Sunday, 6 July 2025
ECONBIZ NEWS

‘รมว.พีระพันธุ์’ เปาบุ้นจิ้นพลังงานไทย ความหวังของคนไทย ในช่วงเวลาหดหู่

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้งานติ๊กต็อก dr.brahm_isara_inya หรือ พราหมณ์ อิศรา อินทร์ยา ได้โพสต์วิดีโอพร้อมระบุข้อความว่า “เข้าพบ ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.พลังงาน” โดยภายในวิดีโอได้พูดถึงความสิ้นหวังของคนไทยทั้งประเทศ และการเข้าพบ พูดคุยกับ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยระบุว่า…

“ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศนี้ จากที่มีความหวังว่าหลังเลือกตั้งประเทศเราจะก้าวเข้าสู่ยุคฟ้าสีทองผองอําไพ รัฐบาลใหม่จะต้องทําให้อะไร ๆ มันดีขึ้น แต่ปรากฏว่าผ่านมา 5-6 เดือนแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าอะไรมันจะดี…

“ที่บอกว่าจะแจกเงินหมื่น แต่ก็เลื่อนออกไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีกําหนด บอกว่าจะปราบหนี้นอกระบบก็ไม่เห็นมีอะไรขับเคลื่อน บอกว่าจะเพิ่มเงินเดือนคนแก่ เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ทําอะไรไม่ได้เลย ซ้ำร้ายยาเสพติดยังเต็มบ้านเต็มเมือง รัฐบาลก็ยังออกกฎหมายช่วยให้การพกพายาเสพติดแต่เอาผิดไม่ได้ แทบจะพูดได้ว่าไม่สามารถสร้างผลงานอะไรได้เลย…

“ซ้ำร้ายพรรคฝ่ายค้านที่เป็นความหวังว่าจะมาคานอํานาจ มาตรวจสอบ สร้างสรรค์ความเปลี่ยนแปลงให้เกิดกับบ้านกับเมือง ก็ปรากฏว่าจับมือฮั้วกัน นักโทษชั้น 14 ก็ไม่เคยแตะต้อง เรื่องกฎหมายยาเสพติด หรือเรื่องอื่น ๆ ไม่เคยตรวจสอบ ไม่เคยแตะต้องรัฐบาล ไม่รู้ว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน หรือว่าตัวฝ่ายค้านหมดสมรรถภาพไปแล้ว…

“เห็นมัวแต่วุ่นวายกับเรื่องของตัวเอง สส.ของเขามีแต่เรื่องมีแต่ราว ทั้งขี้เมาตบตีผู้หญิง ทั้งวิ่งราวทรัพย์ ทั้งเอกสารปลอม ทั้งหนีทหาร สารพัดปัญหา จนไม่มีเวลาสนใจบ้านสนใจเมือง สู้แต่คดีฟ้องร้องกันไปมา แก้ปัญหาแต่ของตัวเอง ทำให้ประชาชนตอนนี้แทบจะไม่มีความหวัง ไม่รู้จะหวังพึ่งนักการเมืองคนไหนได้อีก หดหู่กันทั้งบ้านทั้งเมืองจริง”

พราหมณ์ อิศรา อินทร์ยา กล่าวต่อว่า “พวกเรารวมตัวกัน เพื่อไปตามหาว่าประเทศนี้ยังเหลือใครที่ประชาชนจะฝากความหวัง หรือพึ่งพาอาศัยได้หรือไม่…

“วันนี้พวกเรามากันที่บ้านพิบูลธรรม กระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นสํานักงานของท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค สําหรับตัวท่านพีระพันธุ์นี้ พี่น้องประชาชนก็คงทราบข่าวมาตลอด ในเรื่องฝีไม้ลายมือ เรื่องความรู้ ความสามารถ และหลายอย่างที่ท่านทําให้ประเทศไทย แต่พวกเราก็ไม่กล้ายืนยัน เพราะนั่นอาจจะเป็นแค่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง เป็นข่าวจริงแค่ไหนก็ไม่รู้ จึงพากันมาดู มาคุย มาถามให้รู้ มาดูให้เห็นกับตา…

“ซึ่งจากที่คุยกันใช้เวลานานพอสมควร บอกได้เลยว่าท่านพีระพันธุ์กําลังทํางานใหญ่ ชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินให้โครงสร้างพลังงานของประเทศไทย คุณป้าอยุธยาที่มาด้วยกันถึงขั้นกระซิบผมเลย บอกว่า “เป็นห่วงความปลอดภัยของท่านจังเลย ถ้าท่านจะทํางานใหญ่ขนาดนี้”...

“สิ่งที่ท่านกำลังจะทำ จะสร้างความเปลี่ยนแปลงมหาศาลให้เรื่องธุรกิจพลังงานของประเทศไทย ไม่ใช่แค่พวกเราจะได้ใช้พลังงานราคาถูก แต่มันมีงานใหญ่ระดับโลกที่จะเกิดขึ้น เกี่ยวกับพลังงาน เกี่ยวกับน้ำมันที่ประเทศไทยที่ท่านเตรียมเอาไว้แล้ว”

พราหมณ์ อิศรา อินทร์ยา กล่าวต่อว่า “พอได้ฟังแผนการ ฟังการคิดวิเคราะห์ของท่านแล้วก็บอกได้เลยว่าเป็นคนที่คิดเป็นระบบ มีตรรกะ มีกลยุทธ์ มียุทธศาสตร์ ไม่แปลกใจเลยทําไมก่อนหน้านี้ กรณีโฮปเวลล์ กรณีเหมืองทองอัครา ถึงทําได้หลายโปรเจกต์ และชนะตลอด…

“จากที่นั่งคุยกันต้องยอมรับว่าท่านพีระพันธุ์ เป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว แต่ท่านไม่ได้ถือตัว ท่านสบายๆ เป็นกันเอง และจริงใจเปิดเผย ถามอะไรก็ตอบหมด หลายเรื่องเล่าได้ฟังยังตกใจว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ของบ้านของเมืองจริง และท่านก็กล้าหาญจริง ๆ ที่จะสู้กับเรื่องพวกนี้ โดยที่ท่านก็ย้ำตลอดว่าท่านไม่เคยหวังตําแหน่ง แต่เพราะความบังเอิญ เพราะตกกระไดพลอยโจน มาช่วยเหลือกัน มาช่วยกันทํางานให้ผู้หลักผู้ใหญ่ ถ้าพี่น้องประชาชนคนธรรมดารากหญ้าได้สัมผัส ได้พูดคุยกับท่านก็จะประทับใจ หลงรักท่านได้เลย”

“พวกเราก็เหมือนประชาชนคนไทยทั่วไป ที่รู้สึกหดหู่ สิ้นหวัง ไม่รู้ว่าจะฝากความหวังไว้กับใคร แต่วันนี้ดีใจที่ประเทศนี้ยังไม่ได้สิ้นคนดี ยังเหลือพี่ตุ๋ย พีระพันธุ์ กรุงศรีอยุธยายังไม่สิ้นคนดีแน่นอน” พราหมณ์ อิศรา อินทร์ยา ทิ้งท้าย

ผลงานชัด!! ‘ต่อยอดรถ EV-ดันฮาลาล-สานทุนนอกลงทุนไทย’ ‘รมว.ปุ้ย’ รัฐมนตรีผู้นอบน้อม ขยัน และใส่ใจผู้คน

ส่องผลงานรัฐมนตรี New Gen ‘พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล’ กับบทบาท รมว.อุตสาหกรรม หลังผ่าน 90 วันแรก พบผลงานเพียบไม่เป็นรองใคร หลังผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายรุดหน้า ทั้ง EV, อาหารฮาลาล และการกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพ เน้นทำงานเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ตามสไตล์ ‘ทำงานเงียบ ๆ แต่ใส่ใจ ไม่โอ้อวด’ 

อย่างที่ทราบกันดีว่า ‘รัฐบาล’ ภายหลังการเลือกตั้งปี 2566 จะเป็นรัฐบาลที่ถูกจับตาดูการทำงานอย่างหนัก เพราะเป็นรัฐบาลที่มีพรรคร่วมจำนวนมาก อีกทั้งยั้งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังฟื้นตัว ขณะเดียวกัน ‘รัฐมนตรี’ ที่รับผิดชอบในแต่ละกระทรวง ก็จะถูกจับตาและติดตามการทำงานอย่างหนักเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในกลุ่มรัฐมนตรีหน้าใหม่สมัยแรก ที่ไม่เพียงแต่ต้องมีความรู้ความสามารถเท่านั้น แต่ต้องพิสูจน์ตัวเองว่ามี ‘ฝีมือ’ และ ‘กึ๋น’ มากพอหรือไม่ เพราะต้องทำงานประสานกับข้าราชการประจำ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดเป็นรูปธรรม

และหนึ่งในรัฐมนตรีหน้าใหม่ ที่ถูกจับตาอย่างมากก็คือ ‘รมว.ปุ้ย’ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพราะไม่เพียงแต่เป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่สมัยแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นการบริหารกระทรวงใหญ่ ที่ต้องขับเคลื่อนหลายมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งในแต่ละด้านนั้น ล้วนเป็นความคาดหวังของชาวบ้านและภาคธุรกิจ และด้วยบุคลิกที่เป็นคนเรียบง่าย หลายฝ่ายจึงกังวลในเรื่องการทำงานที่ต้องประสานและบริหารข้าราชการประจำ ที่มีจำนวนมาก เพราะเป็นกระทรวงใหญ่ จึงหวั่นว่าไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้ตามเป้าหมาย

แต่ทว่า หลังผ่าน 90 วันแรก ด้วยสไตล์การทำงานที่ขยัน ทำงานอย่างไม่รู้เหนื่อย ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงผลงานของ นางสาวพิมพ์ภัทรา ได้เป็นอย่างดี เพราะมีผลงานที่เริ่มเป็นรูปธรรมออกมาให้เห็นอย่างไม่ขาดสาย ภายใต้เป้าหมายการบริหารอย่างเร่งด่วน (Quick Win) ที่ได้ประกาศเอาไว้เมื่อช่วงรับตำแหน่งใหม่ ๆ ด้วยเป้าหมายผลักดันภาคอุตสาหกรรมให้มีศักยภาพเป็นฟันเฟืองเศรษฐกิจ พลิกฟื้นรายได้ให้กับประเทศ 

>>ส่องผลงาน 90 วันแรก รมว.อุตสาหกรรม

ทั้งนี้ การทำงานของ นางสาวพิมพ์ภัทรา ในช่วง 90 วันแรก ได้จัดรูปแบบการบริหารอย่างเป็นระบบ คือ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม อีกทั้งยังได้แบ่งการดำเนินงานตามภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เริ่มตั้งแต่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ได้เน้นบังคับใช้กฎหมาย กำกับดูแล และตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด รวมถึงพัฒนาระบบการรายงานด้านสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีภารกิจหลักคือลดการปล่อยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในระยะยาว ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทยและของโลกอยู่ในขณะนี้

ขณะที่ ในส่วนงานของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) หรือดีพร้อม ได้จัดงาน ‘อุตสาหกรรมแฟร์เมืองใต้ 2023 นครศรีธรรมราช’ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคใต้ และส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจเขตพื้นที่ภาคใต้ ภายใต้แนวคิด ‘ช้อป ชิม เที่ยวเพลิน เดินหลาด’

ด้านสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในส่วนนี้ทาง ‘พิมพ์ภัทรา’ ได้ให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและการคุ้มครองผู้บริโภค ในช่วงที่ผ่านมา จึงมีการตรวจสอบและยึดอายัดผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานอย่างเข้มงวด รวมทั้งสร้างเครือข่ายร้านจำหน่ายที่มีเครื่องหมายมาตรฐาน มอก. เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค และในปี 2567 มีเป้าหมายกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ให้ได้ไม่น้อยกว่า 1,000 มาตรฐาน เน้นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาล ทั้ง S-curve และ New S-curve เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ EV อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เครื่องมือแพทย์ อุตสาหกรรมชีวภาพ AI ฮาลาล และ Soft power

โดยเฉพาะในส่วนของ EV ที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายหลักของประเทศในอนาคตนั้น ซึ่งถือเป็นอีกผลงานเด่นของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งในมิติด้านการดึงดูดนักลงทุน โดยมีค่ายผู้ผลิต EV และแบตเตอรี่ ทยอยเข้ามาลงทุนสร้างโรงงานการผลิตในไทยอย่างต่อเนื่อง คิดเป็นมูลค่าการลงทุนหลายหมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันในมิติมาตรฐานสินค้า ยังได้กำหนดมาตรฐาน EV แล้วเสร็จไปแล้ว 150 มาตรฐาน และอยู่ระหว่างกำหนดมาตรฐานเพิ่มเติมอีก 29 มาตรฐาน 

และในส่วนของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานนางสาวพิมพ์ภัทรา ให้ความสำคัญยิ่ง โดยได้ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไปสู่อุตสาหกรรมเศรษฐกิจตามเมกะเทรนด์ของโลก โดยเฉพาะการผลักดันอุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งได้จัดทำข้อเสนอการจัดตั้งศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล และคณะกรรมการอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต และเร็ว ๆ นี้ เตรียมทำ MOU กับ องค์กรมาตรฐาน มาตรวิทยา และคุณภาพ แห่งซาอุดีอาระเบีย (SASO) เพื่อยกระดับความร่วมมือด้านการรับรองผลิตภัณฑ์ระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสในการขยายตลาดอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยในอนาคต

แน่นอนว่าผลงานทั้งหมดที่ยกมานั้น เกิดขึ้นภายใต้การขับเคลื่อนและบริหารงาน โดยผู้หญิงที่มีบุคลิกอ่อนหวาน ยิ้มง่าย แต่เมื่อถึงเวลาต้องลงมือทำงาน แม้จะทำแบบเงียบ ๆ ก็ทุ่มสุดตัวแบบสุดตัวเต็มที่และจริงจัง ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วจากผลงานที่เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียง 90 วันแรกเท่านั้น อย่างไรก็ดี ต้องมาติดตามกันต่อไปว่าภายใต้การบริหารงานของนางสาวพิมพ์ภัทรา หลังจากนี้จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือสร้างผลงานตามที่คาดหวัง ได้มากน้อยเพียงใด.

>> เปิดประวัติ พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล

สำหรับ พิมพ์ภัทรา เกิดเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2522 เป็นบุตรสาวของ นายมาโนชญ์ วิชัยกุล กับนางสำรวย วิชัยกุล เข้ารับการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช และโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ระดับปริญญาตรี วิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาเคมีอุตสาหกรรม จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และปริญญาโท รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดย พิมพ์ภัทรา สมรสกับนิติรักษ์ ดาวลอย มีบุตร 2 คน

พิมพ์ภัทรา เข้าสู่งานการเมืองโดยการลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.นครศรีธรรมราช แทน นายมาโนชญ์ วิชัยกุล ซึ่งวางมือทางการเมือง ในการเลือกตั้ง สส.เป็นการทั่วไปปี 2550 และได้รับเลือกตั้งเป็น สส.สมัยแรก ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์

ต่อมาในการเลือกตั้งปี 2554 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งและได้รับเลือกเป็น สส.อีกสมัย กระทั่งในปี 2562 ยังคงลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกเป็น สส.สมัยที่ 3

หลังจากนั้นในช่วงต้นปี 2566 น.ส.พิมพ์ภัทรา ได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ต่อมาได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ในสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ และได้รับการเลือกตั้ง เป็น สส.นครศรีธรรมราช พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมทั้งได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในรัฐบาลชุดล่าสุด

‘บุญถาวร’ เดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ยื่นไฟลิ่งขายหุ้น IPO ชูศักยภาพผู้นำธุรกิจค้าปลีกวัสดุ - อุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร

เมื่อวานนี้ (14 ก.พ.67) บมจ.บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น (บริษัทฯ หรือ ‘BOON’) ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขาย IPO ไม่เกิน 320 ล้านหุ้น เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เสริมความแข็งแกร่งธุรกิจ ชูศักยภาพผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจร ทั้งร้านค้าปลีกสมัยใหม่ และธุรกิจให้เช่าพื้นที่ของกลุ่มบริษัทฯ รวมทั้งรูปแบบแฟรนไชส์ที่ร่วมทุนกับกลุ่ม SCG รวม 50 สาขาในประเทศไทย เวียดนามและกัมพูชา รวมถึงการขายสินค้าโดยตรงแก่ลูกค้าผู้ประกอบการ และช่องทางออนไลน์

นายสิทธิศักดิ์ ทยานุวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BOON เปิดเผยว่า ได้เตรียมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งแก่การดำเนินธุรกิจ โดยกลุ่มบริษัทฯ เป็น ‘ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจร’ ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 มีร้านค้าปลีกสมัยใหม่รวมทั้งสิ้น 50 สาขา ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ (Strategic Location) และมีโอกาสในการเติบโตในอนาคต ประกอบด้วย

1.) ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ของกลุ่มบริษัทฯ 15 สาขา แบ่งเป็น ร้านบุญถาวรที่เป็นรูปแบบ Stand-alone จำนวน 11 สาขา ซึ่งตั้งอยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย มีสินค้าที่หลากหลาย และแบ่งแยกเป็นโซนต่าง ๆ และโครงการ Design Village ซึ่งเป็น Community Living Mall  จำนวน 4 สาขาโดยตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป ช่วยยกระดับการบริการของบุญถาวรให้เป็นมากกว่าร้านค้าวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านที่ผสานจุดเด่นของร้านค้าปลีกและพื้นที่ให้เช่าภายใต้แนวคิด ‘One Stop Happiness ครบจบในที่เดียว’ และ 2.) ร้านค้าปลีกสมัยใหม่รูปแบบแฟรนไชส์ที่ร่วมทุนกับ บริษัทเอสซีจี รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด (กลุ่ม SCG) ภายใต้ชื่อ ‘SCG HOME’ และ ‘SCG Home บุญถาวร’ จำนวน 35 สาขา ในจำนวนนี้อยู่ในพื้นที่ทุกภาคของประเทศไทย 33 สาขา และต่างประเทศอีก 2 สาขา ได้แก่ เวียดนามและกัมพูชา

กลุ่มบริษัทฯ คัดสรรสินค้าที่มีคุณภาพจากทั้งในและต่างประเทศที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ทั้งประเภท ดีไซน์ และคุณภาพที่เจาะกลุ่มลูกค้าทุกระดับและไลฟ์สไตล์ โดยปัจจุบันมีกลุ่มสินค้าที่จำหน่ายใน 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ กระเบื้องและวัสดุปิดผิว เครื่องสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ห้องน้ำที่เกี่ยวข้อง เครื่องครัว โคมไฟและอุปกรณ์ส่องสว่าง และสินค้าอื่น ๆ เกี่ยวกับบ้านและเฟอร์นิเจอร์ ที่จำหน่ายภายใต้ร้านค้าปลีกของกลุ่มบริษัทฯ กว่า 90,000 SKUs ภายใต้แบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ (Private Brand) ที่กลุ่มบริษัทฯ ผลิตเอง และว่าจ้างผู้ผลิตภายนอก และสินค้าภายใต้แบรนด์อื่น ๆ (Market Brand) ทำให้สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์การตกแต่งที่อยู่อาศัยอันหลากหลายของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม ทั้งลูกค้ารายย่อย (B2C) และลูกค้าผู้ประกอบการ (B2B) นอกจากนี้ ยังมีโรงงานผลิตชุดครัวสั่งทำและตู้ชุดครัวสำเร็จรูปของกลุ่มบริษัทฯ มีกำลังการผลิตชุดครัวสั่งทำ 425 ยูนิตต่อเดือน และตู้ชุดครัวสำเร็จรูป 7,000 ตู้ต่อเดือน รวมถึงมีศูนย์กระจายสินค้าทั้งหมด 7 อาคาร ที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อรับและกระจายสินค้าสู่ร้านค้าปลีกของกลุ่มบริษัทฯ ทั่วประเทศ สามารถจัดเก็บสินค้าได้มากกว่า 1 แสนตำแหน่ง บนเนื้อที่มากกว่า 90 ไร่

ขณะเดียวกัน ได้พัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์จากการเล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคที่จะมีแนวโน้มที่จะมีการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ได้แก่ เว็บไซต์ของกลุ่มบริษัทฯ และแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลส อาทิ Shopee, Lazada, NocNoc ฯลฯ โดย ณ 30 กันยายน 2566 มีสมาชิก “บุญถาวร แฟมิลี่” มากกว่า 1,000,000 ราย และมีบริการลูกค้าที่เกี่ยวเนื่องแบบครบวงจร ตั้งแต่การจัดส่งสินค้า การออกแบบสามมิติ รวมถึงบริการติดตั้ง และซ่อมแซม เพื่อมอบประสบการณ์การซื้อสินค้าแบบครบวงจร (One-stop Service) ให้แก่ลูกค้าของกลุ่มบริษัทฯ

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ มุ่งสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันและการเติบโตอย่างมั่นคง โดยใช้จุดแข็งจากการเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านระดับพรีเมียมที่มีส่วนแบ่งการตลาดยอดขายกระเบื้อง ร้อยละ 22.11 และส่วนแบ่งการตลาดยอดขายสุขภัณฑ์ ร้อยละ 33.51 ของประเทศไทยในปี 2565 พร้อมมุ่งเน้นในการขยายสาขาร้านบุญถาวร และปรับปรุงพื้นที่สาขาเชิงกลยุทธ์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง และความสามารถที่จะคว้าโอกาสทางธุรกิจจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและเมกะเทรนด์ที่สำคัญ พร้อมทั้งประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนสินค้าและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพการดำเนินงาน และประสบการณ์ของทีมผู้บริหารมืออาชีพในธุรกิจวัสดุอุปกรณ์และของตกแต่งบ้านแบบครบวงจร

“เรามีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจกว่า 40 ปี พร้อมพนักงานและผู้บริหารมืออาชีพ ทำให้สามารถจัดหาสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าภายใต้แนวคิด ‘Ideas Come Alive’ และมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็น ‘Live Good Ecosystem’ มุ่งพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านสินค้าและนวัตกรรมการอยู่อาศัยเพื่อโลกที่ดีขึ้นและสังคมที่ยั่งยืน ส่งผลให้เราเป็นหนึ่งในผู้นำ และศูนย์รวมสินค้าวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านอย่างครบวงจรอันดับต้น ๆ ในใจของลูกค้า โดยมีส่วนแบ่งการตลาดยอดขายกระเบื้อง 22.1%  และมีส่วนแบ่งการตลาดยอดขายสุขภัณฑ์ 33.5%1 ในปี 2565 ซึ่งทั้งสองผลิตภัณฑ์เป็นผลิตภัณฑ์ที่สำคัญหลักของกลุ่มบริษัทฯ” นายสิทธิศักดิ์ กล่าว

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม กล่าวว่า บริษัท บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 1,280,000,000 บาท คิดเป็นจำนวน 1,280,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.0 บาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 320,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด วัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจ ชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ ตลอดจนเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม กล่าวว่า บริษัท บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจรที่มีศักยภาพเติบโตสูง จากจุดเด่นด้านความหลากหลายของสินค้าและบริการ มีช่องทางจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั้งหน้าร้านค้าปลีกทั่วทุกภาคของประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา รวมทั้งการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ครอบคลุมแพลตฟอร์มต่าง ๆ รวมถึงมีกลุ่ม SCG เป็นพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งแก่การดำเนินธุรกิจและแผนงานเติบโตในอนาคต

ASEAN Foundation ผนึกกำลัง 'TikTok-SAP' เปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการ 'ASEAN Social Enterprises Development Programme: SEDP 3.0'

(13 ก.พ. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความถึงโครงการที่น่าสนใจเพื่อ SME ระบุว่า...

โอกาสสำหรับการพัฒนา SME สู่ SE: Social Enterprises

ASEAN Foundation ร่วมกับ TikTok และ SAP เปิดรับสมัครผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ 'ASEAN Social Enterprises Development Programme: SEDP 3.0'

20 ผู้ประกอบการจาก 10 ประเทศอาเซียน

ร่วม อบรมทั้ง Online และ On-site, ร่วมเรียนรู้จาก Mentors โดย SAP และ TikTok, เข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ และแหล่งเงินทุน  รวมทั้งการประกวดโครงการวิสาหกิจเพื่อสังคมชิงเงินทุนเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจกว่า 40,000 USD (1.43 ล้านบาท)

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ bit.ly/SEDP3_Info
สมัครเข้าร่วมโครงการที่ bit.ly/ASEANSEDP3

Calling all social enterprises in ASEAN to join the ASEAN Social Enterprise Development Programme 3.0 🥳 Embark on a transformative journey of your social enterprise’s growth by participating in tailored training and mentorship with experts, networking with investors and government and standing a chance to win seed grants of up to 40,000 USD 💸💰 

30 social enterprises from ASEAN countries will be selected to participate in this transformative programme. Secure your spot by applying through bit.ly/ASEANSEDP3 by 31 March 2024. 

Explore bit.ly/SEDP3_Info for further details ✅ 
Stay connected with us to follow the journey of #ASEANSEDP3  
#BeAsean #TikTokForGood #SAP4Good #ASEANSocialEnterprise #WeAreASEAN

‘รมว.ปุ้ย’ สั่ง ‘สมอ.’ เร่งแก้ไข-ปรับปรุง ‘สุราพื้นบ้าน’ เน้นคุณภาพให้ได้มาตรฐาน หนุนเป็น Soft Power

(12 ก.พ.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย โดยให้ปรับโครงสร้างภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงสุราชุมชน เพื่อส่งเสริมให้คนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ใช้จ่ายและซื้อสินค้าภายในประเทศมากขึ้น ทั้งนี้ ได้มีการปรับอัตราภาษีสุราพื้นบ้าน เช่น กระแช่ สาโท สุราแช่พื้นบ้านอื่น ๆ และสุราแช่ที่ใช้วัตถุดิบเป็นข้าวที่มีแรงแอลกอฮอล์ไม่เกิน 7 ดีกรี เป็น 0 % รวมทั้งให้กรมสรรพสามิตทบทวนเรื่องกฎหมายที่ช่วยสนับสนุนสุราพื้นบ้านด้วย

“นโยบายดังกล่าวถือเป็นการสร้างโอกาสในการขายสินค้าและสร้างรายได้ให้แก่อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก และผู้ผลิตชุมชนที่ผลิตสุราพื้นบ้าน ดิฉันจึงได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งแก้ไขปรับปรุงมาตรฐานสุราพื้นบ้าน เพื่อยกระดับสินค้าชุมชนให้มีคุณภาพได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยว สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ผลิตชุมชน พร้อมทั้งผลักดันให้ผลิตภัณฑ์สุรากลั่นชุมชนและสุราแช่พื้นบ้านเป็นซอฟท์พาวเวอร์ เพื่อเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์การเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว หรือเป็นศูนย์กลางด้านร้านอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวไทย เกิดการกระจายรายได้ และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในระดับชุมชนอีกด้วย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน สมอ. มีมาตรฐานสุรากลั่นชุมชนและสุราแช่พื้นบ้าน ที่เป็นมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) จำนวน 6 มาตรฐาน ได้แก่ สุรากลั่นชุมชน สาโท ไวน์ผลไม้ ไวน์สมุนไพร อุ และ เมรัย โดยมีผู้ผลิตชุมชนได้รับการรับรองมาตรฐาน มผช. แล้ว จำนวน 66 ราย กระจายอยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ แต่เนื่องจากมาตรฐานดังกล่าวได้ประกาศใช้มาระยะหนึ่งแล้ว สมอ. จึงต้องดำเนินการทบทวนและปรับปรุงให้ทันสมัยสอดคล้องกับเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบัน และสอดคล้องตามประกาศของกรมสรรพสามิต รวมทั้งตามมาตรฐาน มอก. สุรากลั่นและสุราแช่ ที่ปรับแก้ไขมาตรฐานไปก่อนหน้านี้ด้วย โดยมีสาระสำคัญของการแก้ไขมาตรฐาน เช่น  มาตรฐานสุรากลั่นชุมชน แก้ไขข้อกำหนดวัตถุเจือปนอาหาร กรดเบนโซอิก ซึ่งเป็นวัตถุกันเสีย จากเดิม ‘ไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อลิตร’ แก้เป็น ‘ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อลิตร’ มาตรฐานไวน์สมุนไพร แก้ไขข้อกำหนดสารปนเปื้อน ตะกั่ว จากเดิม ‘ไม่เกิน 0.2 ไมโครกรัมต่อลิตร’ แก้เป็น ‘ไม่เกิน 0.1 ไมโครกรัมต่อลิตร’ มาตรฐานเมรัย แก้ไขเกณฑ์ข้อกำหนดสารเอทิลคาร์บาเมต (กรณีผสมสุรากลั่น) จากเดิม ‘ไม่เกิน 400 ไมโครกรัมต่อลิตร’ แก้เป็น ‘ไม่เกิน 200 ไมโครกรัมต่อลิตร’ เนื่องจากสารดังกล่าวหากมีมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ เป็นต้น

นอกจากนี้ สมอ. ยังได้แก้ไขข้อกำหนดในด้านอื่น ๆ ด้วย เพื่อให้ประชาชนสามารถบริโภคสุรากลั่นชุมชนและสุราแช่พื้นบ้านได้อย่างปลอดภัย โดยทั้ง 6 มาตรฐานได้แก้ไขแล้วเสร็จ พร้อมประกาศใช้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 นี้ เพื่อให้ผู้ผลิตชุมชนที่ผลิตสุรากลั่นชุมชนและสุราแช่พื้นบ้าน สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการผลิต เพื่อยกระดับคุณภาพสินค้าให้มีความปลอดภัยได้มาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคได้ต่อไป เลขาธิการ สมอ. กล่าว

‘อ.พงษ์ภาณุ’ กระตุ้นสูตรความยิ่งใหญ่กีฬาไทย อาจต้องใช้เงินภาคเอกชน ‘อุดหนุน-พาสู่ฝัน’

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'กีฬาไทย ต้องเป็นมืออาชีพและใช้เงินภาคเอกชน' เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 67 โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า…

ปี 2567 จะเป็นปีที่วงการกีฬาโลกและกีฬาไทยมีความคึกคักเป็นพิเศษ เพราะจะมีมหกรรมกีฬาโอลิมปิค 2024 ที่กรุงปารีส (Paris Olympics) ฟุตบอลยูโร 2024 การแข่งขัน Super Bowl ครั้งที่ 58 ที่ Las Vegas อาทิตย์นี้การเข้ามามีบทบทบาทในเวทีกีฬาโลกของซาอุดีอาระเบีย

ในขณะที่วงการฟุตบอลของไทยก็ได้นายกสมาคมคนใหม่ (มาดามแป้ง) มารับภาระในการพัฒนากีฬาฟุตบอล ซึ่งกำลังตกต่ำเป็นประวัติการณ์

น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่วงการกีฬาไทยจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์และความสำเร็จของประเทศอื่น วันนี้ต้องยอมรับว่ากีฬาไทยไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากรการเงิน โดยเฉพาะเงินจากภาครัฐอีกต่อไป เมื่อปี 2558 รัฐบาลได้จัดสรรเงินภาษีบาป (ภาษีสุราและยาสูบ) ปีละกว่า 4,000 ล้านบาท อย่างต่อเนื่องมาเข้ากองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ทำให้มีเงินเพียงพอที่จะสามารถจัดเงินอุดหนุนให้สมาคมกีฬาต่าง ๆ อย่างพอเพียง

แต่จนแล้วจนรอดวงการกีฬาไทยก็ยังไม่พัฒนาไปถึงไหน ผลงานนักกีฬาไทยในเวทีระดับโลกและระดับภูมิภาคยังไม่เป็นที่น่าพอใจ แม้ว่ารัฐบาลจะใส่เงินลงไปค่อนข้างมากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคแต่ผลงานก็ยังสู้ไม่ได้แม้แต่ประเทศเวียดนาม ซึ่งใช้งบประมาณน้อยกว่ามาก กีฬาไทยยังพึ่งงบประมาณภาครัฐเป็นหลัก และแม้ว่าจะได้รับเงินจากภาษีอากรมาค่อนข้างมาก แต่การใช้เงินขาดประสิทธิภาพ เงินงบประมาณส่วนใหญ่หมดไปกับค่าเดินทางไปต่างประเทศของนักกีฬาและบุคคลติดสอยห้อยตามเป็นจำนวนมาก การใช้เงินของสมาคมกีฬาขาดความโปร่งใสและไม่มีการตรวจสอบ กองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติไม่มีประสิทธิภาพในการอนุมัติและบริหารการเบิกจ่ายเงิน ซึ่งสะท้อนจากการร้องเรียนของสมาคมกีฬาเป็นระยะ ๆ

ในประเทศที่พัฒนาแล้ว กีฬากลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่สามารถสร้างรายได้มหาศาล และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาภาครัฐและเป็นภาระต่อผู้เสียภาษี กีฬาอาชีพหลายชนิด อาทิเช่น ฟุตบอล อเมริกันฟุตบอล กอล์ฟ เป็นธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อยกว่าธุรกิจบันเทิงอื่น และหลังจากซาอุดีอาระเบียเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เงินจากปิโตรเลียมได้มีส่วนกระตุ้นให้ทีม/สโมสร และผู้เล่นมีรายได้และค่าตอบแทนสูงขึ้นเป็นทวีคูณ ทั้งในรูปของค่าสิทธิประโยชน์ (Sponsorships) ค่าสิทธิในการถ่ายทอด (Broadcasting Rights) และค่าตัวนักกีฬา

สมาคมฟุตบอลไทยในอดีตประสบความสําเร็จเป็นอย่างสูง เรามีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถมาร่วมพัฒนาฟุตบอลไทย คงจะไม่ยุติธรรมนักถ้าจะไม่เอ่ยชื่อคุณวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคม และบริษัทโตโยต้าประเทศไทย ฟุตบอลไทยได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างขนานใหญ่จากในอดีตที่เป็นแค่ทีมในสังกัดองค์กรมาเป็นสโมสรที่เป็นนิติบุคคล ไทยลีกได้พัฒนาเป็นลีกฟุตบอลชั้นนำของเอเชียไม่แพ้ J League ของญี่ปุ่น รายได้จากการประมูลสิทธิการถ่ายทอดเกมส์ฟุตบอลของไทยลีกมีจำนวนสูงถึงปีละกว่าพันล้านบาท การท่องเที่ยวเชิงกีฬาสร้างรายได้ให้กับประเทศจากการเดินทางติดตามเชียร์ของแฟนคลับ

แทบไม่น่าเชื่อว่าความสำเร็จเหล่านี้ได้หายไปจากวงการกีฬาไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามานี้ วันนี้จำเป็นต้องสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐกับเอกชนเพื่อสร้างกีฬาไทยให้กลับมายิ่งใหญ่ และโดยเฉพาะกีฬาฟุตบอล ภายใต้นายกสมาคมคนใหม่ ที่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะนำหลักการและบทเรียนที่ในอดีตกลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อให้ความฝันบอลไทยได้ไปบอลโลก กลายเป็นความจริงเสียที

ต่างชาติแห่เข้าไทยกว่า 1 แสนคนในวันเดียว รับ ‘ตรุษจีน-ฟรีวีซ่า’ คาด ยอดสะสมปี 67 แตะ 4 ล้านคน ‘นทท.จีน’ ครองอันดับหนึ่ง

(10 ก.พ. 67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยช่วงตรุษจีน ซึ่งมีตัวเลขเดินทางเข้าไทยวันเดียวมากกว่า 1 แสนคน (ยอดของวันที่ 8 ก.พ.) ทำให้นักท่องเที่ยวยอดสะสมของปี 2567 เกือบแตะ 4 ล้านคน (เดินทางเข้าไทยแล้วมากกว่า 3,963,744 ล้านคน)

โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนมากที่สุด ตามมาด้วยชาวมาเลเซีย นับเป็นผลจากมิตรภาพ ความร่วมมือ และการดำเนินนโยบายของบนายกรัฐมนตรีที่เห็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรม

จากการสำรวจเชิงลึกของบริษัทจัดจำหน่ายการเดินทางระดับโลก Dida Travel ของจีน พบว่า ช่วงเทศกาลตรุษจีนของชาวจีนปีนี้ ระหว่างวันที่ 10-17 ก.พ. 2567 มีจำนวนการจองโรงแรมในไทยเพิ่มขึ้นถึงกว่า 243% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยไทยยังเป็น 1 ในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักเดินทางชาวจีนขาออกในช่วงเวลานี้

“คาดว่าน่าจะเป็นผลพวงจากความต้องการเดินทาง ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาด และจากผลมาตรการวีซ่าฟรี (Visa Free) ไทย - จีน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป” นายชัยกล่าว

นอกจากนี้ จากการดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยมิตรภาพ ความสัมพันธ์ และความร่วมมือที่ใกล้ชิดระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ที่ได้เห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกันภายใต้แนวคิด ‘หกประเทศ หนึ่งจุดหมาย’ (ไทย, กัมพูชา, มาเลเซีย, เวียดนาม, ลาว และเมียนมา) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกันในภูมิภาค สร้างหมุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวให้เป็น ‘One Destination’ ทำให้มีนักท่องเที่ยวจากอาเซียน โดยเฉพาะมาเลเซียเดินทางมาไทยจำนวนมาก

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีดำเนินนโยบายเพื่อกระตุ้นรายได้ประเทศ อำนวยความสะดวกเพื่อเพิ่มตัวเลขนักท่องเที่ยว กระตุ้นอุตสาหกรรม กิจกรรมด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งเดินทางนำเสนอนโยบายปรับนโยบายดึงดูดการลงทุน หาตลาดเพิ่มมูลค่าการค้า รวมทั้งดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศด้วยความเป็นมิตรกับทุกประเทศ เพิ่มโอกาส เพื่อเพิ่มเงินหมุนเวียนในประเทศ ตลอดช่วงเวลาของการรับตำแหน่งที่ผ่านมา

“เห็นผลเป็นตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เกิดการคาดการณ์เม็ดเงินเข้าประเทศมหาศาลนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งส่วนที่เห็นดอกออกผล ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า ยังมีอีกหลายส่วนของการดำเนินนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่แน่นอนว่าจะนำมาซึ่งการพัฒนา ฟื้นฟูเศรษฐกิจ กระจายรายได้สู่พี่น้องประชาชนไทย” นายชัยกล่าว

‘สุริยะ’ ลุย ‘ทสภ.’ กำชับทุกหน่วยเตรียมพร้อมช่วงตรุษจีน เน้นย้ำ!! การให้บริการ นทท.ต้องสะดวก-รวดเร็ว-ปลอดภัย

(10 ก.พ. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ได้เดินทางตรวจติดตามความคืบหน้า ตามข้อสั่งการในการเตรียมพร้อมการให้บริการผู้โดยสาร ในช่วงเทศกาลตรุษจีน และการแก้ไขปัญหาความหนาแน่นในการรอคิวตรวจหนังสือเดินทาง รองรับผู้โดยสารช่วงเทศกาลตรุษจีน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)

โดยในช่วงเทศกาลตรุษจีน 2567 ระหว่างวันที่ 4-16 กุมภาพันธ์ 2567 คาดว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงได้สั่งการให้ ทอท. ท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในทุกมิติ โดยให้มีการจัดเจ้าหน้าที่คอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การบริการผู้โดยสารในภาพรวมเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว

ทั้งนี้ จากที่ได้เริ่ม มาตรการ Visa Free ขณะนี้ได้มีเที่ยวบินขาเข้าสูงถึง 1,040 เที่ยวต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งมั่นใจว่าประเทศไทยจะสามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ทุกหน่วยงาน เตรียมแผนเผชิญเหตุกรณีเกิดเหตุขัดข้อง และให้ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ใช้บริการอย่างเต็มประสิทธิภาพ รองรับและสนับสนุนนโยบายการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของรัฐบาล

พร้อมกันนี้ยังได้ให้ทาง ตม.2 เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ให้บริการจุดตรวจคนเข้าเมืองทุกช่องบริการให้เพียงพอในการรองรับการใช้บริการผู้โดยสารในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยได้มีการเสริมเจ้าหน้าที่เวรปฏิบัติงานนอกเวลา และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ตม. จากจังหวัดต่าง ๆ เข้ามาช่วยปฏิบัติงานที่ ทสภ. รวมถึงยังได้มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกหน่วยปฏิบัติงานมาเป็นเจ้าหน้าที่ ตม.2 กว่า 60 นาย นอกจากนี้ ตม.2 ได้มีการบรรจุเจ้าหน้าที่ใหม่แล้วจำนวน 200 อัตรา ขณะนี้อยู่ในระหว่างการอบรมภาคทฤษฎีคาดว่าจะสามารถ เริ่มปฏิบัติงานได้จริงตั้งแต่ 1 มีนาคมนี้ รวมทั้งยังมีแผนที่จะขอบรรจุอัตรากำลังเพิ่มอีก 400 อัตรา รวมเป็น 600 อัตราในอนาคต

รวมถึงให้ตรวจสอบความพร้อมของช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ หรือ ‘Automatic channels’ โดยวางมาตรการในการป้องกันการขัดข้องของระบบ Biometric พร้อมให้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของระบบตลอด 24 ชม. รวมถึงได้มีการเปลี่ยนเครื่องลูกข่ายหน้าช่องตรวจทุกช่องทั้งขาเข้า ขาออก ทำให้ระบบการทำงานดีขึ้น และในระยะยาวทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) จะได้จัดหาระบบใหม่ทดแทนเป็นระบบเดียว คือ ‘ระบบ TIS’ (Thailand Immigration System) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจลงตราซึ่งจะทำให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 นั้น เตรียมเปิดใช้งานได้ในเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานจะเพิ่มศักยภาพในการรองรับเที่ยวบินของ ทสภ. จากเดิม 67 เที่ยวบิน/ชั่วโมง เป็น 94 เที่ยวบิน/ชั่วโมง ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพของท่าอากาศยานหลักของไทยในการรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสารเพิ่มมากขึ้น สนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยตามแผนยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาคหรือ Aviation Upgrade ของรัฐบาลเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการบินของภูมิภาค

“ในช่วง 20 ปีก่อน สนามบินสุวรรณภูมิ เคยติดอันดับ 7 ของโลก แต่ในปัจจุบันนี้ตกไปอยู่อันดับที่ 76 ของโลก สาเหตุจากการถดถอยของการให้บริการ ดังนั้นผมได้ให้นโยบายต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงแก้ไขต้องเร่งปรับเปลี่ยนโดยเร็ว เพื่อให้สนามบินสุวรรณภูมิ เลื่อนอันดับขึ้นมาติด 1 ใน 20 ของโลกให้ได้” นายสุริยะ กล่าว

สำหรับการเปิดใช้อาคารเทียบเครื่องบินรอง หลังที่ 1 หรือ อาคาร SAT 1 ขณะนี้มีสายการบินหลายสายได้ย้ายไปให้บริการที่อาคาร SAT 1 เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันมีเที่ยวบินเฉลี่ยต่อวันกว่า 86 เที่ยวบิน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ทั้งนี้คาดว่าภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์จะมีปริมาณเที่ยวบินเพิ่มขึ้นเป็น 112 เที่ยวบิน และจะมีสายการบินมาใช้บริการเพิ่มขี้นเป็น 16 สายการบินจากเดิม 13 สายการบิน

‘รมว.ปุ้ย’ เยือนญี่ปุ่น กระชับความร่วมมือ ‘METI’ ลุ้น 800 เอกชนญี่ปุ่นลงทุนอุตฯ ฮาลาลในไทย

เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 67 ที่นครโตเกียว นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นำทีมคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่น มุ่งต่อยอดความร่วมมือแลกเปลี่ยนกรอบการทำงาน (Cooperation Framework) กับกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น (METI) มุ่งเน้นการดำเนินงานร่วมกัน พร้อมเข้าร่วมประชุมหารือกับองค์กรด้านการส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานฮาลาล ของประเทศญี่ปุ่น (JAHADEP) เพื่อชักจูงการลงทุนอุตสาหกรรมฮาลาลในประเทศไทย คาดว่ามีนักลงทุนญี่ปุ่นสนใจร่วมลงทุนราว 800 ราย และจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท

นางสาวพิมพ์ภัทรา เปิดเผยว่า ประเทศไทยและญี่ปุ่น ถือเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญของกันและกันมาอย่างยาวนาน และปัจจุบันญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นประเทศที่มีสัดส่วนมูลค่าการลงทุนในประเทศเป็นอันดับ 1 ดังนั้น จึงต้องการเน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือระหว่างกัน ในการพัฒนาอุตสาหกรรมซึ่งทั้งสองประเทศ เพื่อรองรับและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจจากกระแสการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรม เป้าหมายที่กำลังอยู่ในความสนใจของผู้คนทั่วโลก อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และอุตสาหกรรมการแพทย์และการดูแลสุขภาพ 

ล่าสุด เพื่อเป็นการร่วมกันขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้เติบโตและก้าวทันยุคสมัย กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงนามความร่วมมือระหว่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง มีการแลกเปลี่ยนกรอบการทำงานระหว่างกัน 2 ฉบับ ในปี 2018 และ 2022 ที่มุ่งเน้นการยกระดับภาคอุตสาหกรรมสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน ให้กับภาคอุตสาหกรรมของไทย และต่อยอดการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย รวมถึงกระตุ้นการเติบโต และสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เข้มแข็งแก่ภาคอุตสาหกรรมไทย – ญี่ปุ่น

โดยการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ รมว.อุตสาหกรรมและคณะ ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายไซโตะ เคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม เพื่อหารือแนวทางการต่อยอดความร่วมมือ พร้อมแลกเปลี่ยนกรอบการทำงาน ฉบับใหม่ระหว่างกัน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาใน 4 ประเด็น ประกอบด้วย...

1.) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอุตสาหกรรมการผลิต เพื่อรองรับการขยายตัวในภาคการผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ

2.) การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งรวมทั้งในระหว่างกระบวนการผลิตและในนิคมอุตสาหกรรม

3.) การเสริมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวของห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมการผลิต รวมถึงการส่งเสริมมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการลดปริมาณของเสียหรือชิ้นส่วนจากยานยนต์ (End-of –Life Vehicle)

และ 4.) การพัฒนาพลังงานสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้ไทยยังคงเป็นฐานการผลิตและส่งออกยานยนต์สมัยใหม่แห่งภูมิภาค

พร้อมกันนี้ ยังได้หารือกับ 2 องค์กรพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ องค์การเพื่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและนวัตกรรมภูมิภาคแห่งประเทศญี่ปุ่น (SMRJ) มุ่งเน้นการเชื่อมโยงและขยายเครือข่ายผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย - ญี่ปุ่น รวมทั้งยกระดับการบ่มเพาะ พัฒนาสร้างเครือข่ายสตาร์ตอัป โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเชิงลึก การแพทย์ สิ่งแวดล้อม และอวกาศ นอกจากนี้ ยังได้เข้าหารือกับองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น (NEDO) 

โดยร่วมกันวางกรอบแนวทางความร่วมมือไว้ 4 กิจกรรม คือ…

1.) โครงการการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
2.) โครงการพัฒนารถบัส รถบรรทุก และรถฟอล์คลิฟต์ ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนเพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมตามนิคมอุตสาหกรรม
3.) โครงการ CCUS หรือการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
และ 4.) โครงการรีไซเคิลมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า

ขณะเดียวกัน ยังได้หารือกับองค์กรด้านการส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานฮาลาลของประเทศญี่ปุ่น (JAHADEP) เพื่อการขยายความร่วมมือกับอุตสาหกรรมฮาลาลของญี่ปุ่นให้เกิดการลงทุนในประเทศไทยและใช้ประโยชน์จากความอุดมสมบูรณ์ด้านวัตถุดิบของไทย เพื่อเป็นฐานการผลิตและส่งออกอาหารญี่ปุ่นฮาลาล ไปสู่ตลาดที่มีศักยภาพ ตามแนวคิดครัวไทยสู่ครัวโลก คาดว่าจะมีเอกชนสนใจมาลงทุนในประเทศไม่ต่ำกว่า 800 ราย และจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท 

ด้าน นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ‘ดีพร้อม’ ในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมระหว่างไทยและญี่ปุ่น ด้วยการต่อยอดและขยายผลกรอบการทำงาน (Framework) ฉบับใหม่ ระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม เพื่อเป็นการขยายความร่วมมือและสร้างโอกาสให้กับอุตสาหกรรมไทยภายังใต้แนวนโยบาย DIPROM Connection 

“ความร่วมมือในครั้งนี้ เน้นให้อุตสาหกรรมปรับตัวเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงในบริบทต่างๆ อาทิ การพัฒนาองค์ความรู้ของบุคลากรผู้ปฏิบัติงานผ่านการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ต่างๆ เช่น Robotic, IoT, Automation เป็นต้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตและการจัดการ รวมทั้งการยกระดับกระบวนการผลิตทั้งระบบสู่แนวทางอุตสาหกรรมสีเขียว ทั้งในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และนำกลับมาใช้ใหม่ และการพัฒนาพลังงานทางเลือกสำหรับยานยนต์สมัยใหม่ การรีไซเคิล - อัปไซเคิล วัสดุต่างๆ อย่างครบวงจร โดยเฉพาะซากยานยนต์ที่มีเพิ่มขึ้นโดยตลอด ซึ่งมาตรการเหล่านี้เป็นไปตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน และเปรียบได้กับบัตรผ่านทางสู่เวทีโลกในอนาคต” นายภาสกร กล่าวทิ้งท้าย

‘KTC’ ร่วมส่งท้ายมาตรการ ‘Easy E-Receipt’ มอบสิทธิพิเศษ เอาใจนักช็อปออนไลน์สินค้าไอที

เคทีซีมอบสิทธิพิเศษแก่สมาชิกบัตรเคทีซี ที่ช็อปสินค้าไอทีผ่านร้านค้าพันธมิตรออนไลน์ชั้นนำ รับสิทธิพิเศษลดหย่อนภาษีจากการเข้าร่วมมาตรการ ‘อีซี่ อี-รีซีท’ (Easy E-Receipt) ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2567 เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิตเคทีซี พร้อมรับความคุ้มค่า 2 ต่อ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566 - 29 กุมภาพันธ์ 2567

(9 ก.พ. 67) นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากภาครัฐออกมาตรการ ‘อีซี่ อี-รีซีท’ เพื่อให้ประชาชนสามารถนำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์มาลดหย่อนภาษีออนไลน์สูงสุดถึง 50,000 บาท ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 15 กุมภาพันธ์ 2567 พบว่า การใช้บัตรเครดิตเคทีซีในการซื้อสินค้าในหมวดไอทีเพิ่มขึ้น 10% ซึ่งน่าจะเป็นผลจากมาตรการดังกล่าวที่สอดรับกับความต้องการของประชาชน รวมถึงโปรโมชันที่สนับสนุนให้สมาชิกได้รับความคุ้มค่าจากสิทธิพิเศษควบคู่กันไปถึง 2 คุ้ม 

-คุ้มที่ 1 ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 10 เดือน พร้อมรับเครดิตเงินคืน/ส่วนลด เมื่อมียอดผ่อน
ชำระ 3 เดือนขึ้นไป 

-คุ้มที่ 2 ใช้คะแนน KTC FOREVER ตั้งแต่ 1,000 คะแนนขึ้นไป เพื่อแลกรับเครดิตเงินคืน เพิ่มสูงสุดอีก 20% เมื่อชำระเต็มจำนวนหรือผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตเคทีซีตามยอดใช้จ่ายที่กำหนด ณ ร้านค้าไอทีชั้นนำที่ร่วมรายการ ได้แก่ Advice, J.I.B., IT City, Asus, HP, Lenovo, Acer, BaNANA, Studio7, iStudio by Copperwired, .life, iStudio by SPVI และ iStudio by Uficon หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ktc.promo/itonline

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE 02 123 5000 สำหรับผู้สนใจสมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card หรือติดต่อ KTC PHONE โทร. 0-2123-5000 หรือศูนย์บริการสมาชิก ‘เคทีซี ทัช’ ทุกสาขาทั่วประเทศ 

ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top