Tuesday, 17 September 2024
NEWS FEED

'MISS TRANS THAILAND' บริบทเวทีใหม่เพื่อชาว LGBTQ+

เมื่อเข้าสู่โลกสมัยใหม่ ทุกอย่างได้เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดการสร้างโอกาสและมูลค่าเพิ่ม “กลุ่มเพศทางเลือก” หรือ “LGBTQ+” ก็เช่นกัน สังคมได้เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น กลุ่มเหล่านี้เริ่มมีตัวตนและมีพื้นที่ยืนในสังคม โดยไม่ต้องหลบซ่อนกันอีกต่อไป จึงได้เกิดกลุ่ม องค์กร หน่วยงาน และกิจกรรมที่สร้างสรรค์อีกมากมาย ที่ส่วนใหญ่จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้คนทั่วไปได้เล่งเห็น มองเห็น พิจารณาเห็นถึงคุณค่าและศักยภาพของชาว LGBTQ ที่ช่วยสีสันให้สังคมน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

องค์กร “MISS TRANS THAILAND” จึงได้ถูกก่อตั้งขึ้นมา เมื่อ ปี พ.ศ.2560 (ค.ศ. 2018) โดย “คุณเฟม-อคีราห์ จันทพาน” สาวประเภทสองที่กล้าเปิดเผยตัวตนให้เป็นที่ประจักษ์และความสามารถอย่างชัดเจน โดยเป็นเวทีการประกวดของสาวประเภทสอง ภายใต้คอนเซปต์ “คนงามเคียงความรู้ เชิดชูวัฒนธรรม นำความเท่าเทียม ยอดเยี่ยมเสมอภาค” ซึ่งได้จัดประกวดมาอย่างต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันที่จะกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 6 และเตรียมจัดการประกวดกับ “MISS TRANS THAILAND 2022” เพื่อเฟ้นหากลุ่มเพศทางเลือกที่พร้อมจะเป็นแบบอย่างในสังคมทุกมิติ

สำหรับการดำเนินงานภายใต้วัตถุประสงค์กับคำว่า “TRANS”
T-Teamwork : เพื่อให้เกิดความสามัคคีและการรวมพลังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของทุกฝ่ายทุกภาคส่วนโดยไม่แบ่งเพศ จะนำมาซึ่งความสำเร็จอย่างยั่งยืนที่งดงาม

R-Relationship : เพื่อให้เกิดความสัมพันธภาพที่ดีไม่เกิดช่องว่างในกลุ่มคนเพศทางเลือกกับคนทั่วไป สามารถทำงานและอยู่ในสังคมส่วนรวม โดยไม่มีอคติต่อกัน

A-Authority : เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เป็นต้นแบบที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับครอบครัว องค์กรสถาบัน สังคม และประเทศชาติ

N-Nationalism : เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเกิดความรักชาติและรักแผ่นดิน พร้อมที่จะเป็นผู้สืบทอดและสืบสานชาติไทยไว้จากรุ่นสู่รุ่น

S –Strong : เพื่อสร้างความเข้มแข็งและความอดทนให้บังเกิดกับผู้เข้าประกวด เพราะจะเป็นต้นทุนที่ดีในการทำงานให้ประสบความสำเร็จสืบต่อไปในอนาคตกาล  
ส่วนคุณสมบัติของ “MISS TRANS THAILAND 2022” เพื่อให้เป็นทรัพยากรบุคคลของประเทศชาตินั้นสอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ ดังนี้คือ “คนงามเคียงความรู้ เชิดชูวัฒนธรรม นำความเท่าเทียม ยอดเยี่ยมเสมอภาค”

1. คนงามเคียงความรู้ : เป็นผู้มีความงามทั้งภายนอกและความงามภายใน โดยเฉพาะด้านความรู้ที่เคียงคู่กับคุณธรรม

2. เชิดชูวัฒนธรรม : เป็นแบบอย่างที่ดีในการเป็นผู้ส่งเสริมและสนับสนุนวัฒนธรรมในทุกด้านทุกมิติ อาทิ ด้านขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ด้านการท่องเที่ยว ด้านเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ไทย ด้านสังคม                                                      

พิธีมหาครุฑาภิเษก พญาครุฑ หลวงปู่เส็ง รุ่น “เหนือดวง”

21 สิงหาคม 2565 ณ พระอุโบสถวัดบางนา อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี "เจ้าคุณมีชัย" พระเทพปริยัติมุนี เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนาราม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์

เจ้าคุณไพรินทร์ พระรัตนโมลี รักษาการเจ้าอาวาส วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร หรือวัดใหญ่ พระเกจิชื่อดังจากเมืองพิษณุโลก

หลวงพ่อวราห์ ปุญฺญวโร หรือ พระครูวิสิษฎ์พิทยาคม พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดโพธิทอง จุดเทียนชัยพิธีมหาครุฑาภิเษก พญาครุฑ หลวงปู่เส็ง รุ่น “เหนือดวง”พล.ต.ต.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา

รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ผู้แทน พลตำรวจโท ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประธานฝ่ายฆราวาส เดินทางเข้าร่วมพิธีมหาครุฑาภิเษก พญาครุฑ หลวงปู่เส็ง รุ่น “เหนือดวง”  โดยพิธีมหาครุฑาภิเษก พญาครุฑ หลวงปู่เส็ง รุ่น “เหนือดวง” นี้

มีวัตถุประสงค์การจัดสร้างเหรียญวัตถุมงคล พญาครุฑ หลวงปู่เส็ง รุ่น “เหนือดวง”  โดยมี นายวชิรปกรณ์ พลอยพรหมมาศ ประธานการจัดสร้างและทีมงานพลังบุญ เพื่อสมทบทุนรายได้จากการจำหน่ายเหรียญวัตถุมงคล ยกพระอุโบสถของวัดบางนา ที่มีประสบปัญหาน้ำท่วมตลอดหลายปีที่ผ่านมา และเพื่อให้ศาสนสถานอันเป็นศูนย์รวมจิตใจแก่พุทธศาสนิกชนให้กลับมามีสภาพที่ดีขึ้น และเป็นกุศลอันที่ยิ่งใหญ่ 

'สะพานแห่งสันติภาพ' ส่อวุ่น!! หลัง 'อังกฤษ' ชี้!! 'ปูติน' ไม่มีสิทธิ์ในการประชุมสุดยอด G20

"ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ไม่มี 'สิทธิทางศีลธรรม' ที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม 20 ชาติในอินโดนีเซีย" โฆษกรัฐมนตรีต่างประเทศของสหราชอาณาจักร กล่าวหลังจากเมื่อต้นสัปดาห์ก่อน ผู้นำชาวอินโดนีเซียเผยว่า ทั้งรัสเซียและยูเครนยอมรับประเทศของเขาเป็น 'สะพานแห่งสันติภาพ'

โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (20 ส.ค. 65) ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด (Joko Widodo) ของอินโดนีเซียยืนยันว่าปูตินและประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีนกำลังวางแผนที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอด G20 ในเดือนพฤศจิกายนนี้

นอกจากนี้ วิโดโด ยังได้เชิญประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelenskyy) ซึ่งไม่ใช่สมาชิก G20 เข้าร่วมการประชุมสุดยอด โดยกล่าวว่า เขาจะเข้าร่วมอย่างน้อยในรูปแบบเสมือนจริง (ออนไลน์)

โดยในการโทรศัพท์ครั้งล่าสุด ปูตินและวิโดโด ก็ได้พูดคุยถึงการเตรียมการสำหรับงานใหญ่ ซึ่งปูตินยอมรับคำเชิญของวิโดโดเข้าร่วมการประชุมสุดยอดในเดือนมิถุนายน แต่เครมลินไม่ได้ยืนยันว่าผู้นำรัสเซียจะเดินทางไปยังเมืองบาหลีหรือไม่

แต่โฆษกทำเนียบขาว ได้กล่าวไว้ว่า หากปูติน 'เข้าร่วม G20 แล้ว เซเลนสกี ก็ควรเข้าร่วมด้วย'

อย่างไรก็ตาม โฆษกของรัฐมนตรีต่างประเทศ ลิซ ทรัสส์ (Liz Truss) กล่าวว่า "รัสเซียไม่มีสิทธิทางศีลธรรมที่จะเข้าร่วมการประชุม G20 ขณะที่การรุกรานในยูเครนยังคงดำเนินอยู่"

ทรัสส์ เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า การเผชิญหน้ากับปูตินต่อหน้าพันธมิตรอย่างอินเดียและอินโดนีเซียเป็นสิ่งสำคัญ “ฉันจะไปที่นั่น และฉันจะโทรหาปูติน” เธอบอกกับการอภิปรายทางโทรทัศน์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน กำลังวางแผนที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอด Group of 20 (G20) ที่บาหลีในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ตามการระบุของผู้นำชาวอินโดนีเซีย

ด้าน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหราชอาณาจักร ริชี ซูนัก (Rishi Sunak) ก็ได้วิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจเชิญปูติน โดยเรียกร้องให้ G20 ห้ามมิให้เข้าร่วมงานจนกว่าเขาจะยุติสงครามในยูเครน

“พันธมิตร G20 และพันธมิตรของเรามีความรับผิดชอบร่วมกันในการเรียกพฤติกรรมที่น่ารังเกียจของปูตินออกมา” โฆษกของ Sunak กล่าว “เราจำเป็นต้องส่งข้อความที่หนักแน่นถึงปูตินว่าเขาไม่มีที่นั่งที่โต๊ะ เว้นแต่และจนกว่าเขาจะยุติสงครามที่ผิดกฎหมายในยูเครน”

'สิงคโปร์' เตรียมยกเลิก กม.ห้าม ‘เกย์’ มีเซ็กซ์ แต่ยังไม่อนุญาต ‘สมรสเพศเดียวกัน’

นายกรัฐมนตรี ลี เซียนลุง แห่งสิงคโปร์ ประกาศวานนี้ (21 ส.ค.) ว่า รัฐบาลสิงคโปร์เตรียมจะยกเลิกกฎหมายอาญาที่ห้ามชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าที่ใช้มาตั้งแต่ยุคอาณานิคม ทว่ายังไม่มีแผนอนุญาตการสมรสระหว่างคนเพศเดียวกัน

กลุ่มนักเคลื่อนไหว LGBTQ ได้ออกมาชื่นชมการตัดสินใจนายกฯ ลี ที่จะยกเลิกมาตรา 377A ในประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งกำหนดบทลงโทษสำหรับการมีเซ็กซ์ระหว่างผู้ชาย แต่ก็แสดงความกังวลว่า ผู้นำสิงคโปร์ยังคงปฏิเสธที่จะแก้ไขคำนิยามของการสมรสให้ครอบคลุมคู่รักเพศเดียวกัน และนั่นแปลว่าการแบ่งแยกกีดกันยังไม่หมดไปเสียทีเดียว

ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันชาติสิงคโปร์ ลี ระบุว่า สังคมสิงคโปร์ทุกวันนี้ โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวมีแนวคิดเปิดกว้างและยอมรับผู้ที่มีรสนิยมรักเพศเดียวกันมากขึ้น

“ผมเชื่อว่านี่คือการกระทำที่ถูกต้อง และเป็นสิ่งที่คนสิงคโปร์ส่วนใหญ่ยอมรับได้” นายกฯ ลี กล่าว

ทั้งนี้ ยังไม่มีการระบุชัดเจนว่ามาตรา 377A จะถูกยกเลิกเมื่อใด

สิงคโปร์ถือเป็นประเทศล่าสุดในเอเชียที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่การยกเลิกกฎหมายกีดกัน LGBTQ โดยก่อนหน้านี้ ศาลสูงสุดอินเดียก็มีคำพิพากษายกเลิกกฎหมายห้ามการมีเซ็กซ์ระหว่างผู้ชายเมื่อปี 2018 ส่วนประเทศไทยเองกำลังมีการผลักดันร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม-คู่ชีวิต

กฎหมายอาญามาตรา 377A ของสิงคโปร์กำหนดระวางโทษจำคุกสูงสุด 2 ปี สำหรับการมีเซ็กซ์ระหว่างชายและชาย ทว่าไม่ได้มีการบังคับใช้จริงมานานหลายสิบปีแล้ว อีกทั้งกฎหมายนี้ไม่ได้ครอบคลุมถึงเซ็กซ์ระหว่างผู้หญิงกับผู้หญิง หรือเพศทางเลือกอื่น ๆ

องค์กรเพื่อสิทธิ LGBTQ หลายกลุ่มได้ออกคำแถลงร่วมเมื่อวันอาทิตย์ (21 ส.ค.) โดยระบุว่ารู้สึก “โล่งใจ” กับคำประกาศของนายกฯ

“สำหรับทุกคนที่เคยมีประสบการณ์ถูกบูลลี่ ถูกปฏิเสธ และถูกคุกคามจากกฎหมายนี้ การยกเลิกมันไปในที่สุดจะช่วยให้พวกเราสามารถเริ่มต้นกระบวนการเยียวยา และสำหรับใครก็ตามที่ปรารถนาให้สิงคโปร์เป็นสังคมที่มีความเท่าเทียมและหลอมรวมมากขึ้น การยกเลิกกฎหมายนี้ถือเป็นสัญญาณว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้จริง” คำแถลงร่วมระบุ

อย่างไรก็ตาม ถ้อยแถลงฉบับนี้ยังคงเรียกร้องให้รัฐบาลสิงคโปร์หยุดฟังเสียงของพวกอนุรักษนิยมเคร่งศาสนาที่ต้องการให้คงนิยามของการสมรสในรัฐธรรมนูญว่าหมายถึงการแต่งงานระหว่าง 'ผู้ชายกับผู้หญิง' เท่านั้น เพราะนั่นถือเป็นการบ่งบอกกลาย ๆ ว่าพลเมือง LGBTQ ไม่มีสิทธิเท่าเทียมในด้านนี้

กระแสต่อต้านการยกเลิกมาตรา 377A มีมาโดยตลอดเช่นกัน โดยเมื่อเดือน ก.พ. ศาลสูงสุดสิงคโปร์มีคำตัดสินว่า เนื่องจากกฎหมายนี้ไม่ได้ถูกบังคับใช้จริงมานานแล้ว จึงไม่ถือว่าละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญอย่างที่ฝ่ายผู้ร้องเรียนอ้าง ขณะที่นายกฯ ลี เองยอมรับว่า มีกลุ่มองค์กรมุสลิม คาทอลิก และโปรเตสแตนต์บางกลุ่มที่ยังไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกมาตรา 377A

บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เปิดตัวพันธมิตรลูกหนัง และอีสปอร์ต 26 แบรนด์

“ลุงเน” เนวิน ชิดชอบ มุ่งเน้นสร้างเด็กอะคาเดมีสู่ชุดใหญ่ พร้อมดันแข้งลูกเจี๊ยบฝึกวิทยายุทธนอกประเทศ

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อีสปอร์ต จัดงานเปิดตัวผู้สนับสนุนจำนวน 26 แบรนด์ ในการผนึกกำลังเพื่อการแข่งขันฟุตบอลไทยลีกฤดูกาล 2022/23 และการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ตอย่างยิ่งใหญ่ ที่แคมป์สนามฝึกซ้อมสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ พร้อมแสดงศักยภาพในการพัฒนานักฟุตบอลระดับเยาวชน จากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อะคาเดมี ที่สามารถขึ้นไปทดแทน ผู้เล่นชุดใหญ่ได้ในอนาคต โดยได้รับเกียรติจากนายเนวิน ชิดชอบ ในฐานะประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กล่าวเปิดงาน และพูดถึงเป้าหมาย รวมถึงแสดงวิสัยทัศน์ของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่จะมีขึ้นในปี 2022/23 พร้อมด้วยนายไชยชนก ชิดชอบ ประธานบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อีสปอร์ต, นายชนน์ชนก ชิดชอบ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเยาวชน สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

โดยมีคุณสุรพล อุทินทุ ผู้บริหารสำนักประสานงานภายนอก บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดยเครื่องดื่มตราช้าง, คุณพงศธร เอื้อมงคลชัย รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด, คุณปฏิญญา ปารวัชรโกศล ผูู้จัดการทั่วไปด้านการตลาด บริษัท ซีพีเอฟ ประเทศไทย จำกัด มหาชน, คุณนุชจรี เลาแหลม ผู้จัดการอาวุโสกิจกรรมพิเศษ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด, คุณณัฏฐมณี เลขวนิชกุล รองผู้อำนวยการด้านแบรนด์และการสื่อสาร บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

นายอธิรัชต์ องค์ศรีตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดันล้อปพิลโล่ (ประเทศไทย) จำกัด, คุณพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด มหาชน, คุณบัณฑิต วรรณวานิชชัย Marketing Executive บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิต และจำหน่ายเครื่องดื่ม M-150, คุณเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ บริษัท สกาย ไอซีที จํากัด (มหาชน), คุณโกวิทย์  ธรรมธนวิทย์ ผู้จัดการสายการบินแอร์เอเชีย ประจำสนามบิน บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จํากัด, คุณสมชาติ  สุรจิตติพงศ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยูโรเปี้ยนฟู้ด จำกัด (มหาชน)

คุณกันต์ ตันสุวรรณรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จี ทเวนตี้ทู จำกัด, นายวสุ กลมเกลี้ย ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนากลยุทธ์ และวางแผนการลงทุน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน), คุณบุญชู บุญภา ผู้จัดการฝ่ายขาย ประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง บริษัท ซันโทรี่เป๊ปซี่โค เบเวอเรจ ประเทศไทย จำกัด, คุณสุรพงษ์ พันตาวงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทพันตา จำกัด, นายแพทย์ศรัณย์ อินทกุล รองผู้อำนวยการ รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ บริษัท สมิติเวช จำกัด มหาชน, นายอัครเดช คำศรี Head of Operation บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด

คุณธนวัฒน์ สุโสภณกุล ผู้ช่วยผู้จัดการ บริษัท นิคอน เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด, คุณชวลิต นุ่นหลักคำ ผู้จัดการฝ่ายขายประจำภูมิภาค บริษัท รักษาความปลอดภัย การ์ดฟอร์ซ แคช โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด, คุณชาลินี  พูนลาภมงคล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และความยั่งยืน บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด, คุณปกรณ์ ดิเรกโภค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออลเวย์อาร์ท จำกัด

นายโรจนสิทธิ์ มีนิจสิน รองผู้อำนวยการโครงการกีฬาไทยเบฟ ไทยทาเล้นท์ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) โดยเครื่องดื่มเอสโคล่า, คุณ ยูจิ ซาซาโนะ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (Marketing Director) บริษัท นิสชิน ฟู้ดส์ (ไทยแลนด์) จำกัด, คุณกุลภพ นาคสกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด, คุณ เชน เมืองครุธ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สยามทาโก้ จำกัด, คุณวัชรพงษ์ วงษ์มา ผู้อำนวยการบริษัท เบ็นคิว ประจำประเทศไทย บริษัท เบ็นคิว (ประเทศไทย) จำกัด เข้าร่วม

ประธานสโมสรปราสาทสายฟ้า กล่าวว่า “เป้าหมายของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดของเราต่อจากนี้ ก็คือการป้องกันแชมป์ทั้ง 3 แชมป์ ซึ่งการรักษาแชมป์มันสำคัญกว่าการเป็นแชมป์ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นทีมเดียวในเอเชียที่สามารถคว้าแชมป์ 3 แชมป์ต่อหนึ่งฤดูกาลได้ถึง 4 ครั้ง และในการเจอบีจี ปทุม ยูไนเต็ด วันที่ 4 กันยายนนี้ จะขอล้างตาให้ได้”

“พวกเราเชื่อว่าการทำทีมฟุตบอลไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้ ก็อยู่ที่การสร้างคน ให้เป็นคน และสำคัญที่สุดคือการสร้างวินัย ไม่เคยเชื่อมาก่อนว่าฟุตบอลจะประสบความสำเร็จได้ เฉพาะพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่ผมเชื่อว่าการเป็นมนุษย์ พรแสวงสำคัญที่สุด”

“ปีนี้เรามีเด็กอะคาเดมี มากกว่า 140 คน ปีที่แล้วเรามี 200 กว่าคน ค่าใช้จ่ายต่อคน ต่อปี อยู่ที่ประมาณ 300,000 บาท เพราะเราต้องรับผิดชอบทั้งที่นอน อาหาร การเรียน ทั้งหมดทุกอย่าง”

“เมื่อเดือนที่ผ่านมาทีมเราส่ง ศุภชัย ใจเด็ด, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา และรัตนากร ใหม่คามิ ไปร่วมฝึกซ้อมกับสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ประเทศอังกฤษถึง 40 วัน พอกลับมาประเทศไทย เราเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาในการฝึกซ้อมของทีมเรา ยังไม่เข้มข้นเพียงพอ เพราะฉะนั้นมาตรฐานฟุตบอลไทย จะก้าวหน้าไปเป็นเจ้าเอเชีย หรือไปแข่งขันในฟุตบอลโลก ผมมองว่ายังเป็นเรื่องที่พูดได้ แต่ทำไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่คนที่พูดไม่ใช่คนที่มาทำฟุตบอลจริง ๆ”

“เราได้เห็นแล้วว่าการส่งเด็ก ๆ ไปฝึกซ้อมที่สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่รุ่นแรกคือ ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน, ยศพล เทียงดาห์ กลับมาก็สามารถรักษาการเล่นจนติดทีมชาติไทยมาอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นจากนี้ไป ในทิศทางของเรากับการพัฒนาฟุตบอล พร้อมจะส่งศุภชัย ใจเด็ด, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา และรัตนากร ใหม่คามิ กลับไปฝึกเลสเตอร์ ซิตี้ อีกครั้ง ในช่วงพักเลกไทยลีก เพื่อเรียนรู้ และเชื่อว่าจะกลับมาเป็นกำลังสำคัญของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และทีมชาติไทยได้อย่างแน่นอน”

“8 เยาวชน ที่ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ จากอะคาเดมี ประกอบไปด้วย ภัทร สร้อยมาลัย, ธีรภักดิ์ เปรื่องนา, ธนดล ขาวสะอาด, ภูมิวรพล วรรณบุตร, ธนิศร ไพบูลย์กิจเจริญ, พงศกร หาญรัตนะ, ธวัชชัย อินทร์ประโคน และเสกสรรค์ ราตรี จะมี 4 คนที่ผมจะส่งไปร่วมฝึกซ้อมกับทีมคอนซาโดเล ซัปโปโร ที่ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนกันยายนนี้ เพื่อจะกลับมาช่วยทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และเป็นอนาคตของประเทศไทย”

ทั้งนี้นายเนวิน ชิดชอบ กล่าวต่อว่า “ได้มีการแจ้งกับนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยแล้วว่า ต่อไปนี้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะไม่ส่งผู้เล่นที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ไปร่วมแคมป์ทีมชาติไทยอีก เพราะที่ผ่านมา ทีมเราได้ปล่อยนักเตะเยาวชนเหล่านี้ไปร่วมทีมชาติ พอกลับมาแคมป์บุรีรัมย์ กลับเจอบุหรี่ไฟฟ้า เจอสิ่งที่ไม่ดี กลับมาแล้วขาดวินัย ทั้งที่ตอนที่อยู่กับเรามีวินัยดี แต่พอไปทีมชาติ ไปเจอเพื่อนมากมาย ที่มาจากหลายสโมสร หลายโรงเรียน ทำให้วินัยหายไป ผมเลยลงโทษไม่ให้ซ้อมฟุตบอล ให้ดูเพื่อนๆ ซ้อม เป็นเวลา 3 สัปดาห์ เพื่อเตือนสติ”

ในขณะที่นายไชยชนก ชิดชอบ เผยว่า “ในส่วนของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อีสปอร์ต ผลงานที่ผ่านมา ถ้าเทียบกับมาตรฐานของบุรีรัมย์แล้ว ถือว่ายังดีไม่พอ เพราะว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จของนักกีฬาค่อนข้างมากในปีที่ผ่านมา ทำให้นักกีฬาอยู่ภายใต้ความกดดัน ทำให้มีปัญหาที่ทำให้ผ่อนลง แต่อย่างไรก็ดีก็ยังมีผลงานติดท็อป 3 ทั้งหมด เพียงแค่เทียบกับมาตรฐานบุรีรัมย์แล้ว ถือว่าไม่เพียงพอ”

ด้านนายชนน์ชนก ชิดชอบ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเยาวชน กล่าวต่อว่า “การทำฟุตบอลระดับเยาวชนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเรามี 143 ชีวิตที่ต้องดูแล ไม่ใช่แค่เฉพาะเรื่องฟุตบอล แต่ดูทั้งเรื่องการเรียน การเป็นอยู่ของเด็ก ๆ ทุกคน และผมต้องดูแลเด็กตั้งแต่เด็กอายุ 8 – 21 ปี ซึ่งหนึ่งวันผมต้องซ้อมกับเด็กถึง 6 ชั่วโมง”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ห่วงใยผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยและน้ำท่วมฉับพลัน เตรียมกำลังพลช่วยเหลือ พร้อมปราบปรามอาชญากรรมซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน

พล.ต.ต.หญิง วิชญ์ชยากร ณิชาบวร รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามประกาศ กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ฉบับที่ 31/2565 ให้เฝ้าระวังระดับน้ำล้นตลิ่ง บริเวณแม่น้ำสายหลัก และลำน้ำสาขาไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำเกษตรกรรม ริมลำน้ำ และพื้นที่ชุมชน ในช่วงวันที่ 22-25 ส.ค. 65 ได้แก่ ลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำชี และลุ่มน้ำมูล ซึ่ง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ จึงสั่งการให้ ภ.3 ,ภ.4,ภ.6 และ บช.ตชด. รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดังกล่าวและพื้นที่ใกล้เคียง ติดตามข่าวสาร สถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่เฝ้าระวัง และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำ ทั้งนี้ให้เตรียมแผนรับสถานการณ์น้ำหลาก เตรียมความพร้อมกำลังพล และเครื่องมือ ยานพาหนะ สามารถปฏิบัติการได้ทันต่อสถานการณ์  

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอฝากเตือนการหลอกลวงลงทุนผ่านสื่อสังคมออนไลน์สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง โดยตั้งแต่ 1 มี.ค.- 31 ก.ค.65

ศูนย์รับแจ้งความคดีออนไลน์ฯได้รับแจ้งคดีที่เกี่ยวกับการหลอกลวงด้านการเงิน รวมกว่า 31,047 เรื่อง และได้ดำเนินการอายัดบัญชี ไปแล้วกว่า 121 ล้านบาท

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอฝากเตือนการลงทุนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ควรตรวจสอบข้อมูลด้านการลงทุนและที่เกี่ยวข้องให้ดีเสียก่อน อาจถูกหลอกลวงสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง รวมถึงประชาสัมพันธ์การเตรียมตัวก่อนแจ้งความออนไลน์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการลอกลวงลงทุนสร้างความเสียหายให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง พร้อมได้กำชับ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนและปราบปรามการกระทำความผิดตามขั้นตอนของกฎหมาย
    
เพื่อเป็นการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากกรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงไปกำกับดูแลพร้อมกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการสืบสวนปราบปรามการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงลงทุนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงเป็นผู้ขับเคลื่อนศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ฯ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการแจ้งความได้อย่างสะดวก และทำการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แนวทางการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้ประชาชนรับทราบ 

โดยตั้งแต่เปิดศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ฯ ห้วง 1มี.ค.-31ก.ค.65 ทางศูนย์ฯได้รับแจ้งคดีหลอกลวงด้านการเงินรวมกว่า 31,047 เรื่อง โดยสามารถดำเนินการอายัดบัญชีไปแล้วกว่า 121 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามขั้นตอของกฎหมาย 

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่าขอฝากเตือนถึงแนวทางการลงทุนรูปแบบต่างๆควรศึกษาทำความเข้าใจให้ดี ก่อนตัดสินใจลงทุนและพิจารณาถึงความเสี่ยงจากการลงทุนลักษณะนี้ให้มาก อย่าหลงเชื่อเพียงแค่ เข้าถึงได้ง่าย ใช้เวลาระยะสั้น แต่ได้รับผลตอบแทนที่มากและรวดเร็ว รวมถึงควรเลือกผู้ให้บริการ บริษัท หรือตัวแทนที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และขอให้ประชาชนคอยติดตามข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อจะได้รู้ทันกลโกงของเหล่ามิจฉาชีพ โดยนักลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตได้ที่ www.sec.or.th หรือทางแอปพลิเคชัน “SEC Check First” หากมีข้อสงสัย สามารถโทรปรึกษาได้ที่ ศูนย์บริการประชาชน ก.ล.ต. โทร. 1207

อีกทั้งการแจ้งความในคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีผ่านทางศูนย์ฯ ควรตรวจสอบดูชื่อเว็บไซต์ของทางศูนย์รับแจ้งความให้ถูกต้องครบทุกตัวอักษร ซึ่งเว็บไซต์ของศูนย์ชื่อว่า www.thaipoliceonline.com เพื่อเป็นการป้องกันเหล่ามิจฉาชีพที่อาจฉวยโอกาสแอบปลอมแปลงเว็บไซต์ โดยการใช้ชื่อที่คล้ายกับเว็บไซต์จริง และทางศูนย์รับแจ้งความขอให้ประชาชนเข้าไปแจ้งผ่านทางเว็บไซต์เป็นอันดับแรก เพื่อความสะดวกของประชาชนและเพื่อความรวดเร็วในการเชื่อมโยงข้อมูลคดีของเจ้าหน้าที่ รวมถึงยังสามารถเดินทางไปแจ้งกับพนักงานสอบสวนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศได้อีกช่องทาง

พร้อมกันนี้ขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงสิ่งที่ต้องเตรียมเพิ่มเติมไว้ล่วงหน้าเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการแจ้งความผ่านศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ ดังนี้...

1.บัตรประจำตัวประชาชน ควรอยู่กับตัว เนื่องจากในการลงทะเบียนจะต้องกรอกข้อมูล ทั้งหมายเลขบัตรและหมายเลขหลังบัตรประชาชน เพื่อเป็นการยืนยันตัวตน

2.อีเมล ผู้แจ้งควรจะต้องมีอีเมลส่วนตัว เพราะหลังจากกรอกรายละเอียดเบื้องต้นแล้ว ระบบจะส่งรหัส OTP ผ่านทางอีเมล เพื่อจะนำมากรอกในระบบ เพื่อยืนยันตัวตนผู้แจ้ง และจะเข้าสู่กระบวนการถัดไป

3.ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับคดี ทั้งข้อมูลส่วนตัวของผู้แจ้งและข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องหาเท่าที่ทราบได้แก่ ชื่อ นามแฝง เลขบัตรประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขบัญชีธนาคารที่ใช้ในการทำธุรกรรม ช่องทางติดต่ออื่นๆ เช่น Line Facebook Instagram Twitter เป็นต้น รวมถึงรูปแบบคำโฆษณาของเหล่ามิจฉาชีพ เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูลคดีอื่น ๆ ที่เคยแจ้งมาก่อน และจะเป็นประโยชน์ต่อการสืบหาคนร้ายที่ทำในรูปแบบขบวนการ

ตำรวจ วอน เลิกทำคอนเทนต์ แสดงสัญลักษณ์มือ ขอแตรสามช่าสิบล้อ เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ

(21 ส.ค.65) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศจร.ตร. เปิดเผย กรณีกระแส ไวรัล (Viral) ในโลกออนไลน์ช่วงที่ผ่านมา มีการถ่ายทำคลิปวีดีโอ ให้เด็กเล็กยืนริมทาง หรือขณะอยู่ในรถ แสดงสัญลักษณ์มือให้คนขับรถบรรทุกบีบแตรเป็นเสียงจังหวะสามช่า  เผยแพร่ในโลกออนไลน์ เรียกยอดไลค์ยอดแชร์ เป็นเรื่องสนุกสนาน เกิดกระแสเลียนแบบทำคลิปเผยแพร่ต่อๆกันเป็น Viral โดยไม่คำนึงถึงอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา

เรื่องนี้มีประชาชนร้องเรียนมายัง ตร. เป็นจำนวนมาก หวั่นจะเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุกับเด็กหรือผู้ที่จะลอกเลียนแบบพฤติกรรมดังกล่าว เพราะนอกจากจะทำให้ผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุกเสียสมาธิในการขับขี่  เสียงแตรอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญต่อประชาชนทั่วไป  อีกทั้งการยืนริมทางหรือถ่ายคลิปวีดีโอขณะอยู่บนรถ อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ทั้งต่อตนเองและผู้ใช้รถใช้ถนนด้วย

พรบ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 14 กำหนดไว้ว่า การใช้เสียงสัญญาณ ผู้ขับขี่จะใช้ได้เฉพาะเมื่อจำเป็นหรือป้องกันอุบัติเหตุเท่านั้น แต่จะใช้เสียงยาวหรือซ้ำเกินควรไม่ได้ เพราะตามกฎหมายการบีบแตรส่งสัญญาณเป็นการเตือนผู้ใช้รถใช้ถนน หรือคนเดินเท้าเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ จึงฝากเตือนไปยังผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุก ไม่ให้สนับสนุนการ แสดงสัญลักษณ์มือขอเสียงแตรจากกลุ่มบุคคลดังกล่าว หากฝ่าฝืน ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท ตามมาตรา 148 

พิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้บริจาคดวงตาที่ถึงแก่กรรม เนื่องในโอกาสวันศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ประจำปี 2565

​วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม 2565 ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย จัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้บริจาคดวงตาที่ถึงแก่กรรม เนื่องในโอกาสวันศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ประจำปี 2565 โดยมีเลขาธิการสภากาชาดไทย เป็นประธาน ณ ห้องราชมณเฑียร โรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ กรุงเทพฯ

​ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แพทย์หญิงลลิดา ปริยกนก ผู้อำนวยการศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย กล่าวว่า ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2508 มีภารกิจในการจัดหาดวงตาบริจาคจากผู้เสียชีวิต เพื่อมอบให้กับจักษุแพทย์นำไปใช้รักษาผู้ป่วยโรคกระจกตาพิการที่ขึ้นทะเบียนรอรับดวงตาบริจาคกับศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม ตลอดจนส่งเสริมการให้บริการทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

​ปัจจุบันศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยได้ดำเนินงานมาเป็นปีที่ 57 โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยได้ดำเนินภารกิจในการจัดหาดวงตาบริจาคจากผู้เสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุขของประเทศและภาคเอกชน รวมถึงการพัฒนาความร่วมมือกับหน่วยงานเครือข่ายในด้านการแพทย์ มีการพัฒนาองค์ความรู้ที่ทันสมัย อันเป็นประโยชน์ต่อบุคลากรของหน่วยงานเครือข่าย เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานด้านการจัดหาและบริการดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายที่สำคัญ คือ ให้ผู้ป่วยกระจกตาพิการได้รับการปลูกถ่ายกระจกตาอย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

​จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ผ่านมา ทำให้ศูนย์ดวงตาได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปริมาณดวงตาที่จัดเก็บได้ลดลงเป็นอย่างมาก ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยจึงได้ดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายใหม่ๆ ในการจัดหาและบริการดวงตา โดยจัดทำโครงการพัฒนาศักยภาพพยาบาลประสานงานการบริจาคดวงตาประจำหอผู้ป่วย (TCWN) เพื่อเพิ่มจำนวนการจัดหาดวงตาจากผู้บริจาคภาวะหัวใจหยุดเต้น (cardiac death) นอกจากนั้นยังจัดทำโครงการ“ดวงตาสดใสใกล้บ้าน” ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานเครือข่าย โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดหาดวงตาบริจาคให้แก่ผู้ป่วยกระจกตาพิการ ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตาเพิ่มมากขึ้น​

​ข้อมูลศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2565 มีผู้ป่วยที่ขึ้นทะเบียนรอรับการปลูกถ่ายกระจกตา จำนวน 17,699 ราย ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา (สะสม) จำนวน 16,137 ราย และมีผู้แสดงความจำนงบริจาคดวงตา (สะสม) จำนวน 1,489,930 ราย โดยจัดเป็นผู้ป่วยรายใหม่ที่ขึ้นทะเบียนรอปลูกถ่ายกระจกตาประมาณ 3,000 รายต่อปี แต่มีผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาเพียง 800 รายต่อปี 

อย่างไรก็ตาม ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ยังมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยกระจกตาพิการให้ได้รับการรักษาอย่างดีที่สุดในท่ามกลางวิกฤติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดไป​

​การจัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้บริจาคดวงตาที่ถึงแก่กรรม เป็นกิจกรรมสำคัญที่ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทยได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยในปี พ.ศ. 2565 ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย ได้มีการมอบโล่ขอบคุณหน่วยงานเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ช่วยเหลือภารกิจของศูนย์ดวงตาดวงตาสภากาชาดไทย และงดการเชิญทายาทของผู้อุทิศดวงตาเข้าร่วมพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลฯ เนื่องจากสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

ผู้ช่วย ผบ.ตร. ชี้แจงปมดราม่า 5 กันยา กฏหมายจราจรใหม่บังคับคนนั่งแคปกระบะต้องคาดเข็มขัด หวั่นประชาชนเข้าใจผิด

วันนี้ (19 ส.ค.65) เวลา 09.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รองหัวหน้าคณะทำงานและคณะทำงานย่อย เพื่อพิจารณายกร่างกฏหมายลำดับรองและเตรียมความพร้อมในการรองรับการบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 ชี้แจงประเด็นที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันในสื่อโซเชียลเว็บไซต์ pantip ระบุ 

“..หลังวันที่ 5 กันยายน 2565 กฎหมายมีผลบังคับใช้ ให้เบาะที่2 ต้องคาดเข็มขัด ฝ่าฝืนปรับ 2000 กรรมจึงมาตกอยู่ที่กระบะแคป ที่ไม่มีเข็มขัด และออกแบบมาเพื่อการใส่ของ ไม่ได้มีไว้นั่ง แต่คนไทยนั่งมาจะร้อยปีแล้ว ทั้งนั่งท้ายกระบะ นั่งแคป คนชนบทที่ซื้อรถแคปมาก็หวังจะได้ซื้อรถราคาถูกกว่า 4 ประตู ใช้งานได้เอนกประสงค์ หวังว่าจะได้เป็นที่หลบร้อน หลบฝน ต้นทุนชีวิตคนเรามันต่างกัน กฎหมายกำลังบีบบังคับ ลอยแพ ผู้ใช้รถแคปอยู่หรือไม่..”

เรื่องนี้ขอเรียนชี้แจงว่า เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ซึ่งข้อเท็จจริง พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2565 จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. 65 โดย ตร. จะต้องออกประกาศเกี่ยวกับการโดยสารในกลุ่มรถที่มีที่นั่งที่ไม่สามารถติดตั้งเข็มขัดนิรภัยได้ ภายใน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ พ.ร.บ. มีผลใช้บังคับ (ครบกำหนดวันที่ 4 ธ.ค. 65) โดยจะมีคณะทำงานพิจารณายกร่างกฎหมาย ที่มี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. เป็นที่ปรึกษา และ พล.ต.อ.ปรีชา เจริญสหายนนท์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร เป็นหัวหน้าคณะ หารือร่วมกันระหว่าง กรมการขนส่งทางบก กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการจัดทำร่างประกาศฉบับดังกล่าว ซึ่งในเนื้อหาสำหรับรถกระบะแคปนั้นกำหนดให้รัดเข็มขัดนิรภัยเฉพาะแถวหน้า ในส่วนของแคปไม่ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย แต่กำหนดให้มีผู้โดยสารไม่เกิน 2 หรือ 3 คน ซึ่งยังอยู่ระหว่างพิจารณาของคณะทำงาน 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top