Thursday, 28 March 2024
ECONBIZ

Welcome to the World of Privacy PDPA สำคัญ!! แต่ไม่ต้องไปกลัว!!

ในปีที่ผ่านมา หลายแบรนด์อยากจะเริ่มทำ Data-Driven Marketing แต่ก็กลัวว่าการใช้ข้อมูลลูกค้าที่เก็บไว้จะไปผิดกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA สุดท้ายก็เลยไม่กล้าไปแตะต้องข้อมูลที่มีอยู่ 

ความกลัวนี้ ก็พอจะเข้าใจได้ เพราะเป็นเรื่องใหม่ที่ตลาดเองก็ยังไม่ชิน เนื่องจากเพิ่งจะมีการบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมานี้เอง 

และก็แน่นอนว่า ในฐานะคนทำ Data-Driven Marketing ย่อมรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่เห็นข้อมูลอันมีมูลค่ามหาศาลถูกนั่งทับไว้นิ่ง ๆ ไม่ได้นำไปใช้งาน เพียงเพราะกลัว PDPA 

แต่จริง ๆ แล้ว เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปกลัว เราสามารถนำข้อมูลไปใช้สร้างมูลค่าได้ แค่ต้องเตรียมพร้อมให้ดี

นั่นก็เพราะใจความหลักของ PDPA คือ การให้สิทธิความเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลกับผู้บริโภค ผู้ที่จะใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลมีหน้าที่ที่ต้องทำ มีขอบเขตของการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ที่จำกัด หรือถ้าใช้นอกเหนือจากขอบเขตที่กำหนดไว้ ก็ต้องขอความยินยอมจากแต่ละคนก่อนนั่นเอง ไม่ใช่ว่าห้ามใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเลย 

พูดง่าย ๆ แค่เราต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมาย!! 

นอกจากนี้อีกสิ่งที่สำคัญและมักจะลืมกันไป คือ ผู้บริโภคจะต้องได้ประโยชน์จากการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลด้วย หมายความว่าถ้าเราสามารถนำข้อมูลไปสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้ ลูกค้าก็จะยินดีเปิดเผยข้อมูล

ก.อุตฯจับมือมหาดไทย-ก.ทรัพย์-ผู้ว่า 39 จ. ร่วมขับเคลื่อนเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์

กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลัง มหาดไทย ก.ทรัพย์ สภาอุตฯ ลงนาม MOU พร้อมผู้ว่าฯ 39 จังหวัดเป้าหมาย พัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เน้นบรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ มุ่งเน้นการพัฒนาประเทศไทยให้เป็น “เมืองน่าอยู่ คู่อุตสาหกรรม” ครบทั้ง 5 มิติ คือ มิติกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ด้านที่ 5 การสร้างความเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มุ่งสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางสังคมและสิ่งแวดล้อม พัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริม สนับสนุน ผลักดัน ยกระดับเมืองน่าอยู่คู่อุตสาหกรรมตามเป้าหมายการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยมอบหมายให้ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นเจ้าภาพดำเนินงาน

นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรอ. ได้จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กรอ. กับ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และจังหวัดเป้าหมายการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ 39 จังหวัด เพื่อการแสดงเจตนารมณ์ที่เห็นพ้องต้องกัน ในการร่วมบูรณาการความร่วมมือพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของหน่วยงานภาครัฐให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พร้อมขับเคลื่อนและพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรม (Ecosystem) เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยอย่างมั่งคั่งและยั่งยืน ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2565 ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ

โดยได้รับเกียรติจาก นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายธัญญา เนติธรรมกุล รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นสักขีพยาน และลงนามบันทึกความเข้าใจโดย นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายธนิศร์ วงศ์ปิยะสถิตย์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายเฉลิมชัย ปาปะทา อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม นายอัฐพล จิรวัฒน์จรรยา รองผู้ว่าการ (ประจำสำนักผู้ว่าการ) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายเกรียงไกร  เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้ว่าราชการจังหวัด 39 จังหวัดเป้าหมาย แบ่งเป็น…

คนไทยถือครองคริปโทมากที่สุดในโลก?

"คนไทยใช้ NFT มากที่สุดในโลก 5.65 ล้านคน"
"คนไทยถือครองคริปโตมากเป็นอันดับ 1 ของโลก"

พาดหัวเหล่านี้คงเคยผ่านตาหลาย ๆ คนมาบ้าง1 หลายคนอาจจะดีใจ ว่าคนไทยก้าวทันเทคโนโลยี บางคนอาจจะเป็นห่วง ว่าคนไทยเอาเงินไปเก็งกำไรกับสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมาก

>> แต่คนไทยถือครองคริปโตมากขนาดนั้นจริงมั้ย?

ข้อมูลนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก โดยเฉพาะสำหรับหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง ก.ล.ต. หรือ ธปท. เพราะเป็นตัววัดว่าคนไทยสนใจ cryptocurrency มากแค่ไหน จะเกิดความเสี่ยงทั้งต่อเงินออม เงินลงทุนของประชาชน หรือความเสี่ยงต่อระบบหรือไม่ หรือหากเกิดเหตุการณ์ราคาคริปโทผันผวนมาก (เช่นกรณี UST ที่ผ่านมา) จะได้ใช้ประเมินได้คร่าว ๆ ว่ามีผู้ได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด

บทความนี้จะลองมาดูว่าตัวเลขเหล่านี้มีที่มาอย่างไร น่าเชื่อถือแค่ไหน โดยจะพูดถึงสถิติสามตัวที่ได้รับการกล่าวถึงบ่อย ๆ ได้แก่...

1. Digital 2022 Global Overview Report ที่ประเมินว่าคนไทยที่ใช้อินเทอร์เน็ต อายุ 16–64 ถึง 20.1% ถือครองคริปโตอยู่ มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก
2. Statista Digital Economy Compass 2022 ที่ประเมินว่าคนไทยถือครองคริปโต 4 ล้านคน ขณะที่มีคนไทยที่มี NFT มีมากถึง 5.65 ล้านคน
3. TripleA's "Cryptocurrency across the world" ที่ประเมินว่าคนไทยถือครองคริปโตอยู่ 3.6 ล้านคน

>> เรารู้อะไรบ้างจากข้อมูลของ ก.ล.ต.

ด้วยธรรมชาติของคริปโท ทำให้ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่า wallet ต่าง ๆ นั้นเป็นของใคร ของคนชาติไหน ในการหาคำตอบว่ามีคนไทยซักกี่คนที่ถือคริปโตอยู่ ข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดที่พอจะมีอยู่และเป็นจุดเริ่มต้นได้ ก็น่าจะเป็นข้อมูลที่เรียกว่า administrative data (ภาษาไทยแปลว่า "ข้อมูลเพื่อการบริหาร" ซึ่งคือข้อมูลที่มีจุดประสงค์อื่น ๆ นอกจากการทำสถิติ เช่น ข้อมูลลงทะเบียน หรือข้อมูลบันทึกการทำธุรกรรม) ในกรณีนี้ ถ้าเราอนุมานว่าคนที่ถือคริปโทส่วนใหญ่จะมีบัญชีอยู่กับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (exchange) ด้วย และ exchange เหล่านี้ก็ต้องรายงานกับ ก.ล.ต. ว่ามีบัญชีเปิดอยู่กี่บัญชี เราก็สามารถดูข้อมูลจาก ก.ล.ต. ได้เลย

จาก รายงานสรุปภาวะตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลรายสัปดาห์ ของ ก.ล.ต. จะพบว่า exchange ภายใต้กำกับของ ก.ล.ต. ทั้งหมดมีบัญชีรวมกันประมาณ 2.7 ล้านบัญชี (ณ เมษายน 2565) ซึ่งอันนี้อาจมีการนับซ้ำได้ (กรณีคนคนหนึ่งมีบัญชีอยู่กับ exchange สองแห่ง)

แน่นอนว่าตัวเลขนี้ยังไม่รวม exchange เจ้าใหญ่ ๆ ของโลกอย่าง Binance, Coinbase, หรือ Kraken ที่ไม่ได้อยู่ใต้กำกับของ ก.ล.ต. ซึ่งเป็นข้อจำกัดของข้อมูล adiministrative data นี้ ทำให้เราไม่สามารถทราบจำนวนคนไทยที่ถือคริปโททั้งหมดได้ แต่อาจจะลองใช้เป็น baseline ในการเปรียบเทียบกับตัวเลขอื่น ๆ ได้

>> เปรียบเทียบข้อมูลของทั้งสามแหล่ง

ตัวเลขของทั้ง DataReportal และ Statista นั้น ต่างมาจากผลการตอบแบบสำรวจ โดย DataReportal อ้างอิงผลสำรวจโดย GWI (จำนวน 17,500 ตัวอย่าง2) ขณะที่รายงานของ Statista นั้น อ้างอิงข้อมูลจาก Statista Global Consumer Survey (อย่างน้อย 2,000 ตัวอย่าง3) โดยทั้งสองแบบสำรวจอ้างว่าเป็นการสำรวจแบบใช้โควต้า (quota sampling) กล่าวคือ จำกัดจำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม ตามกลุ่มอายุ เพศ การศึกษา ที่ตอบแบบสอบถามให้ได้ตามสัดส่วนประชากรจริง ทำให้ได้ผลที่น่าเชื่อถือมากกว่าการสำรวจที่ไม่มีโควต้า

ที่มา: DataReportal / GWI (Q3 2021). FIGURES REPRESENT THE FINDINGS OF A BROAD GLOBAL SURVEY OF INTERNET USERS AGED 16 TO 64. SEE GWI.COM FOR FULL DETAILS.

Starbucks เล็งถอนตัวจากสหราชอาณาจักร หลังเจอพิษเงินเฟ้อ - การแข่งขันรุนแรง

Starbucks เล็งถอนตัวจากตลาดสหราชอาณาจักร หลังเจอพิษเศรษฐกิจจากภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้งยังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์เจ้าถิ่น

มีรายงานข่าวจากบีบีซี ระบุว่า Starbucks เชนร้านกาแฟยักษ์ใหญ่จากสหรัฐ อเมริกา อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้กับธุรกิจในกลุ่มประเทศสหราชอาณาจักร (United Kingdom) เหตุเพราะเศรษฐกิจของ UK กำลังเผชิญวิกฤตอย่างหนัก

จากปัจจัยลบรอบด้าน ทั้งภาวะเงินเฟ้อรุนแรงและปัญหาข้าวยากหมากแพง รวมไปถึงการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนี้ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าสู้ต่อไม่ไหว อาจนำไปสู่การขายกิจการ เหมือนกับที่เคยขายธุรกิจสิทธิ์การบริหารในประเทศไทยให้กับบริษัทในกลุ่มไทยเบฟไปแล้วก่อนหน้านี้ 

อย่างที่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจของ UK ไม่ต่างจากคนไข้ที่แพทย์ต้องจับตาดูอาการอย่างใกล้ชิด โดยเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมาตัวเลขเงินเฟ้อพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 9.1% สูงสุดในรอบ 40 ปี นับเป็นตัวเลขที่สูงสุดในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ 7 ประเทศ (G7) อีกด้วย และหากสถานการณ์ยังเลวร้ายต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าปีนี้ตัวเลขเงินเฟ้ออาจพุ่งเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 11%

ขณะที่ ก่อนหน้านี้ องค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้ประเมินเศรษฐกิจของ UK กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย และปี 2023 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อาจไม่ขยายตัวเลย

ข้อมูลเชิงลบดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภคต้องคิดให้รอบคอบว่าจะกินจะดื่มอะไร เพราะอาหารทุกจานและเครื่องดื่มทุกแก้วย่อมส่งผลต่อจำนวนเงินในกระเป๋า ในภาวะข้าวยากหมากแพงเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม ทาง Starbucks ยังคงจับตาสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจใน UK อย่างใกล้ชิดด้วยความกังวล แม้ว่าปัจจุบันยอดขายกำลังกระเตื้องกลับขึ้นมา หลังคนวัยทำงานต่าง ๆ ถูกเรียกตัวกลับบริษัท ทั้งแบบเต็ม 5 วันทำงานหรือสลับกับการทำงานอยู่บ้านก็ตาม

ขณะที่ The Times หนังสือพิมพ์เก่าแก่ของอังกฤษรายงานว่า Starbucks กังวลต่อสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจของ UK อย่างมาก และกำลังคิดหาทางว่าจะทำอย่างไร

จนต้องไปหารือกับ Houlihan Lokey บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินของสหรัฐฯ ที่เชี่ยวชาญการปรับโครงสร้าง ควบรวมและขายกิจการ โดยทางออกต่าง ๆ ที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณานี้มีการขายกิจการรวมอยู่ด้วย

'บิ๊กตู่' เร่งจัดหารถเมล์ EV ให้บริการประชาชน ชี้!! พร้อมสนับสนุนการปรับโฉมรถตุ๊กตุ๊กไทย

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพรถโดยสารสาธารณะในการให้บริการประชาชน โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกฯ มีข้อสั่งการติดตามให้มีการใช้รถเมล์ไฟฟ้า EV ซึ่งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยันว่าภายในปีนี้ คาดหมายให้มีรถเมล์ไฟฟ้าออกมาให้บริการประชาชน ประมาณ 1,000 คัน 

ล่าสุดกระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการตามนโยบายสนับสนุนให้เกิดกระแสการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยได้อนุมัติให้ ขสมก. ดำเนินโครงการจ้างเหมาบริการรถโดยสารปรับอากาศที่ใช้พลังงานสะอาด (รถไฟฟ้า) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเดินรถและลดมลภาวะเป็นพิษในเขตเมือง จำนวน 224 คัน เพื่อให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด  

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการจัดหาจ้างเหมาบริการรถเมล์ไฟฟ้าเร่งด่วน มารองรับกรณีที่รถเมล์ ขสมก. ไม่เพียงพอต่อการบริการประชาชนในปัจจุบัน รวมถึงรถที่นำมาใช้เพื่อรองรับการที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หรือ เอเปก ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งปัจจุบันรถเมล์ ขสมก. มีวิ่งให้บริการอยู่ 2,885 คัน ใน 107 เส้นทาง วิ่งให้บริการอยู่ 17,000 เที่ยวต่อวัน และได้มีการปรับประสิทธิภาพให้วิ่งเพิ่มได้ถึง 19,000 เที่ยวต่อวันโดยการเพิ่มรอบความถี่

จากปัจจัยความต้องการต่าง ๆ ขสมก. จึงได้เตรียมดำเนินการโครงการจ้างเหมาบริการรถไฟฟ้าจำนวน 224 คัน มาเสริมการบริการ โดยเป็นการดำเนินการระยะสั้นไม่เกิน 2 ปี ในช่วงทดแทนที่แผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. ยังไม่สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้ จะสามารถรับมอบรถเข้ามาวิ่งให้บริการในลอตแรกเดือน พ.ย. จำนวน 90 คัน 

'พิชัย' ชี้ 'ประยุทธ์' จะล้มเหลวรับมือปัญหาเศรษฐกิจ จี้ แก้ปัญหาไฟฟ้าแพง แก้ข้อพิพาทของก๊าซในอ่าวไทย

'พิชัย' ชี้ 'ประยุทธ์' จะล้มเหลวรับมือปัญหาเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย ค่าบาทอ่อน จี้ แก้ปัญหาไฟฟ้าแพง แก้ข้อพิพาทของก๊าซในอ่าวไทย และ ค่าความพร้อมสูงถึงปีละแสนล้านบาท แนะ แม้ปัจจุบันจะยังไม่แย่เท่าศรีลังกา แต่ทิศทางกำลังเหมือน 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า เงินเฟ้อของสหรัฐเดือนมิถุนายนสูงถึง 9.1% สูงที่สุดในรอบ 40 ปี ทั้งที่สหรัฐเพิ่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75% แต่ก็ยังคุมเงินเฟ้อไม่อยู่ ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่สหรัฐจะต้องขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกอาจสูงถึง 1% ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐในเร็วๆนี้  ซึ่งจะส่งผลกระทบมาถึงเศรษฐกิจไทยอย่างมาก เพราะอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกันจะทำให้เงินตราต่างประเทศไหลออก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่เงินทุนต่างประเทศจะออกไปเพื่อไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่า และจะยิ่งทำให้ค่าเงินบาทยิ่งอ่อนลง และจะทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นอีกได้ อีกทั้งการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในหลายเดือนที่ผ่านมายิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง 

โดยล่าสุดในเดือนมิถุนายน ไทยขาดดุลการค้า 1.2 พันล้านเหรียญ หรือ 4 หมื่นล้านบาท ซ้ำเติมหลังจากที่ 5 เดือนแรก ไทยขาดดุลการค้าแล้ว 4,726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเงินทุนได้ไหลออกไปกว่า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (กว่า 1 ล้านล้านบาท) แล้วตั้งแต่ต้นปี และยังมีแนวโน้มที่จะไหลออกเพิ่มอีก จนภาคเอกชนกังวลกันว่าเงินบาทที่อ่อนจะทะลุ 37 บาทต่อดอลล่าร์ในอีกไม่นานนี้ อาจจะทะลุไปถึง 40 บาทต่อดอลลาร์ได้และอาจทำให้เงินเฟ้อของไทยที่กำลังจะทะลุ 8% อาจจะพุ่งทะลุไปถึง 10% ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก ในขณะเดียวกัน หากไทยจะขึ้นดอกเบี้ยก็จะส่งผลกระทบต่อหนี้ครัวเรือนที่สูงถึงเกือบ 15 ล้านล้านบาท หรือ กว่า 90% ของจีดีพี อีกทั้งหนี้สาธารณะมากกว่า 10 ล้านล้านบาท หรือ ทะลุ  60% ของจีดีพีแล้ว ซึ่งหากขึ้นดอกเบี้ยก็จะยิ่งเพิ่มภาระขึ้นไปอีกมาก ดังนั้น ความกังวลเรื่องการระเบิดของหนี้ต่างๆในไทยเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ จากการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของพลเอกประยุทธ์ ดังนั้น ปัญหาเงินเฟ้อ ปัญหาดอกเบี้ย ปัญหาค่าเงินบาทที่อ่อน และปัญหาการระเบิดของหนี้ จะเป็นปัญหาใหญ่ที่พลเอกประยุทธ์ต้องรับมือ ซึ่งพลเอกประยุทธ์แทบจะไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้เลย ซึ่งจะให้ปัญหาทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ 

ทั้งนี้แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจจะลดลงบ้าง แต่ก็ยังผลิกผันได้ตลอด เรื่องที่น่ากังวลคือปัญหาการปรับราคาค่าไฟฟ้าที่จะพุ่งสูงขึ้นมากจากหน่วยละ 4 บาทเป็นหน่วยละ 5 บาท สร้างความสั่นสะเทือนและความกังวลไปทั่ว ทั้งค่าใช้จ่ายของประชาชนที่จะเพิ่มขึ้นและความสามารถแข่งขันของไทยที่จะลดลง เพราะคงไม่มีใครอยากจะมาลงทุนในประเทศที่ค่าไฟฟ้าแพงมหาโหด แนวทางที่จะแก้ไขก็ต้องเข้าไปแก้กันที่สาเหตุของปัญหาคือ การหาข้อยุติในข้อพิพาทระหว่างบริษัทที่รับสัมปทานเดิม เชฟรอน และ บริษัทที่รับสัมปทานใหม่ ปตท. สผ. และ มูตาบารา ในการส่งมอบสัมปทาน และ ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการรื้อถอนแท่นขุดเจาะก๊าซในทะเลที่ต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงและอาจถูกฟ้องร้องได้ในกรณีที่การรื้อถอนอาจจะทำให้เกิดมลภาวะในทะเลและชายฝั่งได้ ทั้งนี้เพื่อที่นำก๊าซจากอ่าวไทยขึ้นมาได้ หลังจากที่ไม่สามารถนำก๊าซธรรมชาติจำนวนมากขึ้นมาได้จากปัญหาข้อพิพาทดังกล่าว จึงต้องทำให้ไทยต้องนำเข้า ก๊าซ LNG ที่มีราคาแพงกว่า 30 เหรียญต่อหน่วยเข้ามาทดแทน และทำให้ราคาค่า FT ของค่าไฟฟ้าพุ่งขึ้นสูงมาก 

นอกจากนี้ การผลิตไฟฟ้าที่ล้นเกินถึง 50% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด ทำให้ต้องจ่ายค่าความพร้อมให้กับโรงงานผลิตไฟฟ้าแต่ไม่ได้ส่งไฟฟ้ามียอดถึงเดือนละกว่า 8,000 ล้านบาท หรือ ปีละประมาณแสนล้านบาทซึ่งสูงมาก เป็นความผิดพลาดในนโยบายการผลิตไฟฟ้าของพลเอกประยุทธ์ และ ปัจจุบันยังมีการให้ใบอนุญาตผลิตไฟฟ้ากันอยู่เลย แม้กำลังผลิตจะยังล้นเกินนี้ดังนั้น พลเอกประยุทธ์จะต้องหาทางเจรจาลดค่าความพร้อมนี้ และ หยุดการให้ใบอนุญาตผลิตไฟฟ้าไว้ก่อนชั่วคราวได้แล้ว จนกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะมีเพิ่มขึ้น นั่นหมายถึงต้องทำเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น

ค้นฟรี!! 'พาณิชย์ฯ' เปิด DBD DataWarehouse+ คลังข้อมูลธุรกิจออนไลน์ใหญ่สุดในประเทศ

(18 ก.ค. 65) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากปัญหาการหลอกลวงจากกลุ่มมิจฉาชีพ ที่ชักจูงให้ประชาชนทำธุรกรรมทางการเงิน หรือการพิจารณาการลงทุนของประชาชนหรือผู้ประกอบการในธุรกิจต่าง ๆ ล้วนต้องใช้ข้อมูลที่ถูกต้องในการตัดสินใจ และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในเรื่องข้อมูลที่ทันสมัย ถูกต้อง ประกอบการวิเคราะห์ในภาพรวมอุตสาหกรรม ขณะนี้ ทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดทำคลังข้อมูลธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ “DBD DataWarehouse+” เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจและประชาชนใช้ประโยชน์ฟรี ทั้งการตรวจสอบสถานะนิติบุคคล ข้อมูลงบการเงิน วิเคราะห์ธุรกิจ และค้นหาคู่ค้าทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประกอบธุรกิจและเป็นข้อมูลประกอบก่อนการตัดสินใจลงทุน และกำหนดนโยบายต่าง ๆ ใช้งานง่ายผ่าน www.dbd.go.th หรือค้นหาข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน DBD e-Service ทั้งนี้ เป็นไปตามตามข้อสั่งการนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

นางสาวรัชดา กล่าวถึงประโยชน์ของการค้นหาข้อมูลจาก DataWherehouse อาทิ 
1.) การตรวจสอบสถานะนิติบุคคล โดยสามารถค้นหาข้อมูลของนิติบุคคล พร้อมทั้งเปรียบเทียบข้อมูลในประเภทธุรกิจเดียวกันเพื่อให้ทราบถึงสถานะของตนเองแยกตามขนาดธุรกิจ รวมทั้ง ผลประกอบการเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มธุรกิจ และอัตราส่วนทางการเงิน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวัดประสิทธิภาพในการบริหารงานของกิจการ สะท้อนให้เห็นจุดแข็ง จุดอ่อน ช่วยวิเคราะห์หาแนวทางแก้ไข หรือพัฒนาการดำเนินงานขององค์กรให้ได้ผลการดำเนินงานตรงตามแผนงานหรือเป้าหมายที่กำหนดไว้ของกิจการ

2.) การวิเคราะห์ธุรกิจ สามารถค้นหาข้อมูลภาพรวมของกลุ่มธุรกิจแต่ละประเภท วิเคราะห์ศักยภาพการดำเนินธุรกิจตามผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจลงลึกถึงระดับภาคและจังหวัด เพื่อให้เห็นแนวโน้มการประกอบธุรกิจในแต่ละพื้นที่ อัตราการอยู่รอดของธุรกิจ พร้อมทั้ง สัดส่วนการลงทุนในนิติบุคคลแบ่งตามสัญชาติ ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนในธุรกิจเป้าหมายที่สนใจ หรือปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของธุรกิจในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังสามารถค้นหาคู่ค้าทางธุรกิจที่ดำเนินธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน (Supply Chain)

ต่อยอดสู่การเติบโต!! EA ปูทางขยายธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้าเต็มตัว หลังเข้าซื้อหุ้น BYD 23% มูลค่ากว่า 6.99 พันล้าน

EA เดินหน้าต่อยอดธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทุ่ม 6,997 ล้านบาท ส่งบ.ย่อยเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน BYD สัดส่วน 23% เตรียมขยายธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่จะเป็น New S-Curve ในอนาคต

นับเป็นอีกหนึ่งก้าวย่างที่สำคัญทางธุรกิจของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ที่ยังคงเดินหน้าต่อยอดสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อนายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 65 อนุมัติให้ บริษัท อีเอ โมบิลิตี โฮลดิง จำกัด (EMH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเข้าลงทุนใน บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD, บริษัท เอซ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (ACE) และบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด (TSB)

ทั้งนี้ EMH จะเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) ของ BYD จำนวน 990,800,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท หรือคิดเป็น 23.63% ของทุนชำระแล้วภายหลังการเพิ่มทุน ในราคาหุ้นละ 7.062 บาท คิดเป็นมูลค่าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 6,997,029,600 บาท
 
สำหรับ BYD นั้น เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกอบธุรกิจหลักเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์จากกระทรวงการคลัง, คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ขณะที่ ACE ประกอบธุรกิจหลักในการเข้าถือหุ้นในบริษัทจำกัด และ/หรือ บริษัทมหาชน จำกัด โดยมี BYD ถือหุ้น ในอัตรา 49% และ TSB ประกอบธุรกิจหลักในการให้บริการรถโดยสารไฟฟ้าประจำทางในเขตกรุงเทพและปริมณฑล โดยมี ACE เป็นผู้ถือหุ้นในอัตรา 100%

นายอมร ระบุว่า การเข้าลงทุนใน BYD จะทำให้บริษัทได้มาซึ่งพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งจะก่อให้เกิดโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทฯ เนื่องจากการลงทุนในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีโอกาสในการสร้างยอดขายรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ส่วนแหล่งเงินทุนที่ใช้มาจากกระแสเงินสดของบริษัทและเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
 

'กอบศักดิ์' เผยราคาน้ำมันโลกลดมาอยู่ช่วงก่อนเกิดสงคราม คาดจะช่วย 'เฟด' บริหารจัดการเงินเฟ้อได้ง่ายขึ้น

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกล่าสุด โดยระบุว่า 

ภาพประวัติศาสตร์

เริ่มกลับไปที่เดิม !!!!  ข่าวดี  !!!!

หลังราคาน้ำมันโลกได้พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด หลังเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ไปอยู่ที่ 130-140 ดอลลาร์/บาเรล

ทำให้หลาย ๆ คนกังวลใจว่าจะเกิดปัญหา Stagflation นั้น

มาถึงวันนี้ ราคาน้ำมันโลกได้ลดลง กลับมาที่จุดเริ่มต้นก่อนเกิดสงครามอีกครั้ง 

ราคาน้ำมัน Brent ต่ำสุดวันนี้ที่ 94.5 ดอลลาร์/บาเรล 

ราคาน้ำมัน WTI ต่ำสุดวันนี้ที่ 90.56 ดอลลาร์/บาเรล

ต่ำกว่าระดับจุดเริ่มต้น !!! 

ก่อนปรับตัวขึ้น 

สะท้อนว่า ราคาน้ำมันโลกขึ้นได้ ก็ลงได้เช่นกัน

และหมายความต่อไปว่า สิ่งที่ทุกคนกังวลใจ "ราคาน้ำมันโลกจะเป็นปัจจัยกดดันให้เงินเฟ้อโลกพุ่งไปเรื่อย ๆ" ตอนนี้ได้คลี่คลายไปบ้างแล้ว

ภาวะความไม่สมดุลระหว่าง Supply และ Demand ในตลาดน้ำมันโลก เริ่มดีขึ้น 

ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก การที่น้ำมันของรัสเซียซึ่งถูก Sanctions จากสหรัฐและพันธมิตร ได้ถูกส่งไปประเทศอื่น ๆ แทนได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย และตะวันออกกลาง ทำให้ปริมาณน้ำมันส่งออกในโลกกลับเป็นปกติมากขึ้น และจากความกังวลใจว่าจะเกิด Global Recession ในอนาคต ซึ่งจะช่วยลดความต้องการใช้น้ำมันลง

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะราคาน้ำมันโลกเป็นต้นตอหลักของเงินเฟ้อในประเทศต่างๆ ในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา 

ถ้าราคาน้ำมันปรับตัวดีขึ้น การ Peak ของเงินเฟ้อก็จะตามมาในช่วงต่อไป

มาลุ้นกันนะครับว่า ราคาน้ำมันโลกในครึ่งหลังของปี จะปรับขึ้นไปสูงเหมือนช่วงแรกของสงครามอีกรอบ ได้หรือไม่ 

หากราคาน้ำมันโลกไม่ขึ้นสูงไปเช่นเดิม ยังวิ่งอยู่ที่ประมาณ 100 ดอลลาร์/บาเรล แรงกดดันต่อเงินเฟ้อในประเทศต่าง ๆ ในครึ่งหลังของปีก็จะค่อย ๆ ลดลง 

สงครามของเฟดกับเงินเฟ้อก็จะบริหารจัดการได้ง่ายขึ้น

ซึ่งในเรื่องนี้ หากไม่มีอะไรพลิกผันจนเกินไป คงต้องบอกว่า 

สถานการณ์ตลาดน้ำมันโลกในช่วงครึ่งหลังของปี จะต่างจากช่วงครึ่งแรก 

ที่เป็นเช่นนี้เพราะ 

‘CHIC’ เคาะราคาขาย IPO 0.90 บาท จำนวน 360 ล้านหุ้น เปิดจองซื้อ 18-21 ก.ค.นี้

CHIC’ เคาะราคาขายหุ้นไอพีโอ ราคาหุ้นละ 0.90 บาท จำนวน 360 ล้านหุ้น เปิดจองซื้อ 18-21 .. เตรียมเข้าเทรด mai .. นี้ แต่งตั้ง เมย์แบงก์ (MST) พร้อมด้วย ASP และ LHS ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เผยธุรกิจมีโอกาสเติบโตสูง ผนึก KSS และ KTBST เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย

นายธีร์ จารุศร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) หรือ ‘CHIC’ เปิดเผยว่า หลังจาก บมจ. ชิค รีพับบลิค ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงาน ก... เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 360 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 26.47 ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ปัจจุบัน สำนักงาน ก...ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบ ไฟลิ่งมีผลใช้บังคับแล้ว

ล่าสุด บมจ.ชิค รีพับบลิค ลงนามสัญญาแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) พร้อมผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายอีก 2 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) (KTBST)

โดยกำหนดราคา IPO ที่หุ้นละ 0.90 บาท เปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 18-20 กรกฏาคม 2565 ระหว่างเวลา 9.00-16.00 . และวันที่ 21 กรกฏาคม 2565 ระหว่างเวลา 9.00-12.00 . คาดว่าหุ้น CHIC จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ (Service) หมวดธุรกิจพาณิชย์ (Commerce) ภายในเดือน ก.. 2565 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า ‘CHIC’

สำหรับการกำหนดราคา IPO ดังกล่าว ถือเป็นระดับราคาเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน และสอดคล้องกับสภาวะตลาดปัจจุบัน คาดว่า CHIC จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ทั้งโอกาสการเติบโตของธุรกิจ และมีความพร้อมในการขยายธุรกิจรองรับการเติบโตในอนาคต” นายธีร์ กล่าว

นางยอดฤดี สันตติกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า CHIC เป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ผู้บริหารและทีมงานมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์มายาวนาน เข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หลากหลาย โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อ อีกทั้งได้รับการยอมรับจากผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศ การระดมทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพและขยายธุรกิจ รองรับความต้องการของตลาดที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จะช่วยเสริมการเติบโตได้ในอนาคต

นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า บริษัทมีศักยภาพเติบโต ตามความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์ของภาคอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้ง จุดแข็งของบริษัทที่มีนโยบายบริหารจัดการต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการผลิต กำหนดราคาสินค้าที่เหมาะสม สามารถสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน อีกทั้งความสามารถด้านการเงิน ของบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ซึ่งหลังจากการระดมทุนครั้งนี้ จะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรมากขึ้น เนื่องจากสัดส่วนหนี้สินต่อทุนลดลง

นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) หรือ ‘CHIC’ เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ไปใช้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ พัฒนาเว็บไซต์ของบริษัทเพิ่มเติม สำหรับการขายแบบ E-Commerce ในประเทศและกัมพูชา เพื่อรองรับฐานลูกค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปรับปรุงพื้นที่บางสาขาในประเทศและขยายพื้นที่ให้เช่า สร้างแหล่งที่มาของรายได้ประจำ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการและชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่องด้านการเงินของบริษัท

ก.พาณิชย์ สั่ง ปรับลดราคา 'น้ำมันปาล์ม' ร้านค้าปลีก-ห้างขนาดใหญ่ ปรับลง 4-5 บาท

(14 ก.ค. 65) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ติดตามการปรับระดับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคมาอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบผู้บริโภคหรือการค้ากำไรเกินควร ในช่วงที่คนไทยเช่นเดียวกับคนทั่วโลกที่กำลังเผชิญปัญหาภาวะเงินเฟ้อ โดยมีการติดตามต้นทุนการผลิต ปริมาณสต๊อกสินค้า เพื่อให้การกำหนดราคาเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ส่งผลให้สินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวันหลายชนิดชะลอการปรับเพิ่มราคา 

และล่าสุดนายจุรินทร์ ได้สั่งการให้เร่งรัดการปรับลดราคาน้ำมันปาล์มขวดตามต้นทุนการผลิตที่ปรับลดลง โดยร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า จะเริ่มปรับลดราคาน้ำมันปาล์มขวดลง 4-5 บาท จากราคาขายปัจจุบันที่ขวดละ 69-70 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ (14 ก.ค. 65) เป็นต้นไป เพื่อให้มีราคาสะท้อนตามต้นทุนที่แท้จริง

น.ส.รัชดา กล่าวว่า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานผลการประชุมร่วมกับห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ ซูเปอร์มาร์เกต ซึ่งทุกฝ่ายพร้อมให้ความร่วมมือ แต่การลดราคาอาจจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับต้นทุนและสต๊อกเก่าที่มีค้างอยู่ของแต่ละผู้ประกอบการ แต่ยืนยันได้ว่าน้ำมันปาล์มขวดจะต้องขายตามต้นทุนที่แท้จริง หากผลปาล์มดิบลดราคา น้ำมันปาล์มขวดก็ต้องปรับลดด้วยเป็นไปตามโครงสร้างการคำนวณราคาประมาณการของผลปาล์มน้ำมัน น้ำมันปาล์มดิบ และน้ำมันปาล์มขวด ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไว้เป็นราคาแนะนำให้ปฏิบัติ 

เปิดข้อมูลสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช.

เปิดข้อมูลสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ประมาณการรายได้เฉลี่ยต่อหัวคนไทยล่าสุด ปี 2565 หลังประเมินเศรษฐกิจไทยทั้งปี GDP จะขยายตัว 2.5 - 3.5% 

โดย สศช. ประมาณการรายได้ต่อหัวคนไทย ในปี 2565 คาดว่า จะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 248,468 บาทต่อคนต่อปี หรือ 7,351 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนต่อปี เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ราว 16,300 บาท
 

ไทยเจ๋ง!! เจ้าภาพจัดงาน World RoboCup 2022 การแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก 45 ชาติร่วมชิงชัย

(13 ก.ค.65) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม เป็นประธานเปิดงานการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลกในรายการ World RoboCup 2022 ซึ่งจัดโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมหรือ อว. พร้อมด้วย สหพันธ์โรโบคัพ และบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดฉากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลกในรายการ World RoboCup 2022 โดยมี 45 ประเทศเข้าร่วม 

โดย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า เป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทยที่เราได้รับคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน เพราะสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่ การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ สมาร์ตซิตี้ เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่กระทรวงฯ มุ่งขับเคลื่อนและส่งเสริมให้เกิดขึ้นตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งมีเป้าหมายสร้างพื้นที่และเมืองที่ทันสมัย ตอบโจทย์กับความก้าวล้ำของโลกยุคใหม่ที่เน้นการพึ่งพาดิจิทัลและเทคโนโลยี 

โดยนำโซลูชันที่ทันสมัยไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI คลาวด์ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือแม้แต่กระทั่งหุ่นยนต์เข้ามาช่วยพัฒนาเรื่องการเดินทาง การขนส่ง ความปลอดภัย การจ้างงาน ตลอดจนคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในเรื่องของการส่งเสริมหุ่นยนต์ ที่นับเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยทั้งในแง่ของการเกิดขึ้นของสตาร์ตอัปที่จะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่มหาศาลให้กับประเทศ การนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรม ต่อเนื่องไปถึงการสร้างแรงจูงใจเพื่อรับการลงทุนจากทั่วโลก โดยขณะนี้ประเทศไทย ถือว่ามีศักยภาพในด้านหุ่นยนต์ที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต และจำเป็นที่จะต้องผลักดันให้เติบโตมากกว่าในด้านการแข่งขันหรือเพียงต้นแบบที่พัฒนากันในปัจจุบัน

สำหรับการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลกในรายการ World RoboCup 2022 จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 13 – 17 กรกฎาคมนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา Hall EH98-100 โดยมีถึง 45 ประเทศที่เข้าร่วมนำหุ่นยนต์ในหลากหลายโซลูชันเข้าแข่งขัน และอวดโฉมความอัจฉริยะใน 2 หมวดประเภทหลัก คือ หมวด Major League 4 ประเภท ได้แก่ การแข่งขันฟุตบอลหุ่นยนต์, การแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัย, การประกวดหุ่นยนต์ในบ้านเพื่อการบริการส่วนบุคคล และการจัด

ฟรุ้ทบอร์ดพอใจส่งออกผลไม้ไปจีนครึ่งปีแรกทะลุ 1 ล้านตัน สร้างรายได้กว่า 8 หมื่นล้าน 

ฟรุ้ทบอร์ดพอใจส่งออกผลไม้ไปจีนครึ่งปีแรกทะลุ 1 ล้านตัน สร้างรายได้กว่า 8 หมื่นล้าน ตั้งศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้าผนึก 'คพจ.' 22 จังหวัดรับมือผลไม้ใต้ลำไยเหนือ 1.2 ล้านตันพร้อมเห็นชอบโครงการช่วยเหลือเยียวยาชาวสวนลำไยจากผลกระทบโควิด-19

'เฉลิมชัย' สั่งฟรุ้ทบอร์ดเร่งเดินหน้าแผนปฏิบัติการพัฒนาผลไม้ปี 2565-2570 เพิ่มศักยภาพสู่เป้าหมายเกษตรมูลค่าสูงชูนโยบายคุณภาพและมาตรฐาน เน้นพัฒนาพันธุ์ใช้เทคโนโลยีเพิ่มการแปรรูปสร้างแบรนด์ขยายตลาดและการปฏิรูปการบริหารจัดการ

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ได้มอบหมาย นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ครั้งที่ 3/2565 โดยนายอลงกรณ์เปิดเผยภายหลังการประชุมวันนี้ว่า ที่ประชุมฟรุ้ทบอร์ทพอใจผลงานการส่งออกผลไม้ครึ่งปีแรกของปีนี้เกิน1ล้านตันมากกว่าปีที่แล้วกว่า 120,000 ตัน สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรผู้ประกอบการและประเทศกว่า 8 หมื่นล้าน และผลการดำเนินการบริหารจัดการผลไม้ภาคตะวันออกโดยที่ประชุมได้แสดงความพอใจและกำชับให้เตรียมพร้อมล่วงหน้ารับมือลำไยภาคตะวันออกที่จะออกช่วงปลายปีพร้อมเห็นชอบโครงการช่วยเหลือเยียวยาชาวสวนลำไยฤดูกาลที่แล้วจากผลกระทบโควิด-19

ทั้งนี้ที่ประชุมยังมอบหมายนายสมชวน รัตนมังคลานนท์ รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ รับผิดชอบศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้าภาคใต้ และนายชาตรี บุนนาค ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ รับผิดชอบศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้าภาคเหนือ ประสานการทำงานกับคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากผลผลิตการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานเป็นแกนหลักบริหารจัดการเชิงรุกผลไม้ใต้ลำไยเหนือ 22 จังหวัด ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ได้มอบหมายฟรุ้ทบอร์ดให้ยกระดับนโยบาย 'คุณภาพและมาตรฐานผลไม้' และให้เร่งเดินหน้าแผน 5 ปี คือ แผนปฏิบัติการพัฒนาผลไม้ปี 2565-2570 เพื่อเพิ่มศักยภาพสู่เป้าหมายเกษตรมูลค่าสูงโดยเน้นการพัฒนาพันธ์ุ การใช้เทคโนโลยีในการผลิต การเพิ่มการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม การสร้างแบรนด์ผลไม้ การใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability system) การขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศและการปฏิรูปการบริหารจัดการผลไม้ของฟรุ้ทบอร์ดอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของผลไม้ไทยตลอดห่วงโซ่การผลิตการแปรรูปจนถึงการตลาดและรับมือกับการเพิ่มขึ้นของพื้นที่การปลูกทุเรียนตลอดจนการแข่งขันที่จะเพิ่มขึ้นในตลาดส่งออกในจีนและทั่วโลก

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ ดังนี้
1.) การแต่งตั้งคณะทำงานพัฒนามังคุดมะม่วงและมะพร้าวตามข้อเสนอของเกษตรกรผู้ทรงคุณวุฒิมีหน้าที่จัดทำแผนและพัฒนามังคุดมะม่วงและมะพร้าวแบบครบวงจรซึ่งเป็นคณะทำงานชุดใหม่เพิ่มเติมจากคณะทำงานทุเรียนและคณะทำงานลำไยตามแนวทางการบริหารเชิงรายผลไม้เศรษฐกิจ (product based)

2.) รายงานการศึกษาเสถียรภาพกลุ่มสินค้าลำไยต่อคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ และ มอบหมายให้คณะอนุกรรมการและคณะทำงานภายใต้คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลรายงานการศึกษาฯ เพื่อประกอบการขับเคลื่อนการดำเนินงานในการพัฒนาและบริหารจัดการลำไยทั้งระบบต่อไป

3.) แผนบริหารจัดการผลไม้ภาคเหนือ (ลำไย) ปี 2565 จำนวน 764,777 ตัน

4.) แผนบริหารจัดการผลไม้ภาคใต้ (ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง) ปี 2565 รวม 487,459 ตัน ได้แก่ ทุเรียน จำนวน 382,873 ตัน, มังคุด จำนวน 56,340 ตัน, เงาะ จำนวน 41,714 ตัน, และลองกอง จำนวน 6,532 ตัน 

โดยมอบหมายศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้าประสานคพจ. เป็นแกนหลักในการบริหารจัดการผลไม้กรณีที่การบริหารจัดการผลไม้ในพื้นที่มีปัญหาให้ประสานกับฝ่ายเลขานุการคณะทำงานจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาผลไม้เศรษฐกิจล่วงหน้าทั้งระบบ และ/หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้มาตรการที่เกี่ยวข้องมาดำเนินการสนับสนุนการปฏิบัติงานช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป 

AIS ขออภัยพร้อมชดเชย กรณี AIS Play ล่ม ทำลูกค้าอดชมถ่ายทอดสดเกมแดงเดือด

หลังเกิดเหตุการณ์ AIS Play ล่ม ทำให้เหล่าแฟน ๆ ไม่สามารถรับชมถ่ายทอดสด The MATCH Bangkok Century Cup 2022 ระหว่าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ผ่านทางช่องทาง AIS Play ได้

ล่าสุด ทาง AIS ก็ออกมาขออภัยในความไม่สะดวกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการรับชมการถ่ายทอดสดศึกแดงเดือด ในช่วงเวลา 20.00 น. ของคืนวันอังคารที่ 12 ก.ค.65 เนื่องจากมีลูกค้าใช้บริการและให้ความสนใจเข้ารับชมเป็นจำนวนมาก

โดยออกประกาศระบุว่า

“12 กรกฎาคม 2565 เวลา 23.30 น.
เอไอเอส ขออภัยและขอชดเชยลูกค้า กรณีการถ่ายทอดสด THE MATCH Bangkok Century Cup 2022 ผ่านทาง AIS PLAY เอไอเอส ใคร่ขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นจากการรับชมการถ่ายทอดสดศึกแดงเดือด ในช่วงเวลาประมาณ 20.00 น. ของคืนวันอังคารที่ 12 กรกฎาคม 2565 เนื่องจากมีลูกค้าให้ความสนใจเข้ารับชมเป็นจำนวนมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top