Saturday, 5 July 2025
NEWS

'กรมทะเลและชายฝั่ง' ดึงเครือข่ายชุมชนชายฝั่ง และอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล มีส่วนร่วมปกป้องและคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

(18 ตุลาคม 2565) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวภายหลังมอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานด้านการส่งเสริมการมีส่วนร่วม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ว่าได้ประชุมหารือร่วมกับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกองจัดการชุมชายฝั่งและเครือข่าย (กจช.) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เกี่ยวกับการดำเนินงานด้านการส่งเสริมการมีส่วนร่วมให้สอดรับกับนโยบายของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เน้นย้ำการทำงานร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน มีช่องทางการติดต่อสื่อสารที่เข้าถึงง่าย ตลอดจนมีฐานข้อมูลเครือข่ายฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานฯ ในแต่ละพื้นที่ จะต้องใกล้ชิดกับผู้นำชุมชนชายฝั่ง เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการทำงานร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงการดำเนินงานผ่านกลไกการมีส่วนร่วมภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 โดยหัวใจหลักของการทำงานด้านการส่งเสริมการมีส่วนร่วมคือ “ความจริงใจ รับฟังความคิดเห็น เอื้อเฟื้อ พร้อมช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหา” อันจะนำไปสู่ความไว้วางใจ และทัศนคติที่ดีของเครือข่ายฯ ซึ่งปัจจุบัน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ส่งเสริมให้เครือข่ายชุมชนชายฝั่งทั้ง 24 จังหวัดชายฝั่งทะเล และเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทะเลทั่วประเทศเข้ามามีบทบาทในการปกป้อง คุ้มครอง ดูแลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยการมีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างถูกต้องเหมาะสมแก่สาธารณะ โดยเครือข่ายชุมชนชายฝั่งและเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล นับเป็นกำลังสำคัญต่อการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมทางทะเล เนื่องจากเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดและได้รับผลกระทบโดยตรงจากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในท้องถิ่น

ทั้งนี้ กรมทะเลและชายฝั่งได้พัฒนาศักยภาพเครือข่ายชุมชนชายฝั่งและอาสาสมัครพิทักษ์ทะเลมาอย่างต่อเนื่องให้มีประสิทธิภาพและเกิดความเข้มแข็ง อีกทั้งร่วมกันสอดส่องดูแลระบบนิเวศทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน ทั้งด้านการบุกรุกตัดไม้ป่าชายเลน การทำลายปะการัง หญ้าทะเล สัตว์ทะเลหายากเกยตื้น ขยะทะเล การทำประมงผิดกฎหมาย การล่าและค้าสัตว์ทะเลหายาก การครอบครองซากสัตว์ป่า และการกัดเซาะเซาะชายฝั่ง หากพบเห็นกรณีดังกล่าวแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วนพิทักษ์ป่าและรักษาทะเล โทร. 1362 ตลอด 24 ชั่วโมง

‘อนุทิน’ นำคณะแพทย์รับอวัยวะจาก รพ.อุดรธานี เพื่อมอบแก่ผู้ป่วยที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะ

เมื่อวันที่ (18 ต.ค. 65) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อเวลา 05.30 น. วันที่ (18 ต.ค. 65) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ได้นำ นพ.พัชร อ่องจริต แพทย์ศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และทีมแพทย์ เดินทางด้วยเครื่องบินไปยังจังหวัดอุดรธานี เพื่อรับอวัยวะจากผู้เสียชีวิตแต่อวัยวะบางส่วนยังใช้การได้อยู่ เพื่อนำไปมอบแก่ผู้ป่วยที่รอปลูกถ่ายอวัยวะต่อไป

“การไปรับอวัยวะจากผู้บริจาคในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศนั้น จะต้องออกเดินทางอย่างเร่งด่วนทันทีที่ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลที่มีผู้บริจาคอวัยวะ ซึ่งวันนี้รองนายกรัฐมนตรีได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลในช่วงเช้า จึงได้นำคณะแพทย์บินด่วนทันที เพื่อให้ทันเคสที่อยู่ระหว่างการผ่าตัดและนำมาช่วยเหลือผู้ป่วยได้ทันเวลา” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายอนุทิน ได้ขับเครื่องบินส่วนตัวสนับสนุนทีมแพทย์ ในการรับส่งอวัยวะจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ มาตั้งแต่ปี 2557 โดยมีการเรียกชื่อภารกิจนี้ว่า “ปฏิบัติการหัวใจติดปีก”  
ซึ่งเป็นภารกิจสนับสนุนกรณีรับ-ส่งเคสเร่งด่วนที่เครื่องบินพาณิชย์ หรือยานพาหนะอื่น ๆ ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ โดยที่ผ่านมาสามารถส่งต่ออวัยวะแก่ทีมแพทย์และช่วยชีวิตผู้ป่วยได้หลายคน สำหรับภารกิจล่าสุดเป็นภารกิจครั้งที่ 40

ชายเดือด!! บุกต่อย ‘ศรีสุวรรณ’ กลางวงสื่อ เหตุกร้าว!! ใครชุมนุมจะแจ้งความจับหมด

(18 ต.ค. 65) ที่ ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (กองปราบ) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนเอาผิด เดี่ยว 13 ‘โน้ส อุดม-แต้พานิช’ หนุนม็อบหรือไม่ ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นำหลักฐานมาเข้าพบพนักงานสอบ บก.ปอท. เพื่อขอให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามครรลองของกฎหมาย กรณีมีบุคคลทอล์กโชว์เดี่ยวไมโครโฟน-13 ซึ่งเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมีการใช้ถ้อยคำ บางคำพูดอันอาจมีลักษณะส่งเสริมให้บุคคลร่วมชุมนุมสาธารณะที่ผิดกฎหมาย ซึ่งอาจขัดต่อความมั่นคงของรัฐและหรือละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น และหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ประกอบ พรบ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550 แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ.2560 หรือไม่ อย่างไร

ทั้งนี้ บทพูดของการโชว์เดี่ยวไมโครโฟนดังกล่าว มีบางคำพูด อาทิ “วันนี้รถติดเยอะหน่อย มีม็อบไล่คนที่เราอยากจะไล่เขา ก็ให้อภัยเขาไปนะครับ ถือว่าเขาทำงานแทนเรา” นั้น จะสื่อความหมายไปอย่างอื่นมิได้ นอกเสียจากการพูดเพื่อที่จะสื่อหรือโฆษณาให้ผู้ฟังหรือผู้ชม ได้เข้าใจตรงกันว่า มีเจตนาหรือจงใจที่จะให้ทุกคนที่รับฟังและรับชมให้อภัยกลุ่มผู้ที่ออกมาชุมนุมสาธารณะที่เกิดขึ้นหลายๆ ครั้งเมื่อช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั่น “ทำงานแทนเรา” นั่นเอง โดยที่การชุมนุมเหล่านั้นล้วนผิดกฎหมาย ฝ่าฝืนข้อกำหนดใน ม.9 แห่ง พรก.ฉุกเฉิน 2548 และมีการสอดใส้การชุมนุมเป็นเรื่องการยกเลิก ปอ.112 และการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ มิใช่การชุมนุมเพื่อขับไล่ผู้นำรัฐบาลแต่อย่างใดไม่

กรณีดังกล่าวจึงไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่อย่างใด หากแต่อาจเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความผิดต่อแผ่นดิน อาจกระทบต่อความมั่นคง และอาจขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน อันเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.84 ม.85 และหรือ ม.87 ประกอบ ม.14 แห่งพรบ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550 แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ.2560 ต้องระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นด้วย และหรือต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

โดยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงต้องนำความพร้อมพยานหลักฐานมาแจ้งต่อ บก.ปอท. ให้ใช้อำนาจตามกฎหมายในการตรวจสอบ สอบสวน กรณีดังกล่าวว่าเข้าข่ายความผิดอาญาต่อแผ่นดินหรือไม่ หากพบว่าเป็นความผิดให้ดำเนินการตามครรลองของกฎหมายต่อไป นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด

ทั้งนี้นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การที่มาร้องวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับรัฐบาล ที่ผ่านมาถ้ารัฐบาลทำไม่ถูกต้องตนก็ร้องมาอยู่แล้วตลอด ส่วนโน้ส อุดม เขาก็เคยวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว แต่บางคำพูดที่เป็นการยุยงส่งเสริมม็อบ ตนไม่เห็นด้วย

หลังจากนั้น ปรากฏว่านายวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล ในนามของ ‘กลุ่มศักดินาเสื้อแดงต่อต้านเผด็จการ’ ซึ่งแฝงตัวมาเป็นนักข่าวทำท่าทีสอบถามประเด็นการร้องเรียนของนายศรีสุวรรณ ว่าหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินคดี 8 ปีนายกรัฐมนตรี จะมีการแจ้งความคนเห็นต่างหรือไม่ แต่ยังไม่ทันจะถามจบนายวีรวิชญ์ได้เข้าไปทำร้ายชกต่อยนายศรีสุวรรณ ทันทีกลางวงสัมภาษณ์ ทำให้นักข่าวอึ้งกันทั้งวงสัมภาษณ์

หลังจากนั้น นายวีรวิชญ์ ให้สัมภาษณ์ว่า “ตนคาใจเพราะหลังจากศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยปม 8 ปี นายกรัฐมนตรี นายศรีสุวรรณ ออกมาประกาศว่า ใครชุมนุมจะแจ้งความจะแจ้งจับหมด ซึ่งตนเป็นคนหนึ่งที่ชุมนุม วันนี้ตั้งใจมาตบเพื่อสั่งสอน ซึ่งมีตำรวจที่รู้จักฝากมาตบด้วย กราบขอโทษกองปราบที่มาทำแบบนี้ เพราะไม่มีโอกาสเลย ตนเฝ้าและแอบดูว่านายศรีสุวรรณจะไปร้องอะไรบ้าง เมื่อเช้าตนยอมทิ้งงาน ตนอายุ 62 ปี จะเป็นอะไรไม่สนใจ อยากให้เห็นว่า คำว่าประชาธิปไตย ทุกคนต้องยอมรับความเห็นต่าง ประเทศนี้เป็นของประชาชน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง ถ้าถูกดำเนินคดีพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และที่มาวันนี้ไม่ได้มีใครจ้างมาแต่ตั้งใจมาด้วยตัวเอง”

'อดีตรองอธิการมธ.' ชี้!! เด็กสามนิ้ว 'อบจ.จุฬาฯ' จงใจเหยียบย่ำพระเกียรติองค์พระมหากษัตริย์

(18 ต.ค.65) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr ระบุว่า...

ที่อบจ หรือองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ลงใน facebook ใน page ของ อบจ เองในวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่เป็นแค่การเห็นต่าง แต่เป็นการหมิ่นแคลน เย้ยหยัน เหยียบย่ำพระเกียรติขององค์พระมหากษัตริย์ที่คนไทยให้ความเคารพเทิดทูนมากที่สุดพระองค์หนึ่งในราชวงศ์จักรี กระทำสิ่งที่ตัวเองสะใจโดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ของประเทศเลยแม้แต่น้อย ถือเป็นการกระทำที่ต่ำช้าจนถึงที่สุด

จงใจไม่โพสต์พระบรมฉายาลักษณ์และข้อความสดุดีพระองค์ยังไม่เป็นไร แต่นี่โพสต์ภาพโจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกง background ของภาพจงใจทำให้ดูเหมือนเป็น background ของพระบรมฉายาลักษณ์ แต่งกลอนอวยพรนาย หว่อง ข้อความในบทกลอนยังไปแช่งประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ให้มอดม้วยเป็นผุยผง โดยแทนที่จะใช้ชื่อ สี จิ้นผิง ก็เลี่ยงไปใช้คำว่า "หมีพูห์" ลงท้ายบทกลอนด้วยข้อความว่า "ทรงพระเจริญ" ใต้ภาพมีข้อความว่า "ฮ่องกงเป็นประเทศ"

นี่ไม่ใช่เป็นเสรีภาพที่ทำได้อย่างที่อ้างกัน การใช้เสรีภาพต้องไม่เป็นการไปละเมิด เหยียบย่ำผู้อื่น กรณีนี้จัดได้ว่าอาจเป็นการกระทำที่เป็นความผิด 2 ประการ

ที่แน่ ๆ คือเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น พระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

'อลงกรณ์' เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เร่งขับเคลื่อนคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล ลุยหนัก 2 วัน 19 ตำบล หวังใช้ 'เพชรบุรีโมเดล' เป็นตัวอย่างนำร่องทั่วประเทศนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับประเทศ พร้อมด้วยนายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตร และดร.เรืองแสง ห้าสกุล ผู้อำนวยการสำนักงานเพชรบุรีโมเดล ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี 11 ตำบลวันนี้ (17 ต.ค.) เพื่อขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลมีวัตถุประสงค์ในการสร้างการรับรู้แนวทางการทำงานของคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลในจังหวัดเพชรบุรีและนโยบายโครงการสำคัญๆของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยมีหัวหน้าส่วนราชการของกระทรวงเกษตรในส่วนภูมิภาค สำนักงานพาณิชย์จังหวัด อบต. กำนันผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครเกษตร เกษตรกรรุ่นใหม่ เกษตรแปลงใหญ่ ศพก.วิสาหกิจชุมชน ผู้แทนAIC และทีมอาสาสมัครเพชรบุรีโมเดล ฯลฯ.เข้าร่วมประชุมในพื้นที่ 11 ตำบลได้แก่ ตำบล ดอนยาง หนองขนาน หาดเจ้าสำราญ ประชุมที่วัดถิ่นปุรา ตำบลนาพันสามและหนองพลับ ประชุมที่วัดนาพรม ตำบลช่องสะแก บางจาน นาวุ้ง โพไร่หวาน ประชุมที่อบต.ช่องสะแก และ ตำบลโพพระ สำมะโรง ประชุมที่วัดลาดโพธิ์

นายอลงกรณ์และคณะมีกำหนดการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องในวันที่ 18 ตุลาคม ที่ตำบล บ้านแหลม บางครก ท่าแร้ง ท่าแร้งออก บางแก้ว ปากทะเล บางขุนไทร และแหลมผักเบี้ย ทั้งนี้จะมีการประชุมครบทั้ง8อำเภอของเพขรบุรีภายในเดือนนี้และเดือนหน้า

นายอลงกรณ์กล่าวว่า คณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลอยู่ภายใต้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนซึ่งเป็นคณะกรรมการระดับชาติโดยมีดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ทั้งนี้คณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลเป็นกลไกใหม่ในการยกระดับการพัฒนาหมู่บ้านตำบลเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและหนี้สินของเกษตรกรโดยการผนึกพลังทุกภาคส่วนในหมู่บ้านตำบลโดยยึดหลักการพัฒนาโดยชุมชนเพื่อชุมชนเพื่อให้ประชาชนและชุมชนมีศักยภาพมากขึ้นและมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วยแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยหวังว่าเพชรบุรีจะเป็นโมเดลต้นแบบนำร่องของทุกหมู่บ้านตำบลทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลครบทั้ง7,255ตำบลใน76จังหวัดแล้ว กลไกดังกล่าวถือเป็นเครื่องมือการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่เล็กที่สุดลึกที่สุดและสำคัญที่สุด

ก่อนหน้านี้ ที่ปรึกษารัฐมนตรีและคณะได้จัดประชุมแบบทางไกลร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีและศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมเพชรบุรีที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรีเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบลกับ93ตำบล 8 อำเภอเมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมาถือเป็นการคิกออฟออกสตาร์ทที่เพชรบุรีเป็นจังหวัดแรก

จากนั้นวันที่11ตุลารมได้จัดประขุมในระดับพื้นที่ตำบลต้นมะม่วง ตำบลหนองโสน ตำบลธงชัย ตำบลบ้านหม้อและตำบลบ้านกุ่ม ที่อบต.บ้านหม้อ เป็นครั้งแรก

ผบ.ตร.เปิดพิธีสวนสนาม 'วันตำรวจ' ประจำปี 2565 สดุดีข้าราชการตำรวจเสียชีวิต ขณะปฏิบัติหน้าที่ นับเป็นผู้เสียสละ เพื่อชาติ บ้าน เมือง ถือเป็นเกียรติยศ ฝากไว้ในแผ่นดิน

วันนี้ (17 ต.ค.65) เวลา 15.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (รร.นรต.) อ.สามพราน จ.นครปฐม พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เดินทางมาเป็นประธาน พร้อมด้วย รอง ผบ.ตร., ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในพิธีสวนสนามของ นักเรียนนายร้อยตำรวจ และข้าราชการตำรวจ เนื่องในวันตำรวจ ประจำปี 2565 โดยมีผู้บังคับบัญชาข้าราชการตำรวจระดับสูง เข้าร่วมพิธี 

โดยก่อนพิธีสวนสนาม จะเริ่มขึ้น ผบ.ตร. ได้ประกอบพิธีวางพานพุ่มถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 ต่อมาได้กล่าว สดุดีข้าราชการตำรวจพร้อมกับประกอบพิธีประกาศเกียรติคุณข้าราชการตำรวจ ที่เสียชีวิตจากการปฎิบัติหน้าที่ ประจำปี 2564 พร้อมตรึงหมุดแผ่นจารึกรายชื่อข้าราชการตำรวจ ที่จบการศึกษาจาก รร.นรต. และเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ บริเวณแท่นจารึกที่ 10 อนุสาวรีย์ผู้พิทักษ์รับใช้ประชาชน ก่อนเดินทางเข้าสู่พิธีการสวนสนาม

จากนั้น ผบ.ตร. ได้ขึ้นรถตรวจกำลังพลสวนสนาม และนำข้าราชการตำรวจกล่าวคำสัตย์ปฎิญาณตน ก่อนให้โอวาท พร้อมกันนั้นได้มีการเชิญธงชัยประจำกองพัน ก่อนเดินสวนสนาม

โดยในการเดินสวนสนามครั้งนี้ มีการจัดกำลังตำรวจเข้าร่วมจำนวน 7 กองพัน กองพันที่ 1-4 เป็นกำลังพลจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ กองพันที่ 5 เป็นกำลังพลจาก กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน กองบัญชาการตำรวจนครบาล 

สำหรับกองพันที่ 6 ใช้กำลังพลจากกองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และกองพันที่ 7 ขบวนรถยนต์และรถจักรยานยนต์เกียรติยศจาก กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน, กองบัญชาการตำรวจนครบาล, กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และกองบัญชาการตำรวจสันติบาล

กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดแถลงข่าว 'ร่วมมือ มั่นใจ สร้างความปลอดภัยในสถานศึกษา'

โดย น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีผู้บริหารระดับสูง 2 ส่วนราชการ เข้าร่วมงานแถลงข่าว

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2565 เวลา 09.00 น.

ณ พิพิธภัณฑ์การศึกษาไทย กระทรวงศึกษาธิการ

พร้อมถ่ายทอดสดผ่าน FB LIVE "ศธ.360 องศา"

https://www.facebook.com/MOE360degree

ผบ.ตร. มอบเงิน "น้ำใจตำรวจไทย" กว่า 12 ล้านบาท ช่วยเหลือครอบครัวผู้สูญเสีย จ.หนองบัวลำภู พร้อมสั่งปิดบัญชีรับบริจาคทันที ส่งกำลังใจให้ทุกครอบครัว

วันนี้ (17 ต.ค.65) เวลา 15.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการให้กองการสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำเงินบริจาคที่ได้รับจากข้าราชการตำรวจและครอบครัวทั่วประเทศ จำนวน 12,540,000 บาท ไปมอบให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ จากเหตุการณ์ที่ อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู

พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. กล่าวว่า หลังเหตุการณ์ความรุนแรงที่ อบต.อุทัยสวรรค์ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มีดำริให้เปิดบัญชี "น้ำใจตำรวจไทย เพื่อพี่น้องผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ จังหวัดหนองบัวลำภู” ธนาคารกรุงไทย เลขที่บัญชี 052-0-64449-2 เพื่อรับบริจาคเงินจากข้าราชการตำรวจและครอบครัว ซึ่งจะนำไปช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ โดยได้ทำการปิดบัญชีไปเมื่อวันที่ 16 ต.ค.65 เวลา 24.00 น. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมเงินบริจาคทั้งสิ้น 12,540,000 บาท โดยครอบครัวผู้เสียชีวิต 34 ราย ได้รับเงินรายละ 310,000 บาท บาดเจ็บสาหัส 6 ราย ได้รับรายละ 275,000 บาท บาดเจ็บ (รักษาตัวไม่เกิน 20 วันบาท) 1 รายได้รับรายละ 200,000 บาท และบาดเจ็บ (กลับบ้านได้) 3 ราย ได้รับรายละ 50,000 บาท รวมผู้ที่ได้รับมอบเงินช่วยเหลือครั้งนี้ทั้งหมดจำนวน 44 ราย ซึ่ง พล.ต.ต.พงษ์พิพัฒน์ ศิริพรวิวัฒน์ ผบก.ภ.จว.หนองบัวลำภู ได้เป็นผู้แทนในการมอบ ณ สภ.นากลาง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า ผบ.ตร. รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และหวังว่าเงินที่ได้จากความร่วมแรงร่วมใจของข้าราชการตำรวจและครอบครัว รวมกับเงินที่รัฐบาลและหน่วยงานราชการอื่นได้มอบให้ จะสามารถเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อน และอยากให้ทุกครอบครัวมีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป 

วิทยุการบินฯ แจ้งปรับทิศทางการวิ่งขึ้นและร่อนลงของอากาศยาน จากกระแสลมเปลี่ยนทิศทางในช่วง ฤดูหนาว คนกรุงเทพฯ อาจเห็นเครื่องบินผ่านใจกลางเมือง

วันที่ 17 ตุลาคม 2565 บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ปรับเส้นทางวิ่งขึ้นและร่อนลงของอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือนตุลาคม 2565 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2566

ดร.ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บวท. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 15.04 น. เป็นต้นไป ท่าอากาศยานดอนเมือง มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทิศทางการวิ่งขึ้นและร่อนลงของอากาศยาน จากปกติที่เคยใช้ทางวิ่ง 21 เป็นทางวิ่ง 03 เนื่องจากกระแสลมเปลี่ยนทิศทาง ซึ่งพัดมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และมีความเร็วลมค่อนข้างแรงอยู่ที่ 10 - 15 น็อต หรือ 20 - 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นลักษณะอากาศปกติในช่วงฤดูหนาว 

ผู้ช่วย ผบ.ตร. เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เผยผลการปฏิบัติในปีงบประมาณ พ.ศ.2565 เร่งรัดแก้ไขปัญหาให้ประชาชนเสร็จสิ้นแล้ว 14,470 เรื่อง

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตามยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together) ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งการบูรณาการความร่วมมือ ของส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนทุกภาคส่วน รวมพลังกันเพื่อทำนุบำรุงสถาบันหลักของชาติ ได้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในทุกมิติ 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยดำเนินโครงการ “สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล เพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรม ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together)” โดยมีเป้าหมาย “เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอและแก้ไขปัญหาชุมชน สังคมมีความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ ส่งเสริมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เพื่อความผาสุกของประชาชนอย่างยั่งยืน” โดยมอบหมายให้พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. ขับเคลื่อนโครงการ โดยในปัจจุบันมีเครือข่ายประชาชนแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 371,063 คน   

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า ผลการปฏิบัติในปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ตั้งแต่เริ่มดำเนินการโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.65 ถึง 30 ก.ย.65 ได้รับรายงานปัญหาที่ประชาชนเดือนร้อน จำนวน 14,616 เรื่อง และได้ติดตามขับเคลื่อนและเร่งรัดให้หน่วยดำเนินการแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้นแล้ว 14,470 เรื่อง ได้แก่ 

1.ปัญหาด้านสังคม เช่น ยาเสพติด การแข่งรถในทาง การลักลอบเข้าเมือง กลุ่มผู้มีอิทธิพล แหล่งอบายมุขและสถานบริการ หนี้นอกระบบ อาวุธปืน อาชญากรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์และเทคโนโลยี ฯลฯ จำนวน 10,818 เรื่อง 

2.ปัญหาด้านเศรษฐกิจ เช่น ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ค่าครองชีพสูง การว่างงาน ความยากจนปัญหาหนี้สิน การขาดแคลนที่ทำกิน ฯลฯ จำนวน 529 เรื่อง 

3.ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การขาดแคลนแหล่งน้ำ มลภาวะทางอากาศ ฝุ่นควันโรงงานอุตสาหกรรม แหล่งเสื่อมโทรมในชุมชน ภัยแล้งและอุทกภัย ฯลฯ จำนวน 2,161 เรื่อง 

4.ปัญหาด้านความขัดแย้ง เช่น ความเห็นต่างทางการเมือง ศาสนาและเชื้อชาติ ข้อพิพาทเรื่องที่ดินทำกินทับซ้อน การสร้างความเดือดร้อนรำคาญในรูปแบบต่าง ๆ ฯลฯ จำนวน 962 เรื่อง และมีปัญหาที่อยู่ระหว่างหน่วยดำเนินการแก้ไข โดยได้สั่งการเร่งรัดและคาดว่าจะสามารถแก้ไขได้ จำนวน 146 เรื่อง ได้แก่ ปัญหาด้านสังคม 97 เรื่อง ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม 30 เรื่อง ปัญหาด้านเศรษฐกิจ 17 เรื่อง และปัญหาด้านความขัดแย้ง 2 เรื่อง ตามลำดับ

โดยสามารถจำแนกผลการดำเนินการของหน่วยที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ดังนี้ บช.น. จำนวน 1,218 เรื่อง (100%), ภ.1 จำนวน 1,230 เรื่อง (99.43%), ภ.2 จำนวน 1,179 เรื่อง (100%), ภ.3 จำนวน 1,826 เรื่อง (98.33%), ภ.4 จำนวน 3,184 เรื่อง (99.41%), ภ.5 จำนวน 1,441 เรื่อง (99.65%), ภ.6 จำนวน 1,662 เรื่อง (99.94%), ภ.7 จำนวน 767 เรื่อง (99.22%), ภ.8 จำนวน 1,035 เรื่อง (98.76%) และ ภ.9 จำนวน 928 เรื่อง (93.55%) รวมทุกหน่วยสามารถแก้ไขปัญหาได้ 14,470 เรื่อง (99%)

สาวไทย มึน!! โดนโขกค่าชุดตักบาตรกว่า 600 บาท หลังเจอมนุษย์ป้าสปป.ลาวสวมรอยแทนของรร.

สาวนักท่องเที่ยวชาวไทย โพสต์เตือนภัยตักบาตรที่หลวงพระบาง สปป.ลาว หลังเจอมนุษย์ป้าสวมรอยวางชุดตักบาตรแทนของโรงแรม ตักบาตรเสร็จโดนโขกเงินไปกว่า 600 บาท

กำลังเป็นประเด็นร้อนในโซเชียล เมื่อนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเที่ยวที่ สปป. ลาว และตั้งใจจะตักบาตรข้าวเหนียวที่หลวงพระบาง จึงให้ทางที่พักช่วยเตรียมของไว้ให้ ก่อนจะโดนมนุษย์ป้ามาสวมรอยวางชุดตักบาตรให้หน้าที่พัก สุดท้ายเหมือนโดนปล้นหมดเงินกับค่าชุดตักบาตร 2 ชุดไปกว่า 600 บาทไทย!

เรื่องราวดังกล่าวถูกโพสต์ในเฟซบุ๊กกลุ่ม 'เที่ยวลาว' โดยสมาชิกกลุ่มชื่อบัญชี Phinyada Sirisakorn ที่ได้มาแชร์ประสบการณ์ 'การตักบาตรข้าวเหนียว' ที่หลวงพระบาง สปป.ลาว โดยได้โพสต์เรื่องราวสรุปใจความว่า

เธอได้ไปเที่ยวและพักที่หลวงพระบาง และได้ตกลงให้ทางที่พักเตรียมชุดตักบาตรข้าวเหนียวให้ 1 ชุด เป็นเงิน 60,000 กีบ (ประมาณ 140 บาท) แต่ถึงเวลาตอนเช้าเธอเตรียมจะใส่บาตร และเห็นว่ามีการเตรียมของวางไว้ให้แล้วที่หน้าที่พักแล้ว แต่มีด้วยกัน 2 ชุด เธอจึงไม่ได้คิดอะไรและทำการตักบาตรจนพระหมด

เมื่อเสร็จเรียบร้อยได้มีชาวบ้านเข้ามาเรียกเก็บเงินค่าของตักบาตรทั้งข้าวเหนียว ข้าวหลาม ขนมห่อ ๆ รวมแล้วเกือบ 300,000 กีบ ซึ่งตีเป็นเงินไทยได้ถึง 600 บาทเลยทีเดียว!

โดยเธอได้ออกมาแชร์ประสบการณ์เตือนภัยพร้อมกับบอกว่าทางพนักงานโรงแรมรู้สึกเสียใจที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น และได้บอกว่าชาวบ้านมาสวมรอยวางของเช่นนี้ทำให้เสียชื่อที่พักเช่นกัน และพนักงานจะพาเธอไปแจ้งความไว้ แต่ตัวเธอไม่ติดใจและคิดว่าเป็นการทำบุญไปแทน

สำหรับข้อความจากโพสต์ต้นทาง ระบุว่า 

ขออนุญาตเตือนภัยได้ไหม??
ในฐานะนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง

ขอตั้งชื่อเรื่องว่า “การตักบาตรที่แสนเจ็บปวด” 😭
เป็นทริปเที่ยว สปป ลาว ของครอบครัวเราครั้งแรก

เริ่มจากเรามาจากเวียงจันทร์ วังเวียง
ละมาจบด้วยหลวงหลวงพระบาง

ตลอดทั้งทริปเจอผู้คนน่ารัก ช่วยเหลือแนะนำทุกอย่าง
อาจมีบางคน ที่เกินไปบ้าง แต่ในราคาที่เราพอรับได้
ก็ปล่อยผ่าน ไม่ได้อะไร…

เรื่องบันเทิงได้เริ่มขึ้น เมื่อวานเราเข้าพัก ที่หลวงพระบาง
ที่พักของเราสามารถเดินลงมาตักบาตรข้าวเหนียวตอนเช้าได้เลย
เราได้ถามน้องพนักงานว่า ว่าชุดตักบาตรตักบาตร
ซื้อที่ไหนได้ ตอนเช้ามีขายไหม??
น้องก็แจ้งว่าที่พักมีขายชุดละ 60,000 กีบ
มีข้าวเหนียวและขนม 3 อย่าง
เราก็โอเค รับ 1 ชุด น้องบอกเดี๋ยวเตรียมไว้หน้าโรงแรม
ตี 5.30 น. พี่ลงมาใส่บาตรได้เลย มีพระเดินผ่านตรงนี้

เช้าวันนี้ เราก็ลงมาใส่บาตร
พนักงานโรงแรมไม่มี ณ เวลานั้น ประตูที่พักก็ปิดอยู่
แฟนเราก็เปิดกลอนที่ลอคที่พักไว้!!
เห็นมีชุดใส่บาตรตั้งไว้
เราก็คิดว่า เป็นของที่โรงแรมที่เราสั่งไว้ 1 ชุด
แต่มีตั้งไว้ 2 ชุด แฟนเราก็แบบ คนละชุดก็ได้
ก็คง 120,000 กีบ แหละ แต่มีชาวบ้านหิ้ว โน่นนี่
มาตั้งเราก็บอกไม่เอา เค้าก็ยัดเยียดสุดฤทธิ์ สุดเดช
มีวางไว้ตรงข้างหน้าเราด้วยนะ แต่เราไม่ได้เอาของเค้านะ
เรากับแฟนก็ใส่บาตร จนพระหมด
ในส่วนที่เราคิดว่า รร. เตรียมไว้ให้!!!!

พอพระหมดแล้ว โห!! นึกว่าโดนโจรปล้นนน บ้าบอมาก 😵
เจ๊คนนึง บอกค่าข้าวหลาม 1 ชุด
มีประมาณ 6-7 กระบอก 100,000 กีบ
ป้าอีกคนบอก ค่าข้าวเหนียวห่อ ๆ 200.-
มีไม่ถึง 10 ห่อ 🙄🙄🙄
แฟนเราก็เอออ ควักจ่าย
คิดว่ารวมค่าข้าวเหนียวกระติ๊บ หมดแล้ว!!
ไม่จ้าาา ป้าบอกค่าข้าวเหนียว 3 กระติ๊บ 80,000 กีบ
เราก็บอก เราใส่ไปแค่ 2 นางบอกเอา 60,000 ก็ได้
เหตุการณ์เกิดขึ้น ไวและงงมากกก เออคิดว่าหมดละจริงๆ

กำลังจะเดินขึ้นห้องพัก ป้าอีกคนบอก
ยังไม่จ่ายค่าขนมห่อป้า😵😵😵
มีฟันโอ อยู่ 10 ซอง 2 ถาดได้ ป้าคิด 80,000 กีบ
อ่ะหือ ซื้อบ้านเราอันละ 2.- 20 อัน แค่ 40.- ป้าคิดมา 160
จะบ้าตายรายวันมากกก 😵‍💫🤢🤢
ตักบาตรราคาแพงมว๊ากก 🙄🙄🙄
เจอแบบนี้ คือ หมดอารมณ์เที่ยวต่อ

‘เลขาสอบ.’ ผุดเอกสารหลุดควบรวม ‘ทรู-ดีแทค’ เชื่อ!! รวมกันเมื่อไร ศก.ดิจิทัลไทยล้าหลังเมื่อนั้น

มหากาพย์ดีลควบรวมระหว่าง TRUE และ DTAC ยิ่งลึกลับซับซ้อน!! หลังเฟซบุ๊ก ‘Saree Aongsomwang’ โดยนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค หรือ สอบ.) ได้ออกมาเผยเอกสารหลุด เรื่องผลกระทบด้านต่างๆ ของไทย หาก ‘ทรู-ดีแทค’ สามารถควบรวมกิจการได้ โดยระบุว่า... 

มีเอกสารหลุดรายงานการศึกษาที่ กสทช. จ้างบริษัทที่ปรึกษาต่างประเทศ SCF Associates Ltd. ในเรื่องผลกระทบของการควบรวมค่ายมือถือทรู-ดีแทค ที่มีต่อสังคมไทยทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม โอกาสการแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้ และสิทธิการเข้าถึงบริการของสังคม 

ซึ่งทำให้เห็นหายนะที่สังคมไทยจะต้องเผชิญหน้า หาก กสทช. มีมติอนุญาตให้เกิดการควบรวม  ที่ทำให้สามค่ายมือถือยักษ์ เหลือสองค่าย (ทรู+ดีแทค และ เอไอเอส) สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้...

1. พื้นที่คนจน พื้นที่ห่างไกล ที่ที่ไม่สร้างผลกำไรจะไม่มีโครงข่าย หรือบริการใหม่ๆ เข้าไปถึง ซึ่งแปลว่า “คนจน คนชายขอบจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” โดนละเมิดสิทธิ์การเข้าถึงบริการคลื่นความถี่ที่ประชาชนเป็นเจ้าของ 

2. ในขณะที่กลุ่มรายได้สูง กลุ่มชุมชนเมืองที่จะสร้างกำไรสูงสุดให้สองค่ายที่เหลือในตลาด จะได้รับบริการโดยเฉพาะระบบ 5 จี อย่างเต็มประสิทธิภาพ กลุ่มคนรายได้ปานกลางและคนจนเมืองต้องจ่ายค่าบริการที่สูงเกินความจำเป็น กับเทคโนโลยีทันสมัย

3.  การควบรวมที่มีเหลือสองค่าย หรือ duopoly จะไม่เกิดการแข่งขัน และกลายเป็นระบบร่วมมือกัน หรือ "ฮั้ว" ไปในที่สุด ทั้งนี้เพื่อลดต้นทุนในโครงข่ายสำหรับการให้บริการใหม่ๆ และ ลดการแข่งขันกันเอง

4.  การเข้าสู่ระบบสองค่ายหรือ duopoly จะทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศล้าหลัง ตามหลังประเทศฟิลิปปินส์ ที่ขณะนี้รั้งท้ายในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน

5.  จะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าสิบปีถึงจะสามารถพลิกฟื้นระบบตลาดสองค่ายนี้ กลับเป็นตลาดที่มีการแข่งขัน หรือเกิดคู่แข่งหน้าใหม่ในตลาด

ทันทีที่ข้อความดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกมา ด้านนายไตรรงค์ ตันทสุข นักกฎหมาย ในฐานะตัวแทนภาคประชาชน ก็ได้เข้าแจ้งความกล่าวโทษอาญากับนางสาวสารี และผู้เกี่ยวข้อง ข้อหาเผยข้อมูลลับทางราชการ โดยนายไตรรงค์กล่าวว่า ผลการศึกษาจากที่ปรึกษาต่างประเทศ SCF Associates Ltd. ถือเป็นความลับทางราชการ ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของบอร์ด กสทช. จึงไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลให้คนอื่นล่วงรู้ได้ 

ซึ่งคาดว่าใน 1-2 วันนี้จะยื่นเอกสารเพิ่มเติมเพื่อกล่าวโทษบุคคลและผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป จากกรณีที่เผยแพร่ผลการศึกษาของที่ปรึกษาต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นความผิดฐานเปิดเผยความลับทางราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 , 86 , 164 และบิดเบือนข้อความจริงหรือนำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตามพรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พศ.2550 มาตรา 14

มาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านอาจสงสัย ว่าแท้จริงแล้วมหากาพย์นี้ เริ่มต้นจากตรงไหนกันแน่ ทีมข่าว The States Times จะมาสรุปให้ทราบดังนี้... 

ปีที่แล้วได้มีข่าวออกมาว่าบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE กำลังเจรจาซื้อกิจการบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ต่อมาสำนักข่าวรอยเตอร์ ก็ได้เผยว่า บริษัทแม่ของ DTAC กำลังเจรจากับ CP Group เกี่ยวกับการควบรวม DTAC เข้ากับ TRUE

ศธ.เตรียมเสนอยูเนสโก ยกย่อง 'ในหลวง ร.9' เป็นบุคคลที่ทรงคุณค่าของโลก

น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนได้มอบหมายให้กองการต่างประเทศสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) วางแผนเตรียมการเสนอพระนามพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ประกาศยกย่องเป็นบุคคลที่ทรงคุณค่าของโลก เนื่องจากพระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการด้วยพระปณิธานแน่วแน่ที่จะทำประโยชน์เพื่อประชาชนชาวไทย และสังคมโลก โดยเฉพาะหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นแนวพระราชดำริของพระองค์ท่านและทั่วโลกให้การยอมรับ เพราะในวันที่ 5 ธันวาคม 2570 จะเป็นวาระครบรอบ 100ปี วันประสูติของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ดังนั้นศธ.จึงต้องวางแผนเตรียมข้อมูลด้านต่างๆเอาไว้  

ด้าน ดร.อรรถพล สังขวาสี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการดังกล่าวสืบเนื่องจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่ขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ที่ประเทศฝรั่งเศสจะพิจารณาบุคคลสำคัญและผู้ทรงคุณค่าจากทุกประเทศทั่วโลกเป็นประจำทุกปี โดยในส่วนของประเทศไทยในปีที่ผ่านมาศธ.ได้เสนอพระนามสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ให้ที่ประชุมยูเนสโกประกาศยกย่องเป็นบุคคลที่ทรงคุณค่าโลกมาแล้ว ดังนั้น ในแผนงานต่อไปเรามีแนวคิดนำเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ของยูเนสโกพิจารณาเช่นเดียวกัน แต่ในระหว่างนี้จึงได้เตรียมจัดทำข้อมูลเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา เพื่อที่ครม.เสนอเรื่องไปยังสำนักพระราชวัง เพื่อกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสนอพระนามพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นบุคคลผู้ทรงคุณค่าของโลก และจากนั้นจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนของยูเนสโกต่อไป

ปปง. ออกกฎ 'ต้องยืนยันตัวตน' ก่อนใช้ตู้ CDM ป้องกันการฟอกเงินจากการค้ายา - การพนันผิดกฎหมาย

เมื่อไม่นานมานี้ ธนาคารกรุงไทยได้เผยแพร่เอกสาร ระบุว่าต้องเปลี่ยนแนวทางการให้บริการตู้ฝากเงินสด (CDM) โดยมีการยืนยันตัวตนก่อนฝากเงิน ตามกฎเกณฑ์ของ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายใต้โครงการ CDM AMLO 

ผู้ฝากเงินสามารถใช้บัตรเดบิตหรือบัตรเครดิตเพื่อยืนยันตัวตนของธนาคารใดก็ได้ 11 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย (ยกเว้นบัตร KTC ตามข้อมูลปัจจุบัน) ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทยธนชาต ธนาคารยูโอบี ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยผู้ฝากจะไม่เสียค่าบริการยืนยันตัวตน ส่วนค่าธรรมเนียมในการฝากเงินไปยังบัญชีปลายทางต่างธนาคารขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละธนาคาร

สืบนครบาลบุกช่วย 3 อดีตพยาบาล กับเด็ก 2 คน ก่อนขยายผลรวบตัวสาวสองคนไทยอ้างเป็นเกาหลีสร้างลัทธิล้างสมองสูบเงินเหยื่อแถมอุปโลกน์หนี้ 140 ล้านหลอกใช้เหยื่อหากขัดขืนสาดน้ำร้อนลวก 

สืบเนื่องจาก “ชุดลาดตระเวนออนไลน์” ของ บก.สส.บช.น. ได้รับแจ้งเบาะแสจากผู้เสียหายรายหนึ่ง ผ่านทาง Facebook เพจ “สืบสวนนครบาล IDMB” ว่า ญาติของตนเองซึ่งเป็นผู้หญิง พร้อมบุตรชายและบุตรสาว และเพื่อนอีก 2 คน รวมทั้งหมด 5 คน ถูกบังคับทำงานอยู่ในห้องพัก ภายในคอนโดหรูแห่งหนึ่ง ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ โดยผู้ถูกกักขังได้แอบส่งข้อความมาให้กับชุดลาดตระเวนออนไลน์ สืบนครบาล โดยส่งรูปภาพมีสภาพร่างกาย ถูกโกนผมสั้น และมีบาดแผลถูกน้ำร้อนลวก ซ้ำร้ายยังให้ข้อมูลว่ามิจฉาชีพบังคับให้ตบหน้าบุตรชายและบุตรสาวของตนเอง หลายครั้ง ถ้าไม่ทำจะสาดน้ำร้อนใส่เด็กๆ หลังได้รับแจ้ง พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น. ลงพื้นที่ตรวจสอบจนทราบถึงสถานที่ที่ถูกกักขัง จึงได้ขออนุมัติศาลอาญาธนบุรี ออกหมายค้นห้องพัก เลขที่ ดังกล่าว ตามหมายค้น ที่ ค.273/2565 ลงวันที่ 16 ต.ค. 65 รายงานให้พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. รับทราบและได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.  เร่งรัดดำเนินการโดยเร็ว

พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.จักรภพ สุคนธราช ผบก.น.7 พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย  พ.ต.อ.นิวัฒน์ พึ่งอุทัยศรี พ.ต.อ.สราวุธ คนใหญ่ รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.รัฐนันท์ สมวงศ์ รอง ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ต.ธนากร จอมเกาะ สว.กก.สส.4 บก.สส.บช.น., ร.ต.อ.อภิชัย ชัชวาลปรีชา, ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น รอง สว.กก.สส.4 บก.สส.บช.น. เข้าตรวจค้นห้องพักดังกล่าว

ต่อมาวันที่ 16 ต.ค. 65 เวลา 10.00 น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น. เข้าตรวจสอบ ห้องพักเลขที่ 95 ตึก A คอนโดศุภาลัยซิตี้รีสอร์ท พระราม8 ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด จ.กรุงเทพฯ ผลการตรวจค้นพบ
1. น.ส.ไพริน (นามสมมุติ) อายุ 46 ปี
2. น.ส.พลอย (นามสมมุติ) อายุ 34 ปี
3. น.ส.ไข่มุก (นามสมมุติ) อายุ 48 ปี
4. ด.ญ.ยา (นามสมมุติ) อายุ 10 ปี บุตรของ น.ส.ไพริน
5. ด.ช.เช่ (นามสมมุติ) อายุ 6 ปี บุตรของ น.ส.ไพริน

โดยสภาพทั้ง 5 คน อยู่ด้วยกันภายในห้องอย่างแออัด และจากการตรวจสอบสภาพร่างกายเบื้องต้นพบว่า น.ส.ไพริน มีบาดแผลการถูกน้ำร้อนลวกทั่วบริเวณไหล่ซ้าย, น.ส.ไข่มุก มีบาดแผลการถูกน้ำร้อนลวกทั่วบริเวณหน้าอก, ด.ญ.ยา มีบาดแผลฟกช้ำบริเวณเบ้าตา และ ด.ช.เช่ มีบาดแผลฟกช้ำบริเวณเบ้าตาและลูกตามีรอยแดง ซึ่งเมื่อสอบถาม น.ส.ไพริน, น.ส.พลอย และ น.ส.ไข่มุก มีอาการหวาดกลัว เสมือนคนเกิดภาวะผิดปกติทางจิต และได้ให้ข้อมูลว่าได้ถูกบังคับให้ทำงานหาเงินใช้หนี้ให้กับ “นายทุน” โดยมีลูกน้อง 1 คน เป็นคนคอยมาควบคุม ซึ่งทั้งนายทุนและลูกน้องคนดังกล่าวพักอยู่ภายในตึกเดียวกัน ต่อเนื่องในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น. จึงได้นำกำลังเข้าตรวจค้น ห้อง 192 ชั้น 10 ตึก A คอนโดศุภาลัยซิตี้รีสอร์ท พระราม8 ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด จ.กรุงเทพฯ ผลการตรวจค้นพบ นายตรีเพชรรัตน ณพชร หรือ เพชร หรือ พีท อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 24 ซ.รามอินทรา 58 แยก 3-2 แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว จ.กรุงเทพ อยู่ภายในห้องพัก โดย นายตรีเพชรรัตนฯ ยอมรับว่าเป็นผู้ลงมือทำร้าย น.ส.ไพริน และเป็นคนสั่งให้ น.ส.ไพริน ตบหน้า ด.ญ.ยา และ ด.ช.เช่ เป็นจำนวนหลายครั้ง เพราะ น.ส.ไพริน หาเงินให้นายทุนไม่ได้

จากสภาพความเป็นอยู่และสภาพจิตใจของ น.ส.ไพริน , น.ส.พลอย , น.ส.ไข่มุก , ด.ญ.ยา และ ด.ช.เช มีความผิดปกติ ประกอบกับเรื่องราวที่สลับซับซ้อนที่เกิดขึ้นภายในคอนโดดังกล่าว พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. จึงได้เดินทางมาซักถามปากคำโดยละเอียดด้วยตนเองทีละคนเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด และสืบสวนขยายผล ทำให้ทราบข้อเท็จจริงที่ “สุดพิสดาร” โดย น.ส.ไพริน , น.ส.พลอย และ น.ส.ไข่มุก ซึ่งเป็นอดีตพยาบาลในโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง แต่กลับต้องลาออกและมาทำธุรกิจร่วมกับ นายทุนผู้คลั่งลัทธิคนนี้ โดยนายทุนผู้นี้จะใช้อุบายหลอกลวงทั้ง 3 โดยแรกเริ่มจะทำทีร่วมธุรกิจด้วยกันแต่จะให้รวมเงินไว้ที่ตนเองและเมื่อเริ่มขับเคลื่อนธุรกิจ นายทุนผู้นี้จะใช้ทุนดำเนินการต่างๆโดยที่ทั้ง 3 ไม่ทราบแต่อย่างใด และจะใช้ “ความกลัว” เข้ากดขี่ เช่น หลอกว่างานไม่สำเร็จมีค่าปรับ , ลูกค้าเรียกเงินคืน , ฝากบุตรเข้าโรงเรียนดัง ฯลฯ จากนั้นนายทุนผู้นี้ก็จะอุปโลกน์ “หนี้” ยัดเยียดให้กับทั้ง 3 และใช้การหลอกว่ารู้จักกับตำรวจ จะดำเนินคดีกับทั้ง 3 คน ทำให้เกิดความกลัวและยอมตกเป็นเบี้ยล่างทำงานใช้หนี้ทิพย์นี้เรื่อยมากว่า 3 ปี โดยล่าสุดทั้ง 3 เข้าใจว่าตนเองตกเป็นหนี้นายทุนผู้นี้ถึง จำนวน 140 ล้านบาท ทั้งที่แท้จริงทั้ง 3 ได้ถูกนายทุนผู้เสียหลอกลวงทรัพย์สิ้นไป รวมเป็นความเสียหายไม่ต่ำกว่า 5,000,000 บาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top