Tuesday, 23 April 2024
TODAY SPECIAL

วันนี้เมื่อปี พ.ศ. 2531 คนไทยรวมพลังทวงคืน 'ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์' กลับมาได้! หลังถูกโจรกรรมร่วม 30 ปี

10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ทับหลังศิลาโบราณวัตถุล้ำค่าของไทย ซึ่งถูกลักลอบนำไปจากปราสาทหินเขาพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นเวลาเกือบ 30 ปี กลับคืนสู่ไทยอีกครั้ง โบราณวัตถุชิ้นนี้เป็นประติมากรรมศิลาจำหลักบนทับหลังประตูของปรางค์ประธาน ด้านทิศตะวันออกของปราสาทหินพนมรุ้ง 

โบราณวัตถุชิ้นนี้ มานิต วัลลิโภดม ภัณฑารักษ์พิเศษแห่งกรมศิลปากร ได้สำรวจและบันทึกภาพไว้เมื่อ พ.ศ. 2503 ปรากฏว่าทับหลังชิ้นนี้นั้น หักออกเป็นสองท่อน ตกอยู่ที่เชิงประตูปรางค์ประธาน และต่อมาทับหลังทั้งสองชิ้น ได้สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย 
 

ลอบสังหาร ‘จอมพล ป.’ โดยฝีมือคนใกล้ชิด รอดหวุดหวิดก่อนได้สมญา ‘จอมพลกระดูกเหล็ก’

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น ซึ่งเป็นวันที่พันเอกหลวงพิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถูกลอบสังหารอีกเป็น ‘ครั้งที่ 2’ โดยการใช้ปืนยิง ซึ่งในวันที่ถูกยิงเป็นช่วงเวลาหลังการยุบสภาและก่อนการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 และแม้ว่าหลวงพิบูลสงคราม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งโดยตรง เพราะตัวท่านเองไม่ได้ลงเลือกตั้ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านเองเป็นนักการเมืองที่มีอำนาจมากที่สุดโดยฐานสนับสนุนทางกองทัพ

ซึ่งเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้เกิดขึ้นตอนค่ำของวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 ที่บ้านพักนายทหารของท่านเอง ในกรมทหารปืนใหญ่บางซื่อ ขณะที่หลวงพิบูลสงครามและภริยากำลังแต่งตัวจะไปงานเลี้ยงรับรองที่กระทรวงกลาโหม นายลี บุญตา เป็นคนสวนและคนขับรถในบ้านได้แอบเอาปืนพกของคุณหลวงพิบูลสงครามเองที่ท่านวางไว้ในรถออกมาลอบยิงท่าน 

บังเอิญท่านกำลังยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจกส่องหน้าจึงได้มองเห็นก่อนที่นายลี บุญตา จะลั่นไกกระสุนนัดแรก เมื่อนัดแรกพลาด ท่านจึงวิ่งหลบออกจากห้อง โดยนายลี บุญตา พยายามวิ่งไล่และยิงซ้ำอีก แต่กระสุนก็พลาดเป้า และทหารติดตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายทหารคนสนิทของรัฐมนตรี คือ ร.อ.เผ่า ศรียานนท์ ได้วิ่งเข้าไปจับตัวมือปืนเอาไว้ได้

มือปืนรายนี้ถูกจับดำเนินคดีโยงเข้ากับกลุ่มกบฏพระยาทรงสุรเดช แต่จากคำให้การของ นายลี บุญตา นั้นดูจะเป็นเรื่องแปลก นายลี บอกว่า

“ได้อยู่กับหลวงพิบูลมา 7 ปีแล้ว ได้เงินเดือนครั้งแรก 6 บาทและขึ้นมาเป็นลำดับจนถึงวันเกิดเหตุได้เดือนละ 25 บาท หลวงพิบูลเป็นคนใจคอดี ไม่เคยดุด่าว่าจำเลยแต่อย่างใดเลย วันเกิดเหตุได้ยิงหลวงพิบูลสงคราม 2 นัดจริง นัดแรกยิงเมื่อหลวงพิบูลสงครามได้วิ่งเข้าไปอยู่อีกห้องหนึ่งแล้วปิดประตู จำเลยได้ผลักประตูตามเข้าไปยิงอีก คนที่อยู่ในห้องนั้นตลอดจนหญิงและเด็ก ต่างร้องเสียงเกรียวกราว แล้วจึงมีนายร้อยตรี ผล มาตวัดคอ แย่งปืนไป การที่ยิงนั้นเพราะเมาและไม่ได้ตั้งใจจะยิง”

โดยจากการที่ นายลี บุญตา อ้างว่า “เมา” และ “ไม่ได้ตั้งใจยิง” นั้นมีความผิดปกติไม่น้อย จาการอ้างว่าไม่ได้ตั้งใจยิงหากแต่ยิงออกไปถึง 2 นัด แต่ขณะเดียวกันก็ยิงไม่โดนทั้ง 2 นัด ซึ่งดูสมเหตุสมผลกับสิ่งที่นายลี อ้างว่าตนเองนั้นเมา แต่การเมาไปหยิบปืนของนายพันเอกหลวงพิบูลสงครามมาได้อย่างไรเหมือนรู้ และถ้าไปดูคำให้การของนายทหารติดตามรัฐมนตรีที่แย่งปืนมาได้ก็ให้การว่า นายลี บุญตา วิ่งไล่ยิงเจ้านายของตัว จนวิ่งหนีแทบไม่ทัน

8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 วันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพุธ แรม 14 ค่ำ เดือน 11 ปีมะเส็ง เวลา 12.25 น. หรือตรงกับวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 

โดยเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 96 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระองค์ที่ 14 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468

โดยตลอดรัชสมัยพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่สำคัญหลายด้าน เช่น ด้านการปกครอง โปรดให้ตั้งสภากรรมการองคมนตรี ทรงตรากฎหมายเพื่อควบคุมการค้าขายที่เป็นสาธารณูปโภคและการเงิน ระบบเทศบาล ด้านการศาสนา การศึกษา ประเพณีและวัฒนธรรมนั้น พระองค์โปรดให้สร้างหอพระสมุด ทรงปฏิรูปการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย 

วันนี้เมื่อ 25 ปีที่แล้ว ‘ในหลวงรัชกาลที่ 9’ เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี

ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ครั้งใหญ่ซึ่งเป็นที่จดจำ คือ การจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ใหญ่) เฉลิมฉลองในพระราชพิธีกาญจนาภิเษกในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี 

ซึ่งทรงครองราชย์นานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในอดีต โดยจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 อย่างยิ่งใหญ่ โดยในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตราชลมารค ณ วัดอรุณราชวราราม

ซึ่งขบวนพยุหยาตราทางชลมารคครั้งนี้ได้มีการจัดริ้วขบวนอย่างยิ่งใหญ่และสง่างาม อีกทั้งยังมีเรือพระราชพิธีลำใหม่ คือ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 ซึ่งกองทัพเรือและกรมศิลปากรร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย

โดยได้นำโขนหรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4 มาเป็นแม่แบบ ซึ่งกองทัพเรือได้ดำเนินการสร้างในส่วนที่เป็นโครงสร้างของตัวเรือ พายและคัดฉาก ส่วนกรมศิลปากรดำเนินการในงานที่เกี่ยวกับศิลปกรรมของเรือทั้งหมด

โดยหัวเรือพระที่นั่ง จำหลักรูปพระวิษณุประทับยืนบนครุฑ ซึ่งได้แสดงรูปพระวิษณุและลักษณะอันโดดเด่นของพระองค์ เช่น พระวรกายคล้ำ ในพระกรทั้ง 4 ทรงถือจักร สังข์ คทา และตรีศูล ประทับบนครุฑยุดนาค หรือครุฑที่จับนาค 2 ตัวชูขึ้น

ตามคัมภีร์ปุราณะ ครุฑกับนาคเป็นศัตรูกัน แต่ทั้งสองก็รับใช้พระวิษณุ ครุฑ เจ้าแห่งนกทั้งหลาย เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังของท้องฟ้า นาค เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังของน้ำ เมื่อพระวิษณุอยู่เหนือครุฑและนาค ย่อมแสดงว่าพระองค์ทรงมีพลังในการพิทักษ์ปกป้องโลกทั้งมวล
 

วันนี้เมื่อปี 2540 “พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ” ตัดสินใจประกาศลาออกจากการเป็น “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศไทย จากแรงกดดันสืบเนื่องจาก ‘วิกฤติต้มยำกุ้ง’

วันนี้เมื่อ 20 ปีก่อน คือวันที่ ‘พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ’ ตัดสินใจประกาศลาออกจากการเป็น “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศไทย ด้วยสาเหตุจากแรงกดดันจากผลสืบเนื่องของวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่สะท้อนการบริหารงานที่หลายคนใช้คำว่า “ล้มเหลว!”

ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ได้เกิดเหตุประชาชนชาวไทย กว่า 5,000 คน ชุมนุมบริเวณถนนสีลมเพื่อเรียกร้องให้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยระบุ ว่าเป็นเพราะการบริหารผิดพลาด ประกาศลอยตัวเงินบาท ส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ตลาดหลักทรัพย์ สถาบันการเงิน ราคาสินทรัพย์อื่น ๆ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จนบานปลายกลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจกินวงกว้าง ส่งผลให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย จนหลายคนเรียกวิกฤติครั้งนี้ว่า “ฟองสบู่แตก” หรือ “ต้มยำกุ้งดีซีส” (Tomyamkung disease)

ย้อนรอยไปต้นเรื่อง หลังจากที่ “บิ๊กจิ๋ว” ที่เบนเส้นทางจากทหารมาสู่ถนนการเมือง และได้ชื่อว่า “รุ่งสุด ๆ” เพราะยังเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น สมาชิกวุฒิสภา ตั้งแต่ขณะดำรงตำแหน่งทางทหาร กระทั่งตัดสินใจก่อตั้ง และนั่งเป็นหัวหน้าพรรคความหวังใหม่คนแรก และยังมีคะแนนเสียงหนาแน่นใน จ.นครพนม พอมาปลายปี 2539 พล.อ.ชวลิต นำพาพรรคความหวังใหม่ชนะเลือกตั้ง และขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้สมใจ โดยมีพรรคชาติไทย กับพรรคประชาธิปัตย์ รวมตัวกันในซีกฝ่ายค้าน

วันนั้นบิ๊กจิ๋วบอกว่าจะมาแก้วิกฤติ กับคำขวัญ “ถึงเวลาอยู่ดีกินดี” โดยมี อำนวย วีรวรรณ เป็นหัวหน้าดรีมทีมเศรษฐกิจ และ ดร.ทนง พิทยะ แต่แล้วใครจะคาดคิด เมื่อ ดร.ทนง พิทนะ รัฐมนตรีคลังขณะนั้น ยื่นเอกสารลอยตัวค่าเงินบาทให้บิ๊กจิ๋วเซ็นแกร๊ก! ในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 จนสร้างความเสียหายกลายเป็นวิกฤติการณ์ทางการเงินตามที่เกริ่นไว้ข้างต้น จริงอยู่ที่หลายคน หลายฝ่าย พยายามหาต้นเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้ เพราะว่ากันว่า วิกฤติครั้งนี้ ใครนั่งนายกฯ เวลานั้นก็ต้องเซ็นแบบนั้น

โดยหากย้อนไปก่อนหน้านั้น ราวปี พ.ศ. 2536 รัฐบาลไทยประกาศนโยบาย BIBF (Bangkok International Banking Facilities) มีเป้าหมายเพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาค สิ่งที่เกิดขึ้น พูดง่าย ๆ คือ จากที่เคยควบคุมเงินที่ไหลเข้าออกประเทศอย่างเข้มงวด กลายเป็นเสรี ที่ใครจะย้ายจะโอนเงินเข้าหรือออกจากประเทศไทยได้เต็มที่ ซึ่ง ณ ขณะนั้น ดอกเบี้ยเงินกู้ในสถาบันการเงิน หรือธนาคารพาณิชย์ในไทย อยู่ในอัตราที่สูง ประมาณ 14-17% ต่อปี แต่อีกฟากหนึ่ง ดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินของต่างชาติ เวลานั้นถูกมากแค่ 5%

วันคล้ายวันถึงแก่พิราลัย “เจ้าจักรคำขจรศักดิ์” เจ้าหลวงลำพูนองค์สุดท้าย แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร และนับเป็นเจ้าประเทศราชองค์สุดท้ายของประเทศไทย

เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ มีพระนามเดิมว่า เจ้าน้อยจักรคำ ณ ลำพูน ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2417 เป็นราชโอรสในเจ้าอินทยงยศโชติ เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 9 กับแม่เจ้าหม่อมราชวงศ์รถแก้ว (อิศรเสนา) และเป็นราชนัดดา (หลานปู่) ในเจ้าดาราดิเรกรัตนไพโรจน์ เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 7 กับแม่เจ้าปิมปา มีราชภคินีและราชขนิษฐา ร่วมราชมารดา 2 พระองค์ มีนามตามลำดับ ดังนี้  เจ้าหญิงมุกดา ณ ลำพูน - ชายา "เจ้าราชภาคินัย น้อยเมืองไทย ณ ลำพูน, เจ้าราชภาคินัยนครลำพูน" (ราชภคินี), เจ้าหญิงหล้า ณ ลำพูน - ชายา "เจ้าน้อยจิตตะ ณ ลำพูน" ภายหลังเป็น ชายา "เจ้าราชสัมพันธ์วงศ์ น้อยพุทธวงศ์ ณ เชียงใหม่, เจ้าราชสัมพันธ์วงศ์นครลำพูน" (ราชขนิษฐา)

เจ้าน้อยจักรคำได้ดำรงอิสริยยศเป็นเจ้าบุรีรัตน เมื่อเจ้าอินทยงยศโชติถึงแก่พิราลัย จึงได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รั้งนครลำพูนสืบต่อมา จนถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 จึงได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นเจ้านครลำพูน มีราชทินนามว่า เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ อรรคสัตยาทิคุณ หริภุญไชยรัษฎาธิวาส ประชาราษฎร์บริบาล ธาตุเจติยสถานบูชากร ลำพูนนครเชษฐกุลวงษ์ จำนงภักดีนราธิปก เอกัจโยนกชนาธิบดี

หายนะชายฝั่งอ่าวไทย "พายุไต้ฝุ่นเกย์" พายุลูกประวัติศาสตร์ที่เข้าถล่มไทย ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 500 ชีวิต

เหตุการณ์พายุไต้ฝุ่นเกย์ พายุไต้ฝุ่นลูกแรกที่พัดเข้าสู่ประเทศไทย และเป็นพายุไต้ฝุ่นที่สร้างความเสียหายมากที่สุด ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 500 คน และประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 150,000 คน 

ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2532 พายุดีเปรสชั่นที่ก่อตัวในอ่าวไทยตอนล่าง เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ได้เคลื่อนตัวขึ้นเหนือและทวีกำลังรุนแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน 

ก่อนจะกลายเป็นพายุไต้ฝุ่น เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน โดยเมื่อเวลา 08.30 น. พายุไต้ฝุ่นเกย์เคลื่อนเข้าสู่ภาคใต้ตอนบนด้วยความเร็ว 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วของพายุไต้ฝุ่นระดับ 3 เข้าถล่มอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ บางสะพานน้อย และบางสะพาน ก่อนขึ้นฝั่งที่อำเภอท่าแซะ และปะทิว จังหวัดชุมพรทำให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่งที่ อำเภอบางสะพานน้อย บางสะพาน ท่าแซะ และปะทิว

รำลึกถึงน้องหมา “ไลก้า” ครบรอบ 64 ปี สุนัขอวกาศตัวแรก ที่ถูกส่งไปยังนอกโลก และไม่มีวันได้กลับมายังโลก...

ไลก้า (Laika) สุนัขอวกาศโซเวียต ชื่อที่มีความหมายว่า “ช่างเห่า” คือสุนัขและสัตว์ตัวแรกที่โคจรรอบโลก และก็เป็นตัวแรกที่ตายในวงโคจรด้วยเช่นกัน

ไลก้าเดิมเป็นสุนัขเร่ร่อน ชื่อ คุดร์ยัฟกา แปลว่า “เจ้าขนหยิกน้อย” เข้าสู่การฝึกกับสุนัขอื่นอีกสองตัว ในท้ายที่สุดไลก้าได้รับเลือกเป็นผู้โดยสารไปกับยานอวกาศ สปุตนิก 2 ซึ่งถูกส่งขึ้นสู่อวกาศเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957)

เป็นที่รับทราบกันน้อยมากถึงผลกระทบของการบินในอวกาศที่มีต่อสิ่งมีชีวิต ในภารกิจของไลก้านั้นเทคโนโลยีในการผละออกจากวงโคจรยังไม่ถูกพัฒนา จึงไม่มีการคาดว่าไลก้าจะรอดชีวิต นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่ามนุษย์จะไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้จากการปล่อยหรือสภาพของอวกาศ ดังนั้น วิศวกรจึงมองว่าเที่ยวบินที่ส่งสัตว์ขึ้นสู่อวกาศด้วยนั้นจำเป็นก่อนภารกิจของมนุษย์

วันนี้เมื่อ 25 ปีที่แล้ว ประเทศไทยมีประชากรครบ 60 ล้านคน

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ประเทศไทยมีประชากรครบ 60 ล้านคน ตามการคาดหมายของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล โดยคาดการณ์ว่ามีเด็กทารก 10 คน คลอดในเวลาประมาณ 9.48 น. 

ซึ่งในวันเดียวกันนี้เองกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ถ่ายทอดสดเพื่อรายงานเกี่ยวกับทารกที่คลอดในโรงพยาบาลใหญ่ 4 แห่งในกรุงเทพฯ และ โรงพยาบาลของรัฐอีก 6 แห่งในส่วนภูมิภาค

โดยเด็กที่เกิดในเวลา 09.48 น. จำนวน 10 คน ตามการคาดการณ์ ต่างได้รับของขวัญวันเกิดสุดพิเศษจากทางรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น พระเลี่ยมทอง หรือเลสทองคำสลัก ‘อัลเลาะห์’ สำหรับเด็กที่มารดานับถือศาสนาอิสลาม เช็กของขวัญ 10,000 บาท บัตรประกันสุขภาพ 10 ปี รวมไปถึงทุนการศึกษาครบหลักสูตร ฯลฯ 

วันนี้เมื่อ 132 ปีที่แล้ว ประเทศไทยกำเนิด ‘โรงพยาบาลคนเสียจริต’ เป็นแห่งแรก

สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยาเป็นโรงพยาบาลจิตเวชแห่งแรกใน ประเทศไทย ก่อตั้งโดยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2432 โดยมีชื่อว่า “โรงพยาบาลคนเสียจริต” ตั้งอยู่ที่ปากคลองสาน 

โรงพยาบาลคนเสียจริต ทำการรักษาผู้ป่วยโดยแพทย์ประจำ และแพทย์แผนไทย ต่อมามีผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น ประกอบกับสถานที่คับแคบ นายแพทย์ไฮเอ็ด เจ้ากรมแพทย์สุขาภิบาล กระทรวงนครบาล ซึ่งถือว่าเป็นผู้อำนวยการคนแรกของโรงพยาบาลได้เสนอให้รัฐบาลซื้อที่ดิน และบ้านของเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) หรือเจ้าคุณทหาร ที่ดินของนายเปียราชานุประพันธ์และที่ดินใกล้เคียงของราษฎรอื่น ๆ รวมเนื้อที่ 44 ไร่ครึ่งเพื่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่

ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันฯ ในปัจจุบัน คือ อยู่ที่ริมคลองสานด้านตะวันตกตอนใต้ ห่างจากสถานที่เดิมประมาณ 600 เมตร การสร้างโรงพยาบาลคนเสียจริต อยู่ภายใต้การควบคุมของพระยาอายุรเวชวิจักษ์ (หมอคาธิวส์) ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้ากรมแพทย์สุขาภิบาล ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้วางรากฐานโรงพยาบาลจิตเวชให้เป็นแบบตะวันตกอย่างแท้จริง โดยให้การบำบัดรักษาตามหลักวิชาการในสมัยนั้น พร้อมทั้งให้การดูแลผู้ป่วยด้วยความเมตตา กรุณา และมีมนุษยธรรม ในด้านสภาพแวดล้อมของโรงพยาบาลมีความร่มรื่นด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ไม้ดอก ไม้ใบสีสวย เรือนผู้ป่วยเป็นห้องมีลูกกรงสายบัว โปร่ง ไม่มีหน้าต่าง หลังคาสังกะสีทาสีแดง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top