Tuesday, 8 July 2025
ECONBIZ NEWS

'บิ๊กตู่' ยินดี นักลงทุนญี่ปุ่นเชื่อมั่นศักยภาพ EEC เร่งเดินหน้าขยายความร่วมมือด้านการลงทุนเพิ่ม

เมื่อวันที่ (16 ส.ค. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่นักลงทุนชาวญี่ปุ่นเชื่อมั่นในศักยภาพของ EEC และความพร้อมในการสร้างความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ มุ่งพัฒนาการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพต่อไป

ทั้งนี้ประเทศญี่ปุ่นยังคงเป็นอันดับ 1 ที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งจากภาพรวมการลงทุนชาวญี่ปุ่นในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) พบว่า นักลงทุนญี่ปุ่นที่ได้รับการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI (Board of Investment) ในปี 2564 มีมูลค่ารวม 19,445 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2565 มีมูลค่าการออกบัตรส่งเสริมฯ แก่นักลงทุนญี่ปุ่นรวม 3,240 ล้านบาท 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ข้อมูลจากสถานเอกอัครทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยพบว่า นักลงทุนญี่ปุ่นยังให้ความสนใจลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง จากศักยภาพการเติบโตของไทย ทั้งยังได้เปรียบด้านพื้นที่ยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอาเซียน มีต้นทุนจากสภาพแวดล้อม ทรัพยากรมนุษย์ สะดวกต่อการลงทุนเพิ่มและพร้อมพัฒนาในอุตสาหกรรมใหม่ สอดคล้องกับที่นักลงทุนญี่ปุ่นกล่าวถึง EEC ว่ามีศักยภาพ เหมาะสมแก่การลงทุนแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งภายหลังการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และการเปิดประเทศของไทย มีการติดต่อเจรจาธุรกิจระหว่างกันทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง

ท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา ระยอง-พัทยา และ เอไอเอส ผนึกกำลังต่อเนื่องพัฒนา Smart Terminal นำร่องเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ท่าอากาศยานนานาชาติ อู่ตะเภา ระยอง-พัทยา ร่วมกับ เอไอเอส  นำเทคโนโลยีดิจิทัล พัฒนา Smart Terminal เพื่อสนับสนุนการพัฒนา ระบบคมนาคมขนส่ง ด้วยนวัตกรรมใหม่ ต่อเนื่อง ช่วยเสริมการพัฒนาให้เป็นท่าอากาศยานนานาชาติเชิงพาณิชย์ที่ทันสมัย ในช่วงก่อนการสร้างและเปิดใช้อาคาร 3 ให้เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์ลำดับแห่งที่ 3 ของกรุงเทพมหานครในอนาคต ที่จะเชื่อมโยงการขนส่งผู้โดยสารและสินค้ากับสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ ตามแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) หนึ่งในแผนยุทธศาสตร์สำคัญภายใต้นโยบาย Thailand 4.0

โดยล่าสุดได้มีการลงนาม MOU ความร่วมมือต่อเนื่องในการนำดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาและเสริมขีดความสามารถของท่าอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อยกระดับสู่ Smart Terminal อย่างเต็มรูปแบบ ตอบสนองกับนโยบายของภาครัฐ ในการเป็นประตูหน้าด่านในการเปิดประเทศ ส่งเสริมทั้งอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ขนส่ง คมนาคม ให้แข็งแกร่ง โดยได้รับเกียรติจาก พลเรือเอกวรพล ทองปรีชา ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานอู่ตะเภา และคุณศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ กลุ่มลูกค้าทั่วไปเอไอเอส ร่วมลงนาม พลเรือเอก วรพล ทองปรีชา ผู้อำนวยการ การท่าอากาศยานอู่ตะเภา กล่าวว่า “การท่าฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการร่วมมือกับภาคเอกชนในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลที่สร้างสรรค์ด้วยคนไทย เข้ามายกระดับการให้บริการและการบริหาร ท่ากาศยานอู่ตะเภาให้ทันสมัย เป็นอาคารผู้โดยสารอัจฉริยะ หรือ Smart Terminal  อันสอดคล้องตามแนวนโยบายดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม (Digital Economy) ของรัฐบาล ตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล เพื่อช่วยต่อยอดท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินพาณิชย์แห่งที่ 3 ของกรุงเทพมหานคร ที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เชื่อมโยงการขนส่งผู้โดยสารกับสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเป็นAviation Hub ในภูมิภาคนี้”

ILINK เปิดโผ กำไรไตรมาส 2/65 พุ่งแตะ 91.50 ล้านบาท จับตาคว้างานใหญ่เติม Backlog อัพไซส์ธุรกิจ

ILINK โกยรายได้ครึ่งปีแรกรวม 3,055.84 ล้านบาท พร้อมทำกำไรพีคต่อเนื่อง ล่าสุดเผยผลประกอบการไตรมาส 2/65 มีรายได้รวม 1,628.32 ล้านบาท และกำไรสุทธิพุ่งแตะ 91.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.21% ด้านยอดขายธุรกิจจัดจำหน่ายโตแรง 13.08% จับตารอเดินหน้าคว้างานใหญ่เติม Backlog คาดแนวโน้มทำกำไรสูงทะลุเป้า เร่งดันทุกธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

นางสาววริษา อนันตรัมพร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และผู้นำเข้า และค้าส่งอุปกรณ์เครือข่ายส่งสัญญาณ เปิดเผยว่า “ผลประกอบการไตรมาส 2/65 ของ ILINK มีรายได้รวม 1,628.32 ล้านบาท เติบโตขึ้น 37.11% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 91.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มั่นใจแนวโน้มรายได้และกำไรทะลุเป้าที่ตั้งไว้ รวมถึงเร่งผลักดันทุกธุรกิจภายใต้กลุ่มบริษัทอินเตอร์ลิ้งค์ฯ ให้เติบโตอย่างทรงประสิทธิภาพ และตอบสนองกับกระแสยุคสมัยที่ขับเคลื่อนพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว”

ธุรกิจจัดจำหน่าย (Distribution) ไตรมาส 2/65 มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 574.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.08% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอัตราการเติบโตของยอดขายในงวดนี้มีความโดดเด่นต่อเนื่องและเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ปัจจัยสนับสนุนยังคงมาจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโครงข่ายพื้นฐาน โดยเฉพาะอุปกรณ์ใช้สายซึ่ง ILINK เป็นผู้จัดจำหน่ายสายสัญญาณชั้นนำของประเทศไทยมายาวนานกว่า 30 ปี และมีการรับประกันที่ยาวนานที่สุดในตลาด จึงทำให้ลูกค้าทุกภาคส่วนเกิดความต้องการปรับปรุงระบบ และพัฒนาโครงข่ายให้มีคุณภาพมากขึ้น พร้อมตอบโจทย์การใช้งานอย่างถูกต้องเพื่อประสิทธิภาพและเสถียรภาพสูงสุด นอกจากนี้ กระแสของการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Cell) ยังมาแรงต่อเนื่อง ทำให้ในงวดนี้ยอดขายสินค้ากลุ่มสายโซล่า (Solar Cable) เติบโตขึ้น 63.41% ในขณะที่กลุ่มอุปกรณ์เครือข่ายส่งสัญญาณ (Networking) และกลุ่มสาย UTP (LAN Cable) เพิ่มขึ้น 22.12% และ 13.65% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ตามลำดับ

ธุรกิจโทรคมนาคม (Telecom) ไตรมาส 2/65 มีรายได้จากการให้บริการรวม 842.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92.72% จากงวดเดียวกันของปีก่อน การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้เป็นผลสำเร็จจากการต่อยอด New S-Curve ซึ่งผลักดันรายได้จากการให้บริการติดตั้งโครงข่ายพุ่งแตะ 484.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 403.31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยงานโครงการติดตั้งสำคัญที่รับรู้รายได้ในงวดนี้ คือ โครงการ Smart CCTV จำนวน 211.03 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ มีลูกค้าขนาดใหญ่เข้ามาใช้บริการโครงข่ายเพิ่มจำนวนมาก รวมถึงการขยายสาขาของลูกค้าเดิมก็ช่วยผลักดันให้รายได้จากธุรกิจนี้เติบโตดีต่อเนื่อง

‘กรมทางหลวง’ เร่งเครื่องมอเตอร์เวย์ ‘นครปฐม-ชะอำ’ ดีเดย์ 19 ส.ค.นี้ เปิดทางเอกชนร่วมลงทุน

'กรมทางหลวง' ใส่เกียร์เดินหน้าชวนเอกชนรวม Market Sounding ชวนลงทุนมอเตอร์เวย์ M8 ‘นครปฐม-ชะอำ’ ปูพรมเติมโครงข่ายลงสู่ภาคใต้ 19 ส.ค.นี้

(15 ส.ค. 65) รายงานข่าวจากกรมทางหลวง (ทล.) แจ้งว่าในวันที่ 19 ส.ค. 2565 เวลา 09.00-12.00 น. ทล.เตรียมจัดรับฟังความคิดเห็นภาคเอกชน (Market Sounding) สำหรับการศึกษาความเหมาะสมในการให้เอกชนร่วมลงทุน (PPP) โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 8 (M8) สายนครปฐม-ชะอำ ระยะทาง 109 กิโลเมตร (กม.)

ทั้งนี้ เพื่อให้โครงการเดินหน้า กรมทางหลวงจึงได้เชิญชวนภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐ และผู้สนใจ เข้าร่วมประชุมในรูปแบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ผ่าน Zoom Cloud Meetings เพื่อนำความคิดเห็นที่ได้รับ มาใช้ประโยชน์ในการศึกษาประกอบการกำหนดแนวทาง และรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับการลงทุนใหม่คาดว่าจะเป็นโมเดลเดียวกับ สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) และ สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว และ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) โดยรัฐลงทุนงานโยธา และ PPP ให้เอกชนลงทุนในส่วนของงานระบบ O&M ซึ่งเส้นทางนี้มีความสำคัญเพราะเป็นการเพิ่มโครงข่ายลงสู่ภาคใต้ โดยสามารถเชื่อมกับมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี และสายเอกชัย-บ้านแพ้วได้ โดยในการลงทุนจะผลักดันในเฟสแรก ช่วงนครปฐม-ปากท่อ ที่เป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโครงการมอเตอร์เวย์ทั้ง 2 สาย

บิ๊ก 4 โรงกลั่นน้ำมัน ฟันกำไรพุ่งสูงสุด 1,000% !!

'กรณ์' เปิดข้อมูลบิ๊ก 4 โรงกลั่นน้ำมัน กำไรพุ่งสูงสุดถึง 1,000% จี้ลดค่าการกลั่น-ค่าการตลาด ต้นตอน้ำมันแพง ทำเงินเฟ้อกระทบประชาชน-ผู้ประกอบการ ทวงถาม รมว.พลังงาน มาตรการที่เคยประกาศ หายไปไหนหมด

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กเปิดเผยผลประกอบการ 4 โรงกลั่นน้ำมัน ฟันกำไรสูงสุดกว่า 1,000% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว ประกอบด้วย 1.ไทยออยล์ในไตรมาส 2 กำไรเพิ่มขึ้น +1088.9% , 2. ESSO +867.1% , 3. SPRC +825.3% , 4. BCP +199.0% และเมื่อกลับไปดูผลประกอบการไตรมาส 2 ย้อนไปสี่ปีจนถึงปี 2561 เอากำไรมารวมกัน ยังไม่ถึงครึ่งของปีนี้

จำได้ไหมครับว่า สองเดือนที่ผ่านมาโรงกลั่นรวมตัวกันพยายามบอกเราว่า #ค่าการกลั่น ไม่ได้หมายถึงกำไร? ผมว่าตัวเลขมันฟ้องชัดเจนมาก !

และที่หลายคนไม่รู้ นี่คือ กำไรหลังจากที่โรงกลั่นในเครือปตท.คาดการณ์ผิด ไปขายนํ้ามันในตลาดล่วงหน้าที่ต่างประเทศไว้ถึงเกือบ 50% ของกำลังผลิตทั้งหมด ทำให้กำไรหายไปรายละเป็นหมื่นล้านบาท (แต่ประชาชนในประเทศก็ยังต้องจ่ายค่าน้ำมันราคาเต็ม!)

ปกติแล้วผู้ประกอบการมีกำไรเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่การมีกำไรที่เพิ่มขึ้นแบบผิดปกติมากถึงขนาดนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากความทุกข์ร้อนของประชาชน และความเดือดร้อนของภาคธุรกิจอื่นๆ ทุกสาขา

‘ค่าการกลั่น’ เป็นสาเหตุสำคัญที่ราคาหน้าปั๊มเราสูงกว่าที่ควรจะเป็น และเป็นสาเหตุสำคัญที่เรายังต้องใช้ #หนี้กองทุนน้ำมัน ทุกครั้งที่เราเข้าปั้ม และจะต้องใช้หนี้นี้กันไปอีกหลายปี แต่ปัญหาไม่ได้มีแค่นี้ครับ 

ตัวเลขข้างบนคือกำไรโรงกลั่น เรามาดูผลประกอบการของบริษัทค้านํ้ามันกันบ้าง
1. PTTOR +103.7%
2. PTG +20.7% (+275.3% เทียบกับไตรมาส 1 ปีนี้)

รายได้ส่วนใหญ่ของทั้งสองบริษัทมาจากการขายนํ้ามันให้พวกเรา ซึ่งก็เป็นประเด็นกังขามาตลอดว่า ‘เวลาราคาน้ำมันจากโรงกลั่นลดลง ทำไมราคาหน้าปั๊มไม่ลดตาม?’

คำตอบอยู่ที่ #ค่าการตลาด ครับ และที่ผ่านมาหลายเดือนปัญหาอยู่ที่ค่าการตลาดกรณีน้ำมันเบนซิน ไม่ว่าจะเป็น Gasohol 95 หรือ 91 วันนี้ค่าการตลาดอยู่ที่ 3บาทต่อลิตร สูงเกินเกณฑ์ปกติอย่างมาก แต่ก็ไม่เห็นว่ากระทรวงพลังงานเดือดร้อนแทนประชาชนเลย!

‘คนละครึ่งเฟส 5’ ให้ร้านค้าลงทะเบียนวันแรก ส่วน ปชช. เริ่มเปิดให้ยืนยันสิทธิ 19 ส.ค.

‘คนละครึ่งเฟส 5’ เริ่มเปิดให้ร้านค้าลงทะเบียนร่วมโครงการวันนี้วันแรก ขณะที่ประชาชนทั่วไปเตรียมยืนยันสิทธิ 19 สิงหาคม นี้

เมื่อวันที่ 15 ส.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ที่เป็นไปตามข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการลดภาระค่าใช้จ่ายประจำวันของประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานราก สร้างเม็ดเงินสะพัดในชุมชน เจ้าของร้านค้า หาบเร่ แผงลอย รถเข็น ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยในวันที่ 15 ส.ค. 65 นี้ เป็นวันแรกที่กระทรวงการคลัง เปิดรับลงทะเบียนให้ผู้ประกอบการร้านค้าเข้าร่วมโครงการ จนกว่าจะประกาศปิดรับสมัคร โดยผู้ประกอบการที่เคยเข้าร่วมมาตรการ โครงการอื่นของรัฐที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” แล้ว และประสงค์จะเข้าร่วมโครงการต่อไป ให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” 

ส่วนผู้ที่ไม่เคยเข้าร่วมมาตรการ โครงการอื่นสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com หรือสาขา หรือจุดรับลงทะเบียนของธนาคารกรุงไทยฯ โดยคุณสมบัติและประเภทกิจการที่สามารถเข้าร่วมโครงการ ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป และค่าบริการ (นวด สปา ทำผมทำเล็บ ค่าเดินทางโดยบริการขนส่งสาธารณะหรือขนส่งมวลชนสาธารณะ) ไม่รวมถึงสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ บัตรกำนัล (gift voucherหรือgift card) บัตรเงินสด (cash card) และสินค้า บริการรูปแบบอื่น ๆ ที่เป็นการชำระล่วงหน้า (prepaid) ส่วนในวันที่ 17 ส.ค. 65 จะเปิดรับลงทะเบียนร้านอาหารและเครื่องดื่ม สมัคร Food delivery Platform เฉพาะหมวดอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น

‘คลัง’ เคาะ!! 5 กันยายน – 19 ตุลาคม 2565 ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม มติเห็นชอบการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 โดยจะเริ่มเปิดรับลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน – 19 ตุลาคม 2565 ทั้ง ลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และลงทะเบียน ณ หน่วยงานรับลงทะเบียนในพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งช่วงเวลาในการเปิดรับลงทะเบียน หากตรงกับวันเสาร์ - วันอาทิตย์ หรือวันหยุดราชการ จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหน่วยงานรับลงทะเบียนแต่ละแห่ง

ส่วนการประกาศผลการตรวจสอบคุณสมบัติ กระทรวงการคลังจะประกาศผลการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนภายในเดือนมกราคม 2566 ผ่านทางเว็บไซต์ โดยสำหรับผู้ลงทะเบียนที่ผ่านคุณสมบัติของโครงการฯ จะต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อเข้าร่วมโครงการฯ ที่ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน หรือธนาคารกรุงไทยฯ โดยสามารถยืนยันตัวตนได้ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ขณะที่ผู้ลงทะเบียนที่ไม่ผ่านคุณสมบัติของโครงการฯ สามารถดำเนินการยื่นเรื่องอุทธรณ์ผ่านทางเว็บไซต์ หรือช่องทางที่กระทรวงการคลังกำหนดได้ตั้งแต่วันที่ 9 – 31 มกราคม 2566

'พิพัฒน์' จ่อชงสถานบันเทิงเปิดถึงตี 4 เคาะเมืองท่องเที่ยวหลัก ไม่สะเปะสะปะ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ขณะนี้ตนเดินหน้าเสนอ ให้ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) พิจารณา ขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงในพื้นที่ควบคุม (โซนนิ่ง) ตามเมืองท่องเที่ยวหลัก ถึงเวลา 04.00 น. จากปัจจุบันเปิดให้บริการได้ถึง 02.00 น. โดยขอย้ำว่าไม่ใช่การขยายเวลาเปิดสถานบันเทิงแบบสะเปะสะปะไปในทุกพื้นที่ แต่เป็นการเปิดเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น ยุโรป และตะวันออกกลาง ซึ่งเริ่มทานมื้อค่ำเวลาประมาณ 22.00 น. กว่าจะทานเสร็จและเริ่มดื่มก็ตอนเที่ยงคืนกว่า พอเริ่มสนุก ก็ถึงเวลาปิดสถานบันเทิงแล้ว ทั้งที่ยังอยากกินดื่มต่อ จึงไม่ตอบความต้องการของนักท่องเที่ยวนัก

นายพิพัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า ในต่างประเทศ มีสถานบันเทิงเปิดให้บริการนานกว่า 02.00 น. ยกตัวอย่างคนไทยเอง เมื่อออกไปเที่ยวต่างประเทศก็อยากเที่ยวให้เต็มที่มากที่สุดเช่นกัน จึงไม่อยากให้กังวลกับแนวคิดนี้ และ อยากสื่อไปถึงกลุ่มต่าง ๆ ที่ออกต่อต้านเรื่องนี้ ว่าแม้สถานบันเทิงจะปิดตามกำหนด คนก็ซื้อไปนั่งดื่มต่ออยู่ดี บางคนอาจไปนั่งดื่มตามมุมที่ยากต่อการสอดส่องดูแล 

รวมทั้งผู้ประกอบการบางรายก็แอบเปิดอยู่ดี บางที่มีการล็อกประตูทั้งหมด ลูกค้าไม่สามารถออกมาได้ทันเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่ถ้ามีการอนุญาตให้เปิดถึงเวลา 04.00 น. ทุกสิ่งทุกอย่างโปร่งใส ผู้ประกอบการไม่ต้องกังวลว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าไปตรวจค้น และเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา ก็สามารถอพยพนักท่องเที่ยวได้ทันและปลอดภัย

ดัชนีฯ เชื่อมั่นภาคอุตฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รับอานิสงส์ส่งออกขยายตัว-ใช้จ่ายในประเทศคึกคัก

ดัชนีฯ เชื่อมั่นภาคอุตฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งออกขยายตัว ใช้จ่ายในประเทศคึกคัก แต่ยังคงระวังต้นทุนการผลิตจากราคาพลังงานที่คงอยู่ระดับสูง

(10 ส.ค. 65) นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 89.0 ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ 86.3 ในเดือนมิถุนายน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ทั้งนี้องค์ประกอบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ คำสั่งซื้อโดยรวม, ยอดขายโดยรวม, ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ โดยมีปัจจัยบวกจากภาคการผลิตที่ขยายตัวจากความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นทั้งในกลุ่มสินค้าคงทนและสินค้าอุปโภคบริโภค จากตลาดในประเทศและตลาดส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ สหรัฐฯ, จีน, ญี่ปุ่น และอินเดีย เป็นต้น 

ขณะที่การผ่อนคลายล็อกดาวน์เมืองสำคัญของจีนส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทย ทั้งนี้การเปิดประเทศและการยกเลิก Thailand Pass ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศเพิ่มขึ้นและช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ขณะที่การอ่อนค่าของเงินบาทส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก นอกจากนี้รายได้ในภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อกำลังซื้อในส่วนภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นด้านต้นทุนประกอบการลดลงเนื่องจากปัญหาราคาวัตถุดิบ ราคาพลังงาน รวมถึงค่าขนส่ง ที่ยังทรงตัวในระดับสูง แม้ราคาน้ำมันตลาดโลกในเดือนกรกฎาคมจะทยอยปรับตัวลดลงก็ตาม ขณะที่ปัญหาเงินเฟ้อ ยังกดดันกำลังซื้อของประชาชน นอกจากนี้ความเชื่อมั่นของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาคก่อสร้างชะลอตัวลงเนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน

จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,238 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในเดือนกรกฎาคม 2565 พบว่า ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้นได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก ร้อยละ 72.2 สถานการณ์การเมือง ร้อยละ 40.3 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 35.5 ตามลำดับ ปัจจัยที่มีความกังวล ลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน ร้อยละ 80.7 เศรษฐกิจในประเทศ ร้อยละ 51.8 สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ร้อยละ 50.1 และอัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ร้อยละ 32.0 ตามลำดับ 

สำหรับดัชนีฯคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 98.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 97.5 ในเดือนมิถุนายน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศรวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการมีความกังวลการกลับมาระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ รวมทั้งแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะกระทบต้นทุนด้านการเงิน ตลอดจนสถานการณ์สงครามรัสเซีย - ยูเครน ที่ยังมีความไม่แน่นอนส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานและราคาวัตถุดิบรวมถึงเศรษฐกิจโลก

กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ครั้งแรกรอบ 4 ปี หลังมองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจน

นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ระบุว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 0.50 เป็นร้อยละ 0.75 ต่อปี โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ 1 เสียงเห็นควรให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.50 ต่อปี  

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น โดยคาดว่าจะกลับเข้าสู่ระดับก่อนการระบาดของ COVID-19 ได้ภายในสิ้นปีนี้และจะขยายตัวต่อเนื่องในระยะต่อไป ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงอีกระยะหนึ่ง คณะกรรมการฯ ประเมินว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากเป็นพิเศษเพื่อรองรับวิกฤต COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมาจึงมีความจำเป็นลดลง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top