Wednesday, 4 October 2023
POLITICS NEWS

รู้จัก ‘เทวัญ ลิปตพัลลภ’ 1 ใน 9 ที่ปรึกษานายกฯ ผู้มากประสบการณ์และคร่ำหวอดในแวดวงการเมือง

(15 ก.ย. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลงนามในคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 234/2566 เรื่องแต่งตั้งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี จำนวน 9 คน โดยหนึ่งในนั้น ปรากฎชื่อ ‘นายเทวัญ ลิปตพัลลภ’ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า เข้ามาเป็นที่ปรึกษาด้วย 

THE STATES TIME ขอใช้โอกาสนี้ ในการพาทุกท่านไปรู้จักผลงานของ ‘นายเทวัญ ลิปตพัลลภ’ ที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็น 1 ใน 9 กุนซือข้างกายนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

>>ผลงานการเมือง
นายเทวัญ เข้าสู่วงการการเมืองด้วยการได้รับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2535 สังกัดพรรคสามัคคีธรรม และได้รับเลือกเรื่อยมา รวม 3 สมัย ต่อมาในปี 2551 ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เป็นระยะเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน

ในปี 2561 นายเทวัญได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา และลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 แบบบัญชีรายชื่อ และได้รับเลือกตั้งเป็น สส. สมัยที่ 4

ต่อมาได้เข้าร่วมรัฐบาลของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กระทั่งในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 นายเทวัญ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดทางให้มีการปรับสัดส่วนคณะรัฐมนตรี และปัจจุบันปี พ.ศ. 2566 เศรษฐา ทวีสิน ได้แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

>> ผลงานในการสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
เทวัญ ลิปตพัลลภ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 4 สมัย คือ
1.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป มีนาคม พ.ศ. 2535 จังหวัดนครราชสีมา สังกัดพรรคสามัคคีธรรม
2.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2544 จังหวัดนครราชสีมา สังกัดพรรคชาติพัฒนา ต่อมาคือพรรคไทยรักไทย
3.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2548 จังหวัดนครราชสีมา สังกัดพรรคไทยรักไทย
4.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคชาติพัฒนา

>>ผลงานด้านกีฬา 
อดีตเป็นประธานสโมสรฟุตบอลนครราชสีมา ฮอนด้า เอฟซี หรือที่รู้จักกันในนาม สวาทแคท ก่อนที่จะลาออกในปี 2561

‘นายกฯ’ ลุยต่างประเทศ เล็งเจรจา-ชักชวน บริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ลงทุนในไทย

(15 ก.ย. 66) แฟนเพจ ‘พรรคเพื่อไทย’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เรื่องของการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ รัฐบาลให้ความสำคัญที่สุด ซึ่งในการเดินทางไปต่างประเทศก็จะถือโอกาสไปพบนักลงทุนที่จะมาลงทุนในประเทศไทยหลายบริษัทใหญ่ ๆ ทั้งนั้น เพื่อกระตุ้นการลงทุน เพราะเมื่อกระตุ้นการลงทุนก็จะยกระดับอุตสาหกรรมขึ้นไป

ผู้ดำเนินรายการถามว่า บอกได้ไหมว่าจะไปพบใครบ้าง ?

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Google, Estée Lauder และ Tesla และอีกหลายบริษัท โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเชื้อเชิญให้มาลงทุนในประเทศไทย บอกเล่าว่าประเทศไทยดีอย่างไร เหนือประเทศคู่แข่งที่เขาจะไปลงทุนอย่างไร เพื่อให้เขามาลงทุนในไทย

เศรษฐา ทวีสิน
นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
THE STANDARD : END GAME
วันที่ 15 กันยายน 2566

‘พีระพันธุ์’ สั่งตรึงก๊าซหุงต้ม 423 บ./ถัง 15 กก.อีก 3 เดือน ไฟเขียว!! คงสัดส่วนผสมดีเซลบี 7 ช่วยลดภาระรายจ่าย ปชช.

(15 ก.ย. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา เห็นชอบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 13 ก.ย. 66 ให้คงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) หรือ ก๊าซหุงต้มที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) เพื่อให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ประมาณ 423 บาทต่อถัง 15 กก. ต่อไปอีก 3 เดือน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2566

โดยมาตรการดังกล่าว จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชน ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) บริหารราคาขายปลีกก๊าซแอลพีจีผ่านกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ที่ประชุม กบง.ยังมีมติเห็นชอบให้คงสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันกลุ่มดีเซลหมุนเร็วให้เป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี7 ต่อไปอีก 3 เดือน ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2566

โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ออกประกาศ ธพ. เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซล (ฉบับที่…) พ.ศ. 2566 ให้สอดคล้องกับการกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานประสานฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) นำเสนอการกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล

ทั้งนี้ กบง.อาจมีการทบทวนสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล ในน้ำมันกลุ่มดีเซลหมุนเร็วให้มีความเหมาะสม หากสถานการณ์น้ำมันปาล์มดิบภายในประเทศปรับลดลง และสต็อกน้ำมันปาล์มดิบมีแนวโน้มสูงขึ้นภายหลัง

ครม. แต่งตั้ง ‘พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ’ นั่งที่ปรึกษา ส่วน ‘สรวุฒิ เนื่องจำนงค์’ นั่งเลขาฯ ‘รมว.คมนาคม’

เมื่อไม่นานมานี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 66 มีมติเห็นชอบแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ประกอบด้วย 1.นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ 2.นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยมีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเลขานุการ และที่ปรึกษา รมช. ของนางมนพร เจริญศรี และนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ นั้น จะเสนอที่ประชุม ครม. พิจารณาแต่งตั้งในการประชุมครั้งถัดไป เนื่องจากเสนอจัดวาระการประชุมในครั้งนี้ไม่ทัน

ขณะเดียวกัน นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังได้พิจารณาเรื่องฟรีวีซ่า โดยเปิดให้นักท่องเที่ยวจีน และคาซัคสถาน เข้าประเทศได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 66-29 ก.พ. 67 ซึ่งในส่วนของกระทรวงคมนาคม ในฐานะที่ดูแลรับผิดชอบการบริหารจัดการท่าอากาศยานต่าง ๆ โดยเฉพาะท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) และท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) นั้น ได้สั่งการให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมรองรับ และอำนวยความสะดวกทุกด้าน ให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมายังประเทศไทย โดยให้ประสานกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และร่วมกันทำงาน เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว ไม่เกิดปัญหาคิวผู้โดยสารหนาแน่นรอตรวจหนังสือเดินทาง

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ไม่รู้สึกกังวลใด ๆ มั่นใจว่าทุกหน่วยงานจะรับมือ และดูแลอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวได้อย่างดี ซึ่งก่อนหน้านี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบล่วงหน้าแล้ว จึงคาดว่าทุกหน่วยงานจะเตรียมความพร้อมได้อย่างดี อย่างไรก็ตามในวันที่ 15-16 ก.ย. นี้ ตนจะเดินทางพร้อมคณะของนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และในวันที่ 29 ก.ย. นี้ จะลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต โดยก่อนเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปท่าอากาศยานภูเก็ตนั้น จะแวะตรวจเยี่ยมการให้บริการอย่างไม่เป็นทางการของอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ด้วย

อย่างไรก็ดี ในการลงพื้นที่ทั้ง 2 จังหวัดนั้น จะตรวจสอบความพร้อมของท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานภูเก็ต รวมถึงการพัฒนาสนามบินแห่งที่ 2 ของ 2 จังหวัดดังกล่าวด้วย ขณะเดียวกันจะลงไปดูปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่ จ.ภูเก็ต รวมถึงการพัฒนาถนนต่าง ๆ ซึ่งจะประชุมหารือร่วมกับ กรมทางหลวง (ทล.) ทางหลวงชนบท (ทช.) และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ในโครงการต่าง ๆ ที่กำลังจะดำเนินการในพื้นที่ จ.ภูเก็ต โดยจะขอให้เร่งรัดดำเนินการ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้ประชาชน อาทิ โครงการทางพิเศษ (ด่วน) สายกะทู้-ป่าตอง เป็นต้น ส่วนโครงการรถไฟฟ้าใน จ.ภูเก็ต และรถไฟฟ้าในต่างจังหวัดนั้น ขณะนี้ขอเร่งดำเนินการรถไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน

'นายกฯ' ยัน!! แก้รธน. 'ไม่ปรับแก้ 112-ไม่แตะหมวดพระมหากษัตริย์' ลั่น!! นักโทษการเมืองให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

(15 ก.ย.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ผ่านเพจ THE STANDARD ตอนหนึ่งถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีมีการตั้งคณะทำงานเพื่อทำประชามติหรือไม่เป็นการซื้อเวลาหรือไม่ ว่า ไม่ใช่การซื้อเวลาแน่นอน เป็นการตั้งคณะทำงานเพื่อรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วน เราทำประชามติแน่นอน ผ่านกลไกรัฐสภา ที่เป็นตัวแทนประชาชนอยู่แล้ว โดยไทม์ไลน์จะเป็นอย่างไรนั้น สสร.ต้องฟังประชามติก่อน ตอนนี้เริ่มแล้ว

“ยืนยันทำตามไทม์ไลน์ไม่ใช่การซื้อเวลา เราต้องการให้คนเห็นต่างร่วมพูดคุยว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหาอย่างไร โดยสิ่งที่ไม่แก้ คือ หมวดพระมหากษัตริย์ชัดเจน ส่วนเรื่องอื่นก็รอฟังประชามติ ส่วนเรื่อง 112 ยืนยันไม่มีการปรับแก้ ขณะที่นักโทษทางการเมืองก็เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม” นายเศรษฐา กล่าว

‘หมอวรงค์’ ชี้!! ไม่แปลกใจ หลัง ‘พิธา’ ติดอันดับนิตยสาร TIME 2023 เพราะ ‘เซเลนสกี’ ก็เคยติด 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพล เมื่อ 2022 มาแล้ว

(15 ก.ย. 66) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

‘เซเลนสกี’ ติดบุคคลแห่งปี 2022 โดยนิตยสาร TIME ไม่แปลกที่ ‘พิธา’ จะติด 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพลของ TIME ปี 2023

ถ้ายิ่งดูย้อนกลับไป เราจะพบว่า ธนาธรก็เคยติด 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพลของ TIME ในปี 2019 ที่สำคัญ ‘รุ้ง ปนัสยา’ ก็เคยติด ติด 1 ใน 100 ผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลของ BBC ในปี 2020 (ยิ่งลักษณ์ก็เคยติดของ 
ฟอร์บในปี 2011/2012)

การล่าอาณานิคมยุคใหม่ของโลกตะวันตก ไม่จำเป็นต้องส่งกองเรือเหมือนร้อยๆ ปีที่ผ่านมา หรือส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปให้เสียชีวิต

แต่โลกยุค Social Media วันนี้ง่ายเพียงแค่กดปุ่ม สร้างคำว่าประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม เสมอภาค และสร้างคนขึ้นมา โดยใช้สื่อยุคใหม่คอยสนับสนุน จบเพียงแค่นี้ครับ

โชคดีที่ประเทศไทยของเรา มีชาวบ้านบางระจัน กรุงศรีอยุธยาไม่เคยสิ้นคนดี เรามีคำว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สิ่งเหล่านี้พวกตะวันตกคงคาดไม่ถึง

#ราชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ
#สภาราชประชาสมาสัย

‘พิธา’ ประกาศลาออกตำแหน่ง ‘หัวหน้าพรรคก้าวไกล’ เปิดทางเลือก หน.พรรคคนใหม่ ทำหน้าที่ ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’

(15 ก.ย. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์แจ้งสมาชิกพรรคและประชาชน โดยระบุว่า แม้วันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า พรรคก้าวไกลต้องเดินหน้าสู่การทำงานเพื่อประชาชนในฐานะ ‘ฝ่ายค้าน’ ที่มีเสียงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 แต่ในเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้ ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ จำเป็นต้องเป็น สส. ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของพรรคฝ่ายค้านอันดับ 1

ปัจจุบันผมยังอยู่ภายใต้คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ผมจึงยังไม่สามารถเข้าไปทำงานในสภาผู้แทนราษราษฎร และไม่สามารถจะดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ได้ในระยะเวลาอันใกล้

ขณะเดียวกัน ผมได้หารือกับคณะกรรมการบริหารและ สส. ของพรรคก้าวไกลแล้วเห็นว่า บทบาท ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อระบบรัฐสภา และสมควรเป็นบทบาทที่รับผิดชอบโดยหัวหน้าพรรคของพรรคฝ่ายค้านหลักในสภาฯ ซึ่งตอนนี้คือพรรคก้าวไกล ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ จะเปรียบเสมือนหัวเรือที่กำกับทิศทางการทำหน้าที่ในสภาฯ ของฝ่ายค้าน เพื่อตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลและผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงที่ยังตกหล่นจากนโยบายของรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล ณ ขณะนี้ เพื่อเปิดทางให้พรรคเลือก สส. ที่สามารถทำหน้าที่ ‘ผู้นำฝ่ายค้าน’ ในสภาฯ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทนที่ผม

ผมขอยืนยันกับทุกท่านว่า ไม่ว่าสถานะของผมจะเป็นอย่างไร ผมไม่ได้หายไปไหน แต่จะยังคงทำงานร่วมกับพรรคก้าวไกลและพี่น้องประชาชนอย่างสุดกำลังและสุดความสามารถเพื่อขับเคลื่อนวาระการเปลี่ยนแปลงที่เราปรารถนาร่วมกัน

แล้วในวันที่ 24 ก.ย.นี้ ผมขอเชิญสมาชิกพรรคก้าวไกลมาพบกันอีกครั้ง ในงาน ‘ก้าวต่อไป ก้าวไกลทั้งแผ่นดิน’ ณ อาคารกีฬาเวสน์ 1 เขตดินแดง กรุงเทพฯ เพื่อมุ่งหน้าสู่การสร้างพรรคการเมืองที่เข้มแข็งของพวกเราไปด้วยกัน

‘เจี๊ยบ อมรัตน์’ เดือด!! ถูกสังคมตีฟูไม่หยุด ยัน!! ไม่เคยพูดว่า ไม่รู้จักกลุ่ม #ทะลุวัง

(15 ก.ย. 66) ‘เจี๊ยบ-อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล’ อดีต สส.พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

สื่อมวลชนที่พาดหัวข่าวโดยปราศจากความรับผิดชอบ ให้กลุ่มนายแบกนางแบกเอาไปตีฟูไม่หยุดหย่อน อาจจำเป็นต้องอธิบายอย่างจริงใจเพื่อบันทึกไว้

การให้สัมภาษณ์ครั้งนั้นที่ตึกไทยซัมมิท (ราวต้นเดือนส.ค.66) ดิฉันพูดว่านักกิจกรรมในช่วงหลังๆ มีกลุ่มใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายหลายกลุ่ม ดิฉันรู้จักไม่ครบทุกกลุ่มไม่ครบทุกคน แต่ที่คุ้นเคยคือกลุ่มแรกๆ เช่น เพนกวิน, อานนท์, โตโต้ ตอนนี้โตโต้และหลายคนก็มาเป็น สส.พรรคก้าวไกลแล้ว

ดิฉัน ‘ไม่เคยพูด’ ว่าไม่รู้จักกลุ่ม #ทะลุวัง ข้อเท็จจริงคือรู้จักแต่ผิวเผิน พบเห็นกันตามกิจกรรมการเมืองไม่เคยคุยกันจริงจัง เคยได้เบอร์ของบุ้งมาในช่วงที่ไปเยี่ยม #ตะวันแบม อดอาหารหน้าศาลฎีกาสนามหลวง จึงขอเบอร์บุ้งมาเพื่อจะโทรไถ่ถามอาการคืบหน้าของตะวันแบม เมื่อมีเรื่อง #หยก เกิดเป็นข่าวขึ้นมาจึงโทรไปถามบุ้งว่าทำไมแม่หยกถึงไม่พาลูกไปมอบตัว แล้วนัดคุยกันเรื่องนี้แบบเจอตัว 1 ครั้งเพราะสงสัยเรื่องแม่หยกมากๆ ว่าหายไปไหน จะให้ช่วยอะไรหรือไม่เพื่อให้หยกเข้าเรียนได้ การคุยครั้งนั้น ดิฉันแนะนำไปว่าถ้าประท้วงวิธีรุนแรงอาจจะทำให้เสียแนวร่วมการต่อสู้ 

หลังจากนั้น เห็นว่ามีหลายหน่วยออกมาเคลื่อนไหวช่วยเหลือ มีการนัดพูดคุยระหว่างหน่วยงานทางการศึกษาและสิทธิมนุษยชนกับทาง รร. จึงไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีกนอกจากติดตามอ่านข่าวจากสื่อมวลชน และรู้สึกเสียใจกับเคสของหยก

#สื่อเสี้ยม
#บันทึกไว้ 14 ก.ย. 66

‘อรรถวิชช์’ ชม!! รัฐบาลทำงานไว ‘ลดค่าไฟ-น้ำมันดีเซล’ ทันที จับตาดู ‘ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ - จัดการปัญหาเครดิตบูโร’

(15 ก.ย. 66) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการดำเนินนโยบายลดค่าน้ำมันดีเซล ค่าไฟฟ้า และการทำงานของคณะรัฐมนตรีในวันแรก ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 14 ก.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO / MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายไอยรา อัลราวีย์ บรัศว์ตฤณ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยนายอรรถวิชช์ ได้กล่าวว่า…

“ผมดูในคําแถลงนโยบายของรัฐบาลแล้ว และคิดว่ารัฐบาลเข้าใจว่าประเทศปัจจุบันอยู่ในฐานะวิกฤติเศรษฐกิจหลังจากโควิด เขาก็ต้องการจะให้ผลักเงินทุกอย่างออกมาโดยเร่งด่วนที่สุด เพราะฉะนั้นผมคิดว่านโยบายที่จะได้เห็นคือนโยบายเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท อันนี้เห็นชัดแน่” 

“ต่อมาคือมาตรการที่ออกมาในมติ ครม. วันแรก เป็นมาตรการที่เรียกว่า ‘กระชากลดค่าใช้จ่ายทันที’ เช่น ลดราคาน้ำมันดีเซลลง 2.50 ซึ่งเข้าใจว่าจะเริ่มเลย ที่เขาทําได้เพราะว่ารัฐบาลมีอำนาจเต็มมือ ก่อนหน้านี้เป็นการงดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน แต่ปรากฏว่าการคําสั่งงดจัดเก็บมันสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม และเราก็ยังไม่มีรัฐบาลสักที ก็เลยออกมาตรการใหม่ไม่ได้ แต่พอรัฐบาลใหม่มีอํานาจเต็มมือ ก็สามารถจะทุบโต๊ะได้เลยว่า งดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตอีก 2.5 บาท เพราะฉะนั้นมันเลยทําให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลงต่ำกว่า 30 บาททันทีเลย”

“อันที่สอง ก็คือเรื่องของค่าไฟฟ้า ค่าไฟฟ้าลดลงจาก 4.45 ลดเหลือ 4.10 อันนี้ก็ทําทันที ผมมองว่า อันนี้เจ๋ง เพราะปกติแล้วราคาค่าไฟมันจะถูกทบทวนทุกรอบ 4 เดือน รัฐบาลใหม่ก็ประกาศลดทันทีในรอบนี้ (ก.ย. - ธ.ค.) ไม่ไปรอรอบหน้า (ม.ค. - เม.ย.) ผมว่าอันนี้ดี แหวกกติกาเดิม ๆ ดี” นายอรรถวิชช์ กล่าว

นายอรรถวิชช์ กล่าวเพิ่มเติมเรื่องค่าไฟฟ้าแพงว่า “เรื่องค่าไฟฟ้า คำถามคือค่าไฟผันผวนขึ้นลงเพราะปัจจัยใด? มันผันผวนตามราคาแก๊สธรรมชาติ หรือค่าเงินบาทเรามันอ่อนค่าแข็งค่า มันจะส่งผลต่อราคาไฟฟ้า ซึ่งปกติจะทบทวนราคาแก๊สบวกค่าเงิน ทุก ๆ 4 เดือน แต่ว่าเขาประกาศวันนี้ เขาทำวันนี้เลย ผมคิดว่าอันนี้ดี ก็ทําให้ค่าไฟลดลง มาได้เป็น 4.10 บาท”

ต่อมา นายอรรถวิชช์ แสดงความคิดเห็นเรื่องการฟรีวีซ่านักท่องเที่ยว โดยระบุว่า เขาจะฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวจีนกับคาซัคสถาน คือ 1 ปี ไม่ต้องขอวีซ่าให้วุ่นวาย สามารถเข้ามา และ on arrival ได้เลย ส่วนสาเหตุที่ต้องดึงนักท่องเที่ยวจากคาซัคสถาน ก็เพราะว่าในช่วงหน้าหนาวบ้านเขา เขาจะได้หนีหนาวเพื่อเดินทางมาเที่ยวไทย ซึ่งหากดูจากสถิติ นักท่องเที่ยวจากคาซัคสถานเดินทางมาไทยค่อนข้างมากในช่วงหลายปี ก็มองว่ารัฐบาลกำลังพยายามทำนโยบายที่เรียกว่า ‘ควิกวิน’ หรือชัยชนะระยะสั้น ๆ เป็นเทคนิคการกระตุกให้คนเข้ามาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น

นายอรรถวิชช์ กล่าวถึงเรื่องการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ว่า “สำหรับเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ เราควรทำอย่างจริงจังมาตั้งนานแล้ว แต่คณะกรรมการฯ ก็ต้องเป็นคนที่มีหัวคิดสร้างสรรค์พอสมควรถึงจะสามารถผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ของไทยออกมาได้อย่างดี ที่ผ่านมาเราเน้นเรื่องการเซนเซอร์มากไป พอเจอฉากที่ไม่ดี หรือไม่ถูกใจก็ให้ตัดออก แต่หากมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ขึ้นมา ก็ควรต้องไปพิจารณาว่าจะส่งเสริม ผลักดันไปทิศทางไหน? แบบใด? จะเป็นการให้รางวัลหรือการสนันสนุนด้วยเงินก็ต้องมาพิจารณาอีกที”

“ยกตัวอย่างหนักไทยนะ ส่วนใหญ่จะเป็นการประชดประชันสังคม สะท้อนสังคม ดูแล้วเครียด ต่างจากของเกาหลีที่ทำออกมาจะไม่ใช่อารมณ์เครียด แต่จะมีน่ารัก สดใส เช่น การสอดแทรกภาพลักษณ์ของผู้ชายเกาหลีเข้าไปให้ดูสุภาพบุรุษ ทั้งที่จริง ๆ เขาก็ไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษแบบนั้นทั้งหมด แต่เกาหลีพยายามสอดแทรกและปั้นประชาชนให้เป็นแบบนั้น 10 ปีต่อมาก็เริ่มเห็นผล หรือการส่งเสริมการแปรงฟัน เราก็จะเห็นฉากแปรงฟันในซีรีส์หรือหนังเกาหลีบ่อย ๆ แม้แต่อาหาร หรือเคป็อปที่ดังระเบิดไปทั่วโลก ทั้งหมดที่พูดมาเป็นการส่งเสริมจากภาครัฐ หากผู้ผลิตมีฉากที่เป็นซอฟต์พาวเวอร์ ทางรัฐก็จะจ่ายเงินสนับสนุน แต่ทางไทยยังไม่ได้เป็นแบบนั้น ดังนั้นหนังของเราก็จะเป็นการสะท้อนสังคม ไม่ได้เป็นการชี้นำสังคม” นายอรรถวิชช์ กล่าว

นายอรรถวิชช์ กล่าวต่อว่า “สมัยก่อนไทยเรามีงบเข็มแข็งที่ใช้สนับสนุนทำหนังสุริโยไทย พระนเรศวร ในครั้งนั้นเป็นการปลูกฝังความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่ก็ไม่ได้มีแค่แนวนี้ที่ต้องผลักดัน เราต้องผลักดันแนวอื่น ๆ ด้วย ต้องนำเสนอว่าประเทศไทยน่าอยู่อย่างไร คนไทยใจดีขนาดไหน มีความสร้างสรรค์อย่างไร อาหารบ้านเราน่ารับประทานแค่ไหน เราต้องสื่อสารออกมาให้ได้ ทุกวันนี้ไทยติดอันดับประเทศที่น่ามาเยือน ลองคิดดู หากเราทำซอฟต์พาวเวอร์เจ๋ง ๆ ออกมาได้ ประเทศเราจะเจ๋งขนาดไหน ผมเชื่อว่าต่อให้เป็นเกาหลี เราก็สู้ได้ครับ”

“อีกสิ่งที่ต้องสนับสนุนหรือส่งเสริมให้เกิดขึ้นคือการถ่ายทอดลักษณะนิสัยของคนไทย ที่ไม่ใช่การคอลเอาต์แบบรุนแรง โวยวาย แบบไทย ๆ ต้องเป็นการพูดด้วยความเป็นมิตร ยิ้มแย้ม ถ้อยทีถ้อยอาศัย และที่ต้องเน้นย้ำมาก ๆ เลยคือการคอร์รัปชัน ต้องปลูกฝังนิสัยคนไทยผ่านซอฟตค์พาวเวอร์เลยว่าการโกง รับเงินใต้โต๊ะ เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ส่งเสริมนิสัยดี ๆ ให้คนไทย” นายอรรถวิชช์ กล่าวเสริม

นายอรรถวิชช์ แสดงความคิดเห็นต่อกรณีที่รัฐบาลมีนโยบายแบ่งจ่ายเงินเดือน 2 ครั้ง ว่า “มองว่าเป็นนโยบายที่ดี และคงเป็นทางเลือกให้ข้าราชการ คงไม่ได้บังคับ ซึ่งก็ถือว่าดี น่าจะช่วยลดการเป็นหนี้นอกระบบได้ แต่ว่าต้องรออีกสักนิด คงได้เห็นผลลัพธ์กัน”

นายอรรถวิชช์ กล่าวถึงเรื่องเชิงโครงสร้างที่รัฐบาลควรเร่งทำมากที่สุด โดยระบุว่า “เรื่องโครงสร้างไฟฟ้าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงและควรรีบทำ หากจะปรับราคาให้ลดลงในระยะยาว คือเราต้องหาแก๊สธรรมชาติแหล่งใหม่ เพราะแก๊สในอ่าวไทยเป็นตัวหลักในการผลิตไฟฟ้า และตรงช่วงตะเข็บไทย-กัมพูชาในอ่าวไทยมีทรัพยากรธรรมชาติสูงมาก ผมมองว่ารัฐบาลไทยควรเปิดฉากเจรจากับกัมพูชา และแบ่งทรัพยากรกัน เพราะถ้าแก๊สในอ่าวไทยหมดลง สิ่งที่เราจะเจอคือค่าไฟฟ้าพุ่งกระฉูด เนื่องจากต้องนําเข้าแก๊สอัดเหลว เป็นตัวแปรทำให้ค่าไฟแพง”

นายอรรถวิชช์ กล่าวถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ต้องการให้รัฐบาลเร่งผลักดัน โดยระบุว่า “ต้องการให้มีกฎหมายดูแลเรื่องข้อมูลเครดิต เรื่องแบล็กลิสต์ ผมมองว่านี่คือเส้นผมบังภูเขาที่หลายคนมองไม่เห็น แต่ว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ได้เสนอให้ยกเลิก แต่ต้องไม่นำประวัติหรือข้อมูลเครดิตที่ผ่านมาแล้วมาคำนวณหรือเป็นเกณฑ์วัดการกู้ครั้งใหม่ บางครั้งเราชำระหนี้คืนหมดแล้ว แต่ประวัติที่ผ่านมาไม่ค่อยดี ก็ถูกนำมาเป็นตัวตัดสิน ทำให้กูยืมครั้งต่อไปยากขึ้น ผมจึงอยากให้มีกฎหมายกำหนดให้ส่งแค่สกอร์ก็พอ ปิดหนี้เสร็จแล้ว คำนวณเป็นคะแนน และสถาบันการเงินก็ดูเพียงแค่สกอร์ตรงนี้ หรืออาจจะเสริมทางเลือกด้วยการดูวินัยทางการเงินอื่น ๆ ที่เราใช้จ่าย เช่นในช้อปปี้ ในไลน์ นำมาคำนวณเป็นสกอร์เพิ่มคะแนนได้”

“ทุกวันนี้คนติดแบล็กลิสต์รวมประมาณ 5 ล้านคน ช่วงโควิดที่ผ่านมา 3 ล้านคน เขาไม่มีทางหาเงินมาหมุนได้ ทางเลือกคือกู้ยืมนอกระบบ บางคนก็ต้องเป็นหนี้วนไป ไม่จบไม่สิ้น นี่จึงเป็นเรื่องที่ผมอยากฝากไปถึงรัฐบาล ส่วนทางพรรคชาติพัฒนากล้าก็ผลักดันเรื่องนี้เต็มที่ครับ”

ชมสัมภาษณ์เต็มได้ที่ : https://fb.watch/n2nexoZvTM/?mibextid=TFl8gu 

‘สุริยะ’ เร่งเพิ่มเที่ยวบิน รับนโยบายฟรีวีซ่านักท่องเที่ยว ดันผู้โดยสารจีนเยือนไทยเพิ่ม 5 ล้านคน ช่วงไฮซีซั่นนี้

(14 ก.ย. 66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงมอบนโยบายในการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมว่า นโยบายเร่งด่วนที่ตนจะต้องดำเนินการ คือ การเพิ่มตารางการบิน (Slot) และการบริหารจัดการพื้นที่ภายในท่าอากาศยาน เพื่อรองรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบิน และการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจ

โดยขณะนี้ ได้มอบให้ทางสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในเรื่องนี้ ดำเนินการตามนโยบาย ซึ่งขณะนี้ทราบว่าได้มีการจัด Slot การบินสำหรับฤดูหนาวนี้สามารถเพิ่มเที่ยวบินได้มากขึ้นอย่างน้อย 15% ต่อสัปดาห์เมื่อเทียบกับ Slot ช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่า นักท่องเที่ยวหลักอย่างตลาดจีน จะเพิ่มมากขึ้นกว่า 5 ล้านคน จากนโยบาย VISA Free สำหรับนักท่องเที่ยวจีนตลอดฤดูท่องเที่ยวที่จะถึงนี้

ทั้งนี้ ในส่วนของนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) พิจารณาแนวทางปฏิบัติในการปรับลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า และประเมินผลกระทบต่อหนี้สาธารณะ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปพร้อมเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือน ต.ค.นี้

ขณะเดียวกันได้มอบหมายงานให้ 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมดูแลรับผิดชอบแต่ละหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม โดยมี 8 กรม 12 รัฐวิสาหกิจ 2 หน่วยงานอิสระ ได้แก่ นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีอำนาจในการสั่งการอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รวม 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย 1.กรมเจ้าท่า (จท.) 2.องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) 3.การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) 4.สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) และ 5.บริษัท โรงแรมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จำกัด

ทั้งนี้ ได้ให้นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มีอำนาจในการสั่ง การอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รวม 8 หน่วยงาน ประกอบด้วย

1.) กรมการขนส่งทางบก (ขบ.)
2.) กรมการขนส่งทางราง (ขร.)
3.) บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)
4.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
5.) บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด
6.) บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด (รฟฟท.)
7.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
8.) บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.)

ส่วนที่เหลืออีก 9 หน่วยงานตนจะกำกับดูแล ประกอบด้วย
1.) กรมทางหลวง (ทล.)
2.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.)
3.) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)
4.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ‘ทอท.’
5.)กรมท่าอากาศยาน (ทย.)
6.)สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.)
7.)สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)
8.)สถาบันฝึกอบรมระบบราง
9.) สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top