Saturday, 17 May 2025
NEWS

วัควีนป้องกันโควิด-19 เริ่มทยอยนำออกมาใช้กันแล้ว ไปอัปเดตกันหน่อยว่า มีผู้นำระดับประเทศ คนไหนที่ฉีด หรือไม่ฉีดวัคซีนกันแล้วบ้าง

ตั้งแต่เปิดปีใหม่มา ข่าวคราวโควิด-19 ยังครองพื้นที่ข่าวในบ้านเราอย่างต่อเนื่อง ประเด็นการกลับมาระบาดใหม่ก็เรื่องหนึ่ง ส่วนอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือการอัปเดตเรื่องการวัคซีนของแต่ละค่ายยา ทดลองกันไปถึงขั้นไหน ประเทศใดสั่งซื้อวัคซีนกันแล้วบ้าง และไฮไลท์อีกอย่างคงหนีไม่พ้น ภาพผู้นำที่ ‘โชว์ฉีด’ (หมายถึงฉีดวัคซีน) เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน เราไปรวบตึงมาแล้วว่า ล่าสุดนี้มีผู้นำคนไหน ที่โชว์ฉีดไปแล้ว และมีที่กำลังรอฉีดกันอีกบ้าง

เริ่มต้นที่ นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด -19 มาตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมปีก่อน โดยได้รับการเคลมว่า เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของโลกที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควืด -19 แถมยังฉีดต่อหน้าสาธารณชน โดยนายเบนจามิน ฉีดวัคซีนของค่ายไฟเซอร์-บิออนเทค

อีกคนที่ฉีดวัคซีนของไฟเซอร์-บิออนเทค ไปเรียบร้อย คือว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ นายโจ ไบเดน ได้ทำการฉีดวัคซีนโชว์สื่อไปทั่วโลกเมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว และล่าสุดเพิ่งฉีดเข็มที่สองไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ซึ่ง Everything It’s OK!

ทางฝั่งรัสเซีย นายวลาดิเมียร์ ปูติน มีข่าวออกมาตั้งแต่ปลายปีก่อนว่า ตัดสินใจจะฉีดวัคซีนแน่นอน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัสเซียเปิดโครงการฉีดวัคซีนสปุตนิค 5 ซึ่งผลิตในรัสเซียเอง โดยจะเริ่มฉีดให้กับกลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง หรือคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป สามารถมาลงชื่อฉีดได้ทันที โดยผู้นำรัสเซียตอนนี้อายุ 68 ปี งานนี้ขอเป็นหนึ่งคนที่เข้ารับการฉีดด้วยแน่นอน

และล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อน อีกหนึ่งผู้นำของโลกที่เข้ารับการฉีดวัคซีนเรียบร้อย คือนายเรเจพ เทย์ยิป แอร์โดอาน ประธานาธิบดีตุรกี โดยผู้นำตุรกีโชว์ฉีดวัคซีนยี่ห้อซิโนแวค หลังรัฐบาลตุรกีอนุมัติให้ใช้งานวัคซีนนำเข้าชนิดนี้จากประเทศจีนนั่นเอง

มาดูทางอาเซียนกันบ้าง นายลี เซียนลุง นายกฯ สิงคโปร์ วัย 68 ปี เป็นนายกฯ ของอาเซียนชาติแรกที่เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด - 19 โดยใช้วัคซีนของค่ายไฟเซอร์-ไบออนเทค ถึงตรงนี้ ร่างกายปกติดี

ส่วนนายโรดริโก ดูเตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ถึงจะยังไม่ได้ฉีดวัคซีนโชว์ออกสื่อ แต่ออกมาประกาศแล้วว่า จะเป็นผู้ทดลองฉีดให้ประชาชนมั่นใจอย่างแน่นอน ล่าสุดก็ได้ออกมาคอนเฟิร์มวัคซีนยี่ห้อซิโนแวคและซิโนฟาร์มที่ได้สั่งซื้อจากจีนว่า มั่นใจในความปลอดภัย และเชื่อถือได้

ด้านประเทศที่มีความกังวลยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างมาเลเซีย โดยนายมูห์ยิดดิน ยาสซิน นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ก็ได้ออกมาประกาศแล้วว่า วัคซีนที่สั่งไปมาถึงเมื่อไร จะเป็นแนวหน้าฉีดให้ประชาชนดูเป็นตัวอย่างเอง

ยังมีผู้นำที่มีความคลุมเครือว่า ฉีดวัคซีนไปแล้วหรือไม่ เช่น นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ มีข่าวลือออกมาว่า นายคิมและครอบครัวได้รับการฉีดวัคซีนที่ผลิตจากจีนเรียบร้อยแล้ว แต่แหล่งข่าวก็ไม่สามารถยืนยันอย่างเป็นทางการได้แต่อย่างใด

แต่สำหรับรายนี้ นายฌาอีร์ โบลโซนารู ประธานาธิบดีบราซิล ยืนยันชัดเจนมาตลอดว่า จะไม่ยอมฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แน่นอน พร้อมยังตั้งข้อสังเกตวัคซีนซิโนแวคของจีนด้วยว่า มีผลการทดลองใช้ที่ต่ำ และยังไม่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด

ส่วน ‘ลุงตู่’ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย เบื้องต้นยังไม่เป็นที่เปิดเผยว่า จะฉีดวัคซีนหรือไม่ แต่ประเทศไทยนั้นสั่งวัคซีนป้องกันโควิด-19 จากจีนคือยี่ห้อซิโนแวค รวมทั้งยังมีที่ผลิตในไทย โดยได้รับความร่วมมือจาก ม.ออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ผลิตวัคซีนยี่ห้อแอสตรา เซเนก้า ออกมาในช่วงปลางปีนี้แน่นอน

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (18 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 369 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 12,423 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 70 ราย รักษาหายเพิ่ม 191 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 9,206 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 3,147 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 369 ราย เป็น ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากโอมาน 1 ราย ,สหราชอาณาจักร 1 ราย ,ฝรั่งเศส 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 2 ราย ,เยอรมนี 1 ราย ,มาเลเซีย 5 ราย ,บาห์เรน 1 ราย

ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 82 ราย

ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 275 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 168 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 439 ราย รักษาหายแล้ว 386 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.08 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.36 แสน เสียชีวิต 25,987 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.58 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.2 แสน ราย เสียชีวิต 601 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.34 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.18 แสน ราย เสียชีวิต 2,955 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.01 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.66 แสน ราย เสียชีวิต 9,895 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,113 ราย รักษาหายแล้ว 58,846 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,537 ราย รักษาหายแล้ว 1,380 ราย เสียชีวิต 35 ราย

‘ศรีสุวรรณ’ เตรียมบุกกกต. ยื่นคำร้องพร้อมหลักฐานเพิ่มเติม กรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร ได้อัดคลิปคำพูดของตนเองโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ชี้เข้าข่ายฝ่าฝืน ‘พรป.พรรคการเมือง 2560’

นายศรีสุวรรณ จรรยา เปิดเผยว่า ในวันนี้ เวลา 11.00 น. จะได้เดินทางไปที่สำนักงาน กกต.เพื่อยื่นคำร้องเพิ่มเติม กรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ได้อัดคลิปคำพูดของตนเองโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ชื่อ Thaksin Shinawatra เมื่อวันพุธที่ 16 ธ.ค.63 ที่ผ่านมา โดยช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่พรรคเพื่อไทย ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมาอย่างเปิดเผย

ซึ่งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เห็นว่าน่าจะขัดต่อกฎหมายจึงได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ดำเนินการไต่สวน สอบสวน กรณีการกระทำของบุคคลซึ่งมิได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง และหรือพรรคการเมือง อาจกระทำการในลักษณะฝ่าฝืน ม.28 และหรือ ม.29 แห่งพรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 หรือไม่ อย่างไร หากพบว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือมีความผิด ขอให้ดำเนินการเอาโทษตามที่กฎหมายบัญญัติต่อไปแล้วนั้น

แต่ปรากฎว่าเมื่อวันพุธที่ 19 ธ.ค. 2563 ตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นมา ปรากฎว่าในเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ชื่อ Thaksin Shinawatra หรือ (20+) Thaksin Shinawatra | Facebook หรือ https://www.facebook.com/ /thaksinofficial /videos/860774604700040 ก็ยังปรากฎคลิปของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ซึ่งมิได้เป็นผู้ช่วยหาเสียงของผู้สมัคร นายก อบจ. พรรคเพื่อไทย ตามที่กฎหมายกำหนดแต่อย่างใด แต่กลับยังช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่พรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งวันที่ 20 ธ.ค.63 อย่างเปิดเผย โดยไม่มีการลบคลิปดังกล่าวออกไปจากสารบบแต่อย่างใด ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการช่วยหาเสียงเกินกว่าระยะเวลาที่พรบ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2562 ม.64 ประกอบ ม.65 กำหนดแต่อย่างใด

อีกทั้งยังปรากฏเป็นการทั่วไปโดยมีสื่อมวลชนหลายแขนงได้รายงานตรงกันว่า นายทักษิณ ชินวัตร เป็นบุคคลสัญชาติมอนเตเนโกร เมื่อปี 2553 ไปนานแล้ว และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นบุคคล สัญชาติเซอร์เบียร์ไปเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมาด้วย จึงอาจต้องห้าม ตาม ม.68 แห่งพรบ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2562 และ อาจเป็นการฝ่าฝืน พรป.พรรคการเมือง 2560 ด้วย

นอกจากนั้น ยังมีพลเมืองดีซึ่งได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวข้างต้น ได้ส่งสำเนาพยานหลักฐาน และสำเนาคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องมาให้สมาคมฯหรือผู้ร้อง เพื่อนำมาประกอบการส่งให้ กกต. ได้พิจารณาลงโทษผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ในครั้งนี้ด้วย สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงนำพยานหลักฐานมามอบให้ กกต. เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่โดยอาจสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือให้ใบส้มหรือใบแดงผู้สมัคร และอาจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเพื่อไทย

‘ก้าวไกล’ จ่อตั้งกระทู้ถามสด ปมเจ้าหน้าที่อุ้มหายผู้ชุมนุม - นักกิจกรรมทางการเมือง ซัด ผบ.ตร. 2 มาตรฐาน สั่งงานลูกน้อง กระทำป่าเถื่อนต่อประชาชน เทียบคดี ‘บอส กระทิงแดง และบ่อนพนัน’ ไม่เอาจริงเหมือนไล่ล่าคนเห็นต่างทางการเมือง

นางสาวเบญจา แสงจันทร์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมนักกิจกรรมทางการเมืองเเละผู้ชุมนุมในอาทิตย์ที่ผ่านมา อย่างไร้ซึ่งมนุษยธรรม เเละเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และมีข้อสังเกตหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ในระหว่างจับกุมตำรวจไม่ให้สิทธิในการเข้าถึงทนาย ศาลออกหมายค้นได้ในยามวิกาล ศาลออกหมายจับคดี ม.112 แต่บุคคลที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างถึงในบันทึกจับกุมไม่อยู่ในความคุ้มครองของ ม. 112

และอีกกรณี”เดฟ ชยพล” นศ.มธ.ที่เป็น 1 ในผู้ถูกออกหมายจับโดยมีชื่ออยู่ใน หมายค้น แต่มีหลักฐานว่าเขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ต่อมา เดฟได้มาแสดงตัวต่อหน้าเจ้าพนักงาน แต่ผู้กำกับ สภ.คลองหลวง ยืนยันว่า ไม่เคยมีการออกหมายจับ และในวันเดียวกัน พนง.สืบสวน ก็กลับไปยื่นคำร้องขอยกเลิกหมายจับ หลังจากนั้นศาลก็มีคำสั่งให้ยกเลิกหมายจับ

กรณีการจับกุมประชาชน ขณะทำกิจกรรมเขียนป้ายผ้า ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และเข้าจับกุมประชาชนที่ร่วมชุมนุมกดดันให้ตำรวจปล่อยตัวผู้ชุมนุม ท่ามกลางความชุลมุน และเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมด้วยการกระทำที่เกินกว่าเหตุ หลังจากนั้นก็ได้นำตัวไปควบคุมไว้ที่ บก.ตชด.ภาค1 ท่ามกลางข้อกังขาว่า จนท.ตำรวจกำลังทำผิด กฎหมายหรือไม่ เนื่องจากตามป.วิอาญา ม.83 ต้องพาตัวผู้ถูกจับไปที่ทำการของพนง.สอบสวน แต่กลับไม่แน่ชัดว่า จนท.ใช้อำนาจใดนำตัวไปควบคุมที่ ตชด.ภาค1 เมื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงถูกยกเลิกไปแล้ว ประกาศกำหนดสถานที่คุมตัวที่ตชด. ก็ได้เป็นอันสิ้นสุดไปด้วย

อีกทั้งการเข้าถึงสิทธิในการพบทนายของผู้ต้องหาก็เป็นเรื่องยากลำบากมาก ซึ่งข้อสังเกตหนึ่งของการจับกุม ที่อนุสาวรีย์ชัยฯและ สามย่านมิตรทาวน์ มาจากการที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไฟเขียวให้ตำรวจให้ใช้กำลังจัดการผู้ชุมนุมได้หากจำเป็นโดยไม่ลังเล นำมาสู่การจับกุมประชาชนไปแล้วอย่างน้อย 6 ราย

“รวมไปถึงกรณีนายมงคล สันติเมธากุล หรือ เยล หนึ่งในสมาชิกการ์ดราษฎร ที่ถูกอุ้มหายไปจากที่พักกว่า 14 ชั่วโมง โดยภายหลังทราบว่าถูกนำตัวมาปล่อยที่บางปู และการหายตัวไปของ ‘ทศเทพ’ ภายหลังมาทราบถูกจับกุม คุมขังไว้ที่ สภ.บางแก้ว โดยไม่ได้แจ้งไปยังญาติ ไม่แน่ชัดว่าได้แจ้งสิทธิในการเข้าถึงทนายต่อเค้าหรือไม่ อีกทั้งยังควบคุมตัวเกิน 48 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการเกินกว่าอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ”

นางสาวเบญจา ตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า การที่ พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจเเห่งชาติไฟเขียว เช่นนี้ นับเป็นเรื่องอันตรายอย่างมาก เป็นการเสี่ยงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เป็นผู้ถืออาวุธกำลังจะกลายเป็นกองกำลังที่ป่าเถื่อน สามารถใช้กำลังและอาวุธ ได้ตามใจชอบในการกำจัด และจัดการผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง และถ้าลองเปรียบเทียบการดำเนินการที่กระทำความรุนแรงต่อประชาชนต่อผู้ชุมนุม กับกรณี "บอส กระทิงแดง” หรือกรณี “บ่อนการพนัน” เรากลับไม่เห็นความขมีขมัน ความตั้งใจจริง และจริงใจในการจับกุมหรือปราบปราม อย่างเช่นการจับกุมผู้ชุมนุมที่เพียงแค่ใช้เสรีภาพในการแสดงออกเลย นี่จึงกลายเป็นการประจานความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมและเป็นการเลือกปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ที่น่ารังเกียจอย่างมากอีกด้วย

ทั้งนี้ นางเบญจา เปิดเผยว่า พรรคก้าวไกล เตรียมตั้งกระทู้ถามสด ถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่อนายกรัฐมนตรี ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พร้อมระบุว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรมีพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ซึ่งพรรคก้าวไกลได้ยื่นร่างพรบ.ฉบับดังกล่าวต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว และพรรคก้าวไกลจะเฝ้าติดตามความคืบหน้ากฎหมายฉบับนี้อย่างใกล้ชิด และหวังว่าประธานสภาฯจะบรรจุวาระและเห็นความสำคัญของกฎหมายที่ปกป้องการละเมิดสิทธิมนุษยชน

กองทัพบก ยันยังไม่ยกเลิก 3 โปรเจคซื้ออาวุธงบกว่า 6 พันล้าน ลั่นเป็นเรื่องของรัฐบาลกับกองทัพ หลังฝ่ายการเมืองจี้ตัดงบช่วยเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิดระบาดระลอกใหม่

พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายการเมืองจี้กองทัพบกให้ตัดงบการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ในปี 2565 วงเงินรวมกว่า 6,152 ล้านบาท และนำไปเยียวยาประชาชน ว่า ในการจัดทำงบประมาณแต่ละปีจะมีคณะกรรมการพิจารณาถึงความเหมาะสม รวมไปถึงเมื่อเข้าสู่อนุกรรมาธิการ ก็จะมีการไปชี้แจงถึงความจำเป็น ดังนั้น การจะตัดงบในส่วนใดบ้างก็เป็นไปตามขั้นตอน

เมื่อถามย้ำว่า กองทัพจะมีการทบทวนตัดงบในส่วนนี้ไปช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ covid 19 หรือไม่ เป็นเรื่องที่กองทัพและรัฐบาลต้องหารือกัน แต่ตอนนี้ยังไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้เลย

พลโทสันติพงศ์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการปฏิรูปกองทัพหลังอดีตผู้บัญชาการทหารบกเคย ประกาศไว้ตั้งแต่เหตุกราดยิงที่โคราช เนื่องจากเริ่มมีการติดป้ายผ้าทวงถามแล้ว ว่า ผู้บัญชาการได้มอบหมายให้คณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนเรื่องของการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็ดำเนินการอย่างทั่วถึงแล้ว ได้รับการดูแลจากกองทัพเรียบร้อย ขณะที่เรื่องการจัดสรรที่อยู่อาศัยให้กับทหารชั้นผู้น้อยและการขจัดธุรกิจในกองทัพก็ เป็นเรื่องที่คณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินการเช่นกัน

เมื่อถามย้ำว่าผ่านมา 1 ปีแล้วมีอะไรเป็นรูปประธรรมบ้าง พลโทสันติพงศ์ กล่าวย้ำว่า ให้เป็นเรื่องของคณะกรรมการในการดำเนินการ

‘รมว.อุตสาหกรรม’ เผย อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้มีการแพร่ระบาดจากพิษโควิด–19 ระลอกใหม่ ขณะที่อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตน้ำมันเครื่องบิน

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ได้ประเมินอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด – 19 ระลอกใหม่ โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์และผลิตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้มีการแพร่ระบาด ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร เช่น เนื้อไก่แช่แข็งและแช่เย็น ผักผลไม้แช่แข็ง ผลไม้และผักบรรจุกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ,อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ได้แก่ ตู้เย็น ไมโครเวฟ สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ วงจรรวมและฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เนื่องจากนโยบายการทำงานที่บ้าน โดยอุตสาหกรรมกลุ่มนี้คาดว่า จะโต 1-4% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ขณะที่อุตสาหกรรมเภสัชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค และอุตสาหกรรมถุงมือยาง คาดว่าโต 5-10% เนื่องจากยังคงมีความต้องการใช้ทางการแพทย์และในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นทั้งภายในประเทศและการส่งออกเนื่องจากความจำเป็นในการอุปโภคและบริโภค และความกังวลของระยะเวลาการระบาด

ส่วนอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบไม่มากนัก และมีการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป คาดว่า มีการขยายตัวเล็กน้อยประมาณ 0.5-1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ที่ฟื้นตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้างจากโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ อุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง

ด้านอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะโต 0.5-3% ได้แก่ อุตสาหกรรมแฟชั่น (สิ่งทอ เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ เครื่องหนัง) เริ่มกลับมาฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน และกลุ่มน้ำมันเตาจะขยายตัวจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เริ่มฟื้นตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบมากจากการแพร่ระบาดในรอบแรกแต่มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก คาดว่า การผลิตจะหดตัว 10 -15% ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตน้ำมันเครื่องบินยังคงมีข้อจำกัดจากการเดินทางทางอากาศ

กระทรวงแรงงาน ยึดประชารัฐจับมือเอกชน พัฒนาช่างยิปซัม เพื่อให้มีทักษะ ความรู้ ความชำนาญในงานยิปซัม ลงปฏิบัติงานจริงช่วยสังคม ซ่อมสร้างสาธารณประโยชน์

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กพร. กระทรวงแรงงาน และบริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและผู้นำด้านการตลาดแผ่นยิปซัมในประเทศไทย ร่วมกันพัฒนาฝีมือแรงงานด้านงานยิปซัม ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือของทั้งสองหน่วยงาน เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงแรงงานโดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน

ที่มุ่งเน้นให้กพร. ใช้แนวทางประชารัฐร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาทักษะ ฝีมือแรงงานให้เป็นแรงงานคุณภาพ และส่งเสริมการมีงานทำของแรงงานไทย

นายธวัช กล่าวต่อไปว่า ทั้งสองหน่วยงานมีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาศักยภาพกำลังแรงงานให้มีทักษะ ความรู้ ความชำนาญในงานยิปซัม มีมาตรฐาน ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ก่อให้เกิดการจ้างงานในตลาดแรงงาน ในปี 2563 ได้ร่วมกันดำเนินการจัดฝึกอบรมช่างยิปซัมพัฒนาชุมชน ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ น่าน สมุทรสาคร อุบลราชธานี และระนอง มีผู้ผ่านการฝึกอบรม จำนวน 102 คน

และเพื่อให้การพัฒนาฝีมือแรงงานมีความต่อเนื่อง ในปี 2564 มีแผนการดำเนินงาน ดังนี้ (1) ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาช่างติดตั้งยิปซัม และสาขาช่างฉาบยิปซัม ระดับ 1 และระดับ 2 (2) จัดแข่งขันฝีมือแรงงานสาขาช่างยิปซัม ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานที่เปิดศูนย์ฝึกอบรมช่างยิปซัม (3) จัดฝึกอบรมช่างยิปซัม นำร่องการฝึกอบรมที่จังหวัดขอนแก่น อุบลราชธานี นครสวรรค์ ลำปาง และสงขลา และขยายฝึกอบรมทั่วประเทศต่อไปในอนาคต

“การฝึกอบรมช่างยิปซัมใช้หลักสูตรการฝึกอาชีพเสริม สาขาการติดตั้งผนังฝ้าเพดานและฉาบรอย ต่อยิปซัม ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้เรียนรู้และฝึกทักษะเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน การติดตั้งระบบผนังและฝ้าเพดานยิปซัม การฉาบรอยต่อยิปซัม โดยเน้นให้ผู้เข้ารับอบรมได้ปฏิบัติงานจริง ในการซ่อมแซมสาธารณประโยชน์ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ศูนย์เด็กเล็ก ศาลาอเนกประสงค์ เป็นต้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือที่ดีที่สามารถพัฒนาช่างฝีมือ ควบคู่การช่วยเหลือชุมชนและสังคม” อธิบดีกพร. กล่าว

‘ผู้บัญชาการทหารสูงสุด’ นำเหล่าทัพ วางพวงมาลา วันกองทัพไทย พร้อมแยกหน่วยสวนสนาม ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล ท่ามกลางกระแสปฏิรูปกองทัพ-สถาบันพระมหากษัตริย์ และ โควิด-19

ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นประธานงานกองทัพไทย ประจำปี 2564 โดยมี พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผบ.ทร. พล.อ.อ.แอร์บูล สุทธิวรรณ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจงยอดสุข ผบ.ตร. และ ผู้แทนผู้บัญชาการทหารบก

โดยมีกิจกรรมสำคัญพิธีบวงสรวงพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พิธีถวายราชสักการะพระบรมรูป รัชกาลที่5  พิธีบวงสรวงพระบรมรูปพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นมหาราช 9 พระองค์ พิธีวางพวงมาลาสักการะดวงวิญญาณนักรบไทย

สำหรับการจัดงานวันนี้เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช องค์วีรกษัตริย์ไทย และบูรพกษัตริย์ทุกพระองค์ ตลอดจนเหล่าบรรพบุรุษของไทยที่ได้สร้างวีรกรรมอันกล้าหาญสละเลือดเนื้อและชีวิตเพื่อปกป้องรักษาผืนแผ่นดินไทยไว้เป็นมรดกมาจนถึงทุกวันนี้

เวลาเดียวกันที่ กองบัญชาการกองทัพบก  พล.อ. ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในพิธีทางศาสนา เนื่องในวันกองทัพบก ประจำปี 2564 โดยนิมนต์พระสงฆ์จากวัดโสมนัสราชวรวิหาร มาประกอบพิธี จำนวน 10 รูป

ทั้งนี้ก่อนเข้าสู่พิธีทางศาสนา ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชา ได้ร่วมประกอบพิธีสักการะพระชัยมงคลภูมิ และพิธีถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 ณ บริเวณลานด้านหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 จากนั้นจึงกระทำพิธีสงฆ์ ณ ห้องรับรอง 221 อาคาร 2 ชั้น 2 กองบัญชาการกองทัพบก

สำหรับปีนี้เนื่องจากเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19  วันกองทัพไทย และวันกองทัพบก จะไม่มีพิธีสวนสนามและปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพลส่วนรวมเหมือนเช่นทุกปี แต่ยังมีการสวนสนามสาบานตนต่อธงชัยเฉลิมพลโดยแยกย่อยของแต่ละหน่วย

ท่ามกลางกระแสเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกองทัพและสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และความเคลื่อนไหวให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 

ทั้งนี้ทหารยังคง ยึดมั่นใน คำสัตย์ปฏิญาณ ที่ได้ลั่นวาจาไว้ ในพิธีสวนสนามและปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล ธงนำทัพของหน่วยทหาร ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานไว้ ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ และ องค์จอมทัพไทย ที่ระบุว่า

ข้าพระพุทธเจ้าจักยอมตาย เพื่อเทิดทูน และ รักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ แห่งพระมหากษัตริย์เจ้า

ข้าพระพุทธเจ้า จักจงรักภักดี และถวายความปลอดภัย ต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ตราบชีวิตจะหาไม่

ข้าพระพุทธเจ้า จักรักษาไว้ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

‘กระทรวงพาณิชย์’ ยกระดับ ‘คลังข้อมูลทางการค้าของไทย หรือ Thailand NTR’ เพื่อให้มีข้อมูลที่ทันสมัย ครบวงจร ค้นหาง่าย เชื่อมโยงคลังข้อมูลการค้าอาเซียน เตรียมอบรมการใช้ข้อมูลแก่ผู้สนใจ ก่อนเปิดให้บริการต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเตรียมเปิดให้บริการระบบคลังข้อมูลทางการค้าของไทย (Thailand National Trade Repository หรือ Thailand NTR) ที่ได้ปรับปรุงใหม่ ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 โดยได้ดำเนินการปรับปรุงระบบคลังข้อมูลทางการค้าของไทย ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลด้านการค้าระหว่างประเทศ อาทิ การค้าสินค้า การค้าบริการ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สิทธิพิเศษการค้าระหว่างประเทศ และกฎระเบียบการค้าของหน่วยงานภาครัฐของไทย ผ่านทางเว็บไซต์ www.thailandntr.com ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2557 ผู้ประกอบการจะสามารถเข้าถึงข้อมูลทางการค้าของไทยแบบครบวงจรและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับปรุงระบบครั้งนี้ เพื่อจัดทำระบบคลังข้อมูลทางการค้าของไทยให้มีความสมบูรณ์ ทันสมัย และสะดวกรวดเร็ว โดยได้เพิ่มฐานข้อมูลใหม่ อาทิ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค (RCEP) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง และข้อมูลด้านการลงทุน ได้แก่ การจำแนกประเภทของการลงทุน ข้อบทการค้าลงทุน กฎหมายและกฎระเบียบ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ได้พัฒนาระบบด้านการใช้งาน อาทิ การค้นหาข้อมูลแบบ Smart Search ช่วยลดระยะเวลาในการหาข้อมูลทั้งหมดผ่านการค้นหาเพียงครั้งเดียว และความสามารถรองรับการเข้าใช้งานทุกช่องทาง ทั้งจากคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือ (ระบบปฏิบัติการ iOS และ Android) ตอบโจทย์การใช้งานในยุคดิจิทัล สำหรับในช่วงที่ดำเนินการปรับปรุงระบบเว็บไซต์ Thailand NTR ในรูปแบบเก่ายังเปิดให้บริการตามปกติ

นางอรมน เสริมว่า กรมฯ มีเป้าหมายจะทำระบบคลังข้อมูลทางการค้าของไทยให้ใช้งานง่าย เป็นแหล่งข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ One Stop Trade Portal ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ รวมทั้งแก้ไขปัญหาการขาดข้อมูลของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs นอกจากนี้ ยังมีการเชื่อมโยงคลังข้อมูลทางการค้าของไทยกับคลังข้อมูลการค้าของอาเซียน (ASEAN Trade Repository : ATR) ผ่านเว็บไซต์ www.atr.asean.org ซึ่งผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลด้านการค้าของประเทศสมาชิกอาเซียนได้ทั้งหมด

สำหรับผู้ประกอบการ บุคลากรภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไปที่สนใจศึกษาและใช้งานระบบคลังข้อมูลทางการค้าของไทย กรมฯ จะจัดการฝึกอบรมการใช้งานระบบคลังข้อมูลทางการค้าของไทยที่ได้ปรับปรุงใหม่ ระหว่างวันที่ 21-22 มกราคมนี้ โดยแบ่งระยะเวลาการฝึกอบรมเป็น 4 รอบ คือ ช่วงเช้า 2 รอบ เวลา 09.00-12.00 น. และช่วงบ่าย 2 รอบ เวลา 13.00-16.00 น. ผ่านทาง Facebook Live กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และแอปพลิเคชั่น ZOOM

หลังจากรอคอยมานาน! ล่าสุด รฟม. ประกาศจัดโปรโมชั่นเที่ยวโดยสาร ใช้เดินทางในระบบรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง แบบรายเที่ยว ราคาถูกสุด 20 บาทต่อเที่ยว เริ่ม 1 กุมภาพันธ์ 2564 นี้

การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จัดโปรโมชั่นเที่ยวโดยสาร ใช้เดินทางในระบบรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง เริ่ม 1 กุมภาพันธ์ 2564 นี้ มอบทางเลือกใหม่ให้แก่ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT สำหรับผู้ถือบัตรโดยสารประเภทบุคคลทั่วไป บัตรโดยสารธุรกิจ และบัตรร่วมธุรกิจ สามารถเติมเที่ยวโดยสารที่เหมาะสมกับการเดินทางได้ 5 รูปแบบ

- เที่ยวโดยสาร 15 เที่ยว ใช้เดินทางภายใน 30 วัน ราคา 450 บาท

- เที่ยวโดยสาร 25 เที่ยว ใช้เดินทางภายใน 30 วัน ราคา 700 บาท

- เที่ยวโดยสาร 40 เที่ยว ใช้เดินทางภายใน 30 วัน ราคา 1,040 บาท

- เที่ยวโดยสาร 50 เที่ยว ใช้เดินทางภายใน 30 วัน ราคา 1,100 บาท

- เที่ยวโดยสาร 60 เที่ยว ใช้เดินทางภายใน 60 วัน ราคา 1,200 บาท

*สามารถเติมเที่ยวโดยสารได้ที่ห้อง MRTสายสีม่วงเท่านั้น โดยยังไม่สามารถเติมแบบออนไลน์ได้*

ทั้งนี้ เที่ยวโดยสารจะมีอายุการใช้งานนับจากวันที่ใช้เดินทางครั้งแรกตามประเภทของเที่ยวโดยสารแต่ละชนิด (นับวันที่เริ่มใช้งานเป็นวันที่ 1) และต้องใช้เดินทางครั้งแรกภายใน 45 วันนับจากวันที่เติมเที่ยวโดยสาร หากพ้นกำหนดจะไม่สามารถใช้เดินทางได้ และเที่ยวโดยสารไม่สามารถเปลี่ยนหรือขอคืนเป็นเงินสดได้ กรณีเดินทางในระบบรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง ระบบจะทำการหักเที่ยวโดยสารก่อน หากเที่ยวโดยสารหมด ระบบจะหักเงินในบัตรโดยสารนั้นๆ

ส่วนกรณีเดินทางเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ระบบจะหักเที่ยวโดยสารสำหรับการเดินทางในระบบรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง และจะหักเงินในบัตรโดยสารนั้นๆ ตามจำนวนสถานีที่เดินทางในระบบรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน

กระทรวงการคลัง ออกโรงเตือน ประชาชนอย่าหลงเชื่อข่าว และดาวน์โหลด “แอปพลิเคชันลงทะเบียนเราชนะ” ยืนยันยังไม่มีแอปฯหรือเว็บไซต์เปิดให้ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ ระบุให้รอความชัดเจนหลังครม.เห็นชอบ 19 ม.ค.นี้

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่ได้ปรากฏว่ามีการเผยแพร่ “แอปพลิเคชันลงทะเบียนเราชนะ” ตามสื่อต่างๆ นั้น กระทรวงการคลัง ขอเรียนว่า แอปพลิเคชันดังกล่าว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับโครงการเราชนะของรัฐบาลและกระทรวงการคลังแต่อย่างใด ดังนั้น เพื่อมิให้เกิดความสับสน และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโครงการเราชนะของรัฐบาล จึงขอให้ประชาชนระมัดระวังในการอ่าน ส่ง หรือแชร์ข้อมูลต่าง ๆ ที่มิได้ถูกเผยแพร่อย่างเป็นทางการจากกระทรวงการคลัง

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังขอเตือนผู้ที่มีพฤติกรรมแอบอ้างโดยมีเจตนาหลอกลวงหรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ขอให้หยุดการกระทำดังกล่าวโดยหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจะมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด และหากพบว่ามีการกระทำความผิดจะดำเนินการตามกฎหมายทันที

ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาโครงการเราชนะในวันอังคารที่ 19 มกราคม 2564 นี้ และจะมีการแถลงข้อมูลที่เป็นทางการอย่างชัดเจน โดยสามารถติดตามสืบค้นข้อมูลข่าวสารและความคืบหน้าที่ถูกต้องเกี่ยวกับโครงการเราชนะ ได้จากแถลงข่าวกระทรวงการคลัง ในเว็บไซต์ www.mof.go.th หรือในเฟซบุ๊ก “สถานีข่าวกระทรวงการคลัง”

กระทรวงสาธารณสุข ชี้กรณีนอร์เวย์เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนโควิดของไซเฟอร์ โมเดอร์นา ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และมีโรคประจำตัว ยืนยันไทยสั่งซื้อวัคซีนคนละตัว ขอประชาชนอย่ากังวล

นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป ปฏิบัติราชการรองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีประเทศนอร์เวย์พบรายงานผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ว่า ที่ประเทศนอร์เวย์ใช้วัคซีนของ Pfizer และ Moderna โดยทั้ง 2 ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน คือ mRNA vaccine ซึ่งต่างจากประเทศไทยที่เป็นของบริษัท แอสตร้าเซเนก้า จำกัด และซิโนแวค ประเทศจีน ที่ใช้กลุ่มวัคซีนเชื้อตาย ดังนั้นจึงอยากให้คนไทยเชื่อมั่นว่าไม่ได้ใช้ตัวเดียวกับนอร์เวย์

อย่างไรก็ตามการใช้วัคซีนอาจมีอาการไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นได้ เช่น ปวดศีรษะ บวมร้อน คลื่นไส้ ซึ่งผู้ที่ได้รับวัคซีที่มีความเปราะบางจะต้องได้รับการติดตามสังเกตุอาการ ปกติ 30 นาทีหลังรับการฉีดวัคซีน และ 30 วัน หลังจากฉีดแล้ว

กรณีของนอร์เวย์ พบผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์ 29 ราย เป็นผู้หญิง 21 ราย และผู้ชาย 8 ราย มีผู้เสียชีวิต 23 ราย หลังได้รับวัคซีน Pfizer-BioNTech mRNA vaccine เข็มแรก จากผู้ที่ได้รับวัคซีนไปแล้วกว่า 30,000 คน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของนอร์เวย์ ยืนยันว่าการฉีดวัคซีนถือว่ามีความเสี่ยงน้อย ยกเว้นการฉีดในผู้สูงอายุที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไปและมีโรคประจำตัว ซึ่งจะต้องมีการประเมินเป็นรายบุคคล

นพ.โสภณ กล่าวว่า จากการชันสูตรผู้เสียชีวิต พบว่าในจำนวน 13 ราย เป็นผู้สูงอายุมากกว่า 80 ปี และเป็นผู้ป่วยที่พักรักษาตัวอยู่ใน Nursing Home ส่วนสาเหตุของการเสียชีวิตอยู่ระหว่างการสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ โดยแนะนำให้แพทย์ประเมินความเสี่ยงก่อนการสั่งฉีดวัคซีน

แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากต่างประเทศก็ถือเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยที่จะช่วยวางแผนในการเตรียมรับวัคซีนอย่างปลอดภัย และขณะนี้ แพทย์นอร์เวย์ได้แนะนำว่าต้องประเมินความเสี่ยงก่อนการสั่งฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้มีอายุมากและมีโรคประจำตัวด้วย

กรมการปกครองประกาศ ยกเว้น/ลด ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนครอบครัว การออกหนังสือสำคัญเกี่ยวกับชื่อบุคคล บัตรประจำตัวประชาชน และการทะเบียนราษฎร กรณีภัยที่เกิดจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

เนื่องจากปัจจุบันพบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระลอกใหม่ขึ้นในหลายพื้นที่ โดยมีประกาศพื้นที่ภัยที่เกิดจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชุมพร ชลบุรี ตราด ตาก นครนายก นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา เพชรบุรี ราชบุรี ระนอง ระยอง ลพบุรี สิงห์บุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี สระแก้ว สระบุรี อ่างทอง ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและลดภาระค่าใช้จ่ายแก่ประชาชนในสถานการณ์วิกฤตินี้ กรมการปกครองจึงได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมและลดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1. ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร ในเรื่องต่อไปนี้
(1) การขอคัดสำเนา หรือคัดและรับรองสำเนารายการทะเบียนราษฎร
(2) การขอคัดสำเนา หรือคัดและรับรองสำเนารายการข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร
(3) การแจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่อื่น
(4) การแจ้งการตายต่อนายทะเบียนแห่งท้องที่อื่น
(5) การแจ้งการย้ายที่อยู่
(6) การออกบัตรประจำตัวให้กับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
(7) การขอรับสำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้านใหม่แทนฉบับเดิมที่ชำรุดหรือสูญหาย

2. ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชน ในเรื่องต่อไปนี้
(1) การออกบัตรใหม่ในกรณีบัตรหายหรือถูกทำลาย บัตรชำรุดในสาระสำคัญ การแก้ไขชื่อตัว หรือชื่อสกุล หรือชื่อตัวและ
ชื่อสกุล หรือการย้ายที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน
(2) การออกใบแทนใบรับ
(3) การขอคัดและรับรองสำเนาข้อมูลเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชน

3. ให้ลดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนครอบครัว ในเรื่องต่อไปนี้
(1) การขอคัดสำเนาหรือคัดและรับรองสำเนาทะเบียนครอบครัว ฉบับละ 1บาท
(2) การจดทะเบียนสมรสหรือจดทะเบียนรับรองบุตรนอกสำนักทะเบียนโดยมีผู้ขอ รายละ 1 บาท
(3) การจดทะเบียนสมรส ณ สถานที่สมรสซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอนุมัติ ให้มีขึ้น รายละ 1 บาท

4. ให้ลดค่าธรรมเนียมการออกหนังสือสำคัญเกี่ยวกับชื่อบุคคล โดยเรียกเก็บฉบับละ 1 บาท ในเรื่องต่อไปนี้
(1) การออกหนังสือสำคัญแสดงการเปลี่ยนชื่อตัวหรือชื่อรอง
(2) การออกหนังสือสำคัญแสดงการรับจดทะเบียนตั้งชื่อสกุล
(3) การออกหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อสกุล
(4) การออกใบแทนหนังสือสำคัญตาม (1) (2) หรือ (3)

ทั้งนี้ ให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมและลดค่าธรรมเนียมข้างต้น เป็นระยะเวลา 120 วัน นับแต่วันที่มีประกาศ (8 มกราคม 2564) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักบริหารการทะเบียน โทร 0-2791-7427

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (17 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 374 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 12,058 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 70 ราย รักษาหายเพิ่ม 109 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 9,015 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2,969 ราย


ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 374 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากสหรัฐอเมริกา 2 ราย ,เยอรมนี 1 ราย ,อินเดีย 2 ราย ,เดนมาร์ก 1 ราย ,กาตาร์ 1 ราย ,มาเลเซีย 3 ราย
ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 43 ราย
ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 321 ราย
ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้
ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 168 ราย เสียชีวิต 3 ราย
ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 439 ราย รักษาหายแล้ว 385 ราย  ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 8.97 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.27 แสน เสียชีวิต 25,767 ราย
ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.55 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.17 แสน ราย เสียชีวิต 594 ราย
ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.34 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.17 แสน ราย เสียชีวิต 2,942 ราย
ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.99 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.6 แสน ราย เสียชีวิต 9,884 ราย
ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,083 ราย รักษาหายแล้ว 58,784 ราย เสียชีวิต 29 ราย
ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,537 ราย รักษาหายแล้ว 1,380 ราย เสียชีวิต 35 ราย

‘หมอยง’ แนะทำความเข้าใจความรุนแรงของโควิด-19 เผยองค์กรอนามัยโลกแบ่งความรุนแรงเป็น 4 ระดับ โดยจะนำทั้ง 4 ขั้น เล็กน้อย ปานกลาง รุนแรง และเสียชีวิต ก่อนนำมาประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนว่ามีประสิทธิผลมากขนาดไหน

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Yong Poovorawan’ โดยได้ออกมาพูดถึงถึงความรุนแรงของโรคโควิด-19 จะต้องมีการประเมินอาการของผู้ป่วยก่อนที่จะมีการฉีดวัคซีน โดยระบุว่า

ก่อนที่จะเข้าใจประสิทธิภาพของวัคซีน เรามาเข้าใจเรื่องความรุนแรงของโรคโควิด 19

องค์การอนามัยโลกแบ่งความรุนแรงของโรคโควิด 19 เป็น เล็กน้อย ปานกลาง รุนแรง และเสียชีวิต

  1. ผู้ป่วยที่เป็นเล็กน้อยประกอบไปด้วย ผู้ที่ไม่มีอาการแต่ตรวจพบไวรัสในลำคอ มีอาการเล็กน้อยไม่ได้รับการรักษา มีอาการ กินยา แต่ไม่ได้นอนโรงพยาบาล รวมถึงผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลเพื่อจุดประสงค์การแยกตัว ที่ไม่ได้ต้องการการรักษา
  2. อาการปานกลาง จะเป็นผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาล ไม่ได้ให้ออกซิเจน หรือ ถ้าให้ออกซิเจนก็ให้แบบเสียบจมูก หรือครอบจมูก
  3. ผู้ป่วยมีอาการมากหรือหนัก ผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาลและต้องให้ออกซิเจนแบบ High Flow ใส่ท่อช่วยหายใจ ใส่เครื่องช่วยหายใจ หรือเครื่องพยุงปอด
  4. ผู้ป่วยที่เสียชีวิต จะตัดสินกันภายใน 60 วัน

การตัดสินประสิทธิผลของวัคซีน จะมีการพูดกันถึงการป้องกันโรคในระดับไหน ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการในการประเมินวัคซีน จะยากมากเพราะไม่ได้มีการตรวจเชื้อทุกราย หรือสุ่มตรวจเชื้อเป็นระยะ ส่วนใหญ่จะเน้นตั้งแต่มีอาการขึ้นไป หรือ ต้องนอนโรงพยาบาล

ตอนต่อไปเล่าเรื่อง การประเมินประสิทธิภาพของวัคซีน

ที่มา : เพจ Yong Poovorawan


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top