Saturday, 4 May 2024
ECONBIZ NEWS

'บิ๊กตู่' ปั้น 'ศูนย์ธุรกิจ EEC-เมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ' สำเร็จ ตั้งเป้าเป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ TOP 10 ของโลกในปี 2580

'ทิพานัน' ย้ำ 'พล.อ.ประยุทธ์' สร้างศูนย์ธุรกิจ EEC - เมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะสำเร็จ ชี้ปี 2566 เปิดให้เอกชนเข้าพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ เชื่อสร้างงาน 200,000 คน ดันมูลค่าจ้างงาน 1.2 ล้านล้านบาท

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีนโยบายในการพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจ และการเงินระดับภูมิภาคในพื้นที่ EEC โดยมติคณะรัฐมนตรี (วันที่ 22 มีนาคม 2565) ได้อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เข้าใช้ประโยชน์ที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จำนวน 14,619 ไร่ ในพื้นที่ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ดำเนินโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ เป็น 'ศูนย์กลางธุรกิจและการเงินระดับภูมิภาค' เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยแห่งอนาคต โดยธรรมชาติ มนุษย์ และเทคโนโลยีอยู่ร่วมกันมุ่งสู่เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy) เป็นพื้นที่แห่งนวัตกรรมและคุณภาพชีวิตระดับสากลของประเทศไทย และจะเป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ 1 ใน 10 ของโลกในปี 2580 โดยคาดว่าสามารถสร้างงานทางตรง 200,000 คน มูลค่าการจ้างงาน 1.2 ล้านล้านบาทภายในปี 2575

'Mazda' โชว์!! 9 เดือนแรกยอดขายโต 8% โกย 30,000 คัน พร้อมอวดโฉม 'บริการใหม่' มัดใจลูกค้าให้อยู่กันไปยาวๆ

(8 ต.ค. 65) ท่ามกลางความผันผวนและปัจจัยรอบด้านที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไทย แต่วันนี้สถานการณ์ต่างๆ เริ่มมีทิศทางที่สดใสมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ยอดขายสะสมของตลาดรถยนต์ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน 2565 ขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 18% 

ด้านมาสด้า ก็เป็นอีกค่ายที่กลับมาได้อย่างงดงาม โดยมียอดขายเติบโต 8% พร้อมยอดจำหน่ายรวมช่วง 9 เดือนแรกของปีที่ 27,995 คัน และในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ก็ได้ประกาศเตรียมส่งรถยนต์รุ่นพิเศษบุกตลาด พร้อมทั้งเตรียมมัดใจลูกค้าด้วยบริการหลังการขายใหม่ Mazda Ultimate Service อุ่นใจกว่า...ทุกการดูแลรถคุณ เพิ่มความมั่นใจด้านการบริการหลังการขาย พร้อมดูแลลูกค้าแบบพรีเมี่ยม สร้างคุณค่าแบรนด์และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าในระยะยาว และตอบรับกับสถานการณ์การแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 9 เดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกันยายน 2565 เป็นต้นมา ตลาดรถยนต์ต้องเผชิญกับปัจจัยลบรอบด้านที่ส่งผลลบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไทย แต่ทั้งนี้แล้ว ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านต่างๆ จากภาครัฐ การเปิดตัวรถรุ่นใหม่จากหลากหลายค่ายรถ รวมถึงแคมเปญและงานจัดแสดงรถยนต์ต่างๆ จึงทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มกลับฟื้นตัวดีขึ้น และเดินหน้าต่อไปได้ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอน โดยเฉพาะในช่วงท้ายของไตรมาสที่สาม ที่สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจในประเทศไทยได้ปรับตัวไปในทิศทางบวก อันเนื่องมาจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การส่งออกที่เติบโต และปัจจัยทางด้านการขาดแคลนเซมิคอนดัคเตอร์ที่ปรับตัวดีขึ้น จึงทำให้เริ่มเห็นทิศทางการเติบโตของยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยตามมา

แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางปัจจัยบวกและปัจจัยลบหลายๆ ด้านเหล่านี้ ยอดขายสะสมรถยนต์มาสด้าในช่วง 9 เดือน แรกของปี ตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2565 ก็ยังคงรักษาอัตราการเติบโตได้อย่างเหนียวแน่นสูงถึง 8% โดยมียอดขายสะสมรวมทั้งสิ้น 27,995 คัน แบ่งออกเป็นรถยนต์นั่งมาสด้า 2 จำนวน 15,340 คัน (เพิ่มขึ้น 13%) และ มาสด้า 3 จำนวน 1,287 คัน (ลดลง 20%) ในขณะที่ มาสด้า CX-30 ทำยอดขายได้สูงสุดของรถประเภทอเนกประสงค์เอสยูวี ด้วยจำนวน 5,180 คัน (ลดลง 3%) ตามมาด้วย มาสด้า CX-3 จำนวน 3,725 คัน (เพิ่มขึ้น 19%) มาสด้า CX-8 จำนวน 745 คัน (เพิ่มขึ้น 16%) และ มาสด้า CX-5 จำนวน 610 คัน (เพิ่มขึ้น 12%) ส่วนรถปิกอัพ มาสด้า บีที-50 มียอดขายสะสม 1,103 คัน (เพิ่มขึ้น 15%) และรถสปอร์ตเปิดประทุน มาสด้า MX-5 อีกจำนวน 5 คัน (เพิ่มขึ้น 67%) ตามลำดับ

เฉพาะเดือนกันยายนที่ผ่านมา มาสด้ามียอดขายรวมทั้งหมด 2,752 คัน แบ่งออกเป็นรถปิกอัพมาสด้า บีที-50 จำนวน 269 คัน (เพิ่มขึ้น 87%) รถอเนกประสงค์เอสยูวี จำนวน 1,220 คัน (เพิ่มขึ้น 33%) ได้แก่ มาสด้า CX-30 จำนวน 653 คัน มาสด้า CX-3 จำนวน 391 คัน มาสด้า CX-8 จำนวน 115 คัน มาสด้า CX-5 จำนวน 51 คัน และมียอดขายรถยนต์นั่ง จำนวน 1,263 คัน (ลดลง 24%) ได้แก่ มาสด้า2 จำนวน 1,144 คัน และมาสด้า3 จำนวน 119 คัน ตามลำดับ

คปภ. เร่งแก้ปัญหาเบี้ยประกันภัยรถ EV แพง ผุด 3 ทางออกเร่งด่วน สร้างความมั่นใจแก่ผู้ซื้อ

เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 65 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย ซึ่งประชาชนให้ความสนใจเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลจากนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ผ่านมาตรการจูงใจทางภาษี ซึ่งปัจจุบันนี้ มีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้า จำนวน 2.84 แสนคัน แบ่งเป็น รถยนต์ไฮบริด 2.28 แสนคัน รถยนต์ไฮบริดปลั๊กอิน 3.7 หมื่นคัน และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอร์รี่ 1.8 หมื่นคัน 

และมีการประเมินจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า สิ้นปี 2565 ยอดขายรวม 6.3 หมื่นคัน แบ่งเป็นรถยนต์ไฮบริด 4.2 หมื่นคัน รถยนต์ไฮบริดปลั๊กอิน 1.1 หมื่นคัน และ รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอร์รี่ 1 หมื่นคัน

น.ส.รัชดา กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ประชาชนลังเลในการตัดสินใจซื้อรถ EV คือ เบี้ยประกัน ที่พบว่า เบี้ยประกันภัยของรถยนต์ไฟฟ้าแพงกว่าเบี้ยประกันภัยของรถยนต์ทั่วไปอย่างมาก ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย พัฒนา ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย ได้เชิญบริษัทประกันภัยที่มีการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หลายบริษัท และผู้แทนจากคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทยหลายครั้ง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาในประเด็นหลักๆ คือ 

1.) บริษัทประกันกำหนดเบี้ยประกันภัยรถ EV แต่ละสัญชาติไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละบริษัทที่รับประกันภัยรถยนต์กลุ่มนี้ 
2.) การรับประกันภัยรถ EV มีจำนวนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับรถสันดาป ในปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 800:1 ต้นทุนในการเกิดเหตุของรถ EV สูงกว่ารถสันดาปค่อนข้างมาก

'บิ๊กตู่' พอใจ!! ไทยติดอันดับจุดสนใจของโลกหลายเรื่อง ขอบคุณคนไทยช่วยทำให้ประเทศเป็นจุดสนใจของโลก

‘บิ๊กตู่’ ยินดี ไทยติดอันดับ 3 ใน Top Countries in the World จาก Condé Nast Traveler Readers' Choice Awards 2022 ขอบคุณคนไทยช่วยทำให้ประเทศเป็นจุดสนใจของโลก พร้อมเดินหน้าทำงานพัฒนาประเทศ สนับสนุนการท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจ 

(6 ต.ค. 65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดี ประเทศไทยได้อันดับ 3 'ประเทศระดับท็อปของโลก' (Top Countries in the world) และกรุงเทพฯ ได้อันดับ 4 'เมืองที่ดีที่สุดในโลก' ในขณะที่เกาะ โรงแรม และรีสอร์ทของไทยหลายแห่ง ยังติดอันดับสูงในรายการ 'ดีที่สุด' อื่น ๆ อีกด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากรายงานผลการประกาศรางวัล Condé Nast Traveler Readers' Choice Awards 2022 ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นอันดับที่ 3 ใน Top Countries in the World จากทั้งหมด 48 ประเทศ โดยได้รวม 90.46 คะแนน และอันดับ 1 คือ โปรตุเกส (91.22 คะแนน) และอันดับ 2 ญี่ปุ่น (91.17 คะแนน) ในขณะที่อันดับ 4 คือ สิงคโปร์ (90.09 คะแนน) โดยไทยและสิงคโปร์ เป็น 2 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่ได้รับการจัดให้อยู่ใน 10 อันดับแรก นอกจากนี้ กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทยก็ติดอันดับ 4 'เมืองที่ดีที่สุดในโลก (Best Cities in the World) โดยกรุงเทพฯ ก็เป็นเพียง 1 ใน 2 เมืองในภูมิภาคอาเซียนที่ติดอันดับ 10 เมืองที่ดีที่สุดในโลกเช่นกัน ด้วยคะแนน 89.36 ซึ่ง เมืองซาน มิเกล เด อัลเลนเด (San Miguel de Allende) ประเทศเม็กซิโกได้รับการจัดอันดับที่ 1 ด้วยคะแนน 92.94 สิงคโปร์ อันดับที่ 2 (89.49 คะแนน) และอันดับ 3 เมืองวิคทอเรีย ประเทศแคนาดา (89.46 คะแนน) ตามลำดับ

EA ปลื้ม!! EBI คว้ารางวัล 'โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ' ปี 65 ส่งเสริมความปลอดภัยและมีความรับผิดชอบต่อชุมชน

เมื่อวันที่ (4 ตุลาคม 2565) บริษัท อีเอ ไบโอ อินโนเวชั่น จำกัด บริษัทย่อยในกลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ (EA) ได้รับรางวัลโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่มีคุณค่าต่อสังคม (Eco Factory+SV) ระดับ Silver ประจำปี 2565 โดยมี นายณัฏฐพงษ์ จุลาเกตุโพธิชัย ผู้อำนวยการกองพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ กรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธี จัดขึ้น ณ สโมสรทหารบก (วิภาวดี) กทม.

นายจีรพันธ์ ปัญญานันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายโรงงาน บริษัท อีเอ ไบโอ อินโนเวชั่น จำกัด กล่าวว่า ในฐานะเป็นอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ส่งเสริมความปลอดภัยและมีความรับผิดชอบต่อชุมชน สู่การสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) และยกระดับเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (Bio Circular Green Economy : BCG Model) ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ

'ทิพานัน' เผยยอดขอจดทะเบียนโรงงานอุตฯ พุ่ง 1,900 แห่ง สะท้อนผลสำเร็จจากการกระตุ้นศก. ภายใต้รัฐบาลประยุทธ์

'ทิพานัน' เผยตัวเลขขอจดทะเบียนโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ปีงบฯ 65 พุ่ง 1.9 พันแห่ง จ้างงานเพิ่ม 5.6 หมื่นคน สะท้อนผลสำเร็จมาตรการส่งเสริมการลงทุน-กระตุ้นเศรษฐกิจ-จ้างงาน ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีมาตรการส่งเสริมการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้สิทธิประโยชน์ตามกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยพบว่าสถานการณ์ในรอบเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการขอจดทะเบียนโรงงานอุตสาหกรรมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ จำนวน 172 แห่ง เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น 3,812 คน

ทั้งนี้ในภาพรวมปีงบประมาณ 2565 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 - 31 สิงหาคม 2565 มีโรงงานอุตสาหกรรมที่จดทะเบียนใหม่ 1,914 แห่ง เกิดการจ้างงาน 56,263 คน ขณะที่มีโรงงานอุตสาหกรรมที่ขอเลิกกิจการ 870 แห่ง มีลูกจ้างได้รับผลกระทบทั้งหมด 21,917 คน จะเห็นได้ว่า โรงงานอุตสาหกรรมที่ขอจดทะเบียนใหม่นั้น มีจำนวนสูงกว่าโรงงานที่ขอเลิกกิจการถึง 2 เท่า และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าของการขอเลิกกิจการ แม้ที่ผ่านมาจะต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และผลกระทบด้านพลังงาน จากสงครามรัสเซียกับยูเครนก็ตาม แต่รัฐบาลไม่เคยทอดทิ้ง ได้ออกมาตรการต่างๆมาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว รวมทั้งนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและประกันสังคม พร้อมให้การช่วยเหลือในการเตรียมจัดหางาน ฝึกอาชีพและการเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อให้มีงานทำอย่างยั่งยืน

ก.อุตฯ เตรียมจ่ายเงินค่าตัดอ้อยสด-คุณภาพดี รอบแรก จำนวน 1.22 แสนราย ผ่านบัญชี ธ.ก.ส. ไม่เกิน 7 ตุลาคมนี้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ฤดูการผลิตปี 2564/65 ในอัตรา 120 บาทต่อตัน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ภายใต้กรอบวงเงิน 8,319.24 ล้านบาท โดยจะเริ่มจ่ายเงินรอบแรกช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดคุณภาพดีไม่เกินวันที่ 7 ตุลาคม 2565 ผ่านบัญชี ธ.ก.ส. ของชาวไร่อ้อยแต่ละรายโดยตรง จำนวน 122,651 ราย มีปริมาณอ้อยสดส่งโรงงาน 64.36 ล้านตัน เป็นจำนวนเงิน 7,723.73 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถจ่ายเงินช่วยเหลือครบทุกรายภายในเดือนพฤศจิกายน 2565 ทั้งนี้ คณะกรรมการ ธ.ก.ส. ได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากนโยบายในการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดลดฝุ่น PM 2.5 ทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยหันมาตัดอ้อยสดก่อนส่งโรงงานเพิ่มมากขึ้น กระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมที่จะผลักดันอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายให้เติบโตไปพร้อมกับการรักษาสิ่งแวดล้อม และได้วางแผนกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้อย่างต่อเนื่อง จัดหาเครื่องสางใบอ้อยมาให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยยืมใช้สางใบอ้อย ส่งเสริมการรับซื้อใบอ้อยเพื่อเพิ่มรายได้และลดการเผาอ้อย การลงนามในบันทึกความร่วมมือการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ในพื้นที่ปลูกอ้อย 47 จังหวัดทั่วประเทศ สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ปี 2565 - 2567 รวมถึงขอรับการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อลดต้นทุนการตัดอ้อยสด

เปิด 17 ตัวแปร เปลี่ยนไทยให้ยิ่งใหญ่ ก้าวสู่ศูนย์กลาง EV แห่งอาเซียน

ประเทศไทย 🇹🇭 จะสามารถเป็นศูนย์กลาง Hub ของ EV ได้อย่างแน่นอน เพราะว่า...

1. ปัจจุบันโรงงานประกอบและผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมใหญ่ที่สุดในอาเซียนนั้น อยู่ที่ไทยเป็นของบริษัท EA 

2. บริษัท BYD, Mercedes Benz, BMW, MG, GWM, Volt ก็เลือกประเทศไทย เป็นฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยตั้งให้ประเทศไทยเป็น Hub ผลิตรถ EV ในอาเซียน

3. BMW, Benz , Nissan, BYD, EVLOMO ก็ตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ EV ในประเทศไทย ตั้งให้เป็นฐานผลิตในภูมิภาค

4. Foxconn ร่วมมือกับ ปตท. ลงทุนประมาณ 72,000 ล้านบาท จัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ชื่อ HORIZON PLUS พร้อมศูนย์วิจัย R&D ดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลาง EV อาเซียน เซ็นสัญญากันไปเรียบร้อยแล้ว

5. ล่าสุด BYD ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ EV ยอดขายอันดับ 1 ของจีน ได้ร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทสยามกลการของไทย ซื้อที่ดิน จำนวน 600 ไร่ เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BYD และโรงงานผลิตแบตเตอรี่ มูลค่าการลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาทเพื่อใช้เป็นฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวา เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน รวมไปถึงออสเตรเลีย และ อังกฤษ ด้วยกำลังการผลิตเบื้องต้นที่ 150,000 คัน ต่อปี (ซึ่งไทย มีข้อตกลง FTA กับประเทศเหล่านี่)

6. บริษัท อีวี ไพรมัส จากจีน มีแผนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ ฉะเชิงเทรา มูลค่าการลงทุนกว่า 400 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มขึ้นไลน์ผลิตได้ในช่วงปลายปี 2566 โดยจะผลิตเพื่อขายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งใน และต่างประเทศ ตั้งเป้าการผลิตอยู่ที่ 4,000 คันต่อปี

7. 'บ้านปู เน็กซ์' ร่วมกับ 'เชิดชัยฯ' และ 'ดูราเพาเวอร์' ผู้ผลิตแบตสัญชาติสิงคโปร์ ร่วมกันตั้งโรงงานแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในประเทศไทยที่ โคราช ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) ภายในปี 2569 บุกตลาดในเอเชียแปซิฟิก

8. บริษัท EVLOMO บริษัทชั้นนำด้านยานยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐอเมริกา กำลังสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาด 8 กิโลวัตต์ ซึ่งจะมีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน สร้างในพื้นที่ EEC ด้วยเงินลงทุน 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังจับมือกับ OR ในการติดตั้งตู้ EV Super Charge 150kW อีกว่า 100 สถานีในประเทศไทย

'รัฐ' กร้าว!! สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร-อาหารของไทย เข้าสู่ระบบมาตรฐานความปลอดภัยที่สากลยอมรับ

ไม่นานมานี้ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารเข้าสู่ระบบมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งเกษตรอินทรีย์เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ต้องเร่งดำเนินการให้เกิดเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคในประเทศและสถานการณ์โลก ที่ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยด้านอาหาร กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ล่าสุดรัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ทบทวนมาตรฐานสินค้าเกษตร (Good Agricultural Practices: GAP) พืชอาหาร และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ให้ครอบคลุมส่วนที่ใช้ขยายพันธุ์พืชและแมลงที่บริโภคได้ รวมทั้งสอดคล้องกับมาตรฐานอาเซียน รวมถึงการตรวจรับรองแหล่งผลิตพืชตามมาตรฐาน GAP โดยในปี 2565 มีผู้ยื่นขอการรับรอง 84,098 แปลง เกษตรกร 59,040 ราย โดยได้รับการรับรองมาตรฐาน GAPแล้ว จำนวน 74,152 แปลง เกษตรกร 50,209 ราย พร้อมมีการจัดทำฐานข้อมูลด้านการเกษตรปลอดภัยร่วมกับสมาชิกที่ได้รับใบรับรองมาตรฐาน GAP ในปี 2565 สหกรณ์ 47 แห่ง เกษตรกร 1,126 ราย ใน 22 จังหวัด และส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ไม่เหมาะสมตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) แล้ว 65,358 ไร่

บอสใหญ่แสนสิริฝากแบบนี้ถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่หันมาทำแบรนด์กาแฟแข่งขันกับรายย่อย

กลายเป็นประเด็นชวนคิด เมื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน ซีอีโอ จากบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้แชร์ข่าวผ่านทวิตเตอร์ ซึ่งมีพาดหัว 'ร้านกาแฟ 3 หมื่นล้านร้อนฉ่า ค่ายใหญ่เปิดศึกแย่งทำเลทอง'

โดยเนื้อหาในเนื้อข่าวได้ทีการพูดถึงบิ๊กแบรนด์ทั้งหลายที่หันมาปรับราคาเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น ทั้งอเมซอนของ ปตท. หรือ OR อินทนิล จากบางจาก ดิโอโร่ จากโกลเด้นครีม....

เขาทวีตข้อความว่า "จริง ๆ แล้วส่วนตัวผมไม่เห็นด้วย กับบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง OR หรือ BCP มาทำร้านกาแฟ แข่งขันกับรายย่อย"

"สถานภาพการเงินแข็งแกร่งขนาดนั้น น่าจะหาช่องทางลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ไม่ว่าทั้งในและต่างประเทศ แล้วเปิดโอกาสให้รายย่อย ได้แจ้งเกิดในอาชีพอิสระบ้าง ฝากไว้เป็นข้อคิดครับ"


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top