Saturday, 4 May 2024
ECONBIZ NEWS

ลอกเลนส์ นักเศรษฐศาสตร์โลก จากเวที World Economic Forum คาด ศก.6-12 เดือนข้างหน้าสุดท้าทาย แต่ไม่ใช่ให้แตกตื่น

ไม่นานมานี้ นายสันติธาร เสถียรไทย Group Chief Economist และกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท Sea Group โพสต์ข้อคิดเกี่ยวกับทิศทางอนาคตเศรษฐกิจโลกลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวไว้อย่างน่าสนใจ ระบุว่า...

รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นตัวแทนกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์จากทั่วโลกของ World Economic Forum (WEF) ไปเสวนารอบพิเศษเรื่องทิศทางอนาคตเศรษฐกิจโลก (Special Agenda Dialogue on the Future of the Global Economy) 

เลยเอาข้อคิดที่สำคัญมาฝากครับ (ยาวนิดนะครับ)

ควรเตรียมรับมือเศรษฐกิจโลกถดถอย แต่จีนอาจเป็นม้ามืด

ไม่ว่าจะถึงขั้น Recession ไหมหรือจะนิยามเศรษฐกิจถดถอยว่ายังไง สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า คือเศรษฐกิจโลกอาการไม่เบาแน่ 

รายงานสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 22 คนทั่วโลกพบว่า ส่วนใหญ่ต่างเห็นตรงกันว่าทั้งธุรกิจและคนวางนโยบายควรต้องเตรียมรับมือ Global Recession ในปี 2566 (2023) จากการที่ธนาคารกลางในเศรษฐกิจขนาดใหญ่หลายแห่งขึ้นดอกเบี้ยพร้อมๆ กันเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่อาจจะยังดื้อดึงไม่ลงง่ายๆ 

โดย 90% ของนักเศรษฐศาสตร์ในแบบสำรวจมองว่ายุโรปอาการหนักแน่ๆ ตั้งแต่ปลายปีนี้จากวิกฤติพลังงานที่ทำให้เศรษฐกิจซบเซาพร้อมเงินเฟ้อสูง (Stagflation)

นอกจากนั้น หลายคนมองเศรษฐกิจอเมริกาจะแย่ลงอย่างชัดเจนในปีหน้าเมื่อฤทธิ์ยาขมจากดอกเบี้ยสูงออกผลเต็มที่ (ดอกเบี้ยเป็นเหมือนยาแรงที่ใช้เวลากว่าจะออกฤทธิ์)

แต่อย่างไรก็ตาม มีบางคนเหมือนกันที่มองว่าจีนอาจเป็นม้ามืด เพราะต่อไปอาจผ่อนคลายนโยบายซีโร่โควิดเปิดให้มีการเดินทางรวมถึงต่างประเทศได้มากขึ้น และอาจปล่อยยาแรงมากระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในต้นปีหน้า

แต่ทั้งนี้อย่างเก่งก็แค่ช่วยบรรเทาอาการทรุดของเศรษฐกิจโลกไม่พอที่จะพยุงเศรษฐกิจโลกคนเดียวในเวลาที่อเมริกาและยุโรปต่างชะลอตัว

จากท่องเที่ยวไปส่งออก แล้วกลับไปท่องเที่ยวใหม่

แต่ไม่ใช่ทุกอย่างจะแย่ไปหมด

ก่อนโควิด ภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยว เป็นหัวหอกของการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทย

แต่พอโควิดมาท่องเที่ยวแห้งเหือดกลายเป็นการส่งออกสินค้ากลับมาเป็นตัวละครหลักผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยในปีที่ผ่านมา 

ตั้งแต่นี้ไปเราอาจกลับไปหนังม้วนเก่าคือท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นพระเอกอีกครั้ง 

สถานการณ์ด้านพลังงานในยุโรป เป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญที่อาจทำให้การเดินทางมาพักผ่อนหรือทำงานในประเทศไทย มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า อันเป็นช่วงที่ภาคการส่งออกอ่อนแอลงจากกำลังซื้อที่ลดลงของเศรษฐกิจใหญ่ๆ 

ประเทศที่พึ่งพาทั้งส่งออกและท่องเที่ยวอย่างไทยจะได้อย่างเสียอย่าง ส่งออกจะกลายเป็นตัวฉุดและเราก็ต้องกลับไปพึ่งการท่องเที่ยวเป็นพระเอกเช่นเคย

การดูแลให้ท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจึงจะยิ่งสำคัญในปีหน้า

กำลังซื้อลดลง คนจนเพิ่มขึ้น นโยบายต้องช่วยคนตัวเล็ก

ปัญหาค่าครองชีพดูแค่ตัวเลขเงินเฟ้อไม่ได้ 

เงินเฟ้อเป็นเสมือนภาษีของคนรายได้น้อย 

นักเศรษฐศาสตร์กว่า 80% ในแบบสำรวจมองว่ากำลังซื้อคนจะลดลงเพราะรายได้และค่าแรงจะไม่สามารถปรับตามเงินเฟ้อได้ทำให้เงินในกระเป๋าลดลง 

และ 90% ของนักวิเคราะห์กลุ่มนี้มองว่าคนจนจะเพิ่มขึ้นหลังจากนี้เพราะเงินเฟ้อที่มาจากราคาพลังงานและอาหารกระทบคนรายได้น้อยมากกว่าคนรายได้สูง

แม้ตัวเลขเงินเฟ้อน่าจะปรับตัวลงในปีหน้าแต่ปัญหาค่าครองชีพยังอาจจะไม่ได้หายไปเพราะรายได้คนไม่ได้ปรับขึ้นตามและราคาสินค้าจำนวนมากอาจไม่ได้ปรับลงเมื่อราคาพลังงานลดลง

มาตราการช่วยกลุ่มคนตัวเล็กของรัฐจึงจะมีบทบาทสำคัญมาก รัฐบาลต่างๆ ในวันนี้อาจไม่ได้มีเงินในกระเป๋าตังค์มากพอที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่อีกรอบ จึงต้องใช้นโยบายการคลังที่ยิงแม่นตรงจุดมากขึ้นช่วยคนที่ไม่สามารถช่วยตนเองได้จริงๆ

ประเทศต่างๆ ควรฉวยโอกาสที่คนใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้นในยุคหลังโควิด เอาเทคโนโลยีมาปรับช่วยคนเล็ก เช่น ส่งเสริมอีคอมเมิร์ซให้ช่วย SME ขยายตลาดใหม่ กระจายความเสี่ยง ใช้ฟินเทคช่วยให้คนเข้าถึงบริการการเงิน เช่น สินเชื่อ ประกัน ได้ดีขึ้น ไม่ต้องหันไปพึ่งเงินนอกระบบ เป็นต้น

โลกแตกแยกขึ้น ธุรกิจเร่งรีบปรับตัวต่อโลกใหม่มากขึ้น

รัฐมนตรีเกษตรไทย-ซาอุดีอาระเบีย เห็นพ้องพัฒนากลไกความร่วมมือด้านการเกษตร เสริมความมั่นคงทางอาหาร และสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยวันนี้ (30 ก.ย) ภายหลังการหารือกับนายอับดุลเราะห์มาน บิน อับดุลมุห์สิน อัลฟัฎลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และการเกษตร แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก ภายหลังการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันให้กลับเป็นปกติโดยสมบูรณ์ เมื่อเดือนมกราคม 2565 ที่ผ่านมา พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเกษตรฯ ทั้งสองฝ่าย กระทรวงการต่างประเทศของไทย และสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบีย ประจำประเทศไทย ณ ห้องรับรองกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า นโยบาย Saudi Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย มีความสอดคล้องกับโมเดล BCG ที่เน้นการเสริมสร้างเศรษฐกิจที่มีความสมดุล รักษาสิ่งแวดล้อม และสร้างความมั่นคงทางอาหาร และเน้นการบูรณาการทรัพยากรธรรมชาติทั้ง 5 อย่าง ได้แก่ ระบบนิเวศ ดิน ป่าไม้ ที่ดิน และน้ำ ยึดหลักเกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน เกษตรธรรมชาติ และวนเกษตร โดยฝ่ายไทยพร้อมร่วมมือเพื่อให้บรรลุนโยบาย Saudi Vision 2030

สำหรับประเด็นการหารือในวันนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีกลไกความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างกัน โดยฝ่ายซาอุฯ เสนอให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) และมอบหมายให้สำนักการเกษตรต่างประเทศเป็นผู้ประสานงานหลักของไทย ส่วนความร่วมมือด้านการประมงนั้น ซาอุฯ มีความยินดีที่จะร่วมมือกับไทย ทั้งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และกฎระเบียบการลงทุนด้านกิจการประมงในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งภาคเอกชนของไทยได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

“ด้านการค้าสินค้าเกษตร ฝ่ายไทยได้ผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารปรุงสุกที่มีคุณภาพไปยังซาอุฯ ส่วนฝ่ายซาอุฯ ได้กล่าวถึงตลาดซาอุฯ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพ เนื่องจากมีขนาดใหญ่ ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าที่มีคุณภาพและความปลอดภัย มีกำลังซื้อสูง และซาอุฯ ยังสามารถเป็นประตูไปสู่ประเทศแถบตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องให้มีการขยายความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนในลักษณะ Business to Business (B2B) และการจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) เพื่อเพิ่มโอกาสการค้าและการลงทุนด้านเกษตรและอาหาร” รัฐมนตรีเกษตรฯ กล่าว

ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีเกษตรฯ ซาอุฯ ขอเชิญรัฐมนตรีเกษตรฯ ของไทยเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบีย เพื่อหารือและขยายความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างกัน พร้อมทั้งเชิญชวนภาครัฐและภาคเอกชนของไทยเข้าร่วมงานแสดงสินค้าด้านการเกษตร ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนตุลาคมนี้ ที่ซาอุฯ ด้วย

โครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ สู่ ศูนย์กลางการเงินใหม่ของไทย และภูมิภาค

เมืองใหม่ EEC ศูนย์กลางการเงินใหม่ของไทย และภูมิภาค บนพื้นที่กว่า 15,000 ไร่ ในพื้นที่ห้วยใหญ่ บางละมุง รองรับประชากรกว่า 300,000 คน!!! 

จากเพจ 'โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure' ได้นำเสนออีกหนึ่งโครงการใหญ่ที่น่าสนใจใน EEC ภายใต้ชื่อโครงการ 'ศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ' มาแชร์ให้ทราบ ดังนี้...

รายละเอียดเต็ม ๆ >> https://sharedrive.eeco.or.th/index.php/s/3ZfccLRR9iRsyEE

รายละเอียด ครม. อนุมัติโครงการ >> https://www.eeco.or.th/th/news/441

โครงการนี้ชื่อ : ศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ 

ซึ่งโครงการนี้เกิดขึ้นจากการพัฒนาพื้นที่ EEC ในอนาคตจะมีประชาชนเข้ามาอาศัยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก กว่า 1.5 ล้านคน (จากการประเมิน) 

โดยจำนวนหนึ่งเป็นประชากรเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน นักลงทุน ซึ่งมีรายได้สูงที่มาทำงานในพื้นที่ EEC โดยกลุ่มนี้ต้องการพื้นที่อยู่อาศัยคุณภาพดี รวมถึงคุณภาพชีวิตที่ดี ดึงดูดคนกลุ่มนี้มาอาศัย และทำงานในพื้นที่ EEC 

จึงมีความจำเป็นในการพัฒนาพื้นที่เมืองใหม่ และอยู่อาศัยคุณภาพสูง ในพื้นที่ EEC เลยทำให้โครงการนี้เกิดขึ้น

โดยตั้งเป้าให้เป็น 'ศูนย์กลางธุรกิจ และการเงินระดับภูมิภาค'

แหล่งที่อยู่อาศัยแห่งอนาคต โดยธรรมชาติ มนุษย์ และเทคโนโลยีอยู่ร่วมกัน มุ่งสู่เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (BGC Economy) พื้นที่นวัตกรรม และคุณภาพชีวิตระดับสากลของประเทศไทย เป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ 1 ใน 10 ของโลก ในปี 2580

- สถานที่ตั้งโครงการ อยู่ในพื้นที่ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

- โดยพื้นที่ทั้งหมด 15,000 ไร่ ซึ่งในระยะแรกใช้พื้นที่ 5,000 ไร่ โดยใช้พื้นที่ สปก. โดยมีการจ่ายค่าทดแทนให้กับประชาชนในพื้นที่

>> ระยะทางจากจุดศูนย์กลาง สู่พื้นที่สำคัญ...

- 15 กิโลเมตร จากสนามบินอู่ตะเภา
- 10 กิโลเมตร จากพัทยา
- 160 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ

>> การรองรับจำนวนประชากรในพื้นที่ 300,000 คน ในทุกกลุ่มประชากร แบ่งเป็น...

- พื้นที่อยู่อาศัยรายได้เริ่มต้น-ปานกลาง 70%
- พื้นที่อยู่อาศัยรายได้สูง 30%

>> สร้างตำแหน่งงานในพื้นที่ 200,000 ตำแหน่ง

>> มูลค่าการลงทุน รวม 1.34 ล้านล้านบาท!!! โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ...
- ภาครัฐ 2.8% (ประมาณ 38,000 ล้านบาท)
- โครงการร่วมทุน (ppp) 9.7% (ประมาณ 133,000 ล้านบาท)
- เอกชนลงทุน 87.5% (ประมาณ 1,200,000 ล้านบาท)

>> โดยในพื้นที่จะตั้งเป้าเพื่อรองรับ ในหลายกลุ่มธุรกิจได้แก่...
- หน่วยงานราชการในพื้นที่
- สำนักงานใหญ่ของภาคเอกชน
- ศูนย์กลางการเงิน
- ศูนย์การแพทย์แม่นยำ
- ศูนย์วิจัย นานาชาติ
- ศูนย์ธุรกิจอนาคต ซึ่งเกี่ยวข้องกับเป้าหมาย EEC

'รมว.สุชาติ' กระชับความร่วมมือ 'ก.แรงงานญี่ปุ่น' เจรจาขยายตลาดแรงงานไทย - พัฒนาทักษะเฉพาะทาง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ได้นำคณะเข้าพบ นายคาโตะ คัทซึโนบุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ญี่ปุ่น เพื่อหารือข้อราชการด้านแรงงาน ซึ่งกระทรวงแรงงานขอบคุณกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ญี่ปุ่น ที่ได้ดำเนินการตามความตกลงด้านแรงงาน ได้แก่ บันทึกความร่วมมือโครงการฝึกปฏิบัติงานทางเทคนิคในญี่ปุ่น และบันทึกความร่วมมือด้านข้อมูลพื้นฐานเพื่อการจัดระบบและการพำนักของแรงงานที่มีทักษะเฉพาะ 

รวมทั้งขอบคุณที่ให้ความร่วมมือในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในการร่วมกันพัฒนาทักษะแรงงานไทย การขยายตลาดแรงงานไทยในญี่ปุ่น โดยกระทรวงแรงงานของญี่ปุ่นยินที่กระทรวงแรงงานของไทยจะสนับสนุนให้มีคนไทยเข้าไปฝึกงานและทำงานในสาขาทักษะเฉพาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาผู้ดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งกรมพัฒนาฝีมือแรงงานมีความพร้อมในการจัดหลักสูตรฝึกอบรมในสาขาที่ญี่ปุ่นมีความต้องการ

ทั้งนี้ ปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายสำคัญที่จะส่งเสริมให้แรงงานไทยมีโอกาสทำงานในต่างประเทศมากขึ้น ในส่วนของประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2564 มีแรงงานไทยแจ้งความประสงค์จะมาทำงานที่ญี่ปุ่นจำนวน 3,867 คน มากเป็นอันดับ 4 รองจากอิสราเอล เกาหลีใต้ และไต้หวัน แสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นเป็นตลาดสำคัญที่แรงงานไทยต้องการจะมาทำงาน ซึ่งกระทรวงแรงงานมีความพร้อมที่จะขยายตลาดแรงงานไทยในประเทศญี่ปุ่น ทั้งการพัฒนาทักษะแรงงานไทยให้มีคุณสมบัติทั้งทักษะอาชีพและภาษาตามที่ญี่ปุ่นกำหนด

'เฉลิมชัย' เดินหน้ายกระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย เตรียมพบหารือรัฐมนตรีเกษตรฯ ซาอุดีอาระเบียพรุ่งนี้ มุ่งขยายความร่วมมือด้านการเกษตรทุกมิติ

รายงานข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยวันนี้ถึงการเตรียมความพร้อมในการให้การต้อนรับ นายอับดุลเราะห์มาน บิน อับดุลมุห์สิน อัลฟัฎลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และการเกษตร แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และคณะ ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างวันที่ 29 กันยายน - 2 ตุลาคม นี้ ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมที่จะให้การต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม น้ำ และการเกษตรแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และคณะ อย่างเต็มที่ ซึ่งการเดินทางเยือนประเทศไทยในครั้งนี้ ถือเป็นการเดินทางอย่างเป็นทางการครั้งแรกของคณะซาอุดีอาระเบีย เป็นผลมาจากการเดินทางเยือนซาอุดิอาระเบียของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 

โดยดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบหมายให้นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียระหว่างวันที่ 15-19 พฤษภาคมร่วมกับคณะของรัฐบาลและภาคเอกชนโดยการนำของนายดอน ปรมัติถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

‘SABUY’ คว้ารางวัลระดับโลกจาก ‘Global Brand ’สุดยอดผู้นำด้านเทคโนโลยีการชำระเงิน

SABUY คว้ารางวัลระดับโลก The Global Brand Awards 2022 รางวัลสุด ยอดผู้นำด้านเทคโนโลยีการชำระเงิน และระบบโซลูชั่นส์แห่งประเทศไทย  

นายชูเกียรติ รุจนพรพจี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY เปิดเผยว่า นับเป็นอีกก้าวย่างแห่งความสำเร็จ หลังจากที่บริษัทฯ สามารถคว้ารางวัลระดับโลก The Best Payment Technology & Solution Provider in Thailand 2022 หรือ รางวัลสุดยอดผู้นำด้านเทคโนโลยีการชำระเงินและระบบโซลูชั่นส์แห่งประเทศไทย ปี 2565 จากงาน The Global Brand Awards 2022 ซึ่งเป็นงานประจำปีที่จัดขึ้นโดยนิตยสาร Global Brand สื่อสิ่งพิมพ์ระดับนานาชาติที่มีสำนักงานใหญ่ในสหราชอาณาจักร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเชิดชูและมอบรางวัลให้แก่บริษัทที่มีความโดดเด่นด้านผลงาน และมีความสำเร็จขององค์กรที่มีผลงานในด้านอุตสาหกรรมของตนเอง 

นายชูเกียรติ ย้ำถึงวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นของกลุ่มสบายว่า “ SABUY เรามุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีจากทุกด้าน รวมถึงการสร้างแพลทฟอร์มทางการค้าที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมและสร้างประสิทธิภาพและคุณค่าของการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยสร้างเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนตามแต่ละเป้าหมายของชีวิตที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็น การใส่ใจด้านสุขภาพ , ความมั่งคั่ง , การทำงาน , การใช้เวลายามว่าง และการเข้าใจถึงข้อมูลความต้องการของแต่ละบุคคล 

ดร.กอบศักดิ์ เตือน ระวังการสร้างหนี้ในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น ชี้!! เงินเฟ้อพุ่ง ทำให้ 'ยุคดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน' จบลง

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Kobsak Pootrakool’ ระบุว่า 

ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น !!!! 

ยุคที่เราต้องระวังเรื่องการใช้จ่าย กำลังเริ่มแล้ว

เงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา กำลังทำให้ “ยุคดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน” จบลง

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการสู้สงครามกับเงินเฟ้อของธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก 

ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายแต่ละประเทศ ต้องปรับขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง 

โดยในเวลาไม่ถึงปี

- สหรัฐ ขึ้นดอกเบี้ย 5 ครั้ง รวม +3.0%
- สหภาพยุโรป ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง รวม +1.25% 
- อังกฤษ ขึ้นดอกเบี้ย 7 ครั้ง รวม +2.15%
- ออสเตรเลีย 5 ครั้ง รวม +2.25%
- ฟิลิปปินส์ 5 ครั้ง รวม +2.25%
- มาเลเซีย 3 ครั้ง รวม +0.75%
- อินโดนีเซีย 2 ครั้ง รวม +0.75%
- ไทย 2 ครั้ง รวม +0.5%

เมื่อธนาคารกลางขยับ ดอกเบี้ยในตลาดพันธบัตรต่าง ๆ ก็จะขยับตามเป็นขบวนแรก

ทั้งดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล และดอกเบี้ยหุ้นกู้ของเอกชน 

บางครั้ง ขึ้นก่อนธนาคารกลางปรับขึ้นดอกเบี้ยด้วยซ้ำไป

ส่วนดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ก็เช่นกัน ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้น 

ตามสัญญาณจากธนาคารกลาง เป็นขบวนถัดมา 

ในสหรัฐ JPMorgan Chase Bank แบงก์ที่ใหญ่ที่สุด ได้ปรับ Prime Lending Rate ขึ้น 5 ครั้ง

จาก 3.25% เป็น 6.25% ขึ้นมา +3.0% ตามจังหวะที่เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย อย่างสอดประสาน

แบงก์อื่น ๆ เช่น Bank of America หรือ Well Fargo Bank ก็ปรับขึ้น 5 ครั้ง ในจังหวะและอัตราเดียวกัน

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ปกติแล้วธนาคารพาณิชย์จะคอยดูสัญญาณจากธนาคารกลางว่า 

ต้องการให้ดอกเบี้ยในประเทศปรับเปลี่ยนไปในทิศทางไหน 

และจะดำเนินการตามที่ธนาคารกลางส่งทิศทางมา 

ทั้งนี้ เนื่องจากแบงก์พาณิชย์แต่ละแบงก์ เป็นแค่ส่วนเดียวของเศรษฐกิจ 

คงยากที่จะฝืนทิศทางของธนาคารกลางได้ 

เพราะสัญญาณและนโยบายจากธนาคารกลาง 

จะกระทบไปทุกส่วนของตลาดการเงิน 

โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรที่จะเป็นตลาดแรกที่ปรับทันที 

ส่วนธนาคารพาณิชย์ อาจจะใช้เวลา อาจจะรอได้บ้าง ในช่วงสั้น ๆ

แต่เมื่อธนาคารกลางปรับดอกเบี้ยไปต่อเนื่องในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างต่อเนื่อง 

ทำให้ดอกเบี้ยในระบบ เริ่มเคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้น

ธนาคารพาณิชย์ก็จะต้องปรับตาม ในท้ายที่สุดเช่นกัน

ซึ่งการปรับดอกเบี้ยตามดังกล่าว จะช่วยให้นโยบายของธนาคารกลาง 

สามารถส่งผ่านไปยังภาคธุรกิจ ในทิศทางที่ธนาคารกลางต้องการ

สำหรับประเทศไทย 

หลังแบงก์ชาติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมา 2 ครั้ง +0.5% และคงปรับขึ้นไปต่ออีกระยะ 

การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์กำลังเริ่มขึ้นเช่นกัน 

ส่งผลต่อดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในประเภทต่าง ๆ 

ซึ่งจะช่วยในกระบวนการดูแลเงินเฟ้อของแบงก์ชาติ 

ดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น จะจูงใจให้คนลงทุน และกู้ยืมน้อยลง

ดอกเบี้ยเงินฝากที่เพิ่มขึ้น จะจูงใจให้คนฝากเงิน ใช้จ่ายน้อยลงเช่นกัน 

ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมใช้จ่ายลดลง ลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ

โดยกระบวนการนี้ จะเริ่มชะลอและหยุดลง 

ก็ต่อเมื่อแบงก์ชาติซึ่งเป็นผู้กำหนดทิศทางดอกเบี้ย จบรอบของการขึ้นดอกเบี้ย

หมายความว่า “ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น” ในไทย 

ยังจะเดินหน้าไปอีกระยะ

ส่งผลกระทบต่อดอกเบี้ยเงินกู้แบบต่างๆ ให้เพิ่มขึ้น

สินเชื่อบ้านแบบคงที่ 2-3 ปี ดอกต่ำ ๆ ก็แทบหาไม่ได้ในขณะนี้ ต่างจากช่วงก่อนหน้า

ซึ่งเราทุกคนคงต้องระวังเรื่องการสร้างหนี้ ในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น นี้

ยิ่งเศรษฐกิจโลกกำลังอ่อนลง 

บริษัทต่าง ๆ คงต้องคิดเรื่อง สภาพคล่อง ดูแลกระแสเงินสด ฐานะการเงินให้ดี

อะไรไม่จำเป็นก็คงต้องผลักออกไปก่อน

โลตัส ฉลองครบรอบ 28 ปี ตอกย้ำผู้นำวงการค้าปลีก พร้อมผลักดันธุรกิจออนไลน์ ตั้งเป้ายอดขาย 20% ของยอดขายรวมภายใน 3 ปี

โลตัส ฉลองครบรอบ 28 ปี ตอกย้ำความเป็นผู้นำวงการค้าปลีกสมัยใหม่ เดินหน้าต่อยอด New SMART Retail ปูพรมเปิดสาขา next generation รูปแบบใหม่ พร้อมผลักดันธุรกิจออนไลน์เต็มสูบ ตั้งเป้ายอดขาย 20% ของยอดขายรวมภายใน 3 ปี

โลตัส เฉลิมฉลองครบรอบ 28 ปี ของการเป็นผู้นำวงการค้าปลีกสมัยใหม่ในประเทศไทย ทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาท ส่งแคมเปญเฉลิมฉลองและขอบคุณลูกค้าทั่วประเทศ พร้อมเดินหน้าต่อยอด New SMART Retail ผลักดันการเติบโตแบบ omni-channel ด้วยการเปิดสาขา next generation รูปแบบใหม่ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ในแต่ละพื้นที่ ควบคู่กับการเป็น fulfillment center สำหรับธุรกิจออนไลน์ ตั้งเป้ายอดขาย 20% ของยอดขายรวมภายใน 3 ปี

นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 28 ปีที่ผ่านมา โลตัส มีส่วนร่วมในการผลักดันวิวัฒนาการของค้าปลีกสมัยใหม่ในประเทศไทยในทุกยุคสมัย ตั้งแต่ Retail 1.0 ซึ่งคือการเริ่มต้นของร้านค้าในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต ที่นำความสะดวกสบายของการมีสินค้าคุณภาพสูงที่ครบครันและหลากหลายอยู่ภายในที่เดียวในราคาที่คุ้มค่า โดยโลตัส ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาแรกเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2537 หลังจากนั้น ในยุค Retail 2.0 ได้ต่อยอดด้วยการพัฒนาพื้นที่ศูนย์การค้าเพื่อให้มีร้านค้าที่เติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกค้ามากขึ้น เพื่อให้โลตัส เป็นศูนย์รวมของการใช้ชีวิตของสมาชิกทุกคนในครอบครัว นอกเหนือจากการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในไฮเปอร์มาร์เก็ต ตลอดจนการพัฒนาสาขารูปแบบใหม่ ๆ ทั้งขนาดกลางและขนาดเล็ก ในปี พ.ศ. 2556 ภายใต้ยุค Retail 3.0 และการเกิดขึ้นของ e-commerce โลตัส เป็นค้าปลีกซูเปอร์มาร์เก็ตรายแรกในประเทศไทยที่เปิดตัวแพลทฟอร์มสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ของตนเอง จำหน่ายสินค้าครอบคลุมทุกหมวดหมู่ รวมถึงอาหารสด โดยสามารถจัดส่งสินค้าจากสาขา และยังมีรูปแบบ click & collect ให้ลูกค้าสามารถมารับสินค้าได้ด้วยตนเอง และในยุค Retail 4.0 คือการเติบโตของค้าปลีกแบบ omni-channel และ personalization โดยโลตัส ได้เปิดตัวแอพพลิเคชั่น Lotus’s SMART App ในเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา โดยรวมออนไลน์ช้อปปิ้งเอาไว้กับโปรแกรมขอบคุณลูกค้า MyLotus’s เพื่อส่งมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ไร้รอยต่อระหว่างออฟไลน์และออนไลน์ ควบคู่ไปกับความคุ้มค่าที่ถูกออกแบบมาสำหรับลูกค้าแต่ละคน โดยใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ ซึ่งในช่วงเวลาเพียงแค่ 6 เดือนหลังจากเปิดตัวแอพพลิเคชั่น Lotus’s SMART App ปัจจุบันมีผู้ดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 5.3 ล้านราย และช่วยผลักดันให้ยอดสั่งซื้อสินค้าออนไลน์โตขึ้นกว่า 12 เท่าตัว”

“ก้าวต่อไปของโลตัส ในปีที่ 29 ของการดำเนินธุรกิจ คือการเป็นผู้นำผลักดัน Retail 5.0 New SMART Retail ในประเทศไทย ด้วยการเดินหน้าเปิดสาขา next generation ในหลากหลายรูปแบบที่มีความเหมาะสมกับไลฟ์ไสตล์ของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ โดยที่ทุกสาขาจะต้องทำหน้าที่เป็น fulfillment center ในการจัดส่งสินค้าสำหรับแพลทฟอร์มออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย โดย โลตัส ตั้งเป้าภายใน 3 ปี ยอดขายจากแพลทฟอร์มออนไลน์จะมีสัดส่วน 20% ของยอดขายโดยรวมทั้งหมด สำหรับพื้นที่ศูนย์การค้า จะได้รับการปรับและเพิ่มพื้นที่ให้เป็น Everyday SMART Community Center ศูนย์รวมการใช้ชีวิตในทุก ๆ วันของชุมชนรอบข้าง โดยมีร้านค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ มุ่งเน้นการเป็น inspiring food destination และการทำกิจกรรมของชุมชน แผนงานภายใน 3 ปีข้างหน้าคือการปรับพื้นที่ศูนย์การค้าใน 140 สาขา ควบคู่กับการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ต่อยอดสู่การเป็นผู้พัฒนาและบริหารโครงการค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต”

“ในส่วนของแพลทฟอร์มออนไลน์ เราจะเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถรองรับการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่จะโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด รวมถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลและพฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าในแต่ละราย เพื่อมอบส่วนลด สิทธิประโยชน์ และข้อเสนอที่ตรงใจลูกค้าในระดับปัจเจกบุคคล ปัจจุบันเรามีฐานสมาชิกโปรแกรมขอบคุณลูกค้า มายโลตัส (MyLotus’s) กว่า 23 ล้านบัญชี โดยตั้งเป้า migrate สมาชิกทั้งมาอยู่บนแพลทฟอร์ม Lotus’s SMART App เพื่อการใช้งานที่สะดวกและไร้รอยต่อที่สุด นอกจากนั้น แผนงานด้านผลิตภัณฑ์ จะต้องตอบโจทย์เทรนด์และไลฟ์สไตล์ในอนาคต รวมถึงความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น สินค้าพรีเมียม สินค้านำเข้า สินค้าอัตลักษณ์ สินค้าท้องถิ่น สินค้า SME โดยในแต่ละสาขาจะมีสินค้าที่แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของโปรไฟล์ลูกค้าในแต่ละพื้นที่ นอกจากนั้น แผนงานพัฒนาสินค้า own brand ของเรา จะมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าที่ดีต่อสุขภาพและการเป็นอยู่ที่ดี รวมถึงอาหารสดคุณภาพสูง ปลอดภัย มาจากแหล่งที่ยั่งยืน และจำหน่ายในราคาที่เอื้อมถึงได้”

‘กนง.’ ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% มีผลทันที แตะระดับ 1% ต่อปี

‘กนง.’ เอกฉันท์ ปรับดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% มีผลทันที ส่งผลดอกเบี้ยล่าสุดแตะระดับ 1% ต่อปี พร้อมคงคาดการณ์จีดีพีโต 3.3% ส่วนเงินเฟ้อปีนี้อยู่ที่ 6.3% ส่วนปีหน้า 2.6%

เมื่อวันที่ 28 กันยายน นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุมนโยบายการเงิน ครั้งที่ 5/2565 ในวันที่ 28 กันยายน 2565 ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 0.75% เป็น 1.00% ต่อปี โดยให้มีผลทันที และคงการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ 3.3% และคาดว่าปีหน้าจะขยายตัวที่ 3.8% เป็นไปตามการคาดการณ์เดิมตามการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคของเอกชนเป็นสำคัญ ขณะที่การส่งออกชะลอตัวลง แต่ไม่กระทบแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 และ 2566 คาดว่าเพิ่มขึ้นที่ 6.3% และ 2.6% ตามลำดับ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปี 2565 และ 2566 คาดว่าอยู่ที่ 2.6% และ 2.4% ตามลำดับ มีแนวโน้มสูงขึ้นจากการส่งผ่านต้นทุนเป็นสำคัญ นอกจากนี้ อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทต่อเงินเหรียญสหรัฐปรับอ่อนค่าเร็วและต่อเนื่องตามการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐ สอดคล้องกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค โดยคณะกรรมการจะติดตามพัฒนาการในตลาดอย่างใกล้ชิด

EA ผนึก CFM พันธมิตรใหญ่ในมาเลเซีย ลุยพัฒนาระบบขนส่งมวลชนไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

EA ส่ง EA Mobility Holding จับมือพันธมิตร Computer Forms (Malaysia) Berhad (CFM) ลงนาม HOA (Head of Agreement) ลุยพัฒนามาเลเซียสู่การเป็นสังคมไร้คาร์บอน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมืองในมาเลเซีย ปูทางสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าภายในตัวเมืองลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

เมื่อวันที่ (26 กันยายน 2565) ที่ผ่านมา ได้มีการจัดงานพิธีลงนามความร่วมมือเพื่อที่จะร่วมลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรในประเทศมาเลเซียโดยมี Mr.Datuk Wira Justin Lim Hwa Tat กรรมการบริหาร, Computer Forms (Malaysia) Berhad (CFM) และนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ร่วมในพิธีลงนาม

ณ ปัจจุบันประเทศมาเลเซีย มีนโยบายด้านพลังงานในการลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล มุ่งเน้นให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นถึง 37% ตามแผนนโยบายในปี 2022-2040 อีกทั้งการเข้าร่วม COP26 ของทางรัฐบาล เพื่อตอบสนองต่อนโยบายแห่งชาติในเวทีโลก เข้าสู่สังคมไร้มลพิษ จึงเป็นที่มาของการร่วมมือเพื่อลงทุนพัฒนาระบบการคมนาคมไฟฟ้าแบบครบวงจรในครั้งนี้ โดยทางบริษัท CFM ได้เห็นถึงความสามารถและความเชี่ยวชาญของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรในประเทศไทย ผ่านผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมเกี่ยวกับการคมนาคมแบบไร้มลพิษ ตั้งแต่การพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า เช่น รถโดยสารไฟฟ้า และเรือโดยสารไฟฟ้า และการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งมีเทคโนโลยีระบบ Ultra Fast Charge Technology สามารถอัดประจุไฟฟ้าสู่ยานยนต์ทุกชนิด 80% ในระยะเวลาเพียง 15-20 นาที

นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ฯ เปิดเผยว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับ CFM เพื่อร่วมลงทุนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนไร้มลพิษ นับเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของ EA ที่ได้รับการยอมรับในการนำนวัตกรรม Ultra Fast Charge Technology ของบริษัทฯ ผ่านผลิตภัณฑ์ที่พัฒนา และผลิตในประเทศไทย เข้าสู่ตลาดขนส่งมวลชนของประเทศมาเลเซีย ก่อให้เกิดการร่วมลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ร่วมกันในอนาคต สามารถผลักดันให้บริษัทขยายตลาดสู่ภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก และตลาดโลกต่อไปในอนาคต


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top