Monday, 6 May 2024
LITE

26 พฤศจิกายน...วันขนมเค้ก (แผลบๆ)

ถ้าพูดถึง ‘วันเกิด’ หรือวันพิเศษๆ ขึ้นมา มีขนมชนิดหนึ่งที่มักจะกลายเป็นพระเอกของงานอยู่เสมอ นั่นคือ ‘ขนมเค้ก’

 

ขนมเค้ก เป็นเมนูขนมหวานที่ผู้คนทั่วโลกต่างรู้จักและโปรดปราน หากย้อนเวลากลับไป มันถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรีกและอียิปต์โบราณโน่นแล้วล่ะ ขนมเค้กถูกปรุงขึ้นเพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา รวมถึงงานวัฒนธรรมในท้องถิ่นของผู้คนยุคก่อน

 

แรกเริ่มเดิมที ขนมเค้กหน้าตาคล้ายขนมปัง และมีรสหวานของน้ำผึ้งนำ ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นวงกลม เพราะขึ้นรูปด้วยมือ แถมยังค่อนข้างจะมีน้ำหนัก มันมักถูกนำมาเสิร์ฟหลังจากจบมื้ออาหารหลักไปแล้ว

 

แม้จะเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลอง รวมไปถึงการมีวาระพิเศษต่างๆ แต่ในช่วงศตวรรษที่ 13 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจทั้งโลกตกต่ำ ชาวอเมริกันหลายล้านคน ก็ได้อาศัยขนมเค้กเป็นหนึ่งในเมนูสำคัญ เนื่องจากเป็นอาหารที่หาได้ไม่ยาก และมีราคาถูก เมื่อเวลาผ่านไป ขนมชนิดนี้ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้คนทั้งโลก

 

วันนี้ถูกยกให้เป็น ’วันขนมเค้กโลก’ หลายสถานที่มีการเชิญชวนให้แต่ละครอบครัวทำขนมเค้กเพื่อเฉลิมฉลอง ถือเป็นวันพิเศษแบบเบาๆ แต่ก็อย่ากินเยอะเกินไปล่ะ เพราะน้ำหนักตัวจะไม่เบาตามเค้กเอานะ

 

25 พฤศจิกายน...วันประถมศึกษาแห่งชาติ

ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 ขึ้น โดยกำหนดให้เด็กที่มีอายุ 7 ปีบริบูรณ์ทุกคน ต้องเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนจนอายุครบ 14 ปีบริบูรณ์ โดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน พระราชบัญญัติประถมศึกษานี้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2464

 

กระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันประถมศึกษาแห่งชาติ ต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2523 ได้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาขึ้น โดยกำหนดให้เปลี่ยนจากวันที่ 1 ตุลาคม มาเป็นวันที่ 25 พฤศจิกายน ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวแทน

 

เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นผู้ให้การสนับสนุนการประถมศึกษาและพระราชทานตราพระราชบัญญัติ อีกทั้งเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระองค์ในคราเดียวกันกับวันวชิราวุธที่ตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปีอีกด้วย

 

ถึงตรงนี้ ถามว่า วันประถมศึกษาแห่งชาติ มีความสำคัญอย่างไร ตอบได้โดยง่ายว่า เป็นวันที่ให้คนไทยได้ตระหนักถึงเรื่อง ‘การศึกษากับเยาวชน’ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างบุคลากรของชาติ การมีการศึกษาที่ดีย่อมส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ แต่ ‘การศึกษา’ ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่ทำให้คนฉลาด หลักแหลม แต่ต้องทำให้คนมีคุณภาพ และคิดเป็นอีกด้วย

ไม่มีไม่ใช่หว่อง...5 เอกลักษณ์หนังแบบฉบับหว่องกาไว

จะบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาล ‘หนังหว่อง’ ก็ไม่ผิดนัก เรากำลังพูดถึง หว่อง กาไว ผู้กำกับชาวเอเชียที่ประสบความสำเร็จระดับโลก ซึ่งถ้าเป็นนักดูหนังสายแข็ง หรือนักศึกษาที่เรียนด้านภาพยนตร์ ชื่อผู้กำกับคนนี้ถือว่าขึ้นหิ้งในระดับยอดเซียน 

 

ด้วยสไตล์หนังที่มีแนวของตัวเองชัดเจน จึงเป็นที่มาของวลีคลาสสิก นั่นคือ “กระทำความหว่อง” วลีนี้ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ แต่เกิดจากสิ่งที่ผู้กำกับฯ ชาวฮ่องกงคนนี้ ถ่ายทอดเทคนิคและมุมมองการเล่าเรื่องออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของภาพยนตร์สไตล์หว่อง ซึ่งแฟนๆ มักให้คำนิยามว่า “รู้สึกเหงาเงียบงันราวกับปลูกป่าช้าไว้ในใจ”

 

ศิลปะแห่งความเดียวดายและบรรยากาศชวนหลงใหลที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ของหว่อง กาไว ยังคงเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ดึงดูดให้นักดูหนังรุ่นใหม่ๆ ให้เข้าไปสัมผัสโลกของหว่องอยู่เสมอ ล่าสุดโรงภาพยนตร์เมืองไทยได้มีการนำภาพยนตร์ระดับขึ้นหิ้งของผู้กำกับคนนี้มาจัดฉายไปจนปลายปี The States Times Lite จึงขอยกเอา 5 เอกลักษณ์ในภาพยนตร์ของหว่องกาไวที่ครองใจแฟนๆ มานานกว่า 2 ทศวรรษ มาบอกเล่า ถือว่าเป็นออเดิร์ฟก่อนไปดูหนังของเขากัน...

 

1) มีความวุ่นวายของฮ่องกงเป็นฉากหลัง

หว่องมักเลือกใช้ฮ่องกงในยุค ‘60s เป็นฉากหลัง เนื่องจากเป็นช่วงวัยเด็กที่เขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางห้วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะนับตั้งแต่เหมาเจ๋อตงได้เปลี่ยนการปกครองของจีนเข้าสู่ระบอบสังคมนิยม ส่งผลให้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่มาอาศัยอยู่ในฮ่องกงยังคงผูกพันกับบ้านเกิดเมืองนอน พวกเขาสร้างชุมชนของตนเองที่พูดภาษาถิ่น มีวัฒนธรรม พิธีกรรม มีการดูหนังฟังเพลงที่แตกต่างจากชาวฮ่องกง ซึ่งหว่องเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ซึ่งความทรงจำมีผลให้เขาอยากทำหนังที่เต็มไปด้วยบรรยากาศและห่วงอารมณ์แห่งการระลึกถึงบางสิ่งบางอย่าง  

 

2) ว่าด้วยเรื่องความเหงาและสัมพันธภาพที่ไม่มั่นคง

“แม้เวลาจะเยียวยาหลายสิ่งหลายอย่างได้ แต่หัวใจที่แตกสลายก็เป็นข้อยกเว้น” ประโยคเด็ดของหว่องที่แฟนหนังรู้จักกันดี เชื่อมโยงกับลักษณะการเล่าเรื่องราวของความรักความสัมพันธ์ที่ไม่สมหวัง การเก็บซ่อนความรู้สึก นำไปสู่อารมณ์เหงาเดียวดายที่แฟนๆ เรียกกันว่า “กระทำความหว่อง” แน่นอนว่าเป็นความรู้สึกสากลที่มนุษย์เชื่อมโยงเข้ากับความรู้สึกของตนเองได้ แต่เรื่องธรรมดาเช่นนี้เมื่อไปปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ของหว่อง เขากลับถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ น่าค้นหา เป็นเรื่องเล่าที่มีทั้งความบันเทิงและความงดงามทางศิลปะ โดยเฉพาะฉากควันบุหรี่และแสงสลัวที่สื่อถึงความไม่ชัดเจนและความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงของแต่ละตัวละคร

 

3) ตัวละครมีความทรงจำที่เชื่อมเข้าหากัน

ปกติภาพยนตร์ทั่วไปจะมีการแนะนำตัวละครเมื่อเริ่มเรื่อง แต่สำหรับผลงานสไตล์หว่อง ตัวละครส่วนใหญ่มักไม่มีที่มาที่ไป ดำเนินเรื่องด้วยการกระทำและบทสนทนาเลย ไม่ตัดสินว่าตัวละครใดคือตัวดี-ตัวร้าย มีความเป็นสีเทา มีความเป็นมนุษย์สูงมาก ผู้ชมจะได้รู้จักพื้นเพตัวละครจากการฟังบทสนทนาและติดตามดูการกระทำ ซึ่งแต่ละตัวละครมักจะมีปมบางอย่างซ่อนอยู่ มักเป็นเรื่องราวทางครอบครัว โดยมีค่านิยมบางอย่างของสังคมเป็นกรอบกำกับตัวละครไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ จารีต อาชีพ วัฒนธรรม ฯลฯ แต่เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดหนึ่งผู้ชมจะพาว่าเรื่องราวของตัวละครมักเชื่อมเข้าหากันอย่างกลมกลืน

 

4) เหลียง เฉาเหว่ย นักแสดงขาประจำ

นักแสดงนำชายชาวฮ่องกงที่แจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่อง Days of Being Wild ของหว่องในปี 1991 นับตั้งแต่นั้นเขากลายเป็นชื่อนักแสดงขาประจำที่ต้องคู่กับภาพยนตร์ของผู้กำกับฯ คนนี้ สำหรับเรื่องที่สร้างชื่อเสียงที่สุดคือ In The Mood For Love ที่ทำให้เขาเป็นชาวฮ่องกงคนแรกที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ สำหรับภาพยนตร์ของหว่องที่เหลียง เฉาเหว่ย ร่วมแสดงและโด่งดังเป็นที่รู้จักมีดังนี้ Days Of Being Wild, Chungking Express, Happy Together, In The Mood For Love และ 2046

 

5) คริสโตเฟอร์ ดอยล์ ช่างภาพคู่บุญ

ผู้ที่อยู่เบื้องหลังภาพสวยๆ บรรยากาศเหงาๆ ก็คือ ‘คริสโตเฟอร์ ดอยล์’ เรียกได้ว่าเป็นผู้กำกับฯ ภาพคู่บุญที่หว่องไว้วางใจ ให้อิสระเต็มที่ในการควบคุมโทนภาพของภาพยนตร์แทบทุกเรื่อง จนหว่องเคยให้สัมภาษณ์ว่าเอกลักษณ์นี้ได้กลายเป็นเครื่องหมายการค้าไปแล้ว แต่อาจจะมีบางครั้งที่คิวของคริสโตเฟอร์ ดอยล์ ไม่ว่าง หว่องก็ได้หันไปใช้บริการตากล้องคนใหม่อย่าง หลี่ผิงปิง ซึ่งทำให้ภาพที่ออกมามีเนื้อหาอารมณ์ของภาพยนตร์ที่นำเสนอให้เห็นมุมมองใหม่ๆ แต่ยังไม่ทิ้งลายเซ็นเดิมไปเสียทีเดียว

 

หมายเหตุ: มงคลซีนีม่าจัดเทศกาล The World of Wong kar-Wai’s Retrospective นำภาพยนตร์เรื่องดังมาจัดฉายใหม่ในฉบับรีมาสเตอร์ 4K เริ่มมาตั้งแต่ 29 ตุลาคม จนถึงธันวาคมเดือนหน้า โดยเลือกเฟ้น 5 ภาพยนตร์ของผู้กำกับระดับตำนานมาฉายในโรงภาพยนตร์ House Samyan รวมถึงเครือ SF Cinema และ Major Cineplex มีกำหนดฉายดังนี้

 

IN THE MOOD FOR LOVE

กำหนดฉาย 29 ตุลาคม 2563

HAPPY TOGETHER

กำหนดฉาย 12 พฤศจิกายน 2563

FALLEN ANGELS

กำหนดฉาย 26 พฤศจิกายน 2563

2046

กำหนดฉาย 10 ธันวาคม 2563

CHUNGKING EXPRESS

กำหนดฉาย 24 ธันวาคม 2563

 

เรื่องไอ...ไอ

ช่วงนี้ ‘เรื่องไอ’ มาแรงค่ะ ใครบอก? คุณครูบอกเองฮ่ะ

 

ไล่ไปตั้งแต่เด็กนักเรียนในห้องที่ไอค้อกแค้ก เพราะอากาศเปลี่ยน เป็นหวัดกันเป็นแถ้ว หรือเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จบสิ้นไปเรียบร้อย แต่ก็มีคนออกมาบอกว่า ‘ไอไม่รับผลการตัดสินเฟร้ย!’ แหม่ เรื่องนี้ก็คาราคาซังกันอยู่ 

 

กลับมาที่สภาบ้านเรา เมื่ออาทิตย์ก่อนก็เพิ่งมีการประชุมสภาวาระสำคัญ เรื่องการโหวตรับหลักการร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ    ปรากฎว่า รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน หรือที่เรียกว่า ฉบับร่าง iLaw ก็ถูกตีตกไป

 

เห็นม้ะคะ เชื่อครูยัง ว่าเรื่อง ‘ไอ’ มาจริงไรจริง งั้นคุณครูขอสอนเรื่องไอ...ไอ มีไออะไรน่ารู้บ้าง เปิดคลาสค่ะ!

24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553...ครบ 10 ปี ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์

วันนี้เมื่อ 10 ปีก่อน ถือเป็นวันสำคัญของเมืองไทย เมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคไปทรงเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ รวมถึง สะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 ทั้งหมดเป็นโครงการในพระราชดำริที่ทรงตั้งใจแก้ปัญหาให้กับประชาชน

 

โดยที่มาของการสร้างประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ เกิดขึ้นจากการทรงเห็นว่า สภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมมีลักษณะไหลวนคดเคี้ยว โดยเฉพาะบริเวณรอบพื้นที่บางกระเจ้า ที่มีความยาวถึง 18 กิโลเมตร ส่งผลให้การระบายน้ำที่ท่วมพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพมหานครเป็นไปได้ช้า ไม่ทันเวลาน้ำทะเลหนุน

 

จึงมีพระราชดำริให้พัฒนาใช้คลองลัดโพธิ์ ซึ่งเดิมมีความตื้นเขินและมีความยาวราว 600 เมตร ให้เป็นประตูระบายน้ำที่หลากและน้ำที่ท่วมสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้ลงสู่ทะเลทันที และจะปิดคลองลัดโพธิ์เมื่อน้ำทะเลหนุน เพื่อหน่วงน้ำทะเลไม่ให้ขึ้นลัดเลาะไปตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยาที่คดโค้งถึง 18 กิโลเมตรด้วยกัน

 

ในส่วนของสะพานภูมิพล 1 และ 2 ทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้างเพื่อรองรับการขนถ่ายและลำเลียงสินค้าจากท่าเรือกรุงเทพ ไปยังพื้นที่อุตสาหกรรมใน จ.สมุทรปราการ และพื้นที่อื่นๆ ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาการจราจร โดยเฉพาะรถบรรทุกขนาดใหญ่จากแหล่งอุตสาหกรรม เพื่อให้มีช่องทางเลี่ยงออกจากใจกลาง กทม. สู่ต่างจังหวัดได้ทันที

 

ทั้งหมดคือพระราชประสงค์เพื่อแก้ปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดียิ่งขึ้น จากวันนี้และในอนาคตสืบไป...

 

อย่าเสีย ‘เพื่อน’ เพียงเพราะ ‘การเมือง’

ไม่มีสถานการณ์ไหนจะร้อนแรงเฟร่อเท่าเรื่องมุมมองทางการเมือง โดยเฉพาะมุมมอง ‘ที่เห็นต่าง’

 

พฤติกรรมหนึ่งที่หลายคนเคยเจอ คือการได้อ่านสเตตัสในมุมมองตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองคิด (หรือชื่นชอบ) อ่านมากๆ แล้วก็คันหัวใจ คันปาก และคันนิ้ว ต้องพิมพ์ใส่ในคอมเม้นเพื่อเถียง พอเถียงไป เขาก็เถียงกลับ งั้นเถียงต่อ มันก็เถียงกลับมาอีก เริ่มซัดกันนัว ระอุ ดุเดือด รู้ตัวอีกที ‘อ้าว! นี่เพื่อนกรูเอง!’

 

บรรยากาศตอนนี้ เราทะเลาะกับเพื่อน หรืออิหยังวะกับเพื่อน เพราะเรื่องการเมืองกันมากมาย ไม่รู้มีโพลสำนักไหนเคยไปทำแล้วหรือยัง แต่เชื่อว่า พฤติกรรมยอดฮิตกับเรื่องเห็นต่างทางการเมืองที่มาเป็นอันดับ 1 คือ การกด Unfriend (เพื่อนซะเล้ย!)

 

กด Unfriend ทำไม?

 

กดเพื่อให้รู้ว่า โกรธ ไม่พอใจ ไม่ชอบที่แกคิดไม่เหมือนกับฉัน เป็นชั่วอารมณ์แวบเดียวที่อยากจะแสดงความไม่พอใจใส่เพื่อน แต่พอรู้ตัวอีกที อ้าว! ยุ่งล่ะ พรุ่งนี้เดี๋ยวก็ต้องไปเจอมันที่โรงเรียน ที่มหา’ลัย หรือที่ทำงาน แล้วฉันจะทำตัวยังไง ฉันจะมองหน้าแกยังไง เคยมีเคสหนักๆ กำลังจีบหญิงที่หมายปอง แต่ฝ่ายหญิงดันอยู่คนละขั้วการเมือง ไปเผลอกด Unfriend งานนี้จบ!

 

จะบอกว่า เรื่อง Unfriend ไม่ใช่เรื่องผิดบาปอันใดหรอก ด้วยยุคสมัยนี้ มันมีพื้นที่ที่ทำให้เราไม่ต้องไปเจอกันต่อหน้า เราถึงแสดงออกผ่านทางโลกเสมือนจริง ใช้สัญลักษณ์บางอย่างเพื่อแสดงให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ มันก็ดีที่ไม่ต้องมาทะเลาะกันแบบตรงๆ แต่ในมุมกลับกัน มันก็ทำให้เราใจร้อน ใจเร็ว ตัดสินใจด้วยอารมณ์แค่แวบเดียว

 

เพื่อนบางคนคบกันมา 10-20 ปี เคยทะเลาะกับมันมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งเมื่อได้พูดคุย ขอโทษขอโพยกัน (ด้วยเสียงและการเจอตัวเป็นๆ) ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนก็ยังอยู่คงเดิม แต่พอมีสื่อโซเชี่ยลมีเดียที่ไม่ต้องทำให้เราเจอกันตรงๆ แบบเห็นหน้า เราก็หาได้แคร์เพื่อนไม่ เขียนอะไรไม่เข้าหูเข้าตา กด Unfriend แม่มซะเลย!

 

ถามว่าแล้วจะให้ทำยังไงถ้าไม่กด Unfriend?

 

ก็ปุ่มในโซเชี่ยลมีตั้งเยอะ ลองกด Hide ไหม? หรือกด Unfollow ไปสักพักก็ได้ วิธีนี้ช่วยได้ทั้งเราและเพื่อน คือเราจะไม่เห็นสเตตัสการเมืองของเพื่อนให้รำคาญใจ และเพื่อนก็ไม่ต้องมารู้ว่าเราหงุดหงิด ความน่าแปลกใจต่อจากนั้นก็คือ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน เราจะลืมไปเลยว่าเคยทำอะไรไว้ แล้ววันหนึ่งจู่ๆ ก็นึกถึงสเตตัสของเพื่อนขึ้นมา ‘เออ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็นมันโพสต์บ้าๆ บอๆ อะไรเลยเน๊อะ’ ก็แหงสิ! เราไป Unfollow เขาอยู่พักใหญ่จนลืม เมื่อนึกขึ้นมาได้อย่างนั้น เราก็จะกลับไปติดตามเพื่อนดังเดิม (ด้วยความคิดถึง)

 

ปัญหาบางอย่าง อยู่ที่เราจัดการกับมันอย่างไร และที่สำคัญ มันยังฝึกให้เราเติบโตขึ้น โตด้วยวิธีคิด โตด้วยสติ และโตด้วยปัญญา  โลกโซเชี่ยลเหมือนการบ้านโจทย์ใหญ่ ที่ให้เราได้เรียนรู้ ได้แก้ปัญหา และได้เห็นการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของมัน มองอย่างเข้าใจ และมองให้เป็นประโยชน์ เราก็จะได้ประโยชน์จากมัน

 

ส่วนเรื่องการเมืองกับเพื่อนนั้น บางทีไม่ต้องคิดซับซ้อนเหมือนโลกโซเชี่ยล ถามง่ายๆ ว่า การเมืองอยู่กับเรามากี่ปี? แล้วเพื่อนอยู่กับเรามากี่ปี? เพื่อนยืมเงินได้ พาไปเลี้ยงข้าว เลี้ยงเหล้าได้ แต่การเมืองพาเราไปแบบนั้นได้ไหม ยืมเงินการเมืองได้ไหม แล้วที่สำคัญ การเมือง (ที่เราชื่นชอบ) ก็ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด เพราะสักวันหนึ่ง ตัวละครใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้น

 

แต่สำหรับเพื่อน เป็นตัวละครในชีวิตที่จะอยู่กับเราไปจนวันตาย...

 

 

   

23 พฤศจิกายน...วันแห่งการฉลองความสามารถพิเศษของตัวเอง

เพราะคนทุกคนล้วนมีความสามารถ และมีศักยภาพเป็นของตัวเอง เพียงแต่ความสามารถนั้นจะถูกได้รับการชื่นชม หรือถูกนำไปให้ผู้อื่นรับรู้ในวงกว้างหรือไม่

 

แต่สาระสำคัญของความสามารถจริงๆ นั้น อาจไม่ใช่แค่ต้องเป็นที่ยอมรับของคนอื่น แต่ความสามารถที่เรามี ควรที่จะต้องนำไปพัฒนาตัวเอง แม้เป็นเรื่องเพียงน้อยนิด แต่อย่างน้อย...มันก็ทำให้เราได้ ‘ภูมิใจ’ ในความสามารถของตนเอง

 

เกริ่นมาเยิ่นยาว เพราะกำลังจะบอกคุณว่า วันนี้ 23 พฤศจิกายน (ของทุกปี) ถูกกำหนดให้เป็น ‘วันแห่งการฉลองความสามารถพิเศษของตัวเอง’ ฟังชื่อวันคงรู้สึกแปลกหู วันอะไรแบบนี้ก็มีด้วยเหรอ? ก็มีดิคร้าบ! วันนี้ถูกตั้งขึ้นมาในปี ค.ศ. 2005 ด้วยจุดประสงค์ของการให้ความสำคัญกับทักษะความสามารถของมนุษย์นั่นเอง

 

ไม่ว่าคุณจะกลั้นหายใจดำน้ำได้นานสุดๆ หรือคิดเลขได้เร็วปานรถไฟความเร็วสูง หรือถักนิตติ้งได้เร็วและนานเป็นวันๆ แม้แต่แค่เป่านกหวีดทางจมูกได้ ทุกอย่างล้วนเป็นความสามารถเฉพาะตัว ที่ในวันนี้ เราสามารถบอกกับคนทั้งโลกได้ว่า เฮ้ย! ข้าก็มีของดีนะเฟ้ยยย!

 

กิจกรรมในวันนี้ยังเชิญชวนให้ทุกๆ คนได้ถ่ายภาพความสามารถของตัวเอง แล้วอัพโหลดลงยูทูบเพื่อให้คนอื่นๆ ได้เห็นถึงความสามารถของเราอีกด้วย เอาล่ะ เขียนมาขนาดนี้แล้ว ถ้าวันนี้มีเวลาว่าง ลองมองหาความสามารถของตัวเอง แล้วโชว์ให้คนอื่นดูสักหน่อย บอกโลกให้รู้ว่า เราเองก็มีดี จัดไป!

 

อ้างอิง: https://www.daysoftheyear.com/days/celebrate-your-unique-talent-day/

สเปอร์ vs แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ศึกแห่งศักดิ์ศรีผู้จัดการทีม

สำหรับแฟนบอลตัวยงแล้ว หนึ่งในสีสันจัดจ้าน ที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจ นั่นก็คือ การโคจรมาปะทะกันข้างสนามของ 2 โคตรกุนซือ ‘โชเซ่ มูรินโญ่ vs เป๊ป กวาร์ดิโอล่า’

 

อดีตที่ผ่านมา คู่นี้เคยคุมทีมมาเจอกันหลายครั้งหลายหน ส่วนใหญ่จะเป็น ‘จ่ามู’ ที่มักจะเสียท่าพ่ายแพ้ให้กับทีมของเป๊ปประจำ และคืนนี้ ทั้งคู่มีอันต้องโคจรมาดวลกันอีกครั้ง

 

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ vs แมนเชสเตอร์ ซิตี้

 

วัดกันตามสถานภาพตำแหน่งในลีกตอนนี้ สเปอร์จากที่ลุ่มๆ ดอนๆ ช่วงเปิดลีกใหม่ๆ แต่ ณ ขณะนี้ทรงดี ขนาดขึ้นไปรั้งตำแหน่งรองจ่าฝูง เป็นทีมหนึ่งที่เริ่มลงตัว มูรินโญ่มีผู้เล่น 11 ตัวจริงในแต่ละเกมเป็นที่เรียบร้อย ต่างจากแมนฯ ซิตี้ของเป๊ป ที่เล่นไป ปรับจูนไป ฤดูกาลนี้ยังไม่เจอทีมที่เสถียรสักที เป็นผลให้ตอนนี้ยังอยู่ที่ 10 ของตาราง

 

มหากาพย์ของเป๊ปและมูจะออกผลยังไงไม่รู้ แต่ล่าสุด เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เพิ่งประกาศต่อสัญญาอยู่กับทีมยาวๆ ไปถึงปี 2023 ก็เชื่อแน่ว่า บรรยากาศภายในทีมคงดูคึกคักขึ้น ดังนั้น จะประมาทลูกทีมของเป๊ปไม่ได้ ส่วนคีย์แมนของซิตี้ คงหนีไม่พ้น เควิน เดอ บรอยน์ รวมไปถึง ไอ้หนูฟิล โฟเด้น ที่เพิ่งโชว์ฟอร์มแจ่มในทีมชาติอังกฤษมาหมาดๆ ด้านสเปอร์ก็คงพึ่งพากัปตันทีม แฮร์รี่ เคน และ SHM7 ซงฮึงมิน

 

น่าสนใจว่า ในความเป็นเจ้าบ้าน มูรินโญ่จะพาลูกทีมเปิดหน้าซัดกับแมนฯ ซิตี้ แบบแลกหมัดเลยหรือไม่ แต่เราเชื่อว่าไม่! (อ้าว?) เพราะขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ตัวพ่อทฤษฎีรถบัส’ งานนี้เฮียเครียดมาเล่นเกมล่อตะเข้ลงบ่อ แล้วจัดการทุบๆๆๆๆ ตะเข้แน่นอน แต่กลับกัน, ถ้าทุบตะเข้ไม่ได้ ก็อาจโดนตะเข้งาบได้ อันนี้ก็ต้องติดตาม

 

พบกับมหากาพย์ภาคล่าสุดของ มูและเป๊ป ได้คืนนี้ 00.30 น. หรือเที่ยงคืนครึ่ง (ดึกจุง) แต่บอลมันส์อย่างนี้ ดึกยังไงก็ต้องดู! ปู๊นๆ!

 

21 พฤศจิกายน...วันแห่งจอตู้

ถ้าถามผู้คนในวันนี้ ว่าของชิ้นไหนในโลกที่สามารถรวมความสนใจคนเอาไว้ในที่เดียวกันได้ คำตอบคือ สมาร์ทโฟน รวมถึงโซเชี่ยลมีเดีย แต่หากย้อนกลับไปราวปี ค.ศ.1925 มีอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งกำเนิดขึ้นมา แถมมันยังสามารถรวมผู้คนให้มาอยู่ที่หน้าจอเดียวกันได้ เราเรียกมันว่า โทรทัศน์

โทรทัศน์เครื่องแรกของโลก เป็นผลงานการประดิษฐ์ของ จอห์น โลกี้ เบียร์ด ชาวสกอตแลนด์ เขาได้ทดลองส่งสัญญาณภาพวัตถุไปยังเครื่องรับภาพอีกเครื่องได้เป็นผลสำเร็จ ต่อมาก็กลายเป็นโทรทัศน์ที่ยังไม่มีสี (ขาว-ดำ) กระทั่งพัฒนาไปสู่โทรทัศน์สี

จนถึงวันนี้มีทั้งแบบจอแบน จอทัชสกรีน สมาร์ททีวี มาไกลจนหากว่านายจอห์น โลกี้ เบียร์ด ได้มาเห็น คงต้องทึ่งในพัฒนาการสิ่งที่ตัวเองคิดค้นอย่างแน่นอน

วันนี้เป็น ‘วันโทรทัศน์โลก’ เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงเรื่องการสื่อสารและการเผยแพร่ข่าวสารของผู้คนทั่วโลก รวมทั้งยังรณรงค์เรื่องความปลอดภัยในการบริโภคสื่อ แม้ว่าปัจจุบันจะมี ‘สื่อต่าง ๆ’ เกิดขึ้นอีกมากมาย แต่โทรทัศน์ก็ยังคงเป็นสื่อพื้นฐานหลัก และยังเป็นจุดศูนย์รวมผู้คนทั้งโลกเอาไว้ได้อยู่เหมือนเดิม

.

อ้างอิง: https://th.wikipedia.org/wiki/โทรทัศน์

3 นางเอกสายเกา...ยิ่งดูยิ่งปัง

ไม่ได้มีแค่สาว ๆ เขาหลงใหลพระเอกสายเกาเท่านั้นะ แต่หนุ่มไทยมากมาย ก็ปลื้มอกปลื้มใจ นางเอกสายเกาหลีเหมือนกัน โดยเฉพาะ 3 คนนี้ ‘คิมโกอึน & คิมดามี & พัคโซดัม’ ทั้งหมดมีความพิเศษคล้าย ๆ กัน ตรงที่หากเพียงเห็นแวบแรก จะรู้สึกเฉย ๆ กับพวกเธอ อารมณ์ประมาณว่า ‘อึ๋ย! หน้าตาธรรมดา ๆ เป็นนางเอกได้ไง?’

แต่! อย่าสบประมาทความน่ารักของพวกเธอ เพราะถ้าหากดูซีรี่ส์ที่เธอเล่นไปเรื่อย ๆ อารมณ์ที่บอกไปทีแรก จะเปลี่ยนไปทันที ‘อึ๋ย! น่ารว้อกอ่ะ!’ 

เพราะใคร ๆ ก็ตกหลุมรักเธอ The States Times Lite ก็เลยตกหลุมรักเธอ ไม่ช่าย! เราก็เลยต้องไปทำความรู้จักกับ 3 นางเอกสายเกา ที่แต่ละคนบอกเลยว่า ผลงานไม่ธรรมดา!


คิมโกอึน

นางเอกสาวผู้โด่งดังจากซีรี่ส์ ‘ก็อบลิน’ (Goblin) เธอประกบคู่กับพระเอกฉายาสามีแห่งเอเชีย ‘กงยู’ แต่ก่อนที่จะดังเปรี้ยงปร้าง คิมโกอึนเคยใช้ชีวิตที่ประเทศจีนมากว่า 10 ปี ก่อนที่จะบินกลับมาที่เกาหลีใต้ และเรียนจบทางด้านการแสดงจาก Korea National University of Arts 

โกอึนเริ่มต้นงานแสดงจากภาพยนตร์ดราม่า-อีโรติกเรื่อง A Muse ก่อนจะตามมาด้วย Memories of the Sword (ค.ศ.2015) และ Coin Locker Girl (ค.ศ.2015) ซึ่งส่วนใหญ่งานของเธอจะเป็นการแสดงภาพยนตร์ และเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากซีรีส์เรื่อง Cheese in the Trap (ค.ศ.2016) และ Goblin (ค.ศ.2016 - 2017) กระทั่งเมื่อปีที่แล้วก็ได้มาประกบกับพระเอกสุดฮอต ลีมินโฮ ใน The King: The Eternal Monarch 

ใครที่เคยผ่านตาผลงานของโกอึนตั้งแต่เรื่องแรก ๆ จะสัมผัสได้ว่า เธอมีใบหน้าที่เรียบ ๆ เหมือนสาวหมวยเกาหลีทั่วไป แต่ก็เป็นเรื่องน่าแปลกว่า ยิ่งพอดูเธอแสดงไปเรื่อย ๆ กลับมีเสน่ห์ชวนมองมากขึ้น และสุดท้ายเราก็ตกหลุมรักเธอจนได้!

.

คิมดามี

อีกหนึ่งนางเอกหน้ากวน ที่ดูไปดูมา อ้าว น่ารักเฉย ซึ่งใคร ๆ ก็พากันตกหลุมรักเธอ กับบทบาท ‘โซอีซอ’ ในซีรี่ส์สุดฮิต Itaewon Class ตัวจริงของเธอนั้นมีชื่อจริงๆ ว่า คิมดามี ปัจจุบันอายุ 25 ปี เข้าวงการบันเทิงมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2017 เธอเริ่มต้นงานแรกด้วยการเป็นนักแสดงสมทบในหนังเรื่อง Romans 8:37 ก่อนจะแจ้งเกิดใน The Witch: Part 1. The Subversion (ค.ศ.2018) ซึ่งดามีเป็น 1 ในนักแสดง 1500 คนที่ได้รับเลือกจากการออดิชั่นหนังเรื่องนี้ แถมพอหนังเข้าฉาย เธอก็กวาดรางวัลเป็นว่าเล่น ไม่ว่าจะเป็นรางวัลนักแสดงหน้าใหม่หญิงยอดเยี่ยม จากงานประกาศรางวัล 39th Blue Dragon Film Awards และรางวัลนักแสดงดาวรุ่ง จากงานประกาศรางวัล 3rd London Asian Film Festival

ลำหรับซีรี่ส์เรื่อง Itaewon Class ถือเป็นงานซีรี่ส์เรื่องแรกของเธอ แต่กลับกลายเป็นซีรี่ส์ที่ส่งให้ชื่อของดามีโด่งดังเป็นพลุแตก ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วยใบหน้ากวน ๆ (ที่ไม่ได้มาแนวสวยใส) พร้อมวิธีการแสดงออกของเธอ มันทำให้คนดูอย่างเรา ๆ รู้สึกสนุก และพากันให้กำลังใจตัวละคร ‘โซอีซอ’ ที่เดินหน้าจีบพระเอก ‘พัคแซรอย’ อย่างสุดใจ

.

พัคโซดัม

อีกหนึ่งหมวยที่เราต้องหลงรักเธอ! กับผลงานล่าสุด ซีรี่ส์เรื่อง Record of Youth นางเอกสาววัย 29 ปีคนนี้ รับบทเป็นช่างแต่งหน้า แถมยังเป็นติ่งของพระเอกในเรื่อง ที่รับบทโดย พัคโบกอม หากใครได้เห็นเพียงโปสเตอร์ของซีรี่ส์เรื่องนี้ อาจคาดหวังว่าคงได้กรี้ดกับใบหน้าหล่อใสกิ๊งของพัคโบกอม แต่พอดูไปดูมา อ้าว! เราเพลินกับความหน้าเก๋ของพัคโซดัมไปซะอย่างนั้น

หลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตาเธอมาบ้างแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ โซดัมคือหนึ่งในนักแสดงของหนังแห่งปีอย่าง Parasite ที่กวาดมาทุกเวที จากเกาหลีไปยันออสการ์ โซดัมจบการศึกษาด้านการแสดงจากมหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติเกาหลี (Korea National University of Arts)​ ซึ่งที่ผ่านมา เธอเป็นนักแสดงที่มีผลงานทั้งภาพยนตร์และซีรี่ส์มาพอสมควร ความเก่งของเธอคือการแสดงที่ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนว่าเธอไม่ได้แสดง เหมือนอย่างเรื่อง Record of Youth ที่เธอแสดงได้เนียนตาเอามากๆ เผลอรู้ตัวอีกที เราก็ตกหลุมรักเธอไปอีกแล้วเช่นกัน เฮ้อ...

.

เรียกว่าเป็น 3 นางเอกสายเกาที่มาแรงในช่วงเวลานี้จริงๆ และเร็วๆ นี้ พวกเธอก็จะมีผลงานมาให้ได้ชมกันอีกอย่างแน่นอน สาวกซีรี่ส์เกาหลีห้ามพลาดดดด!

 

20 พฤศจิกายน พ.ศ.2340...223 ปี ‘รามเกียรติ์’ ยังอินเทรนด์

‘โขน’ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แถมยังกลายเป็นความร่วมสมัย โดยเฉพาะกับโขนเรื่องสำคัญที่คนไทยรู้จักกันดี ‘รามเกียรติ์’

ย้อนกลับไป วันนี้เมื่อกว่า 223 ปีก่อน ถือเป็นวันแรกที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงเริ่มพระราชนิพนธ์วรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ โดยตั้งแต่ต้นเรื่องไปจนจบเรื่อง ทรงนิพนธ์ลงในสมุดไทยไปถึง 102 เล่ม ซึ่งหากพิมพ์เป็นหนังสือขนาด 8 หน้ายกอย่างในปัจจุบัน จะมีความหนากว่า 2,976 หน้าเลยทีเดียว

รามเกียรติ์ เป็นเรื่องราวการทำศึกสงครามระหว่างฝ่ายพระราม (มนุษย์) กับฝ่ายทศกัณฐ์ (ยักษ์) เนื่องจากทศกัณฐ์ได้ลักพาตัวนางสีดา มเหสีของพระรามไป โดยฝ่ายพระรามมีทหารเอกชื่อ หนุมาน เป็นลิงเผือก พร้อมด้วยพรรคพวกอีกมากมายคอยช่วยเหลือ

โดยสาเหตุที่รัชกาลที่ 1 ทรงนิพนธ์รามเกียรติ์ขึ้นนี้ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่บ้านเมืองเพิ่งผ่านศึกสงคราม จึงมีพระราชประสงค์ให้วรรณคดีเรื่องนี้เป็นเครื่องมือในการฟื้นฟูด้านศิลปวัฒนธรรมของบ้านเมืองนั่นเอง

รามเกียรติ์ ถุกเล่าผ่านยุคผ่านสมัยมามากมาย ถึงวันนี้ รามเกียรติ์ยุค 2020 ก็ยังถูกเล่าขานต่อไป แต่มาด้วยภาพลักษณ์อันร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นภาพลายเส้นการ์ตูน หรือแม้แต่สติกเกอร์ไลน์ เป็นวรรณคดีอมตะที่ยังคงมีลมหายใจ และทรงคุณค่าให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป

วาไรตี้ที่สีลม...

ไม่ใช่เพราะรถไฟฟ้าบีทีเอสขัดข้อง แต่เราลงเดินเท้า เพราะอยากเก็บภาพย่านธุรกิจที่ว่าราคาสูงท็อปสามของประเทศ อย่างสีลม จากวัดแขก ไปยันพัฒน์พงศ์ ซึ่งเป็นจุดผสมระหว่างวัฒนธรรม ความเชื่อไว้ถึง 3 และยังไม่นับรวม ร้านอาหาร ผับบาร์ พิพิธภัณฑ์18+ ที่ดึงดูดใจ ที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ จากการเป็นฮับด้านการท่องเที่ยวยามค่ำของหนุ่มๆ รุ่นปู่ รุ่นพ่อ รุ่นพี่ มาช้านาน และน้อยคนจะทราบว่า ที่นี่มีแหล่งกบดานซีไอเออยู่ด้วย

การเดินเล่นที่ ‘สีลม’ ในวันนี้ มีความวาไรตี้ ทั้งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ปาร์ตี้ ผสานการเรียนรู้วันเก่าใหม่ ไปพร้อมๆ กัน อ้อ! ไม่ลืมแวะอิ่มท้องกับของอร่อย ที่ไม่สามารถสัมผัสได้จากฟู้ดเดลิเวอรี่เจ้าไหน สั่งกลับยังไงก็สู้มานั่งกินร้อนๆ กับเพื่อนรักตรงนี้ไม่ได้ และบางทีอาจชิลยาวไป ถ้ารู้ใจ ไม่ว่าหยิบจับ กินดื่ม อะไร ก็เข้าใจกัน

.

ใครคาดหวัง และต้องการกำลังใจ ซัพพอร์ตเรื่อง ความรัก ความสำเร็จเรื่องเงินและการงาน ต้องมา วัดพระศรีมหาอุมาเทวี หรือ วัดแขกสีลม (ปากถนนปั้นฝั่งสีลม) ซึ่งเป็นโบสถ์พราหมณ์เก่าแก่กลางกรุง เทวสถานนี้มีหลักฐานปรากฏมาตั้งแต่สมัย ร.5 ราว พ.ศ.2453 - 2454 โดยคณะผู้ศรัทธาชาวอินเดียใต้ผู้อาศัยอยู่ย่านตำบลริมคลองสีลม อำเภอบางรัก และตำบลหัวลำโพง อำเภอบางรัก ผู้คนหลากเชื้อชาติ มากราบไหว้ บูชา แต่หากจะถ่ายภาพเก็บความทรงจำ จะทำได้เพียงด้านนอกเท่านั้น เพราะไม่มีใครที่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายภาพนิ่งหรือวิดีโอ ภายในได้ ต้องเข้าไปสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้น

.

.

ข้าง ๆ วัดแขก ด้านถนนสีลม นอกจากทิวแถวร้านมาลัยงดงามสำหรับซื้อถวายเทพขอพรแล้ว ร้านเบเกอรี่เก่าแก่อย่าง ดี.เค. เบเกอรี่ แบรนด์ขนมปัง 70 ปี ที่ผ่านมือมาสามรุ่น มีดีที่โฮมเมด นวดและขึ้นรูปก้อนต่อก้อน ไม่ใส่สารกัดบูดอะไรทั้งสิ้น ฮอตฮิตทั้งสังขยาใบเตย และสังขยาไข่ รวมถึง คุ๊กกี้ เอแคลร์ และขนมปังหัวกะโหลก ไม่ว่าจะเศรษฐกิจฟองสบู่แตก หรือ ควิด ก็ดูสิ คนยังมากันเรื่อย ๆ อบขายกันไม่เว้นวัน อย่าเชื่อเรา ให้เชิญลอง

.

.

ฝั่งตรงข้าม ถนนปั้น เป็นซอยสีลม 20 ลึกเข้าไปเพียง 30 - 50 เมตร เป็นที่ตั้งของ มัสยิดมีราซุดดีน ใครเห็นโดมทองจับแสงยามบ่าย ก็อดหยุดภาพไว้ในกล้องไม่ได้แน่นอน ‘มัสยิดมีราซุดดีน’ เป็นมัสยิดประจำชุมชนของแขกยะวา ที่อพยพมาจากเกาะชวาของอินโดนีเชีย เคยอยู่ในซอยประดิษฐ์ อันที่จริงควรมีไก่ทอดและอาหารมุสลิมเลี่ยงชื่อประจำย่านอยู่ตรงนี้ให้ได้แวะชิ แต่วันที่เรามาเดินเตร็ดเตร่เป็นช่วงหยุดของคนขาย แหม เสียดายจัง ใครอ่าน The States time Lite ถึงแคปชั่นภาพนี้ แล้วมาในวันที่ได้กินไก่ทอด ขอร้องให้เอามาอวดได้เลย เราไม่ว่ากัน

.

.

เกรงจะไม่ครบสามโบสถ์ อย่างที่จั่วหัวเรื่องไว้ ขอโดดข้ามไปยังปลายซอยคอนแวนต์ มุมหนึ่งของสีลม ก็มีโบสถ์คริสต์สไตล์อังกฤษ ในอดีตไคร้สตเชิชเป็นคริสตจักรนานาชาติที่มีสมาชิกในที่ประชุมมาจากนานาประเทศ  และมีภูมิหลังความเชื่อจากหลายคณะนิกาย ตัวโบสถ์แห่งนี้ เกิดจากพระบรมราชานุญาตของ รัชกาลที่ 5 พระราชทานที่ดินให้หลังเหล่าคริสตสานิกชนยื่นถวายฎีกา ตรงนี้จึงเป็นทั้งศูนย์รวมความศรัทธา และสถาปัตยกรรมเรียบหรูงดงามกลางสวน

.

ได้ทีเข้าย่านพัฒน์พงศ์แล้ว เห็นแขกใครไปใครมา ชอบพูดกันว่าเป็นฮับสายไนท์ ไลฟ์ แบบดาร์ก ๆ ตั้งแต่รุ่นคุณปู่ คุณพ่อ แต่หลังโควิดนี่ออกจะเงียบเหงาไปผิดจากเรื่องที่ได้ยินมา แต่กลับทำให้เราได้เห็น สตีล ไลฟ์ ชัดเจนกว่าเก่า ทั้งอาคารและการตกแต่งย้อนยุค แต่ก็เฟี้ยวไม่น้อย เพลินกับการแหงนมองดูโครงศิลปะโมเดิร์นผสมผสานประดับประดากับตัวตึกเก่า ที่หาไม่ได้ในอาคารสมัยใหม่

.

.

เหนือจากหมู่ตึก ผับและบาร์ ในย่านนี้ ชั้น 2 ของอาคาร เพิ่งก่อกำเนิด พิพิธภัณฑ์พัฒน์พงศ์ หรือ พัฒน์พงศ์ มิวเซียม ขึ้นเมื่อปลายปีพ.ศ. 2562 รวมเอาประวัติศาสตร์ ความเป็นมาและเป็นไป และเรื่องราวที่คุณอาจรู้ และไม่รู้ เกี่ยวกับย่านนี้ 

.

.

ไมเคิล เมสเนอร์ (Mr.Michael Messner) เติบโตมาในบ้านที่คุณพ่อเป็นศิลปินและเคยดูแลพิพิธภัณฑ์ที่บ้านเกิดออสเตรีย โชคชะตาพาเขามาที่ประเทศไทยและได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวไทย และตัดสินใจลงหลักปักฐานที่นี่ เริ่มธุรกิจจากร้านอาหารในย่านพัฒน์พงศ์ เวลาผ่านไปเขาได้สัมผัสประสบการณ์มากมาย จากลูกค้าขาประจำย่านนี้ล้วนมีเรื่องเล่าที่ไม่ธรรมดา และมีจำนวนไม่น้อยที่เคยเป็นทหารผ่านศึกจากช่วงสงครามเวียดนาม บ้างเป็นสายสืบให้กับ CIA บ้างเป็นผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นละแวกนี้ เขาจึงมีไอเดียริเริ่มที่จะสะสมร่องรอยประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กว่า 100 ปี รวมถึงเกร็ดความรู้ ความเป็นมา เบื้องหลังแสงสีและความเย้ายวนใจของถนนพัฒน์พงศ์ อันเป็นย่านบันเทิงยามราตรีเก่าแก่ และมีชื่อเสียง ที่มีความผูกพันในเชิงประวัติศาสตร์ระหว่างชาวไทยกับชาวอเมริกัน 

.

.

ลึกเข้าไปจากโซนประวัติศาสตร์ และความเป็นมาเป็นไป เป็นส่วน 18+ ที่พ่อแม่ที่แวะมากับเด็กๆ ต้องหยุดพวกเข้าไว้แค่ประตูนี้ แต่ถ้าคุณคือ 18+ แล้วก็เชิญ คุณได้ไปต่อ แล้วเจอกับบาร์เก๋ ทั้งแสง สี ดนตรี เครื่องดื่ม และเรื่องเล่าผ่านสื่อโปสเตอร์ และวิดิโอ วิ่งวนจนต้องร้องขอชีวิต Oh my goddd 

.

มาต่อกันที่ ดาร์บี้ คิงส์ (Darby Kings ) คาเฟ่โบราณ มาย่านสีลมต้องมาโดนร้านนี้ ที่นี่มีดีทุกจาน กินมาแล้วตั้งแต่รุ่นคุณปู่ คุณพ่อ คุณอา จนมาถึงเรา เด็ดมาก ข้าวคลุกน้ำพริก ข้าวซอยกุ้ง ปอเปี๊ยะทอด และบรรดาก๋วยเตี๋ยวผัด และก๋วยเตี๋ยวสไตล์จีนต่างๆ นี่อร่อยหมด แวะมาพัฒน์พงศ์ มีหนึ่งร้อยบาท คุณก็กินอร่อยแบบตำนานได้ เชื่อเหอะ

.

.

อีกร้านเด็ดย่านสีลม เดอะ แมดริด คาเฟ่สไตล์ ยุโรป มีดีที่เนื้อ และซอส เพราะเจ้าของมีสามีเป็นเบลเยียม และคลุกคลีอยู่หลังครัวมาหลายสิบปี ร้านนี้สวย เหมาะทั้งกินข้าวแบบแฟน เพื่อน หรือครอบครัว และยังเหมาะนั่งดื่มปาร์ตี้เบาๆ เผาตับกันพอสนุก สไตล์แมดริด นั่งอยู่นี่ เห็นเครื่องตกแต่งร้านแล้วลืมไปเลยจริงๆ ว่า เรานี่อยู่ยุโรปหรือเปล่าเนี่ย อุ้ย หรือเมา...

 

10 Playlist อยากเปิดให้ ‘ทรัมป์’ ฟังตอนว่างงาน

ตามหน้าข่าว! ศึกแย่งชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2020 ปิดฉากลงเป็นที่เรียบร้อย 'โจ ไบเดน' ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต มีผลคะแนนเสียง Electoral Votes เกิน 270 เสียง ทำให้สามารถคว้าชัยชนะเหนือ 'โดนัลด์ ทรัมป์' อดีตผู้นำจากพรรคริพับลิกันได้สำเร็จ เตรียมก้าวสู่การเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 

งานนี้ทรัมป์ คุณคือผู้ที่ไม่ได้ไปต่อ ><’ ต้องเก็บกระเป๋าออกจากทำเนียบขาว โบกมือบ๊ายบายวลีอันโด่งดัง “Make America Great Again” หลงเหลือไว้เพียงตำแหน่ง ‘อดีตประธานาธิบดี’ จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา

การกลับมาเป็นพลเมืองอเมริกันธรรมดาก็คงทำให้ทรัมป์ตกอยู่ในสถานะว่างงานสักพักใหญ่ The State Time Lite ก็เลยเห็นใจท่าน เอ้ย! เห็นว่าท่านว่างๆ จึงขอจัด Playlist รวบรวม 10 เพลงดัง มอบให้ทรัมป์ฟังในช่วงเวลานี้ ถือเป็นบทเพลงแห่งการมูฟออนและการพักผ่อนหลังทำงานหนักมา 4 ปีเต็ม จัดไป!!


 

.

1. In The End - Linkin Park

เพลงร็อกระดับขึ้นหิ้งจากอัลบั้ม Hybrid Theory ของวง Linkin Park ที่เล่าถึงการพยายามทำอะไรสักอย่างอย่างเต็มที่ โดยทุ่มเททั้งความเชื่อมั่นและเชื่อใจ แต่สุดท้ายผลลัพธ์กลับว่างเปล่า ไม่ต่างจากทรัมป์ที่พยายามจะครองเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2 พยายามทำทุกหนทางเพื่อรั้งตำแหน่งไว้ แต่ก็พ่ายแพ้ผลการเลือกตั้งจากการตัดสินใจของประชาชนทั้งประเทศในที่สุด 

.

 

.

2. Don't Look Back In Anger – Oasis

สาวกบริตป๊อบและคอเพลงยุค ‘90s ต้องรู้จักเพลงนี้ของวง Oasis อย่างแน่นอน เหมาะที่จะมอบให้ทรัมป์ฟังเพื่อเตือนใจไว้เสมอว่า จงอย่ามองย้อนกลับไปในความโกรธเคืองเลยนะ เงยหน้าและมูฟออนต่อไป แพ้เลือกตั้งไม่ใช่จุดสิ้นสุดของทุกอย่าง กลับบ้านเปิดเพลงนี้กรอกหูน่าจะช่วยทำให้ใจเย็นขึ้นได้

.

 

.

3. American Idiot – Green Day

บทเพลงวิจารณ์การทำงานของสื่อและเหน็บแนมความฝันแบบอเมริกันชน ซึ่ง Green Day ขึ้นชื่อว่าเป็นวงดนตรีที่มักทำเพลงมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง และเคยทำมิวสิกวิดีโอล้อเลียนทรัมป์อยู่หลายครั้ง เมื่อทรัมป์ลงจากตำแหน่งแล้วก็หวังว่าเขาจะมีเวลาว่างนั่งทบทวนกระแสวิจารณ์ต่างๆ ผ่านบทเพลงของวงนี้ 

.

 

.

4. Be My Mistake - The 1975

เมื่อ 4 ปีก่อน ทรัมป์เคยได้คะแนนส่วนใหญ่มาครองและมีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศ ระหว่างนั้นมีการดำเนินหลายนโยบายที่สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าจะเป็นการกีดกันทางเชื้อชาติและศาสนา หรือแม้กระทั่งการควบคุมการระบาดของ COVID-19 แต่ยุคสมัยของผู้นำคนใหม่มาถึงแล้ว สิ่งที่ผิดพลาดในอดีตก็เก็บไว้เป็นบทเรียน

.

 

.

5. F*ck, I'm Lonely – Lauv

เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนแพ้ที่ต้องดูแลตัวเอง โดยเฉพาะในเวลานี้ที่ผู้คนทั่วโลกต่างพากันให้ความสนใจ ‘โจ ไบเดน’ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา สื่อต่างๆ ก็นำเสนอชีวประวัติและผลงานของเขาแทบทุกชั่วโมง จนแทบไม่มีใครสนใจทรัมป์แล้ว งานนี้แหละคือความเหงาที่แท้จริงจนต้องเปิดแทร็ก “F*ck, I’m Lonely” ฟังแก้เซ็ง

.

 

.

6. When The Party's Over - Billie Eilish 

งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกราฉันใด การนับผลคะแนนเลือกตั้งก็ต้องสรุปผลฉันนั้น แม้ช่วงแรกๆ คะแนนของทรัมป์จะนำโด่งในหลายรัฐ แต่ช่วงท้ายคะแนนของไบเดนก็ตีคู่และแซงขึ้นเป็นที่ 1 อย่างชัดเจน โดยเฉพาะคะแนนจากรัฐเพนซิลเวเนียที่เริ่มชี้ชะตาเป็นสัญญาณให้ทรัมป์เก็บกระเป๋ากลับบ้าน ไม่มีเพลงไหนจะเหมาะกับสถานการณ์นี้ไปกว่า “When The Party’s Over” เมื่อปาร์ตี้สิ้นสุดลงของบิลลี ไอริช  

.

 

.

7. Vacation Time - Part Time Musician

"This is the vacation time เวลานี้ช่างมีความหมาย ดื่มชีวิตช้าๆ แล้วพักผ่อน ลืมความจริงร้ายๆ ทิ้งเอาไว้ก่อน..."  เนื้อเพลงที่สื่อถึงช่วงเวลาของการพักผ่อนที่แท้จริง ต่อไปนี้จะไม่มีภาพทรัมป์หัวเสียหรือสบถเวลาแถลงข่าวในทำเนียบขาวให้เห็นกันอีกแล้ว เพราะจะเป็นเวลาแห่งการว่างงานให้ทรัมป์หยุดและพักเสียที 

.

 

.

8. ถ้าเขาจะรัก ยืนเฉยๆ เขาก็รัก - First Anuwat

ซิงเกิ้ลที่กำลังฮิตที่สุดในเวลานี้ เปรียบเทียบให้เห็นภาพได้ชัดเจน เหมือนอย่างทรัมป์ที่ผลปรากฏชัดแล้วว่าเขาพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้เสียทีเดียว มีการประกาศผ่านทวิตเตอร์ว่าตัวเองชนะเลือกตั้ง และเรียกร้องให้มีการนับผลคะแนนใหม่ในบางรัฐ ถือเป็นการฮึดสู้ครั้งสุดท้ายก่อนบ๊ายบายตำแหน่ง แต่สุดท้ายต่อให้พยายามแค่ไหน แต่ถ้าผลการเลือกของชาวอเมริกันส่วนใหญ่ชี้ชัดออกมาแล้ว ก็ต้องเคารพกติกาตามนั้น

.

 

.

9. ขวัญเอยขวัญมา - Palmy

ดูเหมือนทรัมป์จะเสียขวัญพอสมควรกับผลการเลือกตั้งที่ผลิกโผเหนือความคาดหมาย หลังจากที่คะแนนนำมาอยู่ดีๆ ก็ต้องถอยให้ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตซะงั้น และคาดว่าต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าทรัมป์จะยอมรับความจริงข้อนี้ได้ เห็นได้ชัดจากการถ่วงเวลาในการไม่ยอมแถลงรับผลการเลือกตั้ง อีกทั้งการกล่าวหาเรื่องการโกงเลือกตั้ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าคงต้องส่งเพลงเรียกขวัญให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวของทรัมป์ซะหน่อย

.

 

.

10. คนไม่จำเป็น - Getsunova

ปิดท้ายด้วยบทเพลงที่อยากให้ทรัมป์ยอมรับความจริงและมูฟออนโดยเร็ว ท่องไว้ให้ขึ้นใจว่าอดีตมันได้ผ่านไปแล้ว แต่ในปัจจุบันเขาคือคนไม่จำเป็นอีกต่อไป ต้องหลีกทางให้ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 46 เข้ามารับช่วงต่อและทำหน้าที่ในการบริหารประเทศ ทรัมป์ควรทำใจและเก็บกระเป๋าเดินออกจากทำเนียบขาวไปตามระเบียบ 

 

 

19 พฤศจิกายน...วันส้วมส้วม

‘เรื่องส้วม...เรื่องใหญ่’ ใครว่าไม่ใหญ่ ลองอั้นฉี่ ไม่เข้าห้องส้วมให้ได้ครึ่งวัน เราจะมอบเหรียญทองโอลิมปิกด้านกลั้นฉี่ให้ไปเลย

วันนี้ถูกยกให้เป็น 'World Toilet Day' หรือภาษาไทยแบบตรงไปตรงมาก็คือ 'วันส้วมโลก' เกิดขึ้นจากองค์การสหประชาชาติอยากให้ผู้คนทั่วโลก ตระหนักถึงปัญหาการสุขาภิบาล เนื่องจากมีสถิติบ่งชี้ว่า ผู้คนทั่วโลกในวันนี้กว่า 4.5 พันล้านคน มีส้วมหรือห้องน้ำที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ตลอดจนการที่ต้องประสบกับโรคภัยด้านทางเดินอาหารมากมาย

ด้วยเหตุนี้ จึงมีการกำหนดให้วันที่ 19 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันรณรงค์ให้ผู้คนได้ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ร่วมกัน แถมยังตั้งเป้าว่า ในปี ค.ศ.2030 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ปัญหาการสุขาภิบาลของโลกจะต้องหมดไป หรืออย่างน้อย ผู้คนต้องมีสุขอนามัยเรื่องการขับถ่ายที่ดีขึ้นกว่านี้

.

อ้างอิง: https://innovativeplumbingpros.com/world-toilet-day-sanitation-awareness/

'EYETA' พลิกชีวิตติดลบ สู่ยูทูบเบอร์เงินล้าน

‘ยูทูบเบอร์’ อาชีพแห่งโลกยุคดิจิทัลที่ใคร ๆ ก็เป็นได้ เพียงแค่มีกล้องหรือสมาร์ทโฟนพร้อมถ่ายทอดเรื่องราวที่ต้องการนำเสนอภายในเวลาไม่กี่นาที ชื่อเสียงและรายได้กลายเป็นปัจจัยที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้หันมาประลองฝีมือด้านนี้กันมากขึ้น แต่ท่ามกลางการแข่งขันที่มียูทูบเบอร์เกิดใหม่ในทุก ๆ วัน ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในสมรภูมินี้ได้นั้นก็ต้องมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครจริง ๆ

‘ศรสวรรค์ ใจมั่น’ หรือ EYETA (อายตา) ยูทูบเบอร์ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จบนโลกออนไลน์ ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเธอเริ่มจากการเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์เขียนกระทู้รีวิวผ่านเว็บไซต์ Pantip.com ในชื่อ ‘อายตาห้าบาท’ ก่อนจะหันมาผลิตคอนเทนต์ผ่านช่องทางเฟซบุ๊กและยูทูบ ระหว่างนี้เองที่เธอมองเห็นโอกาสจากแพลตฟอร์มออนไลน์ จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำแชนแนลของตัวเองอย่างเต็มตัว

ในวันนี้หลายคนรู้จักอายตาในฐานะยูทูบเบอร์สาวสวยอารมณ์ดีที่ส่งมอบความสุขให้ผู้ชม แต่เบื้องหลังรอยยิ้มของเธอเต็มไปด้วยทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคในชีวิต คลิปวิดีโอของอายตามักถูกพูดถึงบนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะคลิปนำเงินสด 1 ล้านบาทไปให้แม่ รวมถึงคลิปการเปิดเผยเรื่องราวชีวิตที่ยากลำบากในวัยเด็กเพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจไปยังผู้ติดตามของเธอ

“อายตามองว่าคอนเทนต์ของเรามันคู่ควรกับคน 1 ล้านคนที่จะเห็นหรือยัง มันได้ให้อะไรเขาหรือเปล่า เพราะคนเหล่านี้แหละที่ให้อาชีพอายตา ทำให้อายตามีเงินซื้อบ้านให้แม่ ทำให้อายตาได้อยู่สุขสบาย คลิปวิดีโอของเรามันคุ้มค่ากับ 10 นาทีที่เขาจะเสียเวลาเข้ามาดูหรือเปล่า”

The State Times Lite พาไปพูดคุยกับ ‘อายตา’ ยูทูบเบอร์เงินล้านตัวจริงเสียงจริง พร้อมทำความรู้จักตัวตน ทัศนคติในการใช้ชีวิต รวมถึงเคล็ดลับของการทำงานเป็นยูทูบเบอร์มืออาชีพ แล้วคุณจะรู้ว่าทุกความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!


Q: จุดเริ่มต้นของ ‘อายตาห้าบาท’ และการเขียนกระทู้รีวิวในเว็บไซต์ Pantip.com

A: คำนี้เป็นชื่อที่ใช้ในเกมออนไลน์เวลาเล่นกับเพื่อน ชื่อสั้น ๆ มีคนใช้ไปแล้ว อายตาเลยคิดว่าใช้อะไรดีให้มันคล้องจองกัน ‘อายตาห้าบาท’ ละกัน แล้วก็ใช้เป็นชื่อล็อกอินใน Pantip ด้วย ตอนนั้นเรายังไม่เป็นที่รู้จักนะ ก็เหมือนผู้ใช้ทั่วไป นาน ๆ ทีถึงจะตั้งสักหนึ่งกระทู้ Pantip มีห้องโต๊ะเครื่องแป้งที่ดังมาก เราเห็นคนอื่น ๆ ไปซื้อหรือลองใช้ผลิตภัณฑ์นู้นนี่แล้วมาเขียนแชร์กัน เรารู้สึกว่ามันเข้าถึงง่ายดี ไม่จำเป็นต้องเป็นสื่อก็เขียนกระทู้ได้เหมือนกัน ก็เลยลองเขียนบ้าง แต่ตอนนั้นทำเป็นงานอดิเรกนะคะ หลังจากออกจากงานประจำมันมีเวลาว่างเยอะขึ้น ก็เลยมานั่งเขียน ถ่ายรูป ทำมาเรื่อย ๆ เลยค่ะ 

Q: ตอนนั้นเปิดช่อง Youtube ของตัวเองแล้วหรือยัง

A: ไม่ค่ะ อายตาเขียนเหมือนกระทู้นี่แหละ แต่ทำลงใน Facebook ทำโพสต์รูปที่เขาเรียกว่า ‘Tutorial How To แต่งหน้า’ ลงรูปสอนแต่งหน้าทีละสเต็ปแล้วก็เขียนบรรยาย เขียนเป็นบล็อก หลังจากนั้นเกือบปีมีการประกวดบิวตี้บล็อกเกอร์ เราต้องทำวิดีโอเข้าไปร่วมกิจกรรม นั่นเป็นครั้งแรกที่อายตาได้ทำวิดีโอ ก็ใช้มือถือถ่ายแล้วมานั่งตัดต่อ ตัดเองในคอมฯ เราก็ตัดไม่เป็นหรอก ก็เสิร์ชหาวิธีเอาว่าเขาใช้โปรแกรมอะไรที่ทำได้ง่ายๆ บ้าง เป็นครั้งแรกที่ได้โปรดิวซ์วิดีโอของตัวเอง ครั้งนั้นก็ไม่ชนะหรอก ได้เข้ารอบ 2 แต่ได้ประสบการณ์เยอะดี จากคนที่ไม่ได้ถ่ายวิดีโอเลย ไม่เคยทำตัดต่ออะไรเลย ซึ่งนั่นเป็นการเริ่มทำ Youtube ของอายตาในเวลาต่อมาค่ะ

Q: อายตามองเห็นโอกาสอะไรบนโลกออนไลน์ที่ทำให้รู้สึกว่าต้องหันมาจริงจังและหารายได้จากช่องทางนี้

A: อายตามองว่าโอกาสมันมีอยู่เยอะมาก ตอนแรกที่เริ่มทำ อายตาทำด้วยความสนุกสนาน มีไอเดียอะไรก็ทำขึ้นมาเอง ไม่ได้มีแรงกดดันอะไร แล้วพอทำได้สัก 1-2 เดือน ก็เริ่มมีเอเยนซี่มาชวน “น้องอาย! แบรนด์นี้เขาจะมีเปิดตัวผลิตภัณฑ์นะ ที่นี่ห้างนี้ น้องอายแวะไปไหม” เราเลยรู้สึกว่า ไอ้ที่เราทำอยู่ เขารู้จักเราด้วย เขารู้จักชื่อเรา แบรนด์ใหญ่ขนาดนี้ชวนเราไปงาน ก็ดีใจนะ ได้ไปเปิดโลก ได้เจอบิวตี้บล็อกเกอร์ท่านอื่น ๆ ได้เจอเอเยนซี่ ได้เจอแบรนด์ โอเค เราอาจไม่ได้ดังแบบดาราฮอลลีวู้ด แต่ก็มีคนรู้จักเรามากกว่าแต่ก่อน ทำให้เรามีเพื่อนในวงการนี้มากขึ้น แล้วก็เปิดโลกทัศน์มากขึ้น เวลาไปอีเว้นท์ เราได้เจอเขา ได้เม้าธ์มอย ทำให้อายตารู้สึกว่าเออจริง ๆ บิวตี้บล็อกเกอร์มันสามารถทำให้ก้าวหน้าต่อไปได้นะ มันไม่ใช่แค่เราอยู่ในห้อง เราทำคลิปอยู่คนเดียว มันยังมีสังคม มีงานและมีเม็ดเงินของมัน

Q: รู้สึกกดดันไหมที่ได้เจอยูทูบเบอร์มืออาชีพคนอื่น ๆ ในขณะที่เราเพิ่งเริ่มต้นทำ

A: อายตาไม่กดดันเลย อาจเพราะอายตาไม่ใช่คนที่มีความรู้สึกแบบ ฉันไม่ชอบคนนั้น! ฉันเกลียดคนนั้น! มันไม่ใช่ความรู้สึกแบบนั้น อายตาจะมองทุกคนแบบเป็นเพื่อน ๆ กันหมด ในชีวิตอายตาไม่เคยมีความเกลียดใครหรืออะไรแบบนั้น พูดแล้วโลกสวยมาก (หัวเราะ) อาจเพราะตอนเด็ก ๆ อายตาเติบโตมาในครอบครัวที่จนมากเสียจนอายตาไม่ได้มีคู่แข่งในชีวิต เราอยู่เบื้องใต้ที่สุดของโลกใบนี้แล้ว เราจนที่สุด เราแย่ที่สุด เราอยู่สลัมที่สุด เราเลยไม่ได้มองว่าต้องไปแข่งกับใคร เราก็ทำงานของเราไป ไม่เป็นไรหรอกถ้าเราไม่ได้ดีกว่าเขา แต่เราก็ดีกว่าตัวเราเมื่อก่อนก็พอแล้ว ไม่ได้รู้สึกว่ากดดันขนาดนั้น อายตากลับรู้สึกดีใจเสียอีกที่ได้เจอคนอื่น ๆ เพราะเวลาอายตาถ่ายวิดีโอ ส่วนมากทำอยู่ที่บ้านหรือสตูดิโอ ไม่ได้มีเพื่อนร่วมงานเยอะ แล้วการที่เจอคนอื่นมันเป็นการเปิดโลกเหมือนกัน โอ้ย! เจอมนุษย์คนอื่นแล้ว เพราะปกติอยู่บ้านทำงานคนเดียวมาตลอดจนน้ำลายบูดแล้ว

.

Q: หลังได้เข้าสู่วงการนี้แล้ว มองว่าสิ่งที่ยากที่สุดของการเป็นยูทูบเบอร์คืออะไร 

A: ช่วงเริ่มทำเป็นช่วงที่ยากที่สุดเลย เพราะการเริ่มต้นสิ่งใหม่อะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะทำ Youtube หรือทำงานอื่นก็ตามมันยากมาก คนถามเยอะมากว่า “พี่อายตา หนูอยากเป็นยูทูบเบอร์บ้าง หนูอยากเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ หนูต้องทำยังไง ช่วงแรก ๆ วิวไม่ขึ้น ไม่มีใครดูวิดีโอหนูเลย” ตรงนี้คือสิ่งที่ยากมาก แต่ก็ต้องทำ สิ่งที่อายตารู้คือ เราต้องขยัน เราต้องมีความสม่ำเสมอในงานของเรา บางคนมีไฟเยอะมาก หนูจะทำไอเดียนี้ แต่หนูมีไอเดียแค่หนึ่งคอนเทนต์ แล้วไม่ลงอะไรอีกเลย คนจะลืมเราไป เพราะบนโลกนี้มีอินฟลูเอนเซอร์ให้เขาติดตามเยอะมาก อายตามองว่าสิ่งที่ยากที่สุดก็คือความสม่ำเสมอและความขยัน โดยเฉพาะงานนี้เป็นงานอิสระ ไม่มีเจ้านายประเมินปลายปี ไม่มีการขึ้นเงินเดือน เพราะฉะนั้นจะทำยังไงให้เราอยากตื่นเช้าแล้วลุกมาทำงาน บางคนพอไม่มีใครมาคอยตรวจงานก็จะกลายเป็นขี้เกียจไปเลย

Q: เชื่อว่าก่อนหน้านี้อายตาเองก็เคยผ่านการลองผิดลองถูกในการทำคอนเทนต์มาหลายครั้ง

A: การลองผิดลองถูกเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราไม่ลอง ถ้าเราไม่ผิดพลาด เราก็จะไม่รู้ว่าอะไรที่มันเวิร์กหรือไม่เวิร์ก อย่างน้อยถ้าเราลองไป 10 ครั้งแล้วมันไม่เวิร์กเลยทั้ง 10 ครั้ง เราก็จะได้รู้ว่าทั้ง 10 คอนเทนต์นี้ไม่เวิร์กสำหรับเรานะ แต่มันจะต้องมีอะไรที่มันเวิร์กสำหรับเราบ้างแหละ เราแค่ยังไม่เจอ การที่เราอาจจะยังไม่ดัง คนตามไม่เยอะหรือคอนเทนต์ยังไม่ปัง ไม่ได้หมายความว่าเราล้มเหลวหรือผิดพลาด เหมือนคนที่เรียนจบแล้วแต่งงานเลย เขาอาจเจอคนที่ใช่ได้เร็ว แต่เราอาจจะยังไม่เจอคนที่ใช่ บางคนอายุ 50, 60, 70 ปีก็ยังแต่งงานใหม่อยู่เลย 

Q: แสดงว่าเคล็ดลับของอายตาคือการค้นหาสไตล์ของตัวเอง

A: บางทีคนเราสมัยนี้กดดันตัวเองว่าทำอันนี้แล้วจะต้องได้ยอดผู้ติดตามเท่านี้ ยอดแชร์เท่านี้ แล้วก็กดดันตัวเองจนสูญเสียความเป็นตัวเองไป แต่อายตาอยากจะแนะนำว่าสิ่งที่ดีที่สุดของการเป็นยูทูบเบอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์คือ ต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง แน่นอนว่าการลองนู่นลองนี่มันดี เพื่อให้เรารู้ว่าอะไรที่ใช่และอะไรที่ไม่ใช่สำหรับตัวเอง อายตาเองก็เคยลอง บางทีไปเห็นของคนอื่น อุ้ย! เขาทำอันนี้เก๋ว่ะ เดี๋ยวเราลองบ้างว่าทำแล้วจะสนุกไหม เราทำแล้วจะถูกจริตกับเราไหม เราก็ต้องเอามาปรับใช้ แต่อย่าเปลี่ยนไปเรื่อยจนลืมว่าเราเป็นยังไง บุคลิกเราเป็นยังไงหรือว่าไอเดียที่แท้จริงที่เราอยากทำมันเป็นยังไง เพราะท้ายที่สุดถ้าเราพยายามเปลี่ยนจนเสียความเป็นตัวเอง เราจะทำสิ่งนั้นได้ไม่นาน แต่ถ้าเรามีความสุขกับการทำคอนเทนต์แบบตัวเอง เฮ้ย! เราทำแบบนี้แล้วเริ่ด คนดูชอบ เราจะอยู่ได้นานและมีความสุขมากในทุกๆ วัน อายตาไม่เคยตื่นมาวันไหนแล้วรู้สึกว่าไม่อยากเป็นยูทูบเบอร์ แม้บางทีวิวมันน้อย บางที Engagement มันน้อย แต่อายตารู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่อายตาชอบและอายตาหาสิ่งที่อายตาชอบเจอแล้ว อายตามีความสุขในทุก ๆ วัน ก็เลยอยากให้ทุกคนหาสไตล์ของตนเอง ถ้าวันหนึ่งเราเจอ เราจะมีความสุขกับการทำงานมากค่ะ 

.

Q: คิดว่าอะไรคือจุดเด่นที่ทำให้คอนเทนต์ของอายตามีผู้ติดตามมาตลอดระยะเวลา 5 ปี

A: ‘จุดเด่นของตัวเอง’ คือพูดไปก็เหมือนแบบว่าขายตัวเองเว่อร์ (หัวเราะ) ถ้าเราพยายามคิดเองว่าดิฉันมีจุดเด่นอะไร ดิฉันคิดว่าดิฉันเริ่ดในเรื่องของอะไร มันก็ยากใช่ไหมคะ แต่ส่วนมากอายตาจะได้รับฟีดแบ็คที่คนอื่นเขียนข้อความ Inbox มาหา  บอกว่าชอบที่อายตาเป็นคนตลก ก็ดีใจนะที่เราสร้างรอยยิ้มให้เขา ชอบที่อายตาเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา อย่างเวลาเรารีวิวสินค้าเนี่ย เราจะพูดตรงไปตรงมา ถ้ามีข้อเสียหรือใช้ไม่ค่อยดีอะไรแบบนี้ เราพยายามจะบอกความจริงกับเขา และอีกอย่างหนึ่งที่อายตาได้รับข้อความมาเยอะมากคือ เขาบอกว่าเราเป็นคนมั่นใจ ก็ไม่รู้ตัวนะว่าเป็นคนมั่นใจเพราะเป็นคนที่บุคลิกแบบนี้อยู่แล้ว มั่นหน้ามั่นโหนก เดินไปฉันสวย เขาชอบที่เราพูดจาฉะฉาน พูดจาเต็มเสียง ฟังรู้เรื่อง เออ! มันน่าจะเป็นข้อดีของเราแหละ

Q: มีวิธีการรับมือกับดราม่าและคอมเม้นท์ด้านลบอย่างไรบ้าง

A: คอมเม้นท์ด้านลบมันมีกับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร สวยเพอร์เฟกต์แค่ไหนก็ตาม เพราะว่าทุกคนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ตรงนี้เราต้องพยายามทำความเข้าใจ ตอนที่อายตาเจอฟีดแบ็กด้านลบในช่วงแรก ๆ ของการทำงาน อายตาไม่ค่อยเข้าใจ อายตางง ร้องไห้ทั้งวัน ไม่ออกไปไหน ร้อง ๆๆๆๆ เพราะเรารู้สึกว่าเราพยายามทำคอนเทนต์สนุก ๆ  ออกไป ทำไมถึงมีคนที่เขาไม่ชอบ แต่เราลืมไปว่าเราจะไปทำให้ทุกคนชอบเราได้ยังไง เพราะทุกคนเขามีความคิดเห็นของตัวเอง เอาง่าย ๆ แค่บางเพลง ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบเพลงสไตล์นี้ เพราะฉะนั้นไม่สามารถที่จะทำให้ทุกคนรักเราได้หรอก แต่เราสามารถที่จะปรับปรุงตัวได้ พอช่วงหลัง ๆ อายตาโตขึ้น รู้สึกว่ารับฟีดแบ็กด้านลบได้ดีขึ้น ต้องแยกแยะว่าอันนี้ที่เขาพูดน่ะมันจริงไหม เราจะพัฒนาหรือปรับปรุงตรงไหนได้บ้าง ช่วงปีหลัง ๆ คนในโลกโซเชียลมีการใช้วิจารณญาณมากขึ้น คนรุ่นใหม่ใช้ทวิตเตอร์เวลาเขาพูดถึงอะไร จะไม่ค่อยเป็นการด่าแล้ว แต่เป็นการวิจารณ์ผลงานให้เราปรับแก้มากกว่า แต่มันก็จะมีประเภทของคนที่พิมพ์ไปเรื่อย หนูก็พยายามแล้วค่ะ หนูแต่งหน้าได้ประมาณนี้ เต็มที่แล้ว คือเราก็พยายามปรับปรุงให้สวยขึ้นก็ถือว่าจุดสูงสุดแล้ว ถ้ามากกว่านี้ก็ต้องไปทุบหน้า ซึ่งเราก็ไม่อยากทุบแล้ว 

.

Q: มีคลิปวิดีโอที่เป็นไวรัลและถูกพูดถึงมาก เมื่ออายตาตัดสินใจเล่าเรื่องชีวิตที่เคยลำบากของตัวเอง ซึ่งไม่เคยบอกใครมาก่อน ตัดสินใจนานไหมกว่าจะทำคลิปนี้

A: ตัดสินใจนานมาก เป็นปีค่ะ ไม่ได้ตัดสินใจว่าฉันจะทำหรือไม่ทำดีนะ แต่เป็นความรู้สึกที่ค่อย ๆ ก่อขึ้นมา เพราะตอนที่อายตาเรียนมัธยมฯ จนถึงมหาวิทยาลัย เพื่อนคนอื่นจะไม่ค่อยมีใครรู้หรอกว่าอายตามาจากครอบครัวที่จน เราเคยอยู่สลัม เราเคยไม่มีข้าวกิน เพราะเราไม่กล้าพูด เราไม่กล้าบอกเพื่อน เรารู้สึกว่าการจนน่ะไม่เก๋ (หัวเราะ) เราก็ทำตัวปกติ แต่พอถึงจุด ๆ หนึ่งที่เราโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เรารู้สึกว่าเฮ้ย! จริง ๆ จุดนั้นอ่ะ ที่เราลำบาก ที่เราเคยต้มมาม่าคลุกข้าวกินกับพี่สาวที่สลัมน่ะ มันทำให้เราแข็งแกร่งนะเว้ย แล้วทำไมเราถึงไม่อยากพูดเมสเสจนี้ให้คนอื่นได้ยินล่ะ มันเก๋ออก อายตาแย่ขนาดนี้  อายตายังดูแลแม่ได้ ยังเป็นผู้เป็นคนได้ 

ตอนแรกเราก็กลัวว่าคนจะไม่เข้าใจ คิดว่าเราดึงดราม่าเพราะช่องของอายตาจะเป็นเรื่องตลกโปกฮา แต่แฟนของอายตาพูดมาคำหนึ่งว่า “การที่เธอทำวิดีโอนี้ เธอถ่ายเอง เธอตัดต่อเอง ถ้าวิดีโอนี้เผยแพร่ออกไป แล้วมันสร้างแรงบันดาลใจ เปลี่ยนความคิด หรือเปลี่ยนชีวิตคนได้แค่หนึ่งคน มันก็คุ้มแล้วนะ เธอคิดว่าไม่ควรค่าที่จะทำหรือ?” อายตาเลยคิดว่าทำไมเราถึงไม่อยากทำสิ่งนี้ให้คนอื่นล่ะ คนอาจจะเข้าใจผิดก็ไม่เป็นไร ช่างเขาเถอะ แต่ถ้ามันจะเปลี่ยนชีวิตคนแค่หนึ่งคน มันก็คุ้มแล้วกับการทำวิดีโอ เพราะอายตาแค่นั่งเล่า 20 นาทีจบ เสร็จแล้ว! ไม่ได้เสียอะไรเลย นั่นแหละเป็นจุดที่ทำให้เราทำวิดีโอนั้นค่ะ

คลิปวิดีโอ : เล่าประสบการณ์ชีวิต เคยอยู่สลัม เป็นเด็กเดินยา ยากจน ไม่มีข้าวกิน ครอบครัวแตกแยก 

Q: ถือเป็นการปลดล็อกตัวเองได้ไหม

A: ใช่ มันเป็นการปลดล็อกตัวเองเหมือนกัน เพราะเมื่อก่อนก็ไม่กล้าบอกใครเขาหรอกว่า แม่เป็นคนใช้ อายเขา แต่ว่าตอนนี้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็อาชีพหนึ่งเหมือนกัน กลายเป็นเรื่องขำ ๆ ในอดีต ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องภูมิใจในความจนของตัวเอง แต่แค่อยากจะเล่าให้ฟังว่าอายตาโตขึ้นประมาณนี้นะ อย่าไปพยายามเปลี่ยนความเป็นตัวของตัวเองเลย เราอาจเปลี่ยนไม่ได้ ณ ตอนนั้น แต่เราสามารถปรับปรุงมันได้นะ สามารถทำให้มันดีขึ้นได้

Q: มีอีกคลิปวิดีโอหนึ่งที่น่ารักมาก อายตาหอบเงินสด 1 ล้านบาทไปซ่อนไว้ในบ้านคุณแม่

A: อย่างที่บอกคืออายตามาจากครอบครัวที่จน แม่ไม่เคยมีบ้าน ไม่เคยได้เงินเยอะ ๆ แม่เป็นแม่บ้านทำความสะอาดบ้านคนรวย เหมือนที่เราเห็นในละคร มีคุณนายแล้วก็คนใช้แจ๋วอะไรแบบนั้น แม่ก็ไม่ได้เงินเยอะอะไรมากมาย พอวันเกิดแม่อายตาก็เลยไปถอนเงินมา เพราะแม่จะดีใจมากที่ได้เงินเยอะ ๆ ไม่ใช่ว่าหน้าเงินนะ แต่แม่ไม่เคยจับเงินเป็นก้อน ๆ ไม่เคยรู้ว่าเงินเป็นล้านมันเป็นแบบนี้ 10 ก้อนมันคือ 1 ล้านเหรอ ก็เลยลองดูสิว่าจะเป็นยังไง (หัวเราะ) แม่อายตาจะได้ภูมิใจว่าเราทำงานได้แล้วนะ เราสามารถให้เงินแม่ได้เลย ไม่ได้ลำบากแล้วนะ แล้วเขาก็เอาเงินไปซื้อสลากออมสิน (หัวเราะ) 

.

 

.

คลิปวิดีโอ : ???????? เซอรไพรส์แม่ให้เงิน 1 ล้านบาท!!???? จะได้เงินล้านทั้งทีเหนื่อยหน่อยนะ เพราะลูกเอาไปซ่อนไว้5555???? 

.

Q: ตั้งแต่วันที่ฝ่าฟันความยากลำบากด้วยกันมา ปัจจุบันอายตาเป็นยูทูบเบอร์ที่ประสบความสำเร็จแล้ว แม่เคยบอกไหมว่าภูมิใจในตัวเรา 

A: เมื่อก่อนไม่ค่อยคุยกัน ตอนเด็ก ๆ แม่เป็นคนที่ดุมาก แม่คนเดียวเลี้ยงลูก 2 คน อายตามีพี่สาวอีกคนหนึ่ง แม่เครียดเพราะต้องแบกรับทุกอย่าง เขาจะตีด้วยไม้แขวนเสื้อ ฟาด ๆ จนเรากลายเป็นคนกลัวแม่มากเลยนะ ตอนเด็ก ๆ สมมติเลิกเรียนกลับมาบ้านก็ต้องรีบทำงานบ้านให้เสร็จ แม่จะถึงบ้านประมาณ 6 โมงเย็น เราจำเสียงเดินแม่ได้ เพราะอยู่แฟลตเล็ก ๆ เวลาแม่เดินต่อก ๆ อุ้ย! นี่ไงแม่มา แต่พอเราเรียนจบ เริ่มทำงานได้ ดูแลตัวเองได้ รู้สึกว่าความดุของแม่ลดน้อยลง แต่การคุยกันก็ยังไม่ค่อยจะมี พูดตามตรงเลยว่าเมื่อก่อนอายตาคุยกับแม่น้อยมาก เพิ่งมาคุยเยอะช่วงหลัง ๆ เพราะว่ามันมีเรื่องบางอย่างในครอบครัวที่เคยเกิดขึ้นช่วงประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว ทำให้อายตาเสียใจมาก เหมือนมันกระทบต่อความรู้สึกมาก อายตาเลยพูดกับแม่ทำนองว่า ทำไมอะไรแบบนี้มันต้องมาเกิดกับหนู เราสู้มาจนขนาดนี้แล้ว แม่ก็เข้ามากอด เราก็ทำอะไรไม่ได้ก็ต้องสู้ต่อไป แล้วแม่บอกว่าเขาภูมิใจในตัวอายตามาก ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้คุยกับแม่ เป็นคนที่ตีมึนใส่กัน แต่เราก็รักกัน เขาก็รักเรา ถ้าเขาไม่รักก็คงไม่เลี้ยงอายตากับพี่สาวจนโตขนาดนี้ ตัวคนเดียวได้เงินเดือนแค่ 10,000 บาท ตั้งแต่วันนั้นทำให้ความสัมพันธ์กับแม่ดีขึ้น แล้วก็ทำให้เราแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย 

Q: ตัวตนของอายตาของในวันนี้ ถ้าให้คะแนนความแข็งแกร่งของตัวเองจะให้เท่าไร

A: โห! คนเรามันก็ไม่มีใครแข็งแกร่งขนาดนั้นไหมคะ (หัวเราะ) อายตารู้สึกว่าพอช่วงปีหลัง ๆ สามารถจัดการกับความรู้สึกได้มากขึ้น แต่ก่อนเราเป็นเด็กที่โตมาไม่ได้มีพ่อมีแม่ครบ เราขาดการอบรม เราเป็นคนโหวกเหวก ไม่ได้มีมารยาท ไม่ได้มีความเป็นกุลสตรีอะไรเลย พอโตขึ้นเราได้เจอสังคมเยอะขึ้น เรียนรู้ที่จะคิดก่อนพูด ถึงแม้ว่าอายตาจะมีภาพลักษณ์ในคลิปวิดีโอบ้าบอคอแตกไปเรื่อย แต่มันเป็นภาพที่เราอยากจะให้คนเห็นและมีความสุข อายตารู้สึกโชคดีมากที่มีคนรอบตัวเป็นคนดี ๆ มีแม่ มีเพื่อน มีผู้ช่วย มีแฟนที่เขาเป็นพลังงานดี ๆ รอบตัวเรา ถ้าอายตารู้สึกว่าใครมีพลังงานลบ อายตาจะไม่ค่อยยุ่งกับเขา แล้วก็ไม่ค่อยมีอารมณ์แบบฟีล Fight แล้ว (หัวเราะ) นี่เราแก่แล้วใช่ไหม

Q: ในฐานะยูทูบเบอร์ที่มีผู้หญิงติดตามเยอะมาก เมื่อทำคอนเทนต์เรื่องความสวยความงามจะช่วยสนับสนุนมุมมองให้ผู้หญิงมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นอย่างไรบ้าง

A: ไม่ว่าจะเป็นคนไม่สวยหรือว่าสวยมากแค่ไหน ก็จะมีความไม่มั่นใจบางอย่างในตัวเอง อายตาได้รับ Inbox มาเยอะมาก  “หนูอยากจะมั่นใจแบบพี่อายตา หนูอยากจะอย่างงั้นอย่างงี้” อยากจะบอกว่าทุกคนน่ะมีความสวยของตัวเองค่ะ มันฟังดูโลกสวยนะ แต่ทุกคนสามารถสวยได้จริง คือแค่เราทำตัวเองให้สะอาดสะอ้าน ผมเผ้าให้มันดูดี แต่งตัวตามกาลเทศะ มันก็สวยแล้ว แต่บางทีเราไปเห็นคนในออนไลน์ ในทีวี แล้วรู้สึกว่าคนนั้นก็สวย คนนี้ก็สวย เราอยากจะเป็นเหมือนเขาบ้าง แต่จริง ๆ เขาอาจมีการตกแต่งอะไรเพิ่มเติม ซึ่งทำให้คนที่ไถมือถือดูแล้วเข้าใจว่าอันนั้นเป็นมาตรฐานของความสวย 

ช่วงนี้อายตาอยากจะผลักดันคอนเซ็ปต์เรื่องนี้ด้วยการสร้างแฮชแท็ก #BeYourBest ย่อมาจาก “Be Yourself Best” ซึ่งแปลว่า “เป็นตัวเองให้ดีที่สุด” อายตาได้พยายามพูดในทุกวิดีโอของตัวเองแล้วก็ทำโปรเจกต์ขึ้นมาด้วย เพราะอายตาอยากจะทำให้ทุกคนอยากเป็นตัวเองให้ดีที่สุด ช่วงแรกของการทำ Youtube อายตาทำรีวิวพูดถึงเรื่องความสวยความงามทั่วๆ ไป แต่ช่วงหลัง ๆ อายตารู้สึกอิ่มกับการส่งต่อความสวยแล้ว อายตาอยากส่งต่อความสวยในสมองของเขาให้มากขึ้น การแต่งหน้าหรือการทำศัลยกรรมมันดีหมดแหละ แต่ถ้าเราสวยในแบบฉบับของเราล่ะ มันจะทำให้มีความสุขมากขึ้น สิ่งที่อายตาอยากจะบอกกับผู้หญิงทุกคนคือ ‘ความมั่นใจ’ เป็นสิ่งที่ทำให้คุณสวยมาก สวยกว่าหน้าตาที่สวยอีก  สมมติคนหน้าสวยมาก รูปร่างสวยมาก แต่ไม่มีความมั่นใจเลย นั่ง ยืน เดิน คุยกับใครก็ไม่กล้ามองหน้า มันก็ไม่สวยนะ แต่บางคนอาจไม่ได้สวยมาก แต่มีความมั่นใจเวลาเดิน หน้าตรง หลังไม่ค่อม ดูกระฉับกระเฉง มันดูมีความสวยขึ้นมาเลยนะ เหมือนการประกวดนางงามวัดที่ความมั่นใจและทัศนคตินั่นแหละ

Q: คำถามที่หลายคนอยากรู้ เป็นยูทูบเบอร์และบิวตี้บล็อกเกอร์มีรายได้ดีขนาดไหน 

A: บิวตี้บล็อกเกอร์สามารถรายได้ดีได้มาก และก็สามารถไม่มีจะกินเลยก็ได้ ขอบอกตรงนี้เลยนะว่า โอกาสที่ได้มา งานที่ได้ ลูกค้าที่รู้จัก ไม่ได้ลอยมาจากฟ้านะคะ มาจากการทำของเราเอง พูดง่าย ๆ สมมติเราอยากจะเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ เราสร้างเพจมาเพจหนึ่ง แต่เราไม่เคยลงคอนเทนต์อะไรเลย จะมีลูกค้ามาจากไหน เขาจะรู้ไหมว่าเราทำคอนเทนต์ประเภทไหนบ้าง เขาจะรู้ไหมว่าเรามีความคิดเห็นแบบไหน เพราะฉะนั้นทุกอย่างขึ้นอยู่กับการสร้าง ถ้าใครมีเงินเป็นสิ่งผลักดันชีวิตในการทำงานก็ต้องขยันและสม่ำเสมอ การสม่ำเสมอเนี่ยอายตาจะคอยบอกตลอด มีคนถามว่าจะทำยังไงให้งานมันเยอะ? ทำยังไงให้มีลูกค้า? พี่อายตาว่าทำยังงี้มันเป็นอาชีพได้ไหมคะ? ได้สิ! แต่เราขยันมากพอไหม เราสม่ำเสมอกับมันมากพอไหม แล้วความสม่ำเสมอมันไม่ใช่แค่ทำไปเรื่อย ๆ เพราะสุดท้ายถ้ามันไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ เราก็ไม่สามารถสม่ำเสมอกับมันได้นาน 5 ปี หรือ 20 ปี ใช่ไหมคะ 

สมมติถ้าวันหนึ่งเราตาย เราเบื่องานนี้มากเลย เราก็ไม่สามารถสม่ำเสมอกับงานนี้ได้อีกแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นต้องดูว่ามันใช่ตัวเราหรือเปล่า ถ้าใช่นะ ทำเลย ไม่ต้องรอ บางคนรอ หนูยังไม่มีกล้องอ่ะพี่ หนูรอซื้อกล้องก่อน หนูยังไม่มีคอมไว้ตัดต่ออ่ะพี่… ทำเลย! ใช้มือถือถ่าย มือถือโปรแกรมแอปฯ ตัดฟรีเยอะแยะ อยากทำอะไรทำเลย เพราะถ้าช้าไปอีกแค่หนึ่งวัน อาจมียูทูบเบอร์เพิ่มมากขึ้นเป็นร้อยแล้ว ถ้าอยากทำตอนนี้ ทำตอนนี้เลยค่ะ ทุกอย่างสามารถเป็นได้ อยากรวย รวยได้ ทำได้เลย ไม่มีใครมาหยุดเราได้แล้ว เพราะถ้าเราไม่เริ่มทำ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จคือศูนย์นะคะ แต่ถ้าเราทำถึงแม้มันจะเหนื่อยจะยากแค่ไหน ถึงแม้ว่าโอกาสที่ประสบความสำเร็จคือ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่มันก็ยังมีโอกาสถูกไหม แต่ศูนย์คือไม่มีเลยนะ ทำเถอะ!

.

Q: ยอดวิวล่ะสำคัญแค่ไหน ทำไมทุกคนถึงอยากได้ยอดวิวเยอะ ๆ

A: สำคัญ! สำหรับยูทูบเบอร์การได้ยอดวิวเยอะจะทำให้ได้เงิน AdSense คือการที่คนเข้าไปดูวิดีโอ แล้วบางทีเขาจะเห็นโฆษณาโผล่ขึ้นมา นั่นแหละ! เราจะได้เงินจากตรงนั้น มีความความสัมพันธ์กัน แต่ว่าทีนี้เงินที่ได้จาก AdSense มันก็ไม่ได้มั่นคงมากขนาดนั้น แต่ละเดือนได้ไม่เท่ากัน ถ้าเป็นช่วงเทศกาลเขาขายของเยอะ แบรนด์ก็ลงโฆษณาเยอะ หรือช่วงโควิด-19 แบรนด์ไม่มีงบ เงินก็ได้น้อยหน่อย ยอดวิวมันจึงสำคัญ แต่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แล้วก็อย่าเอาใจไปผูกกับยอดวิว ยอดไลก์ ยอดฟอลนัก เพราะว่าแพลตฟอร์มพวกนี้ Youtube, Facebook, Instagram, Twitter หรืออะไรก็ตาม มันไม่ใช่ของ ๆ เรา มันไม่ใช่โดเมนของเรา เราไม่ใช่เจ้าของ เหมือนเราไปยืมพื้นที่เขาใช้ 

วันใดวันหนึ่งอัลกอริทึ่มมันเปลี่ยนไป ยอดไลก์ตก ยอดไลก์เพิ่ม ยอดวิวเพิ่ม ยอดวิวตก เราไม่สามารถโทรถาม Mark Zuckerberg ได้ว่า ทำไรอ่ะ ทำไมยอดไลก์ตก เพราะฉะนั้นการที่เราเอาใจไปผูกกับยอดไลก์ ยอดวิวเยอะ มันจะทำให้เราเสียใจ ทำให้เราหมดกำลังใจในการทำคอนเทนต์ครั้งต่อๆ ไป ทั้งที่เราอาจเป็นคนมีความมุ่งมั่นเว่อร์ มีไอเดียเป็น 10 ที่อยากจะทำ แต่ยอดไลก์ตก เฮ้อ! ไม่ทำแล้ว อย่างนั้นเหรอ? เพราะฉะนั้นดูข้อมูลหลังบ้านไว้บ้างก็ดี เพื่อที่จะได้บอกลูกค้าได้ แต่อย่าไปคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้แล้วมั้ง เลิกทำแล้ว ไม่ใช่!

.

Q: เป้าหมายต่อไปของ ‘EYETA’ คืออะไร

A: อายตาชอบทำวิดีโอมาก สนุกมาก ตอนนี้ยิ่งทำก็ยิ่งสนุก ไม่มีวันไหนที่ไม่สนุก นอกจากวันที่ไม่ค่อยสบาย อายตาคิดว่าจะทำ Youtube ต่อไปเรื่อย ๆ แต่คอนเทนต์มันอาจเปลี่ยนไป ตอนนี้เรายังมีลูกค้า เรายังมีสปอนเซอร์บ้าง เรายังพูดถึงเรื่องบิวตี้ได้ แต่ถ้าถึงวันที่อายตาอาจมีลูกหรือว่ามีหลาน คอนเทนต์อาจจะเปลี่ยนไปตามตัวเรา เพราะคนที่ผลิตคอนเทนต์คือเรา เราไม่ได้ผลิตวิ่งตามเทรนด์อะไร อาจมีที่ทำตามบ้าง แต่สุดท้ายแล้วมันคือตัวเรา อายตาจะโฟกัสถึงการส่งต่อเมสเสจดี ๆ มากกว่า อายตามีกระบอกเสียง คนติดตามเป็นล้าน ช่องทางที่เรามีมันเยอะนะ แล้วอายตาอยากจะบอกเมสเสจ ไม่ต้องอยากเป็นแบบใครหรอก บางทีเราอยากจะรวยเหมือนคนนั้นคนนี้ โฟกัสที่เรานะ รักตัวเองให้เยอะ ๆ แล้วพัฒนาตัวเอง อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ก็เลยมองว่าคอนเทนต์ในอนาคตของอายตาอยากจะเป็นไปในแนวทางนั้น แล้วอายตาเองก็มีธุรกิจส่วนตัว มีแบรนด์ขนตาของตัวเอง ก็อยากจะพัฒนาแบรนด์นั้นให้มันไปไกลมากขึ้น เราพยายามทำเต็มที่ เวลาทำงานอะไรเราก็เต็มที่หมดเพราะเราไม่รู้หรอกว่าอีก 5 ปี 10 ปี 15 ปี 20 ปี ข้างหน้าจะเป็นยังไง 

Q: สำหรับยอดผู้ติดตามในขณะนี้ (Youtube 1.4 ล้าน, Facebook 7 แสน) มีเป้าว่าอยากเพิ่มขึ้นอีกไหม

A: มาถึงจุด ๆ นี้ ถ้าถามว่ายอดผู้ติดตามใน Youtube หรือ Facebook เท่าไร อายตาก็จำไม่ได้หรอก แต่อายตามองว่าคอนเทนต์ของเรามันคู่ควรกับคน 1 ล้านคนที่จะเห็นหรือยัง มันได้ให้อะไรเขาหรือเปล่า เพราะคนเหล่านี้แหละที่ให้อาชีพอายตา ทำให้อายตามีเงินซื้อบ้านให้แม่ ทำให้อายตาได้อยู่สุขสบาย คลิปวิดีโอของเรามันคุ้มค่ากับ 10 นาทีที่เขาจะเสียเวลาเข้ามาดูหรือเปล่า เพราะยูทูบเบอร์มีเยอะ เราอาจไม่ใช่คนที่ดีที่สุด เก่งที่สุด โปรดักชั่นปังที่สุด กล้องเลนส์เริ่ดที่สุด แต่เราสามารถส่งต่อเมสเสจดี ๆ ให้เขาได้ นั่นแหละเป็นมาตรฐานที่อายตาพยายามทำ ว่ามันดีพอกับเขาหรือยัง เขาได้ประโยชน์หรือเปล่า 

.

Q: สุดท้ายถ้าถอยออกมาแล้วเห็นตัวเองในวันนี้ อยากบอกอะไรกับ ‘EYETA’

A: ถ้าพูดกับตัวเองเหรอ? โลกคู่ขนานเหรอ? (หัวเราะ) ก็อยากจะชมตัวเองแหละ อายตาอยากจะให้ทุกคนได้มีโอกาสชมตัวเอง เก่งนะ ทำงานดีแล้ว อาจจะไม่ได้รวยที่สุด เก่งที่สุด ดีที่สุด สวยที่สุด แต่ทำมาได้เท่านี้ เก่งแล้วนะ ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่อยากทำงาน ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่อยากตื่นตอนเช้าค่ะ (ยิ้ม)


เรื่อง: ตติยา

ภาพ: TST


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top