Wednesday, 8 May 2024
POLITICS NEWS

‘สาทิตย์’ รับ!! สะพัด ‘ชวน’ ชวดลงสมัคร สส. หนาหู ชี้!! หากเป็นจริง กระทบความนิยม ปชป.ภาคใต้แน่

(12 เม.ย. 67) ที่บ้านวงศ์หนองเตย ถ.เทศบาล 5 อ.ห้วยยอด จ.ตรัง นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ 7 สมัย และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรัง เปิดเผยว่า จากกระแสข่าวที่มีการพูดกันหน้าหูในคนใกล้ชิดพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันว่า คุณชวน หลีกภัย จะไม่ได้ลงสมัคร สส.ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งระบบเขตและบัญชีรายชื่อ เรื่องนี้นายสาทิตย์ กล่าวว่า ก็หนาหูมาก ซึ่งตนเองก็ไม่สามารถไปตอบคำถามอะไรได้ เพราะเราไม่ใช่กรรมการบริหารพรรค ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับท่านชวน ถ้าเกิดท่านอยากจะลงแต่ว่าด้วยเหตุผลกลใดที่ไม่ได้ลง ตนมองว่ามีผลกระทบต่อความนิยมต่อพรรคประชาธิปัตย์ใน จ.ตรัง และภาคใต้แน่นอน เพราะต้องตอบให้ได้ว่าท่านทำผิดอะไร ที่กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ตัดรายชื่อนายชวน หลีกภัย ซึ่งเป็นทั้งอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และเคยเป็นนายกรัฐมนตรี 2 สมัย ออกจากผู้สมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งหน้า

ในส่วนการเมืองท้องถิ่น ที่มีกระแสข่าวว่าตนเองมีความสนใจนั้น จริง ๆ ตนเองสนใจเรื่อง อบจ.ตรัง หลายครั้งที่มีส่วนเข้าไปช่วยหาเสียงตั้งแต่ยุคสมัย นายกิจ หลีกภัย อดีตนายก อบจ.ตรัง พี่ชายนายชวน หลีกภัย ลงรับสมัคร เพราะตนมองว่า อบจ.เป็นจักรกลใหญ่ ที่เป็นตัวแทนคนตรังในการพัฒนาจังหวัด ครั้งที่แล้วนายสาธร วงศ์หนองเตย น้องชายตน ลงสมัครรับเลือกตั้ง นายก อบจ.ตรัง แต่ด้วยรัฐธรรมนูญ ตนไปช่วยหาเสียงไม่ได้ ก็น่าเสียดาย เลยได้ อบจ.ชุดใหม่มา ตอนนี้เป็นความกังวลมีการพัฒนามา 3 ปีกว่าแล้ว แต่ตรังเรายังไปไม่ถึงไหนเลย และตามที่ อบจ.ตรัง ประกาศนโยบายเอาไว้ตั้งหลายข้อ ก็ยังมีคนถามว่าทำครบหรือยัง นอกเหนือจากถนนหนทางที่ทำกันไปทุกที่ โดยภาพรวมเราเทียบ จ.ตรัง กับจังหวัดใกล้เคียง เช่น จ.กระบี่ โกอินเตอร์ เป็นจังหวัดท่องเที่ยวติดอันดับโลก ขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าตรัง อบจ.เขามีบทบาทสูงมากในการพัฒนาขึ้นมาได้ขนาดนี้ ส่วน จ.พัทลุง เขาไม่มีทะเลแต่ทุกวันนี้หาตัวตนพบ คน จ.ตรัง ขับรถพาพ่อแม่ลูกเมียไปเที่ยว จ.พัทลุง แล้ว จ.ตรัง เรามีจุดขายอยู่แค่เพียงชายหาดปากเมง ในส่วนแลนด์มาร์คอื่น ๆ ระยะเวลา 3 ปีกว่าตนยังไม่เห็นว่า อบจ.ตรัง จะทำให้ตรังเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศหรือทั่วโลก ส่วนเกาะกระดานนั้นมีอยู่แล้ว นักท่องเที่ยวมาเที่ยวอยู่แล้ว

ถึงเวลาที่เราจะเปลี่ยนตัวผู้บริหาร อบจ.ตรัง ที่มีวิสัยทัศน์ มองไปข้างหน้า ทำให้ตรังเศรษฐกิจเติบโต เพราะศักยภาพเรามีเยอะ มีทั้งทะเล ป่าไม้ ภูเขา มีทั้งประวัติศาสตร์ ของกิน อาหารที่โด่งดัง แต่เหมือนว่าเราไปไม่ถึงไหนสักที มันเป็นเพราะกลไกของ อบจ. ของจังหวัด ไม่ได้จับมือกัน ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตรังนั้นเติบโตหรืออย่างไร ตนคิดว่าที่สนใจคือใครจะมาลง ถ้ามีคนดีมาลงแล้วตนเห็นว่ามีแนวคิดที่ดีทำให้เศรษฐกิจตรังมันก้าวหน้า และเป็นการทลายการเมืองอิทธิพลในตรังตนจะสนับสนุน ซึ่งตนเองยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะลงด้วยตัวเอง ตอนนี้ก็พยายามกับพรรคพวกหลายฝ่ายหลายกลุ่มเฟ้นหาตัว หรือพยายามสดับรับฟังว่าใครที่จะสมัครลงเป็นนายก อบจ.ตรังบ้าง ก็บอกว่าถ้าเจอคนที่ดี ตั้งใจ มีวิสัยทัศน์ ทำให้ตรังเติบโตก้าวหน้าเศรษฐกิจดีขึ้น ชาวตรังอยู่ดีกินดีตนพร้อมที่จะสนับสนุน

ส่วนตัวหลังลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ยังไม่ได้คิดจะวางมือ ก็ยังอยู่ในแวดวงการเมือง ตั้งใจจะทำหน้าที่เป็นนักการเมืองของประชาชนต่อไป แม้จะลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังพูดคุยกับ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณกรณ์ จาติกวณิช และอีกหลายคน ต่างก็มีความเห็นร่วมกันว่า การเมืองยุคนี้เป็นการเมืองยุคฮั้วข้ามค่ายข้ามพรรค เป็นไปได้อย่างไรที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยม นิยมทหารกับระบอบทักษิณจับมือกันตั้งรัฐบาล ซึ่งลักษณะนี้มันมีความรู้สึกว่ามันเหมือนกับมีดีลลับจริง ๆ แล้วก็ถ้ามีลักษณะแบบนี้ภาพที่เราเห็นก็คือมีความพยายามที่จะทำให้ฝ่ายค้านมีบทบาทน้อยที่สุด อย่างที่คุณทักษิณ เคยทำมาสมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 หรือจะเป็นครั้งแรกก็ตาม

เพราะฉะนั้นข่าวเรื่องยุบพรรคก้าวไกล ข่าวเรื่องจะดึงพรรคประชาธิปัตย์ ไปเป็นรัฐบาล ก็สะท้อนให้เห็นเจตนาของรัฐบาล ซึ่งตนเชื่อว่าคนที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลก็คือคุณทักษิณ ที่พยายามทำให้ฝ่ายค้านอ่อนแอ คนที่เสียประโยชน์คือประชาชน เพราะจะกลายเป็นว่าชนชั้นอภิสิทธิชน ประสานผลประโยชน์กันได้แล้วก็ฮั้วจับมือกัน พรรคประชาธิปัตย์เองถูกชวนไปร่วมรัฐบาลก็ไม่เห็นปฏิเสธอย่างแข็งขัน ฝ่ายค้านเองกรณีคุณทักษิณไม่ติดคุกเลยแม้แต่วันเดียว ตนก็ไม่เห็นว่าจะทำหน้าที่อย่างแข็งขันในสภา ก็มีแต่ คุณสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา พูดชัดเจนมากเรื่องการปกป้องระบบนิติรัฐ นิติธรรมของประเทศ เพราะฉะนั้นกลุ่มของเราก็คิดว่าถ้าการเมืองยังฮั้วกันอยู่แบบนี้ ประชาชนก็ยังจะถูกหลอกอยู่ร่ำไป

หากถามว่าคิดอย่างไรกับพรรคก้าวไกลในภาคใต้ ตนมองว่าเลือกตั้ง ปี 66 ที่ผ่านมา พื้นที่ภาคใต้ก้าวไกลมาเป็นที่ 1 ส่วน จ.ตรัง พรรคก้าวไกลคะแนนก็มาเป็นอันดับ 1 สะท้อนความรู้สึกของคนอยู่หลายทางเหมือนกันว่าอาจจะเห็นว่าพรรคการเมืองอื่นไม่สามารถเป็นที่พึ่งหวังได้ ก็มีแต่พรรคก้าวไกลเป็นที่พึ่งหวังมีความตั้งใจที่จะทำหลายเรื่องกระแสก้าวไกลยังดีอยู่ ตนมองว่ากระแสในตอนนี้ก็ยังดีอยู่ และเชื่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า ในภาคใต้รวมทั้ง จ.ตรัง พรรคก้าวไกลจะกวาดไปได้หลายที่นั่ง 

‘พิธา’ รับ!! ตั้งใจเยือน ‘เชียงใหม่’ ไม่ได้มาปาดหน้า ‘ทักษิณ’ แถมก้าวไกลได้รับความไว้วางใจอันดับ 1 ต้องช่วยกันทำงาน

(12 เม.ย.67) ที่เทศบาลตำบลอุโมงค์ อ.เมือง จ.ลำพูน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ หลังถูกตั้งคำถามว่าเป็นนักปาด โดยยืนยันว่า ตนไม่ได้มาตามนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แต่มาตามว่าผู้สมัคร อบจ.และพี่น้องประชาชน มาใช้วันสุดท้ายก่อนปิดยาวช่วงสงกรานต์ให้เป็นประโยชน์

อยากใช้โอกาสนี้เชิญชวนประชาชนไปเลือกตั้ง อบจ.ให้เยอะ ให้ความสำคัญเท่ากับการเลือกตั้งระดับชาติ อยากให้มาใช้สิทธิ์ เพราะหากคนมาใช้สิทธิ์น้อย ก็ไม่ตรงตามหลักประชาธิปไตยและเสียดายงบประมาณเลือกตั้งด้วย

เมื่อถามถึงเดินทางมาช่วงเดียวกับนายทักษิณ ซ้ำถึง 2 ครั้งแล้ว อาจถูกเชื่อมโยงได้ นายพิธา กล่าวว่า ไม่ใช่ความบังเอิญ ครั้งนั้นมาเรียนรู้การดับไฟป่า และเป็นช่วงที่เชียงใหม่ประสบปัญหาสภาวะทางอากาศสูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ ตนมี สส. 7 คน จาก 10 คน และได้รับคะแนนความไว้วางใจเป็นอันดับ 1 ก็ต้องลงมาช่วย สส.ทำงาน และกลับไปจะได้อภิปรายได้ถูกต้อง

ไม่ใช่ความบังเอิญ ตนตั้งใจมาจริง ๆ และไม่ได้ต้องการมาเพื่อการเมือง แต่ต้องการทำหน้าที่อดีตหัวหน้าพรรค หากมีโอกาสอยากเข้าโรงพยาบาลดูแลผู้ป่วย เรื่องทางเดินหายใจว่าหนักขึ้นจริงหรือไม่

“ผมคิดว่านักการเมือง ถ้ายึดโยงกับประชาชนก็ขึ้นมาทั้งนั้น รมว.สาธารณสุข รมว.มหาดไทย ก็เพิ่งลงพื้นที่ เราเป็นฝ่ายค้านก็ต้องมาทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ต้องขึ้นมาปกติอยู่แล้ว ไม่มีนัยยะทางการเมือง” นายพิธา กล่าว

เมื่อถามว่ากระแสของพรรคก้าวไกล ไป จ.เชียงใหม่ ท่ามกลางเจ้าถิ่นอย่างพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างไรบ้าง นายพิธา กล่าวว่า “ผมไม่ได้คิดว่าพรรคไหนเป็นเจ้าถิ่นของใคร ประชาชนไม่ใช่สมบัติ ของนักการเมืองท่านไหน แต่ผมมีความรับผิดชอบกับเชียงใหม่ เพราะเขาเลือกผมมาถล่มทลาย มาเป็นอันดับ 1 ของเชียงใหม่และจำนวน สส. ที่มีอยู่ และพื้นที่ที่มีไฟป่าเยอะก็เป็นเขตของพวกผมทั้งนั้น เพียงแต่พอเป็นสส.แล้ว ไม่มีงบประมาณ ทำได้แค่ตรวจสอบรัฐบาลหรือเสนอแนะ ก็ต้องลงพื้นที่เพื่อให้ สส.ทำงานได้ เพราะ 10 ปากว่าไม่เท่าตาเห็น”

เมื่อถามว่าการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่ขณะนี้เกิดการแข่งขันกันหลายกลุ่มทั้ง พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย และกลุ่มนางทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ นายพิธา กล่าวต่อว่า เป็นสีสันทางการเมือง การแข่งขัน ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ตนคิดว่ายังเร็วเกินไป หลังจากนี้จะมีเรื่องนโยบายและไดนามิคทางการเมือง ช่วงนี้ตนขอสื่อสารให้คนมาเลือกตั้งอบจ.ให้เยอะก่อน อยากให้รู้ว่าการเลือกตั้ง อบจ.มีศักดิ์มีศรีไม่แพ้ สส. 

'เผ่าภูมิ' ระบุชัด!! กลุ่มไหนไม่ได้ 'ดิจิทัลวอลเล็ต' มั่นใจ!! 50 ล้านคนเข้าเงื่อนไข ได้ใช้ทุกคน

(12 เม.ย.67) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการ รมว.กระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กแจงคุณสมบัติผู้มีสิทธิได้รับและไม่ได้รับเงินดิจิทัล 10,000 แบบชัด ๆ ว่า...

เพื่อให้เกิดความชัดเจนครับ

ผู้มีสิทธิ์ได้เงิน 10,000 บาท ในโครงการ Digital Wallet

>> อายุ 16 ปี ขึ้นไป ทุกคน ทั้งอยู่ในระบบภาษีและไม่อยู่ในระบบภาษี (ทั้งที่ยื่นแบบและไม่ยื่นแบบ)
>> 'ตัด' ผู้ที่มีรายได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาท/ปี ออก และ...
>> 'ตัด' ผู้ที่มีเงินฝากในสถาบันการเงินพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐรวมกันทุกบัญชีเกิน 500,000 บาท ออก

ที่เหลือ ได้ทุกคนครับ ซึ่งจะมีคนผ่านเงื่อนไขนี้ราว 50 ล้านคนครับ

‘ปลัดคลัง’ เผย จะใช้แอปฯ ‘ทางรัฐ’ รองรับดิจิทัลวอลเล็ต ย้ำ!! ประชาชนเตรียมลงทะเบียนรับสิทธิ์ ไตรมาส 3 ปีนี้

(11 เม.ย. 67) นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทว่า คณะกรรมการโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ได้กำหนดให้ประชาชนจะต้องเข้ามาลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตนในการรับสิทธิ โดยโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต จะเริ่มเปิดลงทะเบียนในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2567 และประชาชนจะสามารถใช้จ่ายได้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ส่วนช่องทางในการใช้จ่ายนั้น จะใช้แอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สพร. หรือดีจีเอ

“สาเหตุที่ไม่เลือกใช้แอพพ์เป๋าตัง เนื่องจากแอพพ์ทางรัฐ เป็นแอพพ์ของรัฐจริง ๆ แต่เป๋าตังเป็นของแบงก์ อย่างไรก็ตาม เป๋าตังก็อาจจะยังต้องใช้ แต่เป็นระบบข้างหลัง ไม่ได้เป็นด้านหน้า เนื่องจากเป็นระบบควบคุมแบบเปิด หรือ Open Loop ซึ่งหมายความว่า เป็นวอลเล็ตของสถาบันการเงิน ทั้งแบงก์และนอนแบงก์สามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งเป๋าตังอาจจะไปเชื่อมต่อตรงนั้น เช่นเดียวกันกับ เคพลัส และแม่มณี เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องทางเทคนิคที่ดีจีเออยู่ระหว่างการพัฒนา” นายลวรณ กล่าว

นายลวรณ กล่าวว่า ส่วนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นร้านค้าที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจะต้องมีขนาดเล็ก เช่น ร้านค้าโชห่วย และร้านสะดวกซื้อ อย่างเซเว่น อีเลฟเว่น ก็สามารถเข้าร่วมได้ ทั้งนี้ หลักการได้รับเงินของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ คือรอบแรกมีเงินอยู่ที่ประชาชน โดยประชาชนที่ได้รับสิทธิจะต้องใช้ในร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น ที่อยู่ในเขตอำเภอ เพื่อให้มีเม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจฐานราก ซึ่งถือเป็นรอบที่ 1

นายลวรณ กล่าวว่า ทั้งนี้ เมื่อร้านค้าขนาดเล็กได้รับวงเงินมาแล้ว ต้องเอาไปใช้ต่อเป็นรอบที่ 2 ในร้านค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะเป็นการซื้อขายร้านค้ากับร้านค้า โดยหากร้านค้าที่มีขนาดใหญ่ดังกล่าวอยู่ในระบบภาษี ร้านค้านั้น ๆ จะสามารถเอาออกจากระบบได้ โดยเกณฑ์โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต กำหนดให้ร้านค้าที่สามารถนำเงินออกจากระบบได้ ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

“การกำหนดร้านขนาดเล็กในรอบแรก มองว่า จะต้องเป็นร้านโชห่วย ขึ้นมาได้มากที่สุด คือร้านสะดวกซื้อ อาทิ เซเว่น ร้านในปั๊ม แต่ยังไม่ถึงแม็คโคร ค้าส่งค้าปลีกขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ที่ทำให้มีรอบที่ 1 และรอบที่ 2 เพราะเราอยากให้เกิดการหมุนเวียน เพราะหากเงินในระบบออกได้เร็ว แรงส่งต่อเศรษฐกิจก็จะมีน้อยลง”นายลวรณกล่าว

นายลวรณ กล่าวว่า วงเงินจากดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ประชาชน 50 ล้านคนได้รับ จะต้องใช้จ่ายผ่านร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น โดยมีระยะเวลาการใช้จ่าย 6 เดือน ซึ่งมั่นใจว่า วงเงิน 5 แสนล้านบาท จะลงสู่ร้านค้าขนาดเล็กทั้งหมด โดยรัฐจะมีระบบบล็อกร้านค้าที่ 2 ไม่ให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายได้ เพื่อกำหนดให้ประชาชนซื้อในร้านค้าขนาดเล็กก่อน

นายลวรณ กล่าวว่า ขณะเดียวกัน โครงการดังกล่าวมีระบบป้องกันเรื่องเงินทอน และทุจริตการใช้จ่าย ซึ่งโครงการในอดีตที่ผ่านมาก็เคยเกิดขึ้น แต่ก็มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการสวมสิทธิในการใช้จ่าย ทุกครั้งที่มีการใช้จ่ายจะต้องมีการยืนยันตัวตนในรูปแบบตัวต่อตัว และยังมีตำรวจไซเบอร์ที่จะเข้ามาดูเรื่องเงินทอน และการซื้อของผิดประเภท โดยมีโทษสูงสุดถึงจำคุก

'พีระพันธุ์' ชี้!! 'ไม่มีดีลลับ-นายกฯ สำรอง-ปรับครม.' ส่วน 'ลุงตู่' ไม่ยุ่งการเมือง มุ่งทำงานเพื่อชาติ

(11 เม.ย. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกระแสข่าวเตรียมเป็นนายกรัฐมนตรีสำรองว่า ไม่มี พูดกันไปเอง คิดกันไปเอง ไม่มีดีลอะไร ไม่มีทั้งนั้น

เมื่อถามว่า รวมถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้วใช่หรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "ไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ ลุงตู่ของพวกเราท่านทำภารกิจหลัก ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญของประเทศถวายในหลวงในเรื่องงานต่าง ๆ อยู่แล้ว ท่านไม่ได้ยุ่งในเรื่องการเมือง"

เมื่อถามย้ำว่า กระแสข่าวที่ออกมาอาจเพราะเห็นว่านายพีระพันธุ์มีความใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ จึงทำให้มีข่าวจะมาเป็นนายกฯ สำรอง? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "ไม่มีหรอก มาจากสื่อที่มั่วกันเอง"

เมื่อถามถึงกระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังสงกรานต์ ในส่วนของ รทสช. จะมีการปรับเปลี่ยนอะไรหรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "ยังไม่มีการพูดคุยกันเรื่องนี้เลย เพราะฉะนั้นอย่างที่ตนเคยพูดตลอด อะไรที่ยังไม่มีการพูดกันอย่างเป็นทางการถือว่ายังไม่มี"

เมื่อถามอีกว่า ถ้ามีการปรับในส่วนของ รทสช. จะมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีหรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า "ยังไม่มี ยังไม่มีการคุยอะไรกันเลย เพราะยังไม่มีการพูดคุยกันในรัฐบาล ดังนั้น ในพรรคจึงยังไม่มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้"

'สก.บางซื่อ ก้าวไกล' โร่แจงปมเจ้าของโรงงานซุกกากแคดเมียม  เผย!! เป็นธุรกิจญาติ ตนไม่เกี่ยว ทั้งในบางซื่อและสมุทรสาคร

(11 เม.ย. 67) จากกรณี น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่ร่วมกับปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดีกรมโรงงาน เพื่อตรวจสอบบริษัท ล้อโลหะไทย เมททอล จำกัด ตั้งอยู่ 1532/1 ซอยเรียงปรีชา ถนนประชาราษฎร์ แขวงบางซี่อ เขตบางซื่อ กทม. หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ได้สืบสวนแกะรอยจนทราบว่าที่โรงงานดังกล่าวมีการซุกซ่อนกากแคดเมียม 150 ตัน บรรจุในถุงบิ๊กแบ็ก 98 ถุง โดยขณะนี้ได้ยึดอายัดไว้แล้ว

น.ส.ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย สก.เขตบางซื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตรวจสอบกากสารแคดเมียมในบางซื่อ วันนี้เนอสและสส.กานต์ ภัสริน ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานที่มีกากสารแคดเมียมเก็บอยู่ในเขตบางซื่อ ทราบว่าเป็น บริษัท ล้อโลหะไทยเมททอล จำกัด ในซอยเรียงปรีชา ซึ่งอยู่บนถนนพิบูลสงครามบริเวณพระราม 7 ฝั่งมุ่งหน้ามาจากจังหวัดนนทบุรี

โดยกากสารแคดเมียมที่พบมีจำนวน 98 ถุงบิ๊กแบ็ก มีน้ำหนักประมาณ 150 ตัน สภาพโรงงานเป็นโรงงานค้าของเก่าระบบปิด ไม่มีเตาหลอม มีหลังคาคลุม พื้นเป็นปูน เบื้องต้นทางสำนักสิ่งแวดล้อม กทม. ได้ใช้เครื่องวิเคราะห์ค่าโลหะแบบพกพาตรวจน้ำจากท่อระบายน้ำ 2 จุดที่เชื่อมออกมาจากโรงงาน ยังไม่พบสารแคดเมียม อย่างไรก็ตามต้องรอผลตรวจน้ำและดินโดยรอบจากแล็บของกรมโรงงานอุตสาหกรรมอีกครั้ง เนื่องจากจะมีความละเอียดมากกว่า

ในการเคลื่อนย้ายกากสารแคดเมียมออกจากพื้นที่นั้น ทราบว่าจะมีการย้ายหลังช่วงสงกรานต์เพื่อหลีกเลี่ยงการสัญจรหนาแน่นของพี่น้องประชาชน จึงจะมีการทยอยขนย้ายทั้งจากเขตบางซื่อ ชลบุรี และสมุทรสาคร กลับไปยังหลุมฝังกลบที่จังหวัดตากหลังจากวันที่ 17 เมษายนเป็นต้นไปค่ะ

ทาง กทม. ได้ประกาศโรงงานนี้เป็นพื้นที่สาธารณภัยตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 จึงมีการปิดประตูโรงงานและมีเจ้าหน้าที่เฝ้าตลอดเวลา

ส่วนในเรื่องที่เนอสและเจ้าของโรงงานมีนามสกุลเดียวกันนั้น เนื่องจากคุณเจษฎา เก่งรุ่งเรืองชัย เป็นคุณอา (น้องของพ่อ) โดยเมื่อก่อนรุ่นอากงทำธุรกิจค้าของเก่าเป็นกงสี แต่บริษัทของคุณพ่อเนอสได้แยกออกจากกงสีมาตั้งอยู่ที่จังหวัดนนทบุรีมากกว่า 20 ปีแล้ว ส่วนเนอสเองก็ออกจากบริษัทของคุณพ่อมามากกว่า 5 ปีแล้ว ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าของเก่าในเขตบางซื่อหรือสมุทรสาครแต่อย่างใด

เนอสมาลงสนามการเมืองแค่ต้องการทำให้เขตบางซื่อที่อยู่มาตั้งแต่เกิดดีขึ้นเท่านั้น ไม่ได้มีความคิดหรือกระทำการใดที่จะเอื้อประโยชน์หรือปกป้องเครือญาติและครอบครัว หากใครทำงานในสำนักงานเขตบางซื่อและกทม. ก็น่าจะทราบดี ที่เนอสไปลงพื้นที่วันนี้ก็เพราะเป็นการทำงานปกติที่ทำมาอยู่ตลอดในเขตอยู่แล้วในฐานะส.ก. เนอสเชื่อในความโปร่งใส ตรงไปตรงมา ชัดเจน ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นพ่อ แม่ ครอบครัว หรือญาติกันก็ตาม เมื่อคนเท่ากันก็ต้องเท่ากันในการบังคับใช้กฎหมายทุกมาตราด้วย

ยิ่งกว่านั้น เนอสเองยืนยันว่าสนับสนุนแนวทางพรรคก้าวไกลเรื่องการเสนอกฎหมาย PRTR (กฎหมายรายงานการปลดปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม) ที่จะเพิ่มความเข้มข้นในการรายงาน ติดตาม ตรวจสอบ สารมลพิษอย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้นเพื่อปกป้องและส่งเสริมพัฒนาความปลอดภัยสาธารณะ

เนอสคงไม่สามารถเปลี่ยนนามสกุลหรือเลือกจะเป็นญาติ-ตัดญาติกับใครได้ และเนอสก็ทำงานพิสูจน์ตัวเองมา 2 ปีแล้ว จึงขอชี้แจงไว้ตรงนี้ว่าเนอสไม่เคยและจะไม่มีการใช้อำนาจมาเอื้อประโยชน์หรือปกป้องใครอย่างแน่นอน

สุดท้ายนี้ เนอสขอย้ำให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาตามความถูกต้องของกฎหมายอย่างเท่าเทียมกันทุกคนค่ะ 🙏

‘จุรินทร์’ ซัด!! ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ไม่ต่างจาก ‘จำนำข้าว’ รัฐบาลใช้วิธี ‘กู้ ธกส. มาแจก’ เสี่ยงสร้างหนี้ซ้ำรอยเดิม

(11 เม.ย. 67) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงแหล่งเงินดิจิทัล วอลเล็ต 500,000 ล้านบาท ที่มาจาก 3 ทางคือ งบเหลือจ่ายปี 67 ปี 68 และ เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ ว่า…

กรณีการใช้เงินจาก ธกส. โดยให้ ธกส. สำรองจ่ายไปก่อน แล้วรัฐบาลค่อยใช้คืนทีหลัง ตามมาตรา 28 ก็คือการ ‘กู้ ธกส.มาแจก’ นั่นเอง ก็อบปี้วิธีการของโครงการจำนำข้าวมาทั้งดุ้น พูดง่าย ๆ คือมาจาก DNA เดียวกัน เพราะจำนำข้าวก็คือให้ ธกส. สำรองเงินไปรับจำนำข้าวจากชาวนาก่อน แล้วรัฐบาลค่อยใช้คืนทีหลัง ซึ่งขาดทุนตั้งแต่นับหนึ่งเพราะราคาข้าวในตลาดตันละไม่ถึงหมื่นบาท แต่ให้ไปรับจำนำตันละหมื่นห้าพันบาท ทุก ๆ ตันจึงขาดทุนสะสมไปเรื่อย ๆ จนทำให้ขาดทุนรวมไป 6-700,000 ล้าน และจนวันนี้ยังใช้หนี้ไม่หมด ยังเหลือหนี้ค้าง ธกส. อยู่อีก 200,000 กว่าล้านบาท   

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า กรณีดิจิทัล วอลเล็ต ที่จะให้ ธกส. สำรองแจกไปก่อน จึงมาจาก DNA เดียวกัน โดยรัฐบาลจะต้องมีภาระหนี้ กับเฉพาะ ธกส. เพิ่มอีกตามที่ รัฐบาลแถลง 172,300 ล้านบาท รวมกับหนี้เก่าจำนำข้าว อีก 200,000 กว่าล้านบาท จะทำให้รัฐบาลเป็นหนี้ ธกส. เฉพาะ 2 โครงการ ทั้งที่ยังคงค้างอยู่และจะสร้างใหม่ รวมประมาณ 4 แสนล้านบาท ซึ่งจนวันนี้ รัฐบาลก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะมีแผนชำระหนี้เฉพาะหนี้ ธกส. ที่จะกู้มาแจกในโครงการดิจิทัล วอลเล็ต อย่างไร และยังอาจมีปัญหาข้อกฎหมายตามมาอีกว่าแม้เงิน ธกส. สามารถเอามาดูแลเกษตรกรได้ แต่ถ้าถึงขั้นจะเอามาแจกตามโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ด้วยวัตถุประสงค์กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการบริโภค สามารถทำได้หรือไม่ ต้องดูให้รอบคอบ อย่าไปทำอะไรที่สุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย 

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องทำเพราะหาเสียงไว้และต้องทำให้ถูกกฎหมายด้วย” นายจุรินทร์กล่าว 

'ก้าวไกล' ปัดเอี่ยวบุหรี่ไฟฟ้าติดโลโก้พรรค  แต่นโยบายหนุน-สส.แอบสูบกลางสภา

(11 เม.ย.67) กลายเป็นที่ฮือฮาขึ้นมาทันที หลังมีโลโก้พรรคสีส้มไปปรากฏบนบุหรี่ไฟฟ้าที่ทาง พวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นำมาแถลงข่าวเมื่อวาน (10 เม.ย.67)

โดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สนธิกำลังกับหลายหน่วยงานกวาดล้างจับกุมบุหรี่ไฟฟ้า ใกล้สถานศึกษาใน กทม. เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้ของกลางมากกว่า 12,000 ชิ้น คิดเป็นเงินมากกว่า 3.6 ล้านบาท

'รัฐมนตรีพวงเพ็ชร' ได้ย้ำให้เห็นถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ที่มีสารนิโคติน เป็นสารอันตรายทำลายสมอง ทำลายพัฒนาการของเด็กวัยรุ่น ไปจนถึงอายุ 25 ปี ส่งผลต่อการเรียนรู้ อารมณ์ และจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดยาชนิดอื่นๆ ด้วย

ขณะที่ เลขาธิการ สคบ. 'ธสรณ์อัฑฒ์ ธนิทธิพันธ์' ก็บอกว่า ในการจับกุมครั้งนี้ สคบ.ใช้กฎหมายตามประกาศคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 หากฝ่าฝืนต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 แสนบาท อีกทั้งยังผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2546 คือ ห้ามนำเข้า หากฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับอีก 4 เท่าของมูลค่า

แล้วในเมื่อเป็นของผิดกฎหมายและมีอันตราย ทำไมจึงมีโลโก้ของพรรคการเมืองที่มี สส.มากที่สุดในสภา ไปปรากฏอยู่ด้วย 'รัฐมนตรีพวงเพชร' จึงบอกว่า จะให้ไปตรวจสอบดูว่า ทำไมถึงมีสัญลักษณ์ของพรรคก้าวไกล โดยอาจจะต้องย้ำพรรคการเมืองว่า ให้ตรวจสอบควบคู่ไปด้วยว่ามีการนำชื่อ สัญลักษณ์ และสีของพรรคการเมืองมาแอบอ้างในการทำสินค้าหรือไม่

โดนพาดพิงอย่างจังแบบนี้ 'สส.ลิซ่า' ภคมน หนุนอนันต์ รองโฆษกพรรคก้าวไกล จึงต้องรีบชี้แจงว่า พรรคก้าวไกล ไม่เคยมีการผลิตสินค้าผิดกฎหมาย และไม่เกี่ยวข้องต่อสินค้าผิดกฎหมายที่ได้ตรวจพบอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ยังขอให้ 'รัฐมนตรีพวงเพชร' ในฐานะรัฐมนตรีที่มีอำนาจ ตรวจสอบให้ได้ถึงต้นตอ ป้องกันปราบปรามสินค้าผิดกฎหมาย และดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างถึงที่สุดด้วย อย่าจบแค่จับของกลางและมาแถลงต่อสื่อมวลชน โดยไม่มีการทำงานเชิงลึกต่อ หวังว่าจะเห็นผลงานการทลายต้นตอของบุหรี่ไฟฟ้า

สรุปก็คือพรรคก้าวไกลปฏิเสธโดยสิ้นเชิงว่า ไม่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าติดตราพรรคก้าวไกล ที่ 'รัฐมนตรีพวงเพชร' เอามาแถลง

อย่างไรก็ตาม ถ้าลองย้อนอดีตไปไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ ก็จะพบว่า 'พรรคก้าวไกล' กับ 'บุหรี่ไฟฟ้า' มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันอยู่ โดยดูจากนโยบาย 300 ข้อ ที่พรรคก้าวไกลใช้หาเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 14 พ.ค.66

โดยมีข้อ 285 ที่ระบุชัดเจนว่า “อนุญาตให้มีการผลิต นำเข้า และจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยได้” โดยมีข้อกำหนดเช่นเดียวกับบุหรี่ เช่น จำกัดอายุผู้สูบ ห้ามสูบในที่สาธารณะ การห้ามโฆษณาและจัดโปรโมชัน และต้องมีมาตรการในการป้องกันนักสูบหน้าใหม่ เช่น การห้ามแต่งกลิ่น และรสของผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 23 ส.ค.65 'เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร' สส.พรรคก้าวไกล ผู้เป็นโต้โผรณรงค์เรื่องเหล้า-เบียร์เสรี ก็ได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ เชิงตั้งคำถามว่า ทำไมกฎหมายไทยให้กัญชาถูกกฎหมาย แต่บุหรี่ไฟฟ้า ผิดกฎหมาย ว่า...“คนมาเลย์ งงว่าที่ไทยกัญชาถูกกฎหมาย แต่ vape กับบุหรี่ไฟฟ้า ผิดกฎหมาย ร้องถามว่า Why? กันหมด ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไงอะครับ” 

ล่าสุด ช่วงหลังปีใหม่ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กเพจ 'วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร' เมื่อวันที่ 17 ม.ค.67 ก็ได้โพสต์ภาพ สส.กำลังสูบบุหรี่ไฟฟ้า ที่รัฐสภา พร้อมข้อความว่า... “#ทุกคนคะ หนูเจอชาย สูบบุหรี่ไฟฟ้า ตรงป้ายห้ามสูบบุหรี่ในรัฐสภาค่ะ พบว่า เป็น สส.พรรคดัง มีชื่ออยู่ใน กมธ.งบประมาณ หนูขอเรียกร้องให้ สส.เท่าพิภพ สส.โตโต้ และ สส.ไอซ์ ช่วยแนะนำวิธีสูบไม่ให้ถูกจับได้ด้วยค่ะ”

ถัดมาอีกวัน (18 ม.ค.67) เฟซบุ๊กเพจ 'วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร' ก็ได้โพสต์ภาพ สส.กลุ่มหนึ่ง นั่งอยู่ในร้านอาหารรัฐสภา โดยบนโต๊ะมีบุหรี่ไฟฟ้าวางอยู่ข้างหน้าพร้อมระบุข้อความว่า... “#ทุกคนคะ สส.ผู้ชาย ก้าวไกล เดี้ยวนี้เขาพก ลิปสติกแล้วหรือคะ เอ...หรือว่าเป็นบุหรี่ไฟฟ้าคะ สงสัยต้องเรียก สส.ลักแกง มาเป็นพยานแล้วค่ะ”

พรรคก้าวไกลไม่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าเลยจริงหรือไม่ คงต้องติดตามดูกันต่อไป...

'ปุ้ย พิมพ์ภัทรา' รมว.อุตสาหกรรม หญิงเก่งจากรวมไทยสร้างชาติ  ล่าผลงานแบบ ท.ท.ท. (ทำทันที) เคลียร์แคดเมียมไวจนอุ่นใจ

หลังจากเกิดกรณีตรวจพบกากแคดเมียมที่ควรจะถูกฝังปิดถาวรในจังหวัดตาก แต่กลับถูกลักลอบขุดขึ้นมาและมีการเคลื่อนย้ายออกมาจำนวนกว่า 13,000 ตัน โดยมีการลักลอบเก็บสะสมกากแคดเมียมดังกล่าวในโรงงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและในพื้นที่จังหวัดชลบุรีนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การกุมบังเหียนของ 'ปุ้ย' พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการฯ ก็ได้เร่งสั่งการให้หน่วยงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการจัดการโดยทันที

แคดเมียม (Cadmium: สูตรทางเคมี Cd) เป็นแร่โลหะหนักชนิดหนึ่ง ซึ่งถูกนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมในหลากหลายด้าน อาทิ ใช้ฉาบและเคลือบเงาผิวโลหะต่างๆ เพื่อความเงางาม ทนต่อการกัดกร่อน สารเพิ่มความคงตัวของพลาสติก จำพวกพีวีซี ผลิตเม็ดสี ผลิตแบตเตอรี่ขนาดเล็ก (แคดเมียม-นิกเกิล แบตเตอรี่) เป็นต้น

แคดเมียมยังพบปนอยู่กับแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น แร่สังกะสี แร่ตะกั่ว หรือทองแดง ในการทำเหมืองสังกะสีจะได้แคดเมียมเป็นผลตามมา สามารถพบแคดเมียมปนเปื้อนได้ในอาหาร น้ำ รวมทั้งพบแคดเมียมในสีที่ผสมใช้กับบ้านหรืออาคารอีกด้วย ทั้งนี้แคดเมียมสามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง ดังนี้...

- ทางผิวหนังผ่านการสัมผัส
- ทางจมูก ด้วยการหายใจ สูดดมฝุ่นละอองที่ปนเปื้อนแคดเมียมเข้าไปในร่างกาย
- ทางปากด้วยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนสารแคดเมียม เช่น ข้าวที่ปลูกบนดินที่มีการปนเปื้อนของแคดเมียมอยู่ สัตว์น้ำที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่มีการปนเปื้อน เนื้อหรือนมจากวัวที่กินหญ้าที่เกิดจากดินที่มีการปนเปื้อน

ทำไมแคดเมียมจึงน่ากลัว? เพราะผลกระทบต่อสุขภาพอันเนื่องมาจากการรับเอาแคดเมียมเข้าไปในร่างกายมีดังนี้...

- พิษเฉียบพลัน : พบในกรณีหายใจเอาไอระเหยของแคดเมียมเข้าไป ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น ปวดศีรษะ มีไข้ หายใจลำบาก หรือเจ็บหน้าอก
- พิษเรื้อรัง : การได้รับสารแคดเมียมเป็นเวลานาน อาจส่งผลต่อความเป็นพิษของไต กระดูก และอาจเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอด หากสัมผัสสารนี้มาอย่างยาวนานต่อเนื่อง รวมทั้ง มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
- พิษต่ออวัยวะที่สำคัญ คือ พิษต่อไต โดยจะมีการอักเสบที่ไต ทำให้ไตสูญเสียการทำงาน และอาจทำให้เกิดไตวายเรื้อรังได้ในที่สุด ซึ่งการเกิดความผิดปกติของไตนี้จะเป็นแบบถาวร แม้ไม่ได้รับแคดเมียมเข้าสู่ร่างกายแล้วไตก็ไม่สามารถกลับคืนสภาพเดิมได้ 
- พิษต่อกระดูก คือ แคดเมียมจะเข้าไปสะสมอยู่ในกระดูก เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนและอาจมีอาการปวดกระดูกอย่างมากโดยเฉพาะที่กระดูกสะโพก ซึ่งเป็นอาการของโรคอิไต–อิไต (Itai-itai disease) โดยคนกลุ่มนี้จะมีอาการกระดูกเปราะ แตกหักง่าย 

นอกจากนี้ แคดเมียมยังมีส่วนที่ทำให้อาการของโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ เพิ่มขึ้นอีกด้วย

แม้แคดเมียมจะมีคุณค่าทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ด้วยความนิยมในการใช้เป็นส่วนประกอบของแบตเตอรี่เพื่อเป็นแหล่งเก็บกักพลังงานไฟฟ้า แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้ผู้ประกอบการที่ไร้จิตสำนึก แล้วเอาเปรียบสังคมด้วยการลักลอบขุดเอากากแคดเมียมที่ได้รับการฝังกลบแล้วขึ้นมาจำหน่ายและขนย้ายโดยผิดกฎหมาย หากแต่ผู้ประกอบการที่ครอบครองกากแคดเมียมต้องการขุดออกเอากากแคดเมียมที่ได้รับการฝังกลบแล้วออกมาจำหน่ายจริงๆ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งแน่นอนไม่ใช่การนำกากแคดเมียมใส่ถุงขนาดใหญ่ (Big bag) แล้วขนย้ายเช่นนี้อย่างแน่นอน

ดังนั้น เมื่อเรื่องนี้เกิด สิ่งที่ทำให้คนไทยพออุ่นใจได้ คือ การที่รัฐมนตรี 'ปุ้ย พิมพ์ภัทรา' เจ้ากระทรวงอุตสาหกรรม เร่งสั่งการให้ดำเนินการจัดการกับกากแคดเมียมที่ถูกลักลอบขนย้ายนำออกมาอย่างรวดเร็ว แบบไม่สนหน้าอิฐหน้าพรมหรือทุนใหญ่เล็กแค่ไหน ด้วยการสั่งให้ย้ายกากแคดเมียมทั้งหมดกลับไปยังแหล่งฝังกลบต้นทางเพื่อดำเนินการต่อไปแล้ว แถมเธอยังสั่งการให้ดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกรายไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม 

นอกจากนี้ จากกรณีที่เกิดขึ้นเชื่อว่า รมว.ปุ้ย และคณะทำงานจะนำไปเป็นกรณีศึกษาในการดำเนินการจัดการกับปัญหาของเสีย กาก และขยะอุตสาหกรรม ฯลฯ ในความดูแลรับผิดชอบของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้ประชาชนคนไทยมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นต่อไปด้วย

‘นายกฯ’ สั่งหน่วยงานเกี่ยวข้องกวาดล้าง ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ อย่างจริงจัง ชี้ ‘ผู้ลักลอบนำเข้า-จำหน่าย’ จับหมด!! หลังแพร่หลายในเยาวชน

(9 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงมาตรการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ว่า ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้ากำลังแพร่หลายหนักมากในหมู่เด็กและเยาวชน ทั้งที่มีกฎหมายควบคุมอยู่แล้ว ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกัน ดำเนินการปราบปราม จับกุมผู้ลักลอบนำเข้า ผู้จำหน่าย อย่างจริงจังและเด็ดขาด และบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด 

ทั้งนี้ นายกฯ ยังกล่าวอีกว่า ขอให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ร่วมกันออกมาตรการการป้องกัน เช่น การรณรงค์เรื่องโทษของบุหรี่ไฟฟ้า การสร้างความตระหนักรู้ถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงมีการตรวจตราให้เข้มงวด โดยเฉพาะสถานศึกษา รวมถึงการจำหน่ายและใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชน 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top