Tuesday, 30 April 2024
NEWS

‘ทัพฟ้า’ ยัน 54 ล้าน รีโนเวท 1 ห้องน้ำเครื่องบิน ไม่แพง!! | News มีนิสส One minute

‘ทัพฟ้า’ ยัน 54 ล้าน รีโนเวท 1 ห้องน้ำเครื่องบิน ไม่แพง!! ฟากชาวเน็ต ติง เหมาะหรือ? หลังโควิดยังไม่จาง รัฐบาลเงินฝืด!! วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563

.

Breaking News ไปทั่วโลก เมื่อ เอมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้ประกาศว่าเขาติดเชื้อ Covid-19 เข้าแล้ว นับเป็นข่าวร้ายที่สร้างความหวั่นวิตกไปทั่วยุโรป ที่กำลังผจญกับคลื่นการแพร่ระบาด Covid-19 รอบใหม่อันหนักหน่วงอยู่ในขณะนี้

มาครงแจ้งว่า จะต้องเข้าระเบียบขั้นตอนการกักตัวเป็นเวลา 7 วัน แต่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ผ่านทางออนไลน์ และยกเลิกกำหนดการประชุมทั้งใน และต่างประเทศทั้งหมด

ส่วนนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฌอง คาสเท็กซ์ ผู้ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับตัวประธานาธิบดีมาครงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงโฆษกรัฐบาล ริชาร์ด เฟอร์รอง และ บริเจท มาครง สุภาพสตรีหมายเลข 1 แห่งฝรั่งเศส ก็จำเป็นต้องกักตัว 7 วันเพื่อเฝ้าดูอาการเช่นกัน

แต่ช้าก่อน! ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีมาครงได้ไปพบปะผู้นำชาติสมาชิกยุโรปอีกหลายคน

เมื่อวันพุธที่ 16 ธันวาคม 2020 เพิ่งจะพบนายกรัฐมนตรีโปรตุเกส นายอันโตนิโอ คอสต้า ก่อนหน้านั้นก็ไปพบกับนายกรัฐมนตรีสเปน เปโดร ซานเชซ และประธานสภายุโรป ชาร์ล มิเชล

ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าประธานาธิบดีมาครงติดเชื้อ Covid-19 ตั้งแต่เมื่อไหร่ นอกจากภารกิจพบผู้นำต่างประเทศ และประชุมสภาที่ผ่านมา ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีมาครงยังไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป และยังเข้าร่วมประชุมทวิภาคีกับอังเกล่า มาร์เคิล ผู้นำเยอรมันอีกด้วย

ดังนั้นข่าวการติดเชื้อ Covid-19 ของประธานาธิบดีเอมานูเอล มาครง ไม่ได้สะเทือนแค่ในฝรั่งเศส แต่หนาวสะท้านไปทั้งภาคพื้นยุโรปทีเดียว


แหล่งข่าว

https://www.theguardian.com/world/2020/dec/17/french-president-emmanuel-macron-tests-positive-for-coronavirus

https://m.dw.com/en/french-president-emmanuel-macron-tests-positive-for-covid/a-55970835

https://www.france24.com/en/europe/20201217-french-president-emmanuel-macron-has-tested-positive-for-covid-19

คนที่พลาดลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ "คนละครึ่ง" ไม่ทัน ยังมีลุ้น หลังรมว.กระทรวงการคลัง ระบุเตรียมเปิดให้ลงทะเบียนอีก 4 แสนสิทธิ คาดดำเนินการได้ต้นปี 64

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งอีกครั้ง โดยจะนำสิทธิของผู้ไม่ใช้สิทธิในเฟสแรกที่มากกว่า 4 แสนคน มารวมกับคนที่ไม่ผ่านการตรวจสอบสิทธิของเฟสที่ 2 มาเปิดให้ลงทะเบียนรอบเก็บตกใหม่โดยเร็วที่สุด หรืออย่างช้าภายในต้นปีหน้า 

ดังนั้นผู้ที่พลาดสิทธิโครงการคนละครึ่ง เพราะลงไม่ทันในวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะคนที่เจอปัญหาติดขัดขั้นตอนลงทะเบียน ไม่ต้องเสียใจไป เพราะคลังจะมีการเปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมแน่นอน

ส่วนการช่วยเหลือผู้ลงทะเบียนที่ติดปัญหาไม่ได้รับรหัสผ่าน OTP ทางกระทรวงการคลัง ก็กำลังดูให้อยู่ แต่จะให้สิทธิเป็นการเฉพาะกับผู้ใช้เครือข่ายดีแทค ลงทะเบียนคนละครึ่งได้เป็นกรณีพิเศษหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน ได้สั่งการให้ ธนาคารกรุงไทย เร่งไปตรวจสอบจำนวนผู้ลงทะเบียนเฟส 2 ที่ไม่ได้รับรหัสโอทีพีว่ามีจำนวนเท่าไร เพื่อนำมาหาทางช่วยอย่างเหมาะสมอีกครั้ง ส่วนการเปิดโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 และ 4 หรือไม่นั้น คงต้องขอเวลาพิจารณาก่อน โดยขอติดตามดูภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกก่อนว่าเป็นอย่างไร เพื่อนำมาประเมินตัดสินใจอีกครั้ง

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ขอให้ผู้มีสิทธิเดิมไม่ต้องรีบกดยืนยันสิทธิในตอนนี้ เพราะหากกดรับสิทธิในตอนนี้ เงิน 500 บาท กว่าจะใช้ได้คือ 1 มกราคม พ.ศ.2564 และยืนยันสิทธิยังได้เหมือนเดิม

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน ( 17 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 20 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,281 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 12 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 3,989 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 232 ราย
ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 20 ราย เป็นคนไทย 14 ราย สัญชาติอังกฤษ 2 ราย อินเดีย 1 ราย เยอรมัน 1 ราย ปากีสถาน 1 ราย เนเธอร์แลนด์ 1 ราย


ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้
ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 148 ราย เสียชีวิต 3 ราย
ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 362 ราย รักษาหายแล้ว 324 ราย  ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.36 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.22 แสน เสียชีวิต 19,248 ราย
ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 36 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 87,913 ราย รักษาหายแล้ว 72,733 ราย เสียชีวิต 429 ราย
ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.12 แสน ราย รักษาหายแล้ว 90,453 ราย เสียชีวิต 2,346 ราย
ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.53 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.19 แสน ราย เสียชีวิต 8,833 ราย
ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,353 ราย รักษาหายแล้ว 58,238 ราย เสียชีวิต 29 ราย
ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,405 ราย รักษาหายแล้ว1,252 ราย เสียชีวิต 35 ราย
 

กลับมาอีกครั้งกับประกันภัยโควิด-19 สุดฮอต แบบ “เจอ จ่าย จบ” ล่าสุดเมืองไทยประกันภัย เปิดขายอีกครั้ง 10 วันเท่านั้น ค่าเบี้ย 1,000 บาท ตรวจพบเชื้อจ่ายทันที 100,000 บาท

นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI เปิดเผยการออกประกันภัยโควิด-19 ยืน 1 "เจอ จ่าย จบ" ครั้งนี้ว่า "ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด – 19 ยังไม่มีความแน่นอน ซึ่งเรารับรู้ได้ว่ายังคงมีการระบาดขึ้นอีกครั้งทำให้หลายคนมีความกังวลเพิ่มมากขึ้น ทางเมืองไทยประกันภัย จึงได้เล็งเห็นและตั้งใจออกแบบประกันภัยไวรัสโคโรนาแผนยืน 1 นี้ออกมา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ตรงจุดในเรื่องของ "เจอ จ่าย จบ" "

"เพราะเราเข้าใจว่าทุกคนต่างก็อยู่ท่ามกลางความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกตลอดเวลา ที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ เราจึงตั้งใจที่จะเป็นผู้ช่วยในการคุ้มครองความเสี่ยงภัยเหล่านี้ เพื่อให้คุณและครอบครัวได้ใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจมากยิ่งขึ้น"

สำหรับรายละเอียดประกันภัยไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ประกันภัยยืน 1 "เจอ จ่าย จบ" ของเมืองไทยประกันภัยนั้น จะเปิดการขายเป็นระยะเวลาเพียง 10 วันเท่านั้น เบี้ยประกันภัย 1,000 บาทต่อปี และรับทันที 100,000 บาท เมื่อตรวจพบเชื้อไวรัส COVID-19 จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

นอกจากนี้ ยังให้ความคุ้มครองหากพบว่าป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาและอยู่ในภาวะโคม่าในวงเงินคุ้มครองถึง 1 ล้านบาท ทั้งนี้ จะมีระยะเวลารอคอย 14 วันหลังจากวันเริ่มคุ้มครอง โดยคุ้มครองผู้เอาประกันภัยตั้งแต่อายุระหว่าง 1 - 80 ปี (ระยะเวลาความคุ้มครอง 1 ปี) และหากผู้ที่ถือกรมธรรม์ไวรัสโคโรนา (โควิด-19) เดิมอยู่แล้วไม่มีการเคลม จะได้รับส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัยมูลค่าสูงสุด 20% ให้เมื่อต่ออายุกรมธรรม์ในปีถัดไป

กระทรวงการคลังสหรัฐฯ จัดไทย เป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ต้องเฝ้าติดตาม เหตุเสียเปรียบดุลการค้าให้ไทยกว่า 6 แสนล้านบาท ด้านธปท. ยันไม่แทรกแซงค่าเงินหนุนการค้า

นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายสื่อสารและความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯ (U.S. Treasury) ได้เผยแพร่รายงานการประเมินนโยบายเศรษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ ฉบับล่าสุด

เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2563 ซึ่งประเทศไทยถูกจัดอยู่ใน Monitoring List หรือเป็นรายชื่อประเทศที่ต้องเฝ้าติดตาม จากการที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 6 แสนล้านบาท และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากกว่า 2% ของจีดีพี ซึ่งเป็นเกณฑ์และเงื่อนไขภายใต้กฎหมายภายในของสหรัฐฯ โดยในรอบนี้ มีคู่ค้า 10 ประเทศที่จัดอยู่ในบัญชีนี้ ทั้ง จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมนี อิตาลี สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน ไทย และอินเดีย

"การที่ประเทศไทยถูกจัดอยู่รายชื่อครั้งนี้ ไม่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจที่มีการค้าการลงทุนกับสหรัฐฯ ซึ่งภาคธุรกิจไทยและสหรัฐฯ ยังคงดำเนินธุรกิจกันได้ตามปกติ และการประเมินดังกล่าวไม่กระทบต่อการดำเนินนโยบายของ ธปท. เพื่อดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินภายในประเทศ รวมถึงการดูแลเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นไปตามหน้าที่ของธนาคารกลางและความจำเป็นของสถานการณ์"

นางจันทวรรณ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ธปท. ได้สื่อสารและทำความเข้าใจกับทางการสหรัฐฯ เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและแนวทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจการเงินของไทย รวมถึงสร้างความมั่นใจกับสหรัฐฯ ว่าไทยดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบยืดหยุ่นและจะเข้าดูแลค่าเงินบาทเมื่อมีความจำเป็น เพื่อชะลอความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้รุนแรงเกินไป ทั้งในด้านแข็งค่าและอ่อนค่า และไม่มีนโยบายแทรกแซงค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้าระหว่างประเทศแต่อย่างใด

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรายหนึ่งในรัฐอะแลสกา สหรัฐฯ ก่ออาการแพ้รุนแรง หลังเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค แต่ตอนนี้อาการทรงตัวแล้ว

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า บุคคลรายดังกล่าวเข้ารับการฉีดวัคซีนเมื่อวันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2563 และทาง ไฟเซอร์ ยืนยันว่า กำลังร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ในการสืบสวนกรณีดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในสหราชอาณาจักร 2 คน ก็เกิดอาการแพ้คล้ายๆ กัน เป็นเหตุให้ทางรัฐบาลต้องแจ้งเตือนกับประชาชน ให้หลีกเลี่ยงเข้ารับวัคซีน หากมีประวัติเกี่ยวกับอาการแพ้รุนแรง

คณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของสหรัฐฯ อนุมัติใช้วัคซีนตัวดังกล่าวภายใต้คำเตือนว่า ประชาชนคนใดที่รู้ตัวว่ามีอาการแพ้ต่อส่วนผสมที่อยู่ในวัคซีน ไม่ควรเข้ารับการฉีดวัคซีน

"เรายังไม่มีข้อมูลครบทุกรายละเอียดเกี่ยวกับรายงานข่าวจากอะแลสกา ในเรื่องที่ว่าอาจมีอาการแพ้อย่างรุนแรงในคนไข้ แต่เรากำลังทำงานอย่างขมีขมันร่วมกับบรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่น เพื่อประเมินกรณีดังกล่าว" โฆษกของไฟเซอร์ระบุ

โฆษกของไฟเซอร์บอกต่อว่า "เราจะจับตาอย่างใกล้ชิดต่อรายงานข่าวทั้งหมดที่บ่งชี้ว่ามีคนเกิดอาการแพ้รุนแรงหลังเข้ารับการฉีดวัคซีน และจะอัพเดทคำเตือนเป็นสลากยาถ้ามีความจำเป็น"

ในส่วนของอาสมัคร 44,000 คน ที่เข้าร่วมการทดลองทางคลินิกของไฟเซอร์ ใครก็ตามที่มีประวัติแพ้วัคซีนหรือส่วนผสมของวัคซีนโควิด-19 จะถูกกันออกไป

อย่างไรก็ตาม ทางโฆษกยืนยันว่า โดยรวมแล้วการทดลองไม่พบประเด็นด้านความปลอดภัยร้ายแรงใด ๆ แต่ทางคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบและทางบริษัทจะเดินหน้าเฝ้าสังเกตการณ์ในกรณีที่อาจเกิดผลร้ายใดๆ หลังได้รับวัคซีน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ กำลังฉีดวัคซีนให้กับประชาชนราวๆ 3 ล้านคนในสัปดาห์นี้ และหวังว่าจะสามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชนแตะระดับ 20 ล้านคน ภายในเดือนนี้ หากว่าวัคซีนอีกตัวที่พัฒนาโดยโมเดอร์นา ผ่านการอนุมัติจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบ


ที่มา: เฟซบุ๊ก คุยทุกเรื่องกับสนธิ / เอเอฟพี

อนุทิน ชาญวีรกูล ไฟเขียว "อีเว้นท์ปีใหม่" แต่ต้องขออนุญาตและปฏิบัติตามกฏ ขณะเดียวกันได้เผยในส่วนของสถานการณ์โควิด-19 ชายแดน โดยตอนนี้รัฐควบคุมสถานการณ์ได้ดี

จากกรณีคอนเสิร์ตที่ปากช่อง จ.นครราชสีมา ที่ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า ปีใหม่นี้จะยังสามารถจัดกิจกรรมปีใหม่ได้อยู่ไหม งานนี้ "อนุทิน ชาญวีรกูล" รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า

"ยังสามารถจัดได้ ซึ่งภาครัฐ มีมาตรการอยู่แล้ว ส่วนผู้จัดต้องมาขออนุญาต นำเสนอแผน เมื่อได้รับการอนุญาต เวลาจัดงาน ต้องทำตามแผน แต่ถ้าผิดจากนั้น ก็ต้องรับผิดชอบ หากภาครัฐสั่งยุติกิจกรรม ก็ต้องหยุด เพราะถ้ายังจัดต่อ แล้วเจ้าหน้าที่เพิกเฉย เจ้าหน้าที่จะมีความผิด"

"สำหรับประชาชน มั่นใจว่าทุกคนเรียนรู้มามาก รู้ว่าจะจัดการตัวเองอย่างไร เช่น สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่างตามสมควร ก็ต้องปฏิบัติต่อไป"

"ส่วนสถานการณ์ตามชายแดน ตอนนี้ ดีขึ้นมาก กลุ่มที่มาจากท่าขี้เหล็ก ภาครัฐควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว ผู้ติดเชื้อ ผู้มีความเสี่ยง ได้รับการรักษา ได้รับการกักตัว เข้าสู่กระบวนการควบคุมโรคแล้ว ขณะที่ฝ่ายความมั่นคง ก็เข้มแข็งในการปฏิบัติหน้าที่"

สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เตรียมเปิดเส้นทางบินใหม่ (ไป-กลับ) กรุงเทพฯ-แม่สอด (ตาก) ดีเดย์เริ่มเที่ยวแรกวันที่ 1 ก.พ.64 หลังเลื่อนจาก 1 ธ.ค.63 เหตุโควิดฝั่งพม่ายังระบาดหนัก

บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) หรือ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส กำหนดวันเตรียมเปิดเส้นทางบินใหม่ (ไป - กลับ) กรุงเทพฯ - แม่สอด (ตาก) เริ่มวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 หลังจากกำหนดเดิมมีแผนเปิดบินในวันที่ 1 ธันวาคม 2363

เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื่อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ทางฝั่งประเทศเมียนมาร์ยังหนัก

โดยเส้นทางบินดังกล่าว จะให้บริการทุกวัน วันละ 3 เที่ยวบิน ด้วยเครื่องบินแบบเอทีอาร์ 72-600 และสามารถสำรองที่นั่งได้ตั้งแต่วันนี้

พร้อมย้ำว่า ทางสายการบินฯ ยังคงปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด

สำหรับตารางบินของเที่ยวบินระหว่างกรุงเทพ-แม่สอด (ตาก) ดังนี้ เที่ยวบินที่ PG381 ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 07.50 น. ถึงสนามบินแม่สอด เวลา 09.20 น. , เที่ยวบินที่ PG382 ออกจากสนามบินแม่สอด เวลา 09.50 น.ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 11.25 น.

เที่ยวบินที่ PG383 ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 12.00 น. ถึงสนามบินแม่สอด เวลา 13.30 น., เที่ยวบินที่ PG384 ออกจากสนามบินแม่สอด เวลา 14.00 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 15.35 น., เที่ยวบินที่ PG385 ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 15.00 น. ถึงสนามบินแม่สอด เวลา 16.30 น. และเที่ยวบินที่ PG386 ออกจากสนามบินแม่สอด เวลา 17.00 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 18.35 น.

สำหรับอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ทางรัฐบาลกำหนดให้เป็น "เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ" ส่งผลให้แม่สอดจากเดิมเป็นแค่เมืองเล็ก ๆ ติดชายแดนประเทศเมียนมา กลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ขึ้นมาทันที และปัจจุบันมีเพียงสายการบินนกแอร์ รายเดียวเท่านั้นที่มีเที่ยวบินให้บริการไปยังแม่สอด

"อนุทิน ชาญวีรกูล" เผยไม่มีปัญหาหาที่นั่งคณะกรรมการสมานฉันท์ เพราะ "เป็นเรื่องของแต่ละพรรค" ยัน "พรรคภูมิใจไทย" ยังยึดหลัก "สามัคคี - ปรองดอง - ปกป้องสถาบัน"

อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการจัดตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ ในส่วนของรัฐบาล โดยได้กล่าวว่า

"พรรคภูมิใจไทยไม่มีปัญหา เป็นเรื่องของแต่ละพรรคการเมือง สำหรับพรรคภูมิใจไทยเสนอชื่อ สรอรรถ กลิ่นประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาพรรคภูมิใจไทย เป็นตัวแทนไปเข้าร่วม สำหรับตัวแทนของรัฐบาลนั้นยังไม่ได้มีการหารือ ส่วนจะเป็นใครนั้นเราไม่มีปัญหา เป็นสิทธิ์ของแต่ละพรรค ขณะที่รายละเอียดเป็นเรื่องของรัฐสภา ซึ่งพรรคภูมิใจไทยมีคนทำงานในส่วนของสภาอยู่แล้ว

ทั้งนี้ รายชื่อที่ออกมา ส่วนใหญ่ตนเห็นด้วย เพราะเป็นคนกันเองทั้งนั้น กรณีที่มีข่าวว่า ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ไม่พอใจกับกระแสข่าวที่มีชื่อของ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรัฐบาลนั้น เรื่องนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีเลย จึงยังไม่ทราบ"

เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะทำให้การทำงานของคณะกรรมการสมานฉันท์สะดุดจนไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า "ในส่วนของผมไม่มีปัญหาแน่นอน เพราะผมต้องการสมานฉันท์อยู่แล้ว พรรคภูมิใจไทยเน้นการสมานฉันท์ เน้นความสามัคคีปรองดอง ปกป้องสถาบัน นี่คือแนวทางของพวกผม"

กระทรวงพาณิชย์ มอบของขวัญส่งท้ายปี ด้วยการเปิดเข้าศูนย์บริการ-ให้คำปรึกษา อัญมณีฟรี!! เอาใจคนรักเครื่องประดับตัวจริง!!

วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ส่งความสุขส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มอบสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT โดยเปิดให้บริการให้ ‘คำปรึกษา’ และ ‘ตรวจสอบ’ อัญมณี-เครื่องประดับเบื้องต้น (Verbal) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

พร้อมทั้งเอาใจผู้รักอัญมณีด้วยการเปิดให้เข้าใช้บริการศูนย์การเรียนรู้ด้วยตนเองของสถาบันฟรี ทั้ง ห้องสมุดอัญมณีและเครื่องประดับ พิพิธภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับ ตั้งแต่วันนี้ - 15 มกราคม 2564 ณ อาคารไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ถนนสีลม สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สอบถาม 02 - 634 - 4999 ต่อ 635 - 642

ศาลอาญาในกรุงโตเกียวได้ตัดสินพิพากษาประหารชีวิตนาย ทาคาฮิโระ ชิราอิชิ หนุ่มวัย 30 ปี ชาวเมืองซามะ ชานกรุงโตเกียว ในข้อหาฆาตกรรมเหยื่อถึง 9 คนภายในช่วงเวลาเพียง 3 เดือน

ศาลอาญาในกรุงโตเกียวได้ตัดสินพิพากษาประหารชีวิตนาย ทาคาฮิโระ ชิราอิชิ หนุ่มวัย 30 ปี ชาวเมืองซามะ ชานกรุงโตเกียว ในข้อหาฆาตกรรมเหยื่อถึง 9 คนภายในช่วงเวลาเพียง 3 เดือน ตั้งแต่สิงหาคม – ตุลาคม 2017 โดยการวางยา ชิงทรัพย์ ข่มขืน แล้วจัดการสังหารเหยื่อด้วยการรัดคอ และหั่นศพเก็บเอาไว้ภายในห้องพักของเขาเอง

คดีนี้ได้รับความสนใจจากชาวญี่ปุ่นอย่างมาก บางส่วนพร้อมใจเดินทางมาเพื่อร่วมฟังคำพิพากษาเป็นจำนวนมากกว่า 400 คนในขณะที่ห้องรับฟังคำพิพากษามีเพียง 16 ที่นั่งเท่านั้น และคดีนี้นับเป็นหนึ่งในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่สยองขวัญที่สุดครั้งหนึ่งของญี่ปุ่น

ต้นเรื่องของคดีฆาตกรรมนี้ ก็มีเบื้องหลังที่เขย่าศีลธรรมสังคมญี่ปุ่นไม่น้อย เนื่องจากนายชิราอิชิ ฆาตกร มีวิธีหาเหยื่อง่ายๆ โดยการใช้ทวิตเตอร์ที่พูดคุยเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย โดยเขาจะเลือกเหยื่อที่หมายตาเป็นหญิงสาว ในช่วงอายุตั้งแต่ 15 – 26 ปี ที่มีปัญหาคับข้องใจ และเลือกที่จะหาทางออกด้วยการฆ่าตัวตาย

หลังจากที่คุยกันผ่านทวิตเตอร์ได้สักพัก เขาก็จะล่อหลอกให้เหยื่อมาพบที่บ้าน โดยอ้างว่าเขาจะช่วยให้เหยื่อสามารถหลุดพ้นจากโลกนี้ไปได้อย่างสงบสุข และบางครั้งยังหลอกว่า ตัวเขายินดีจะฆ่าตัวตายตามไปด้วยกันในภายหลังอีกด้วย

และในช่วงเวลา 3 เดือนที่นายชิราอิชิเปิดทวิตเตอร์คุยเรื่องฆ่าตัวตาย เขาได้ลวงหญิงสาวมาสังหารถึง 8 คน ที่ล้วนแต่เป็นเด็กสาววัยรุ่น วัยมหาวิทยาลัยแทบทั้งสิ้น มีเพียงรายที่ 9 เท่านั้นที่เป็นชายหนุ่ม ซึ่งเป็นพี่ชายของเหยื่อ 1 รายของนายชิราอิชิ ที่ได้ตามรอยน้องสาวที่หายตัวไปจากข้อความในทวิตเตอร์ จนมาถึงบ้านของชิราอิชิ เลยถูกสังหารเพื่อปิดปาก

แต่แล้วตำรวจก็ได้ตามรอยทวิตเตอร์มาจนเจอบ้านของนายชิราอิชิ เช่นเดียวกัน และได้ขอตรวจค้นบ้านของชิราอิชิที่เป็นเพียงอพาร์ตเม้นท์เล็ก ๆ พื้นที่เพียง 13.5 ตารางเมตร และก็พบหลักฐานอันน่าตกใจ เป็นศีรษะมนุษย์ในตู้แช่ 9 หัว และโครงกระดูกกว่า 240 ชิ้นในกล่องแช่เย็น ทั้ง ๆที่เจ้าตัวก็ยังนอนอยู่ในห้องพักตามปกติ

เมื่อหลักฐานถูกเปิดเผย สร้างความตื่นตะลึงให้กับชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก และได้เรียกชื่อสถานที่เกิดเหตุเป็น "บ้านพักสยองขวัญแห่งเมืองซามะ"

หลังจากที่มีการไต่สวน นายชิราอิชิ รับสารภาพในทุกคดีที่เขาก่อไว้ และเล่าว่าแรงจูงใจทั้งหมดเริ่มต้นจากความต้องการเงิน เหยื่อรายแรกเป็นสาววัย 23 ปี ที่เขาเพียงต้องการมอมยา ข่มขืน และรีดไถ่เงินก้อนโตจากเหยื่อ แต่ต่อมาหญิงสาวกลับมาทวงเงินเขาพร้อมขู่ที่จะแจ้งตำรวจข้อหากรรโชกทรัพย์ ทำให้เขาตัดสินใจฆ่าเธอทิ้ง และหั่นศพในห้องน้ำ โดยการแยกชิ้นส่วน เนื้อหนัง เครื่องใน แล้วทิ้งลงในถุงขยะให้เทศบาลมาเก็บไป ส่วนศีรษะ และโครงกระดูกเขาจำเป็นต้องเก็บเอาไปเพื่ออำพรางคดีไม่ให้ถูกจับได้ และเขาก็ใช้วิธีเดียวกันนี้กับเหยื่อทั้งหมด จนกระทั่งถูกจับตัวได้ในที่สุด

หลังจากที่รวบรวมหลักฐาน และพิจารณาคดีมานานกว่า 3 ปี ศาลอาญาเมืองโตเกียวได้ตัดสินประหารชีวิตนายทาคาฮิโระ ชิราอิชิ ด้วยการแขวนคอ ซึ่งนายชิราอิชิก็เหมือนจะรู้ชะตากรรมของตัวเอง และยอมรับโทษทัณฑ์สูงสุดโดยไม่ขอสู้คดีต่อ

และจากคดีของนายชิราอิชิ ทำให้สังคมญี่ปุ่นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักว่า ควรที่จะปล่อยให้มีการพูดคุยเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายกันอย่างเปิดเผยในโลกโซเชียล หรือเว็บบอร์ดสาธารณะอีกหรือไม่

ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูง เมื่อหลายปีก่อน กลุ่มคนที่ฆ่าตัวตายในญี่ปุ่นมักเป็นผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ และการเงิน ไม่อยากเป็นภาระของลูกหลาน

แต่ปัจจุบัน อัตราการฆ่าตัวตายในวัยหนุ่มสาวกลับเพิ่มสูงขึ้น ด้วยสภาพสังคมที่มีความกดดันสูง เศรษฐกิจตกต่ำ และความโดดเดี่ยวที่เป็นเหตุผลที่หนุ่ม สาวชาวญี่ปุ่นจำนวนมากเลือกที่จะจบชีวิตก่อนเวลาอันควร ทั้ง ๆ ที่เป็นช่วงวัยสำคัญ ที่จะเป็นกำลังของชาติ

อีกทั้งสังคมโซเชียลที่เปิดกว้าง ในการพูดคุยกันในเรื่องการฆ่าตัวตายที่ทำให้อาชญากรสบช่องทางในการก่อคดีกับผู้ที่สิ้นหวังในชีวิตอย่างเช่นคดีนี้ ที่ทำให้สังคมญี่ปุ่นต้องกลับมาคิดทบทวนวิธีการที่จะแก้ปัญหาเยียวยาคนในครอบครัวอย่างไร เพื่อที่จะไม่เกิดเหตุเศร้าเช่นนี้


แหล่งข่าว

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/japan-serial-killer-who-baited-suicidal-people-using-twitter-sentenced-to-death

https://www.bbc.com/news/world-asia-55313161

https://english.kyodonews.net/news/2020/12/f319bac1961f-urgent-japans-twitter-killer-sentenced-to-death-over-2017-serial-murders.html

ประเทศที่เลือกที่จะไม่ปิดล็อคดาวน์ประเทศอย่างเข้มงวด อย่างประเทศสวีเดน มีข้อมูลว่าอยู่ในมีการปล่อยให้ผู้ติดเชื้อสูงอายุเสียชีวิตโดยไม่มีการเข้ารับการรักษาเลย

คุณจูเลียน่า ได้แสดงภาพถ่ายคุณอาของเธอที่ถ่ายก่อนที่จะเสียชีวิตไปด้วยโรคโควิด "ถ้าคุณอาได้รับการรักษาที่ถูกต้อง น่าจะยังโอกาสที่่จะมีชีวิตอยู่ต่อ" คุณจูเลียน่าให้สัมภาษณ์กับนักข่าว TBS

หลังจากที่ตรวจพบการติดเชื้อ คุณอาของคุณจูเลียน่า "คุณโมเสส" อายุ 72 ปี ได้ถูกส่งตัวไปสถานที่พักคนชรา ในเดือนเมษายนปีนี้ และได้เสียชีวิตหลังจากนับจากตรวจพบการติดเชื้อโควิดเพียง 4 วัน

"คุณหมอบอกว่า ผู้ติดเชื้อที่เป็นผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ทางโรงพยาบาลจะไม่ทำการรักษา" เป็นคำตอบจากคุณหมอที่ให้เธอ หลังจากคุณอาของเธอเสียชีวิต เธอถึงกับเสียใจร้องไห้จนนอนไม่หลับในวันนั้น และคิดขึ้นได้ว่า "นี่ไม่ใช่เพราะโควิด" ที่ทำให้คุณอาของเธอต้องจากไป

"นี่คือวิธีรับมือที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ที่มีโอกาสเป็นต่อไปเรื่อย ๆ" คนของรัฐบาลสวีเดนแถลงการ โดยการรับมือแบบนี้ ได้รับการสนับสนุนจากประชากรถึง 70%

"รัฐบาลอื่นในยุโรปใช้วิธีไม่ถูกต้อง วิธีของสวีเดนแน่นอนว่ามีความเสี่ยง แต่การล็อคดาวน์นั้น ทำให้เศรษฐกิจโลกมีปัญหาไม่ใช่หรือ" ประชาชนในเมืองสต็อกโฮมกล่าว

แต่จำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 7,300 คนนั้น มีเกือบถึง 90% เป็นผู้สูงอายุ และสถานที่พักคนชราก็ไม่มีมาตรการรับมือต่อการติดโรคอย่างถูกวิธี ซึ่งดร.เทคเนลผู้ที่เป็นคนดูแลนโยบายการรับมือต่อโรคโควิทก็ยอมรับกับความจริงนี้

คุณจูเลียน่ายังให้ข้อมูลอีกว่า ก่อนที่คุณอาของเธอจะเสียชีวิต เธอได้ใช้โทรศัพท์แบบเห็นหน้าเพื่อดูสภาพของคุณอาของเธอ พบว่ามาตรการรับมือของสถานที่พักคนชรานั้นหละหลวมมาก

"เจ้าหน้าที่ไม่มีการใช้หน้ากากหรือถุงมือใด ๆ สัมผัสกับผู้ป่วยเลย"

นอกจากนี้แล้ว ทางด้านสถานที่พักคนชรายังเปลี่ยนการรักษา เป็นการบรรเทาอาการด้วยมอร์ฟีนโดยไม่มีการปรึกษาครอบครัวของเธอด้วย

"สถานที่พักคนชราใช้วิธีรักษาแบบบรรเทาอาการอย่างไม่มีเหตุผล ทำให้ฉันมั่นใจว่าคุณอาเป็นเพียงเครื่องสังเวยเท่านั้น" คุณจูเลียน่ากล่าว

ไม่ใช่แค่กรณีของคุณโมเสสเท่านั้น "สถานที่พักคนชราไม่มีการตรวจสภาพของผู้ป่วยอย่างถี่ถ้วน และให้การรักษาแบบบรรเทาอาการโดยไม่แจ้งทางครอบครัวให้รับทราบ มีให้เห็นหลายเคส" ศจ.ยินเวย์ กุฟสตาฟซอน หมอผู้เชี่ยวชาญด้านคนชรากล่าว

การที่คุณจูเลียน่าออกมาสัมภาษณ์เช่นนี้ต้องการให้ทุกคนได้รับรู้ว่าผู้สูงอายุของสวีเดนกำลังถูกทอดทิ้ง

"สิ่งที่ทำให้รู้สึกโกรธที่สุดคือทางรัฐบาลรับทราบเรื่องนี้อยู่เต็มอก แต่ยังคงให้ผู้สูงอายุเป็นเหยื่อสังเวยอยู่" ไม่ใช่แค่คุณอาของฉันเท่านั้น ยังมีผู้สูงอายุคนอื่นๆ ที่ประสบเหตุเหมือนกันอีกมากมาย" คุณจูเลียน่าทิ้งท้าย


บทความข่าว : https://news.tbs.co.jp/newseye/tbs_newseye4150148.htm?1608044107001

นายกฯ เผย คนละครึ่งเฟส 3 มีลุ้น | News มีนิสส One minute

นายกฯ เผยคนละครึ่งเฟส 3 มีลุ้น วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2563

.

ศาสตรา โตอ่อน นักวิชาการกลุ่มสถาบันทิศทางไทย โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กชื่อ Sattra Janto Toaon ระบุถึงโครงการ “คนละครึ่ง” ที่มีความชาญฉลาดถึง 9 ข้อ

1.) ต้องเข้าใจก่อนว่า เงินที่หมุนเวียนในระบบหลักจริง ๆ คือเงินเอกชน พอเศรษฐกิจหดตัว เงินเอกชนจะไม่ถูกใช้จ่าย ทำให้กระแสหมุนเวียนลดลง เศรษฐกิจจะยิ่งหดลงไปอีก

2.) ปกติเมื่อเกิด Recession เศรษฐกิจหดตัว รัฐจะใช้วิธีนำเงินภาครัฐจ่ายตรงลงไปหมุน ตามวิธีแบบเคนเซี่ยน สร้างการลงทุนภาครัฐแบบเขื่อนฮูเว่อร์หรือ เอาเงินใส่มือไปให้ใช้จับจ่ายเลย ซึ่งใช้งบประมาณมาก ได้ผลกระทบน้อย

3.) คนละครึ่งคือรัฐใช้เงินครึ่งเดียวประหยัดงบ

4.) เงินครึ่งเดียวที่รัฐออกมากลับไปดึงเงินส่วนใหญ่ในมือเอกชนมาหมุนเวียนในระบบ เกิดผลกระทบมหาศาลในการจับจ่ายในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

5.) โครงการนี้ไม่ใช้ในร้านสะดวกซื้อเกิดการกระจายได้เพราะยอดขายใน 7-11ลดลง

6.) ผมชอบมากกับกลยุทธ์เงินล่อเงิน ทำให้เกิดกระแสหมุนเวียนแบบนี้เป็นนวัตกรรมใหม่

7.) เรากำลังก้าวสู่ยุคดิจิทัลมันนี่ คนละครึ่งบังคับคนที่อยากได้ต้องทำในระบบดิจิทัล ฝึกทักษะด้วยแรงจูงใจ

8.) การผ่าเหล่าแบบนี้สร้างสรรค์มาก ไม่ใช่ full เคนเซี่ยน full liberal เป็น Hybrid ลูกผสม ถ้าจะท้าทายความคิดต้องแบบนี้ครับ เกิดNew Theory

9.) ขอคารวะสมองคนคิด ผมชอบคนเก่งกว่า เพราะผมคิดไม่ได้ respect ลูกหลานไทยที่อยากเป็นนักการเมืองจดใส่กระเป๋าเลย ภูมิปัญญาไทย

“สำหรับผมนโยบายนี้ ได้โนเบล เศรษฐศาสตร์ เลย มันเจ๋งงงง มันมี Thesis AntiThesis Synthesis ในตัว”


ที่มา : FB Sattra Janto Toaon https://www.facebook.com/100006631478310/posts/2869315239966164/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top