดกระทบสิทธิเสรีภาพ สื่อฯ-ประชาชน  ชี้จำกัดดสิทธิมากเท่าไหร่ สะเทือนถึงรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับสื่อสารมวลชน กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลออกข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เรื่องมาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทำให้เกิดความเข้าใจผิด ว่า การออกข้อกำหนดดังกล่าวย่อมมีโอกาสที่จะกระทบต่อการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ทำงานตามจรรยาบรรณวิชาชีพโดยทั่วไป และอาจกระทบต่อการแสดงความคิดเห็นของประชาชนโดยสุจริตตามสิทธิเสรีภาพที่พึงกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญ เพราะหลังจากมีข้อกำหนดนี้ออกมาจะเห็นได้ว่ามีคนของภาครัฐหลายระดับได้มีการกระทำในเชิงข่มขู่คุกคามการแสดงความเห็นของประชาชนโดยสุจริตเกินกว่าที่ควรจะเป็น แม้ภายหลังคนของภาครัฐบาลจะกลับลำว่าไม่ได้ใช้ข้อกำหนดที่ออกตามความใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาข่มขู่ หรือปิดกั้นประชาชนที่แสดงออก พฤติกรรมที่แสดงออกเช่นนี้ย่อมชี้ให้เห็นว่าคนของภาครัฐจะใช้ข้อกำหนดนี้ตีความไปทางไหนก็ได้ตามอำเภอใจ

นายองอาจ กล่าวต่อว่า ส่วนที่รัฐบาลอ้างว่าใช้มาตรการนี้เพื่อจัดการกับข่าวปลอม หรือ Fake news น่าจะเป็นคนละประเด็นกัน เพราะกลุ่มคนหรือคนที่ทำข่าวปลอมนั้น มีเจตนาชัดเจนที่สร้างเรื่องขึ้นมาให้ดูเสมือนจริงแต่ไม่ได้เป็นความจริง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเกิดผลลบต่อกลุ่มบุคคลหรือบุคคลที่ถูกกล่าวถึง และมักจะไม่แสดงตัวตนชัดเจน ซึ่งรัฐบาลก็มีหน่วยงานและบุคลากรจัดการกับปัญหานี้อยู่แล้ว ซึ่งแตกต่างจากสื่อมวลชนที่ทำงานตามมาตรฐานวิชาชีพและประชาชนทั่วไปที่ใช้สิทธิเสรีภาพ แสดงความคิดเห็นตามปกติที่มีตัวตนชัดเจน ตรวจสอบได้ ถ้าสื่อมวลชนและประชาชนทำอะไรที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำนั้นก็ย่อมใช้สิทธิดำเนินการตามครรลองของกฎหมายได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีข้อกำหนดออกมาบังคับใช้เพิ่มเติมจนก่อให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานของสื่อและการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยสุจริต

นายองอาจ กล่าวด้วยว่า เพื่อให้สื่อมวลชนและประชาชนสามารถใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ จึงขอเสนอรัฐบาลดังนี้ 1.ทบทวนข้อกำหนดที่ออกตามความใน มาตรา 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2.ในกรณีที่อยู่ระหว่างการทบทวนข้อกำหนด ขอให้ผู้รับผิดชอบบังคับใช้กฎหมาย โดยพูดให้ชัดว่าเจตนาที่ออกคืออะไร จะมีการบังคับใช้แค่ไหนอย่างไร และ3.ภาครัฐไม่ควรดำเนินการใดๆที่เป็นการข่มขู่ คุกคามสื่อมวลชนที่ทำงานตามมาตรฐานวิชาชีพ และประชาชนที่ใช้สิทธิเสรีภาพแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามรัฐธรรมนูญ จึงขอให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้มีการใช้อำนาจรัฐเกินขอบเขต จนกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชน เพราะถ้ารัฐบาลหาทางจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชนมากเท่าไหร่ จะส่งผลกระทบต่อรัฐบาลมากเท่านั้น และจะก่อให้เกิดผลสะเทือนต่อรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลอย่างแน่นอน

“เสกสกล” ซัด  “หญิงหน่อย” จวก “บิ๊กตู่”เพราะอยากนั่งเก้าอี้นายกฯแทน หรือไม่ 

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ระบุว่าประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อใหม่และเสียชีวิตสูง เป็นลำดับต้นของโลก พร้อมจี้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาโควิด-19 ตามที่พรรคเสนอพิมพ์เขียวไว้ 5 ข้อ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รัฐบาลและทีมแพทย์ ทำงานไม่เคยหยุดเพื่อที่จะหามาตรการเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลงให้ได้ ส่วนข้อเสนอของพรรคไทยสร้างไทย ทำอยู่แล้วทั้งตรวจเชิงรุก ทั้งจัดหาชุดตรวจ Antigen Test Kit - ATKแจกจ่ายประชาชนทุกคน หากใครที่ผลเป็นบวกมีอาการสีเขียว ติดต่อสายด่วนสปสช. เพื่อขอรับยา และเข้ารับการรักษาที่บ้านหรือศูนย์พักคอยชุมชน ซึ่งดำเนินการมานานแล้ว ขณะที่การบริหารจัดการวัคซีนก็ทำอย่างต่อเนื่อง และจะมีวัคซีน mRNA เข้ามาตั้งแต่ปลายปีนี้ ไปถึงต้นปีหน้า 

"คุณหญิงสุดารัตน์ เคยเป็นถึงอดีตรมว.สาธารณสุข น่าจะเข้าใจสถานการณ์ประเทศ และการทำงานของรัฐบาล แต่ทำเป็นหูหนวกตาบอด ไม่รู้เรื่องอะไร เพราะหาแต่ประเด็นโจมตีคนอื่นเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง และเมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา คุณหญิงสุดารัตน์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่าวันนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อใหม่สูงเป็นลำดับ 1 ของโลก แล้วมาแก้ไขข้อความว่าเป็นประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อใหม่สูงเป็นลำดับต้นของโลก จึงขอให้ติดตามข้อมูลให้ดี ให้นึกถึงประเทศชาติและประชาชน อย่าเอาข้อความเท็จมาใส่ร้ายประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ทำตัวเช่นนี้เหมาะสมกับการเป็นคุณหญิงหรือไม่”นายเสกสกล กล่าว 

นายเสกสกล กล่าวว่า ในสมองของคุณหญิงสุดารัตน์ มีอยู่สองเรื่อง คือ บีบให้นายกฯ ลาออกให้ได้ เพราะมีความหวังจะเป็นตัวเลือกแคนดิเดตนายกฯ คนใหม่กับหวังให้มีการยุบสภาฯ เพราะพรรคไทยสร้างไทยเพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่จะได้มีส.ส.เข้าสภาฯ ในการเลือกตั้งสมัยหน้าอย่างหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์ จึงปั่นกระแสบิดเบือนด้อยค่ารัฐบาลทุกวัน หวังผลการเมืองส่วนตน ไม่สนใจลงมือช่วยกันแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน จะเป็นจะตายก็ช่าง ขอเพียงให้ตนเองได้มีอำนาจอย่างนั้นใช่หรือไม่ ขอฝากถึงประชาชนคนไทยว่า พรรคการเมืองหรือนักการเมืองคนที่จงใจบิดเบือนปั่นกระแสทำลายบ้านเมือง เล่นการเมืองบนความทุกข์ยากของประชาชนในยามวิกฤต ไม่สมควรที่จะให้มีที่ยืนบนถนนการเมือง ต้องจดจำเขียนแปะติดฝาบ้านไว้ อย่าให้ได้ผุดได้เกิดทางการเมืองอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองหรือนักการเมืองหน้าไหนก็ตาม 

ทบ.เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 กลับภูมิลำเนา 2 เที่ยวบินแรกจากกรุงเทพ-นครพนม เน้นมาตรการปลอดภัยทางการบินสูงสุด รองรับนโยบายรบ.และทบ.เพื่อกระจายการรักษาผู้ป่วย 

 พ.อ.อิทธินันท์ โชติช่วง รอง ผอ กองวิทยาการ กรมแพทย์ทหารบก  กล่าวถึงภารกิจเคลื่อนย้ายผู้ป่วยกลับภูมิลำเนาด้วยเครื่องบินลำเลียงแบบ C-295 ว่า ต้องอยู่ภายใต้มาตรการปลอดภัยสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันตัว รวมทั้งระบบภายในอากาศยาน โดยวันนี้จะทำการบิน 2 เที่ยวบิน เที่ยวบินแรกมีผู้ป่วย 20 คน และเที่ยวบินที่ 2 อีก 20 คน 

ทั้งนี้จะทำหน้าที่ดูแลภาพรวมการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยอากาศยานทั้งหมด ตั้งแต่ผู้ป่วยมาถึงและลำเลียงขึ้นอากาศยาน โดยจะมีแพทย์และพยาบาลด้านเวชศาสตร์การบินร่วมปฏิบัติหน้าที่บนเครื่อง สำหรับนโยบายของพล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คือต้องการให้ผู้ป่วย covid-19 กลับภูมิลำเนาเพื่อทำการรักษา เพราะปัจจุบันเตียงผู้ป่วยcovid ในกรุงเทพฯมีจำกัด และการลำเลียงผู้ป่วยกลับภูมิลำเนาด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ใช่มีแค่อากาศยานแต่ยังมีการเคลื่อนย้ายทางรถยนต์ 

โดยการดูแลผู้ป่วยก่อนลำเลียงขึ้นอากาศยานจะต้องมีการคัดกรองและส่งต่อผู้ป่วยที่มีความพร้อมก่อน ทั้งนี้เป็นการทำงานร่วมกันหลายส่วน ทั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพ และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อคัดกรองผู้ป่วย ทั้งหมด โดยจะมีการประสานงานร่วมกันเป็นอย่างดีตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ในการรวบรวมจำนวนผู้ป่วยที่จะส่งต่อภูมิลำเนา

สำหรับการคัดกรองผู้ป่วยนั้น เน้นผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากมีความแข็งแรงในระดับหนึ่งที่จะสามารถเคลื่อนย้ายด้วยอากาศยาน เพราะในระหว่างการบินบนอากาศจะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายมนุษย์จากพื้นที่ด้านล่างไปสู่พื้นที่สูง จึงต้องตรวจสอบผู้ที่จะโดยสารไปกับอากาศยาน

ทั้งนี้จะพิจารณาความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย สำหรับการเดินทางด้วยอากาศยานมีข้อดีสำหรับการเดินทางระยะไกล และทำให้ผู้ป่วยเดินทางกลับถึงภูมิลำเนาได้อย่างรวดเร็วขึ้น และทำให้การเคลื่อนย้ายเกิดความปลอดภัยสูงสุด

สำหรับในส่วนของอากาศยานนั้นนักบินและเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องต้องป้องกันตนเองด้วยการสวมชุดป้องกัน ทั้งนี้ได้มีการปรับพื้นที่ภายในอากาศยานแบ่งเป็น 5 ส่วน ทั้งพื้นที่ส่วนหน้าระหว่างกลางสำหรับรักษาพยาบาล และส่วนของพื้นที่นั่งสำหรับผู้โดยสาร

นอกจากนี้ยังมีการควบคุมระบบอากาศภายในเครื่อง มีการปรับความดันอากาศ และมีเครื่องกรองอากาศ ฟอกอากาศติดตั้งไว้สำหรับรองรับภารกิจนี้ เพื่อควบคุมระบบการหมุนเวียนอากาศให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด

พร้อมย้ำว่ามีหลายประเทศได้อากาศยานมาการลำเลียงผู้ป่วย covid-19 ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย และใช้มาตรการเดียวกันคือการป้องกันภายในเครื่อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงานภายในเครื่อง โดยมีผลงานวิจัยรองรับ  

ทั้งนี้ในอนาคตการขนส่งผู้ป่วยวิกฤตทางอากาศก็มีโอกาสที่จะใช้รูปแบบนี้ เพื่อลำเลียงผู้ป่วยเช่นเดียวกัน

สำหรับผู้ป่วยโควิค-19 ทั้ง 2 เที่ยวบินจำนวน 40 คน จะเดินทางไปยังสนามบินจังหวัดนครพนม ซึ่งไม่มีเส้นทางรถไฟผ่าน จากนั้นจะกระจายไปยังสถานที่รักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด-19 ต่อไป โดยใช้ระยะเวลาบิน 1 ชั่วโมงครึ่ง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top