ไม่รู้ ไม่รู้ แต่ไม่แล้งแน่!!
มีเราไม่มีแล้ง!!
ครม. เท 4 พันล้าน!!
เพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารจัดการน้ำ ไม่ให้แล้ง!!

มีเราไม่มีแล้ง!!
ครม. เท 4 พันล้าน!!
เพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารจัดการน้ำ ไม่ให้แล้ง!!
กรุงเทพฯ ยืน 1 ในเอเชียแปซิฟิก ในฐานะเมืองที่มีบุคลากรในสมาคมระหว่างประเทศใช้บทบาทช่วยดึงงานประชุมนานาชาติเข้าสู่ประเทศสูงสุด
บริษัทที่ปรึกษาระหว่างประเทศด้านการจัดประชุม GainingEdge เผยรายงานวิจัยประจำปี “Leveraging Intellectual Capital” เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาพบว่า กรุงเทพมหานครมีบุคลากรเข้าเป็นกรรมการบริหารสมาคมระหว่างประเทศ 194 สมาคม แต่สามารถดึงงานประชุมเข้าประเทศได้มากถึง 123 งาน คิดเป็นอัตราการใช้ประโยชน์ (Harnessing Ratio) 63.4% ทำให้กรุงเทพเป็นอันดับหนึ่งของเอเชียแปซิฟิก
สำหรับ 5 อันดับแรกที่ดึงงานประชุมนานาชาติเข้าประเทศสูงสุด ประกอบด้วย
อันดับ 1 ไทย 63.4%
อันดับ 2 เซี่ยงไฮ้ 51.7%
อันดับ 3 สิงคโปร์ 50.8%
อันดับ 4 ไทเป 45.9%
อันดับ 5 กัวลาลัมเปอร์ 44.3%
GainingEdge จัดอันดับเมืองจุดหมายปลายทางไมซ์ทั่วโลก ด้านการใช้ประโยชน์จากบุคลากรที่เป็นต้นทุนทางปัญญาเพื่อดึงงานประชุมนานาชาติมาจัดในเมืองได้สูงสุด โดยพิจารณาจากจำนวนผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพที่ได้เข้าไปดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารของสมาคมวิชาชีพระหว่างประเทศ
แล้วนำไปเปรียบเทียบกับจำนวนงานประชุมนานาชาติของสมาคมฯ ที่จัดขึ้นระหว่างปี 2561 จนถึงปี 2564 ในเมืองของผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพที่ดำรงตำแหน่งอยู่ และคำนวณค่าออกมาเป็นสัดส่วนร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์ เรียกว่า Harnessing Ratio
นอกจากนี้กรุงเทพมหานครยังอยู่ในอันดับ 6 ของโลก รองจากกรุงปราก 95% ดับลิน 81.9% ลิสบอน 81.8% มอนทรีออล 77.2% และเบอร์ลิน 64.7%
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า จากรายงานของ GainingEdge ได้แนะนำให้เมืองต่าง ๆ ใช้กลยุทธ์การประมูลสิทธิหรือดึงงานโดยเชิญชวนผู้นำองค์ความรู้ หรือผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพที่มีชื่อเสียงให้เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนการดึงงาน ซึ่งสอดรับกับแนวทางการดึงงานของทีเส็บที่ริเริ่มโครงการ Thailand Convention Ambassador Programme หรือผู้ทรงคุณวุฒิด้านการจัดประชุมนานาชาติของประเทศไทย
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า สัปดาห์นี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจไทย จบยุคดอกเบี้ยต่ำของไทยที่เกิดขึ้นมาหลายปี สู่จุดเริ่มต้นของการปรับขึ้นดอกเบี้ยกลับไปสู่ปกติ
ส่วนอัตราดอกเบี้ยของไทยจะปรับขึ้นเท่าไร ไปจบลงที่ตรงจุดไหนในช่วงต่อไปนั้น คงต้องรอคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจ โดยคาดว่าจะขยับขึ้นราว 0.25% โดยมีปัจจัยหลักที่จะเป็นหัวใจสำคัญกำหนดดอกเบี้ยต่อไป คือ แนวโน้มของเงินเฟ้อ ที่ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต้องแข่งกันปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา และสำหรับไทยจะเกิดขึ้นในช่วงต่อไปเช่นกัน
ในประเด็นนี้ ต้องถือว่าเป็น "ข่าวดี" ที่ไทยกำลังจะปรับขึ้นดอกเบี้ย ในช่วงเงินเฟ้อกำลังแผ่วลงบ้าง หลังจากที่ในเดือนล่าสุด (กรกฎาคม) เป็นครั้งแรกของปี ที่เงินเฟ้อลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า จากเคยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างน่ากังวลใจจากเดือนก่อนหน้า (MoM) เฉลี่ยเดือนละ +0.9% มาตลอด เทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) เงินเฟ้อไทยเดือนนี้ก็ลดลงเช่นกัน อยู่ที่ +7.61% จาก +7.66% ในเดือนก่อนหน้า แม้จะลดลงเพียงนิดเดียว แต่ก็ยังน่าดีใจ
เพราะภาพจำของทุกคนสำหรับครึ่งแรกของปีคือ เงินเฟ้อพุ่งทะยาน สูงแล้ว สูงอีก ไม่รู้จะไปจบที่ตรงไหน แต่เดือนนี้ มีข่าวดีเล็ก ๆ เรื่องราคาสินค้าต่าง ๆ พร้อมกันลดหลายจุด
โดยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
เงินเฟ้อทั่วไป -0.16%
ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) -1.3%
ดัชนีราคาก่อสร้าง -0.7%
จะมีก็เพียงเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังบวกเพิ่มอีก +0.5% จากการที่ราคาของสินค้าต่างๆ เริ่มปรับตัวขึ้น จากราคาหมวดพลังงาน และการขนส่ง ที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา
หากเราไปดูรายละเอียดขององค์ประกอบสำคัญของเงินเฟ้อ จะพบว่า ที่ดีขึ้นคือ
หมวดที่ไม่ใช่อาหาร +7.6% ลดลงจาก +8.5%
- พลังงาน +33.8% ลดลงจาก +40.0%
- พาหนะการขนส่ง +10.2% ลดลงจาก 14.8%
สะท้อนราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ในช่วงที่ผ่านมา
ส่วนหมวดที่แย่ลง ก็คือ
หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ +8.0% เพิ่มขึ้นจาก +6.4%
- เนื้อสัตว์ เป็นไก่ สัตว์น้ำ +13.7% จาก 13.0%
- ผัก ผลไม้ +5.8% จาก 0.4%
- อาหารบริโภค-ในบ้าน +8.7% จาก +7.3%
- อาหารบริโภค-นอกบ้าน +8.4% จาก 6.5%
สะท้อนถึงภาระต้นทุนที่เพิ่มในช่วงที่ผ่านมา ที่กดดันให้ทุกคนต้องปรับเพิ่มราคาสินค้าต่างๆ เพื่อส่งผ่านภาระบางส่วนให้แก่ผู้บริโภค
ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า
1. เราต้องแยกแยะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นว่า เป็นด้านพิมพ์เงินมาใช้มากเกินไปแบบสหรัฐฯ (Demand pull inflation) หรือด้านต้นทุนนำเข้า (Cost push inflation) ออกจากกัน ประเทศไทยเป็น Cost push inflation หากขึ้นดอกเบี้ย ก็จะลดเงินเฟ้อได้น้อยมาก ราคาน้ำมัน, ราคาปุ๋ยก็คงไม่ลดลง แต่จะทำเศรษฐกิจที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัวกลับไปถดถอย ทำให้ประชาชนยากจนลงเพราะต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น เศรษฐกิจไทยจะแย่ลง คนตกงานและรายได้ประชาชนลดลง
2. รัฐบาลต้องดูแลประชาชนให้มีงานทำ มีรายได้เพิ่มขึ้นเร็วกว่าเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น การแนะนำให้ขึ้นดอกเบี้ยมากๆ เพื่อ (ก) เพิ่มต้นทุนการกู้ยืมของประชาชน ลดการบริโภค ลดการลงทุน ลดรายได้ภาษีรัฐบาล (ข) เพื่อทำค่าเงินบาทให้แข็งขึ้น เพื่อลดความสามารถในการส่งออกและในการดึงดูดคนต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยว ทั้ง 2 ประการจะทำให้เศรษฐกิจจริง (GDP) ลดลง ทำให้ประเทศไม่พัฒนา ประชาชนไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ และยากจนลงมากขึ้น
‘สีหนุวิลล์’ เมืองท่าตากอากาศของประเทศกัมพูชา ที่ตั้งใจปลุกปั้นให้เป็นเมืองจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อสู้กับเมืองท่าท่องเที่ยวทางทะเลในภูมิภาคอาเซียน อย่างพัทยา ดานัง และภูเก็ต
โดยในช่วงสิบปีที่ผ่านมาสีหนุวิลล์เติบโตอย่างรวดเร็วจากการเข้ามาลงทุนของเอกชนจีน ที่เรียกได้ว่าทั้งเมืองนี้สร้างมาเพื่อคนจีนก็คงจะไม่ผิด เพราะอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ โรงแรม รีสอร์ท คอนโดมิเนียม รวมทั้งคาสิโน ล้วนแต่เป็นการลงทุนจากชาวจีนแทบทั้งสิ้น
‘จาง เจียเหว่ย’ นายกสมาคมธุรกิจจีนในเมืองสีหนุวิลล์ ได้พูดคุยกับทาง Nikkei ว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของเมือง ส่งผลกระทบทำให้ราคาที่ดินพุ่งสูงอย่างมาก สะท้อนถึงต้นทุนค่าเช่าอาคารที่แพงขึ้น ซึ่งกำลังส่งสัญญาณฟองสบู่ภาคอสังหาอย่างชัดเจนของเมืองนี้
ในเดือนสิงหาคมจะครบ 3 ปี ที่การเติบโตของเมืองสะดุดลงหลังจากเกิดโรคระบาดใหญ่ การก่อสร้างมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในสีหนุวิลล์ การพัฒนาอย่างรวดเร็วและไม่มีการตรวจสอบได้เปลี่ยนสิ่งที่เคยเป็นจุดหมายปลายทางริมทะเลยอดนิยมของนักเดินทางแบ็คแพ็ค ให้กลายเป็นคาสิโนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คอนโด โรงแรม และห้างสรรพสินค้า
แรงบันดาลใจของสีหนุวิลล์ต้องการวางยุทธศาสตร์ของเมืองให้เป็น "มาเก๊าแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" การเติบโตของอุตสาหกรรมการพนันออนไลน์ซึ่งเริ่มตั้งขึ้นในเมืองประมาณปี 2017 และดึงดูดคนงานหลายแสนคนให้มาทำงานที่เมืองแห่งนี้
แต่แล้วธุรกิจที่กำลังเติบโตกลับหยุดชะงัก เมื่อเดือนสิงหาคม 2019 รัฐบาลกัมพูชาที่ได้รับแรงกดดันจากรัฐบาลปักกิ่งให้ควบคุมอาชญากรรมและเงินที่ผิดกฎหมายที่หมุนเวียนอย่างมหาศาลในสีหนุวิลล์ มีคำสั่งห้ามเล่นการพนันออนไลน์ ผู้คนในอุตสาหกรรมนี้ตกงานเป็นจำนวนมหาศาล
อีกทั้งโรคระบาดได้ซ้ำเติมทำให้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรวดเร็ว เนื่องจากชื่อเสียงของเมืองแย่ลงไปอีก โดยเกิดการลักลอบเปิดบริษัทการพนันออนไลน์ซึ่งผู้ที่เข้ามาคุมกิจการเต็มไปด้วยแก๊งอาชญากรที่ดำเนินการหลอกลวงเหยื่อบนเว็บทั่วโลกด้วยแรงงานที่ถูกบังคับจากการลักลอบเข้ามาในประเทศ
และในช่วงที่เกิดการระบาดใหญ่ กลุ่มทุนจีนได้ทิ้งเศษซากต่าง ๆ เอาไว้แล้วหอบเงินกลับประเทศจีน ส่งผลทำให้เมืองนี้เต็มไปด้วยอาคารที่ยังสร้างไม่เสร็จถึง 1,155 หลัง ตามตัวเลขอย่างเป็นทางการ การก่อสร้างส่วนใหญ่ได้หยุดลง ทิ้งปัญหาความเสื่อมโทรมของโครงสร้างพื้นฐานในเมืองเอาไว้มากมาย ทั้งถนน ทางเท้า และระบบระบายน้ำ ที่สุดท้ายแล้วรัฐบาลกัมพูชา ต้องมาตาล้างตามเช็ดสร้างขึ้นหลังจากการพัฒนาของเมืองอย่างรวดเร็วเกินไปได้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานของเมืองไปมาก
ในความพยายามที่จะหาทางเดินต่อไปข้างหน้า นักพัฒนาชาวจีนหลายคนได้พบกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกัมพูชาในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม เพื่อเรียกร้องให้ทางการลดภาษีและสร้างดัชนีมูลค่าที่ดินเพื่อช่วยในการเจรจาสัญญาเช่า
พวกเขายังต้องการให้รัฐบาลช่วยแก้ไขข้อพิพาทกับเจ้าของที่ดินดั้งเดิมโดยชักชวนให้กลายเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในโครงการ
นักพัฒนาชื่อ Qiu ซึ่งเดินทางมาถึงสีหนุวิลล์จากประเทศจีนในปี 2017 เป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่มีปัญหาข้อพิพาททางกฎหมายกับเจ้าของที่ดินชาวกัมพูชา
โรงแรมสูงระฟ้ามูลค่า 3 ล้านดอลลาร์ของเขาบนถนนอินดิเพนเดนซ์อเวนิว สร้างเสร็จประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2020 หลังจากการก่อสร้างนานถึง 18 เดือน แต่ยังไม่สามารถเปิดกิจการได้ และมีปัญหาพัวพันกับค่าเช่าและข้อพิพาททางกฎหมายกับเจ้าของที่ดินที่ต้องการจะควบคุมโครงการทั้งหมด ทั้งที่เขาคือหนึ่งคนที่สร้างธุรกิจในจีนได้เติบโต แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาอาจคิดผิดที่มาลงทุนในสีหนุวิลล์
Ivan Franceschini นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ซึ่งศึกษาการลงทุนของจีนในเมืองสีหนุวิลล์กล่าวว่า ในประเทศที่การทุจริตในระดับท้องถิ่นและการเก็งกำไรที่ดินโดยชนชั้นสูงที่เชื่อมโยงกันนั้นมีอยู่มากมาย ข้อเสนอของนักพัฒนาไม่น่าดึงดูดใจนัก
แต่หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติพากันทิ้งเมืองไป ตอนนี้เริ่มเห็นปัญหา ทำให้เจ้าของที่ดินเริ่มรู้ตัวว่า สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ง้อ และทิ้งไว้ซึ่งตึกรามบ้านช่อง อาคารมากมายที่สร้างไม่เสร็จ และหวังเพียงว่านักลงทุนรายใหม่จะกลับมาเพื่อฟื้นฟูเมืองแห่งนี้ ซึ่งเขามองว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้
รัฐบาลได้มอบหมายให้สถาบันการวางผังเมืองและการออกแบบของเซินเจิ้นดำเนินการตามแผนแม่บทที่ "ทะเยอทะยาน" เพื่อเปลี่ยนเมืองให้กลายเป็น "ศูนย์กลางการค้า บริการ และโลจิสติกส์"
แต่ในทางปฏิบัติระดับท้องถิ่น กลับมีผลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับวิธีการจัดการกับโครงการที่หยุดชะงักหลายร้อยโครงการ ส่วนหน่วยงานระดับจังหวัดต่างก็ล้มเหลวในการดำเนินงานตามแผน
ธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมจับมือกับเอกชน 3 ราย เตรียมทดสอบสกุลเงินดิจิทัลช่วงปลายปี 2565 ถึงกลางปี 2566 ขณะเดียวกันก็เตรียมทดสอบในด้านนวัตกรรมเพื่อที่ธนาคารแห่งประเทศไทยนำมาปรับปรุงการออกแบบสกุลเงินดิจิทัลที่เหมาะสมกับบริบทของไทยในอนาคต
วชิรา อารมย์ดี รองผู้ว่าการ ด้านบริหาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางเพื่อให้ประชาชนใช้งาน (Retail Central Bank Digital Currency: Retail หรือ CBDC สกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ) เป็นเรื่องที่ธนาคารกลางทั่วโลกให้ความสนใจ และอยู่ระหว่างศึกษาและพัฒนา เนื่องจากมีศักยภาพที่จะช่วยพัฒนาระบบการเงินในอนาคต
โดย ธปท. เตรียมจะขยายขอบเขตการศึกษาและพัฒนา Retail CBDC ไปสู่การใช้งานจริงในวงจำกัดร่วมกับภาคเอกชน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ...
การทดสอบระดับพื้นฐาน เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบ รวมถึงรูปแบบของการนำเทคโนโลยีมาใช้งานจริงกับประชาชนรายย่อย โดยจะทดสอบการนำมาใช้ชำระค่าสินค้าบริการในพื้นที่เฉพาะ และในกลุ่มผู้ใช้งานประมาณ 10,000 ราย ที่กำหนดโดย ธปท. และภาคเอกชนที่ร่วมทดสอบ 3 ราย ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด โดยจะเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 ไปจนถึงกลางปี 2566
ตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ผ่านมา ประเทศที่จำนวนคนไทยไปทำงานด้วยมากที่สุด ได้แก่ ไต้หวัน จำนวน 12,238 คน โดยไต้หวันมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 25,250 เหรียญไต้หวัน/เดือน หรือประมาณ 30,497 บาท
แต่เนื่องจากค่าเงินและค่าครองชีพของไต้หวันกับไทยไม่แตกต่างกันนัก และส่วนใหญ่เป็นงานใช้แรงงาน อาทิ คนทำงานทั่วไป ช่างทั่วไป ช่างฝีมือ โดยภาพรวมแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แรงงานไทยบางกลุ่มเลือกไปประเทศนี้มากสุดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565
วันที่ 3 สิงหาคม 2565 เวลา 11.50 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์รายการขีดเส้นใต้เมืองไทย ช่องไทยรัฐทีวี ประเด็นราคาลำไย การดูแลราคาสินค้าและราคาปุ๋ย
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ลำไยมี 2 แบบ 1. ลำไยช่อ 2. ลำไยรูดร่วง ลำไยช่อมี 2 แบบ สำหรับการส่งออกที่เรียกว่า มัดปุ๊กขายในประเทศ ซึ่งอันนี้ไม่มีปัญหาปีนี้ราคาดีกว่าปีที่แล้วเยอะ เพราะเกรดส่งออกราคาดีกว่าปีที่แล้ว 21% สำหรับเกรดมัดปุ๊กทั่วไปราคาดีกว่าปีที่แล้ว 38% สำหรับในประเทศคือภาพรวม แต่ที่มีปัญหาคือลำไยรูดร่วง เพราะปีนี้ฝนตกชุกมาก ทำให้คุณภาพต่ำลง ประกอบกับลำไยรูดร่วงส่วนใหญ่เอาไปทำลำไยอบแห้งปรากฏว่าโรงอบแห้งของไทยชะลอการรับซื้อเพราะปีที่แล้วสต๊อกของไว้เยอะและเหลืออยู่มาก และที่ซ้ำเข้ามาคือจีนชะลอการรับซื้อเพราะเก็บสต๊อกปีที่แล้วไว้เยอะ 6 เดือนแรกของปีนี้เราส่งออกลำไยอบแห้งไปจีนบวกถึง 95% เกือบ 100% ทำให้ราคาลดลงมาสำหรับบางตัว ถ้าลำไยรูดร่วงเกรด AA ราคายังได้อยู่ เกรด B ราคาบวกถึง 20% แต่มีปัญหาคือเกรด A ที่ราคาลดลงมากระทรวงพาณิชย์เข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้อยู่ในตอนนี้
เกรดรูดร่วง AA ตอนนี้ปรับเพิ่มเป็น 12 - 16 บาท/กก. แล้วในภาพรวม และเกรด A ที่มีปัญหามากสำหรับรูดร่วงที่ราคาปีที่แล้ว 4-7 บาท/กก. ปีนี้เหลือ 4-6 บาท/กก. แต่กระทรวงพาณิชย์เข้าไปช่วยดูเกรด B ราคาดีกว่าปีที่แล้ว เกรด B ปีที่แล้ว 2-3 บาท/กก. ปีนี้ 2-4 บาท/กก. +20% แต่เกรด A มีปัญหาหนัก ตอนนี้ราคาขยับขึ้นเพราะกระทรวงพาณิชย์เข้าไปใช้วิธีเอาเงิน คชก.(คณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร) ลงไปช่วย 200 กว่าล้านบาท โดยให้โรงงานลำไยอบแห้งช่วยรับซื้อ 100,000 ตันสดและมีจุดรับซื้อทั้งหมด 400 จุด ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ ทำให้ราคาดีขึ้นสำหรับตัวที่มีปัญหา ส่วนเกรด AA ราคาอยู่ในช่วง 12-16 บาท/กก. เกรด A ราคาขยับขึ้นมาแต่ยังไม่ถึงกับดีมากแต่ B ขยับดีขึ้น
ตั้งแต่เดือน เม.ย.ถึง มิ.ย. ผลไม้ในภาคตะวันออกทั้งหมด เราเข้าไปช่วยเดิมตลาดใหญ่คือจีน แต่จีนมีปัญหาเรื่องด่านการขนส่งทางบกมีปัญหามาก เราปรับระบบการขนส่งให้ขนส่งทางเรือมากขึ้น และกระทรวงพาณิชย์ประสานกับสมาคมผู้ส่งออกสินค้าทางเรือ สมาพันธ์ สมาพันธ์โลจิสติกส์และเกษตรกร ล้ง ผู้ส่งออกทั้งหมดปรับ หาเที่ยวเรือและหาตู้คอนเทนเนอร์ให้ ทำให้ส่งออกไปจีนคล่องตัวมากขึ้นและราคาดีมากสำหรับปีนี้ เช่น หมอนทอง ภาคตะวันออกปี 64 ราคา 117 บาท/กก. ปีนี้เฉลี่ย 140 กว่าบาท/กก. ราคาดีขึ้น 22% ภาคใต้หมอนทอง ราคา +45% มังคุดผิวมัน +90% มังคุดคละ +114% เงาะโรงเรียน +168% สับปะรดภูแลภาคเหนือ +20% สับปะรดโรงงาน +4% ลิ้นจี่จักรพรรดิ เกรด B +19% มะม่วงน้ำดอกไม้ +100% มะม่วงคละ +เกือบ50%
ราคาที่ปรับดีขึ้นเพราะเราแก้ปัญหาทันท่วงทีและแก้ปัญหาเชิงรุก เข้าไปแก้ระบบการขนส่งทำให้ตัวเลขการส่งออกผลไม้ 6 เดือนแรกปีนี้ เพิ่มไปแตะ 120,000 ล้านบาท สำหรับตลาดจีนมีปัญหาเฉพาะการขนส่งทางบกเพราะจีนใช้นโยบาย Zero Covid ตรวจโควิดเข้มข้นมาก การส่งออกผลไม้ทางบกต้องผ่านลาวและผ่านเวียดนามเข้าด่านจีนต้องตรวจเข้มและรถติด เดี๋ยวปิด-เปิดเป็นอุปสรรคมาก ตนจึงปรับระบบการขนส่งมาใช้ทางเรือมากขึ้นประสบความสำเร็จอย่างยิ่งทำให้ระบายผลไม้ไปจีนได้คล่องตัวมากขึ้นในปีนี้ตัวเลขราคาขยับไปเยอะ
ก.อุตฯ เร่งช่วยเหลือผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศของไทย เหตุอินเดียห้ามนำเข้าเครื่องปรับอากาศที่มีสารทำความเย็น อ้างความปลอดภัยด้านสุขภาพ ตามพันธกรณีพิธีสารมอนทรีออล สั่ง สมอ. จี้อินเดียแจ้งเวียนมาตรการต่อ WTO พร้อมขอหลักฐานพันธกรณีที่อ้าง
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากกรณีที่ประเทศอินเดียกำหนดมาตรการห้ามนำเข้าเครื่องปรับอากาศที่บรรจุสารทำความเย็น (น้ำยาแอร์) ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็นของไทยเป็นอย่างมาก ตนจึงสั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในฐานะผู้แทนประเทศไทยในคณะกรรมการว่าด้วยอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า (Committee on Technical Barriers to Trade : TBT) ภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยอย่างเร่งด่วน
ด้าน นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อสั่งการของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และข้อร้องเรียนจากผู้ประกอบการที่สมอ. ได้รับเมื่อเดือนกันยายน 2564 สมอ. ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด โดยหยิบยกประเด็นดังกล่าวเข้าในการประชุม Committee on TBT ครั้งที่ 86 เมื่อวันที่ 8-11 มีนาคม 2565 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตามพันธกรณีความตกลงที่ประเทศสมาชิกต้องถือปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันระหว่างสินค้าที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ และถือเป็นอุปสรรคทางการค้าโดยไม่จำเป็น
เมื่อ 1 ส.ค. 2565 ที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ร่วมมือกับ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า (depa) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ เอ็นไอเอ (NIA) บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) บริษัท ทัสพาร์ค ดับบลิวเอชเอ และ บริษัท แสนรู้ จำกัด เปิดโครงการการแข่งขัน 'Spark Ignite 2022 - Thailand Startup Competition' ประจำปี พ.ศ. 2565
งานนี้มีเป้าหมาย เพื่อช่วยสนับสนุนและเร่งยกระดับสตาร์ตอัปไทย สร้างนวัตกรรมชั้นยอดสู่ตลาดโลก ด้วยการเป็นพาร์ตเนอร์สำคัญที่สร้างแรงขับเคลื่อนสำคัญให้แก่กลุ่มสตาร์ตอัปรุ่นใหม่ของไทย เร่งสร้างอีโคซิสเต็มอย่างเต็มรูปแบบเพื่อสตาร์ตอัปไทย ด้วยการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีไอซีทีชั้นนำ แหล่งเงินทุน และองค์ความรู้ในการทำธุรกิจจากหัวเว่ย เพื่อส่งเสริมสตาร์ตอัปให้เติบโตและประสบความสำเร็จในระดับโลก ผลักดันประเทศไทยขึ้นเป็นดิจิทัลฮับแห่งอาเซียน
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส (MDES) ได้กล่าวถึงความร่วมมือในการเปิดการแข่งขัน 'Spark Ignite 2022 - Thailand Startup Competition' ว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เร่งเดินหน้าตามแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจะเห็นได้ว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและ Data Economy ของประเทศไทยมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในด้านสำคัญ ๆ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานทางด้านโทรคมนาคมเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการส่งเสริมระบบนิเวศดิจิทัลร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ หุ้นส่วนทางอุตสาหกรรม ธุรกิจสตาร์ตอัป ตลอดจนผู้พัฒนาสินค้าและบริการด้านดิจิทัลของไทย สำหรับการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสําหรับกลไกขับเคลื่อนสำคัญ เพื่อรองรับอนาคตดิจิทัลของประเทศไทย