Friday, 13 December 2024
THE STATES TIMES TEAM

Netflix คลิกอินเดีย เคลียร์ทาง "ตลาดใหม่"

เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้ Netflix สตรีมมิ่งคอนเท้นท์รายใหญ่จากอเมริกา กำลังให้ความสนใจกับการทำตลาดในพื้นที่เอเชียมากขึ้น

หลังใช้เงินลงทุนจำนวนหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ ไล่ซื้อลิขสิทธิ์ พร้อมสร้าง Original Content เฉพาะขึ้นมา เพื่อไปไล่ออกอากาศภายในประเทศกลุ่มเอเชียอย่างต่อเนื่อง

ถ้าดูจากรายงานของ Netflix ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ จะพบว่าตัวเลขผู้ใช้งานที่เติบโตขึ้น "เกือบครึ่ง" มาจากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เรียกว่าเป็นสัดส่วนการเติบโตของผู้ใช้งานที่มากที่สุด นับจากที่ Netflix ขยายฐานผู้ใช้ไปตลาดนอกอเมริกาตั้งแต่ปี 2016

นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Netflix หันมาเคลียร์ทางสู่ตลาดนี้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตามประเทศในเอเชียที่ Netflix กำลังสนใจอย่างมากดูจะเป็น "อินเดีย"

เพราะหากมองในเชิงสถิติแล้ว อินเดียมีจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตบนมือถือถึง 570 ล้านราย อีกทั้งยังมีอัตราการเติบโตของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตปีละ 13%

ทว่ากำลังซื้อของคนอินเดีย อาจจะยังมีไม่มากนัก Netflix จึงออกแพ็คเกจบนมือถือในราคาต่ำกว่า 5 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 152 บาท) (ไทย 99 บาท) ถูกกว่าที่อเมริกา ซึ่งมีราคาเริ่มต้น 14 ดอลลาร์สหรัฐ (426 บาท)

นอกจากนี้ยังมีการลงทุนสร้างคอนเท้นท์เพื่อคนอินเดียเฉพาะราว 40 เรื่อง และซื้อลิขสิทธิ์ต่างๆ ด้วยมูลค่าการลงทุน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.21 หมื่นล้านบาท) ตลอดช่วงปี 2019 - 2020 มานี้

แต่ก็ไม่ใช่แค่อินเดียเท่านั้น ในประเทศเอเชียอื่นๆ ก็มีแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เช่น...

- การสร้าง Original Content เฉพาะจำนวน 200 เรื่อง เพื่อเจาะเอเชีย

- 70 จาก 200 เรื่อง จะเป็นคอนเทนท์แบบ Live Action และ Anime จากประเทศเกาหลีใต้

- ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่น่าสนใจเช่นกัน ก็กำลังทยอยเพิ่มภาพยนตร์เสริมเข้าไปอีกกว่า 500 เรื่อง

"Tony Zameczkowski" ผู้บริหารด้านการพัฒนาธุรกิจของ Netflix เล่าว่า "Netflix จะทำคอนเท้นท์ให้เหมาะสมกับแต่ละภูมิภาคและให้ความสำคัญกับการทำเมนู คำบรรยาย และพากษ์เสียงในแต่ละภาษา เช่น ภาษาฮินดี มาเลย์ เกาหลี ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และไทย อีกด้วย"

.

ที่มา: https://www.cnbc.com/2020/11/09/netflix-nflx-its-strategy-in-asian-markets-like-india-indonesia.html

.

ที่มาภาพ: https://officechai.com/startups/netflix-spend-rs-3000-crore-create-content-india-roughly-100-bollywood-movies/

วัคซีนมา พา ZOOM เซ็ง

หลังข่าวสะพัดเกี่ยวกับผลทดสอบวัคซีนต้านโควิด19 ของ Pfizer (บริษัท ยา ไฟเซอร์) ในเฟส 3 ได้ประสบผลสำเร็จมากกว่า 90%

ก็ทำให้วิกฤติของประเทศที่กำลังเจอพายุโควิด-19 แบบหาทางหยุดไม่อยู่ เริ่มดูมีหวังขึ้น

และทันทีที่ข่าวนี้เล็ดหลุดออกมา ก็ส่งแรงดีดให้ตลาดหุ้นในสหรัฐฯ รวมถึงอีกหลาย ๆ ตลาดหุ้นทั่วโลกพุ่งตัวสูงขึ้น

แม้จะเป็นข่าวดีของมนุษยชาติ แต่กลับกันข่าวนี้กำลังกลายเป็นวิกฤติและไม่ส่งผลดีต่อต่อหุ้นของบริการวิดีโอประชุมออนไลน์ที่มาแรงแห่งยุคโควิดอย่าง "ZOOM" สักเท่าไรนัก

เพราะหลังจากข่าวความคืบหน้าของ Pfizer ออกมา ก็ทำให้มูลค่าหุ้นของ Zoom ดิ่งลดลงถึง 20%

เนื่องจากนักลงทุนมองว่า วัคซีนต้านโควิด-19 จะทำให้ผู้คนจะกลับไปทำงานในออฟฟิศได้แบบเดิมเสมือนก่อนหน้ายุคโควิด-19 ระบาดหนัก

และนั่นก็หมายความว่า Zoom จะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปในโลกของการทำงาน

อย่างไรก็ตาม ZOOM ก็กอบโกยโอกาสจากสงครามเชื้อไวรัสสยองในครั้งนี้ไปได้มาก เพราะราคาหุ้นจนถึงวันนี้ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 650% ไปแล้ว

พร้อมทั้งดันมูลค่าตลาด (Market Cap) ของ ZOOM ที่มีการประเมินกันก่อนโควิด-19 ระบาดจาก 9.2 พันล้านดอลลาร์ พุ่งมาอยู่ที่ 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้

ฉะนั้น หาก 20% ที่หายไป ถูกประคองไว้ได้ด้วยกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ๆ ก็อาจจะไม่ก่อให้เกิดความเลวร้ายต่อผู้ก่อตั้งอย่าง Eric Yuan (อีริค หยวน) กระมัง...

.

ที่มา – Business Insider

https://markets.businessinsider.com/news/stocks/zoom-video-stock-price-pfizer-coronavirus-vaccine-success-telework-zm-2020-11-1029781479

พรุ่งนี้มีหนาววววว อากาศต่ำสุด 21 องศา

กำลังจะนอน ดันกดมือถือดูพยากรณ์อากาศวันพรุ่งเน้
ป๊าดดดด! ช่วงเช้าตรู่วันพรุ่ง อุณหภูมิลดต่ำสุด 21 องศา!!
ใครอยากสัมผัสความหนาวหงึกๆ โปรดตื่นแต่เช้า ได้หนาวบรื๋อแน่แม่เอ๊ยยย!

ฝุ่นมาล่ะจ้า! พร้อมรับมือกันยัง?

อะไรเอ่ย? ไม่ใช่วิญญาณ แต่รู้ว่ามีอยู่จริง!

อ๋อ ฝุ่นไงจะอะไรล่ะ เรียกทางการสักหน่อย ก็คือพี่ PM 2.5 นี่เอง ว่ากันว่า พอหมดฤดูฝนปุ๊บ ช่วงที่อากาศเริ่มเปลี่ยนผ่าน ช่วงนี้แหละที่ ‘พี่ฝุ่น’ จะมาเยือนมากมาย

โดยเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา รัฐบาลนำโดย นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวเรื่องการเตรียมความพร้อม ‘การรับมือปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5’ โดยมีแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองแบบบูรณาการทุกภาคส่วน ดังนี้

1.) เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ พร้อมประสานข้อมูลกับกรมควบคุมมลพิษ และ Gistda (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) )
.
รวมทั้งมีการกำหนดสถานที่พักชั่วคราว หรือ Safety Zone แจ้งเตือนแนะนำข้อปฏิบัติตนแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว ให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และสวมใส่หน้ากากอนามัย

2.) ป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง เข้มงวดตรวจจับรถควันดำ เร่งระบายการจราจรไม่ให้ติดขัด ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ตรวจสภาพ/บำรุงรักษายานพาหนะขนส่งสาธารณะ ทำความสะอาดพื้นผิวถนน

รวมทั้งควบคุมการเผาในที่โล่ง พื้นที่เกษตรอย่างเคร่งครัด ตรวจสอบและควบคุมการปล่อยมลพิษจากโรงงาน ป้องกันและลดปริมาณฝุ่นละอองจากการก่อสร้าง
.
3.) เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเฝ้าระวัง ติดตาม ตรวจสอบคุณภาพอากาศ ขยายเครือข่ายแจ้งเตือน จัดระเบียบการเผาตามลักษณะพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักวิชาการ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและปรับพฤติกรรมประชาชน ในการลดการเผาในที่โล่ง พื้นที่การเกษตร และการเผาขยะในชุมชนหรือเมือง

ทั้งหมดที่ว่ามา ถือเป็นแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกัน ซึ่งนอกเหนือจากหน่วยงานภาครัฐที่ต้องแอ็คชั่นกันแรงๆ แล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเราทุกคนที่ต้องพร้อมใจกันปลดแอก

เดี๋ยวๆๆๆ เรียกว่าพร้อมใจกันลดการเกิดฝุ่นจะดีกว่า ต้องช่วยกันอย่างจริงจัง ทั้งทางตรงและทางอ้อม เมืองเราจะได้แจ่ม ปอดเราจะได้สะอาดขึ้น นะจ้ะ!

จะแก้อะไรก็แก้ แต่หมวด 1 กับ 2 น้องขอไม่ยุ่ง

เมื่อวันที่ 10 พฤษจิกายน พ.ศ. 2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ในวันที่ 17 และ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 นี้ ยันไม่มีผลกระทบสามารถเดินต่อไปได้ อีกทั้งมีการนำร่างของไอลอว์เข้าสู่การพิจารณาด้วย แต่จะออกมาในรูปแบบไหนต้องรอรายละเอียดกันต่อไป ในกรณียื่นขอให้ประธานสภา ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญ ทั้ง 3 ร่างขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ เรื่องนี้ถือเป็นสิทธิ์ที่จะทำได้

แต่การแก้ไขยืนยันดำเนินต่อไป ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคประชาธิปัตย์ยังคงจุดยืนไม่แตะต้องกับหมวดที่ 1 และ 2 เช่นเดิม

ขอแรงหน่อย!! ‘หัวเว่ย’ ออกตัวอัพเวล ‘ไทยแลนด์ 4.0’

ถ้าจะก้าวไปสู่ ‘ไทยเแลนด์ 4.0’ ได้แบบเต็มตัว ก็ควรต้องมีเทคโนโลยีที่พร้อมดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลออกตัวได้แบบเนียน ๆ

การมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแรง จึงน่าจะเป็นอีกทางเลือกของไทย ซึ่งหนึ่งในทางเลือกนั้น มีชื่อ ‘หัวเว่ย’ ลอยมาใกล้ ๆ

อาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ได้พูดถึงเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยในงาน POWERING DIGITAL THAILAND 2021 โดย ‘หัวเว่ย’ ตั้งใจที่จะมาเป็นหัวหอกช่วยดัน

เนื่องจาก ‘หัวเว่ย’ เอง ก็เป็นองค์กรด้านเทคโนโลยีจากจีนที่อยู่กับประเทศไทยมานานกว่า 21 ปี และตลอดเวลาก็มองออกว่าประเทศไทยมีศักยภาพที่เหนือกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้

สังเกตุได้ถึงการที่ไทยพยายามให้ความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี CLOUD, AI และ 5G มาประยุกต์กับเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นอันดับต้น ๆ

แต่ถ้าอยากเดินหน้าได้ไว ๆ ก็อาจต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเสริมแกร่ง ซึ่งนั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลหนึ่งที่หัวเว่ยจะถูกดึงเข้ามาหนุนตรงจุดนี้

โดยเป้าหมายหลักในการดัน ‘ไทยแลนด์ 4.0’ นั้น คือ การอัพเลเวลไทยให้เศรษฐกิจดิจิทัลไทยมีสัดส่วนใน GDP ของประเทศให้ถึง 30% ภายในปี 2573

ขณะเดียวกันก็ต้องการสร้างผลบวกระยะยาวไปถึงการเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัล (Digital Hub) ของอาเซียนได้อีกด้วย

“เบื้องต้นทางหัวเว่ยจะเข้าช่วยสนับสนุนด้านเทคโนโลยีเพื่อฟื้นตัวไทยหลังโควิด-19 ในระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี Cloud, Al และ 5G ตรงนี้จะช่วยเสริมศักยภาพทั้ง เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และการศึกษา ซึ่งจะทำให้ไทยก้าวไปแข่งขันได้ในทุกมิติของเวทีโลก” อาเบล กล่าว

ส้มหยุด!! หยุดป้ายสีนายกฯ

เมื่อวันที่10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ "แรมโบ้" ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี แจงเหตุ “บิ๊กตู่” ปัดตกร่าง พ.ร.บ. ยกเลิกการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ

เพราะเป็นหน้าที่ของชายไทยทุกคน ไม่มีเจตนาแอบแฝงอย่างที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อม ส.ส.พรรคก้าวไกล กล่าวหาและระบุว่าการปฏิรูปกองทัพ ให้กองทัพเคารพสิทธิมนุษยชน ใช้งบอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้

แรมโบ้ได้กล่าวถึง นายธนาธร ว่า "อย่าให้ร้ายกองทัพที่ทำงานเสียสละให้บ้านเมืองมาโดยตลอด ซึ่งการใส่ร้ายของนายธนาธรและพรรคพวกจะส่งผลเสียต่อตัวนายกโดยตรง จากนี้เรื่องที่ไม่เป็นความจริงจะขอดำเนินคดีกับคนที่ ใส่ร้าย ป้ายสีนายก"

หยุดกร่างได้ละ ลุงแซม!!

หลังโจ ไบเดน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีการคาดเดาถึงภาพเศรษฐกิจโลกที่จะลดความตึงตัวลง

ผลดีในเชิงเศรษฐกิจที่อเมริกาเคยระรายไปทั่ว ก็น่าจะผ่อนคลายในยุคของเขา ซึ่งหนึ่งในประเทศที่จะยืดตัวคุยได้มากขึ้น ก็คงมีไทยรวมอยู่ด้วย

"จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่า ต่อจากนี้ ไบเดน น่าจะหันมาใช้เวทีพหุภาคีหรือการทำข้อตกลงระหว่างประเทศมากกว่าสองประเทศ

ไม่ทำตัวลับๆ แบบเดิมที่มักใช้เงื่อนไขระหว่าง 2 ประเทศ คือ สหรัฐ และประเทศคู่ค้าทีละประเทศในการเจรจาทางการค้า

ฉะนั้นถ้าภาพไปในแนวดังกล่าว ก็จะเป็นเวทีให้ประเทศไทยสามารถร่วมกับอาเซียนในการเจรจาต่อรองทางการค้ากันได้มากขึ้น

รวมไปถึงใช้กลไกขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งถือเป็นเวทีการค้าพหุภาคีที่ใหญ่ที่สุดในโลก

...ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า ไบเดน จะให้ความสำคัญ

เพราะให้ความสำคัญกับ WTO พร้อมๆ กับให้ความสำคัญกับนโยบายอินโด-แปซิฟิกที่มีประเทศไทยร่วมอยู่ด้วย จะทำให้สหรัฐฯ มีอำนาจต่อรองไม่ด้อยไปกว่าจีน

ภาพนี้จะช่วยกระตุ้นตัวเลขทางการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ ให้มีโอกาสบวกเพิ่มสูงขึ้นอีกถึงร้อยละ 7 จากเดิมในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มูลค่าการค้าไทย - สหรัฐ บวกถึง 20% ตามมุมมองของจุรินทร์

เรียกว่าผลลัพธ์จากการได้ โจ ไบเดน มานั่งแท่นผู้นำมะกันในตอนนี้ ดูจะมีแต่สัญญาณบวกสำหรับการค้าโลก และประเทศไทยเสียเหลือเกิน

อังกฤษวิกฤติ ! พยาบาลขาดแคลนหลักหมื่นชีวิต

สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศแถบยุโรปยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ล่าสุดเริ่มมีการระบาดระลอกสอง เป็นเหตุให้ในประเทศอังกฤษ ประกาศล็อคดาวน์รอบใหม่ไปเมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา

งานนี้กินระยะเวลากว่า 1 เดือน เพื่อควบคุมการระบาดรอบใหม่ครั้งนี้ วิกฤติรอบใหม่ในอังกฤษเริ่มมีสัญญาณเตือนจากยอดผู้ป่วยหนักที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพิ่มขึ้นจากราว 2,000 คน มาเป็นเกือบ 10,000 คน ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา

แต่เรื่องที่น่ากังวลไปกว่านั้น เมื่อมีรายงานจากราชวิทยาลัยการพยาบาล (Royal College of Nursing) แห่งสหราชอาณาจักร แจ้งว่า ตำแหน่งงานด้านพยาบาลในระบบสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ยังว่างอยู่ถึง 40,000 อัตรา

ปัญหานี้ดูจะสวนทางกับตัวเลขจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่มากขึ้น แถมตามรายงานยังบอกอีกด้วยว่า เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเต็มตัว การสรรหาบุคลากรตำแหน่งนี้จะยิ่งเป็นได้ยากมากขึ้นอีก

เรียกว่าเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติที่ต้องแก้ไขไปให้ได้ ขอส่งกำลังใจและภาวนาให้ยอดผู้ป่วยลดลงโดยไว


อ้างอิง: https://www.xinhuathai.com/inter/151940_20201109

ภาพจาก: Manchester Evening News

ปีนี้ 'อาลีบาบา' โกยไปเท่าไหร่!?

ยังเฉียบเหมือนเดิม หลังจาก Alibaba รักษาฟอร์มยอดขายของวันเทศกาล 11.11.2020 ได้อย่างคงเส้นคงวา โดยปีนี้กวาดยอดขายตั้งแต่ช่วงนาฬิกาเริ่มหมุนไปถึง 1.71 ล้านล้านบาท มากกว่าปีก่อนที่ทำไว้ 1.16 ล้านล้านบาท

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top