Friday, 27 June 2025
TheStatesTimes

‘จิรัฏฐ์’ สส. พรรคประชาชน ยอมโพสต์ขอโทษ ปมพูดโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่า “ตุ๊ด” อ้างเป็นคำพูดติดปาก

จากกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ เมื่อเพจเฟซบุ๊ก 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้เผยแพร่คลิป นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคประชาชน ด่าฝ่ายตรงข้ามที่โจมตีว่า “ตุ๊ด” ไม่แมน ไม่ลูกผู้ชาย

ล่าสุดวันนี้ (7 พ.ย.67) นายจิรัฏฐ์ ได้โพสต์ข้อความผ่าน X หรือทวิตเตอร์ว่า กราบขออภัยที่ผมได้พูดคำว่า “ตุ๊ด” ออกไปในรายการสดเป็นอย่างสูงครับ เป็นคำพูดติดปากซึ่งไม่เหมาะสม และไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นที่กำลังพูดถึงอยู่เลยด้วย ถึงแม้ผมจะขอโทษไปแล้วในรายการทันทีหลังจากที่หลุดพูดออกไป แต่อยากขอโทษเป็นทางการอีกครั้งครับ

ต่อมา เพจเฟซบุ๊ก 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้ออกมาโพสต์ถึงเรื่องดังกล่าวว่า พี่ลักแกง ขอโทษที่พูด “เหยียดตุ๊ด” อ้างว่า “เป็นคำพูดติดปาก” แบบนี้แสดงว่าพูดเหยียดบ่อยใช่มั๊ยคะ

ซึ่งมีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ขนาดออกสื่อยังขนาดนี้…ถ้าไม่ได้ออกสื่อ…! ตุ๊ดเขาไปคัดเลือกเกณฑ์ทหารกันนะจ๊ะ…

SpaceX-Tesla รับอานิสงส์ ดันโครงการอวกาศ ลดภาษีคนรวย

(7 พ.ย. 67) การกลับเข้าสู่ทำเนียบขาวของ โดนัลด์ ทรัมป์ อีกสมัยอาจเป็นชัยชนะครั้งสำคัญสำหรับหนึ่งในผู้สนับสนุนเขามากที่สุดนึงก็คือ นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของโลกเจ้าของ SpaceX และรถยนต์ไฟฟ้า Tesla จะเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจขนาดใหญ่ที่ได้รับอานิสงส์จากนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ 2.0

อีลอน มัสก์ ระบุข้อความผ่าน X ว่า "ประชาชนชาวอเมริกันได้มอบออำนาจที่ชัดเจนให้กับ @realDonaldTrump เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในคืนนี้"

นอกจากนี้ ในสุนทรพจน์แห่งชัยชนะที่ศูนย์การประชุมปาล์มบีช ทรัมป์ใช้เวลาหลายนาทีชื่นชมมัสก์และเล่าถึงความสำเร็จในการลงจอดของจรวดที่ผลิตโดยบริษัท SpaceX ของเขา นอกจากนี้ในการแถลงชัยชนะทรัมป์ได้กล่าวถึงมักส์โดยระบุว่าเตรียมดึงตัวมหาเศรษฐีผู้นี้ร่วมทีมเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์พิเศษของประธานาธิบดี

สำหรับนายมักส์ในฐานะผู้สนับสนุนที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งของว่าที่ประธานาธิบดี มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีผู้นี้ได้บริจาคเงินมากกว่า 119 ล้านดอลลาร์ (4.17 พันล้านบาท) เพื่อสนับสนุนกลุ่มการเมืองเชียร์ทรัมป์หรือ Super PAC

สำนักข่าวบีบีซีได้เผยบทวิเคราะห์ระบุถึงผลประโยชน์ที่นายมักส์ จะได้รับหลังการกลับสู่ทำเนียบขาวของทรัมป์ โดยมัสก์มีโอกาสรับผลประโยชน์มากมายอาทิ รับตำแหน่งในกระทรวง "DOGE" โดยนายทรัมป์ว่าที่ประธานาธิบดีได้กล่าวว่าในวาระที่สอง เขาจะเชิญมัสก์เข้าร่วมคณะบริหารเพื่อกำจัดความสิ้นเปลืองของรัฐบาล

มัสก์เรียกความพยายามที่อาจเกิดขึ้นนี้ว่า "กระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล" หรือ Department of Government Efficiency (DOGE) ซึ่งเป็นชื่อของมีมและเงินคริปโทที่เขาได้ทำให้เป็นที่นิยม

โครงการSpaceX รับอานิสงส์ดาวเทียมของรัฐ มากไปกว่านั้น มัสก์อาจได้รับประโยชน์จากการเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ผ่านความเป็นเจ้าของ SpaceX ซึ่งครองตลาดธุรกิจการส่งดาวเทียมของรัฐบาลขึ้นสู่อวกาศ บทวิเคราะห์ของบีบีซีอ้างว่า ด้วยการมีพันธมิตรที่ใกล้ชิดในทำเนียบขาว มัสก์อาจแสวงหาโอกาสในการใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์กับรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น ก่อนหน้านี้ มัสก์วิจารณ์คู่แข่งรวมถึงโบอิ้งเกี่ยวกับโครงสร้างสัญญากับรัฐบาล ซึ่งเขากล่าวว่าไม่จูงใจให้ทำงานเสร็จตามงบประมาณและตรงเวลา

SpaceX ยังได้ขยายไปสู่การสร้างดาวเทียมสอดแนมให้กระทรวงกลาโหม โดยเพนตากอนและหน่วยงานสอดแนมของอเมริกาดูเหมือนจะพร้อมที่จะลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในด้านนี้

Tesla รับอานิสงส์จากการผ่อนคลายกฎระเบียบ ขณะเดียวกัน Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของมัสก์ อาจได้รับผลประโยชน์จากการบริหารที่ทรัมป์กล่าวว่าจะมี ภาระด้านกฎระเบียบที่ต่ำที่สุด เมื่อเดือนที่แล้ว หน่วยงานของสหรัฐ ที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยบนท้องถนนได้เปิดเผยว่ากำลังตรวจสอบระบบซอฟต์แวร์ขับขี่อัตโนมัติของTesla

มัสก์ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าพยายามขัดขวางคนงานTesla จากการรวมตัวเป็นสหภาพ โดยสหภาพแรงงานยานยนต์ (UAW) ได้ยื่นข้อกล่าวหาการปฏิบัติด้านแรงงานที่ไม่เป็นธรรมต่อทั้งทรัมป์และมัสก์ หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันเกี่ยวกับการที่มัสก์อ้างว่าได้ไล่คนงานที่นัดหยุดงานออกในระหว่างการสนทนาบน X

สุดท้ายคือการที่ทรัมป์ประกาศในหลายครั้งว่าจะลดภาษีความมั่งคั่งสำหรับบริษัทและคนรวย ซึ่งแน่นอนว่ามัสก์ในฐานะมหาเศรษฐีผู้รวยที่สุดในโลกน่าจะได้รับผลประโยชน์นี้โดยตรง

บุกตลาดลักซ์ชูรีรีสอร์ทแดนภารตะ ‘เดวาราณา – ดุสิต รีทรีตส์’ กำหนดเปิด มีนาคม 2571

(7 พ.ย. 67) กลุ่มดุสิตธานีเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่องประกาศลงนามในข้อตกลงการบริหารจัดการโรงแรมเชิงกลยุทธ์กับบริษัทชราวันตี โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ไพรเวท จำกัด ผู้พัฒนาโรงแรมและรีสอร์ทระดับลักซ์ชูรีชั้นนำในประเทศอินเดีย เพื่อดำเนินกิจการ เดวาราณา สากเลศปุระ, กรณาฏกะ – อะ ดุสิต รีทรีตส์ โดยมีกำหนดเปิดตัวในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2571 ซึ่งถือเป็นโครงการ “เดวาราณา –ดุสิต รีทรีตส์” แห่งแรกที่ลงนามนอกประเทศจีน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของกลุ่มดุสิตธานีในการขยายแบรนด์รีสอร์ทระดับลักซ์ชูรีไปยังจุดหมายปลายทางสุดพิเศษทั่วโลก 

มร. จิลล์ เครตัลเลช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เดวาราณา สากเลศปุระ, กรณาฏกะ – อะ ดุสิต รีทรีตส์ เป็นการให้บริการภายใต้แบรนด์ “เดวาราณา-ดุสิต รีทรีตส์” ซึ่งกลุ่มดุสิตธานีวางตำแหน่งแบรนด์ในระดับลักซ์ชูรี โดยเป็นการให้บริการครั้งแรกในประเทศอินเดีย และเป็นครั้งแรกที่มีการลงนามความร่วมมือนอกประเทศจีน เนื่องจากความสอดคล้องอย่างลงตัวระหว่างความงามตามธรรมชาติอันเงียบสงบของเมืองสากเลศปุระ กับแก่นแท้อันสมบูรณ์แบบของ เดวาราณา – ดุสิต รีทรีตส์ ทำให้จุดหมายปลายทางอันงดงามแห่งนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับแบรนด์ระดับลักซ์ชูรีของกลุ่มดุสิตธานี เดวาราณา สากเลศปุระ, กรณาฏกะ – อะ ดุสิต รีทรีตส์

ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การพักผ่อนที่มีความหมายให้กับนักเดินทางทั้งในอินเดียและจากต่างประเทศ โดยที่พักประกอบด้วยวิลล่าและห้องสวีท 75 ห้องขนาดตั้งแต่ 47 ถึง 90 ตร.ม. โดยจะมี 25 ยูนิตที่มาพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวผู้เข้าพักจะได้เพลิดเพลินไปกับสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสุขภาพ รวมถึง เดวาราณา เวลเนส เซ็นเตอร์ ที่มีทั้งคลับสุขภาพ สปา ห้องออกกำลังกาย ห้องอบไอน้ำ และซาวน่า นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมไว้บริการ

ได้แก่ สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้ ห้องอาหารที่ให้บริการอาหารอินเดียและห้องอาหารเพื่อสุขภาพที่เปิดตลอดทั้งวัน โดยเน้นไปที่การรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน สากเลศปุระ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาฆาฏตะวันตก อยู่ห่างจากบังกาลอร์ เมืองหลวงของรัฐกรณาฏกะประมาณ 4 ชั่วโมงโดยรถยนต์ มีชื่อเสียงในเรื่องการทำไร่กาแฟ ชา และเครื่องเทศอันอุดมสมบูรณ์รวมถึงศาสนสถานโบราณ และเส้นทางเดินป่าอันงดงามโดยจะผ่านป่าสงวนไบเซิล ซึ่งเป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพที่มีชื่อเสียงระดับโลก

ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่อยู่ไม่ไกล ได้แก่ ป้อมปราการมัญจาราบัดที่สร้างเป็นรูปดาว สามารถมองเห็นวิวเทือกเขาได้แบบพาโนรามา
และยอดเขาเจนุกัลลู กุดดา ที่สามารถมองเห็นทะเลอาหรับได้จากจุดนี้ สำหรับสนามบินนานาชาติมังกาลอร์ ตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณ 130 กม. และสถานีรถไฟสากเลศปุระ อยู่ห่างจากที่พักเพียง 20 กม.

“เรามีความยินดีที่จะนำการต้อนรับอันอบอุ่นแบบไทยมาสู่เมืองสากเลศปุระและมีความมุ่งมั่นที่ปรารถนาสร้างประสบการณ์เพื่อการบำบัดและการเปลี่ยนแปลง ผ่านกิจกรรมต่างๆ ซึ่งคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันจากทั่วโลก เรามุ่งหวังที่จะมอบการเข้าพักเพื่อสุขภาวะที่ดีอย่างไม่มีใครเหมือนให้กับทุกท่านที่มาเยือน ซึ่งจะเสริมสร้างทั้งจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ
รวมถึงยังได้เป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติอันบริสุทธิ์และมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ของรัฐกรณาฏกะอีกด้วย” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.ดุสิตธานี กล่าว

มร. ซานโตช บาลากฤษณะ กรรมการบริหาร บริษัท ชราวันตี โฮเทล แอนด์รีสอร์ท ไพรเวท จำกัด กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับกลุ่มดุสิตธานีเพื่อเปิดตัวแบรนด์ เดวาราณา – ดุสิต รีทรีตส์ ในประเทศอินเดียด้วยความมุ่งมั่นของดุสิตฯ ในการสร้างประสบการณ์การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมให้ดียิ่งขึ้นนั้น สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราเพื่อสร้างโครงการพิเศษนี้ด้วยความเชี่ยวชาญของดุสิตฯ เรามีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า เดวาราณา สากเลศปุระ, กรณาฏกะ – อะ ดุสิต รีทรีตส์ จะมอบประสบการณ์เหนือระดับผสมผสานความหรูหราและความเป็นอยู่ที่ดีเข้าด้วยกันเพื่อเชื่อมโยงผู้มาเยือนสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างมีคุณค่าซึ่งจะดึงดูดนักเดินทางผู้ที่กำลังแสวงหาแรงบันดาลใจจากความงามอันเงียบสงบของเทือกเขาฆาฏตะวันตก ในรัฐกรณาฏกะแห่งนี้”

ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมในเครือทั้งหมด 301 แห่ง เปิดให้บริการใน 18 ประเทศ แบ่งเป็นโรงแรม 57 แห่งซึ่งดำเนินงานภายใต้ ดุสิต โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท และวิลล่าหรู 244 แห่งภายใต้แบรนด์อีลิท เฮเวนส์ ผู้ให้บริการเช่าวิลล่าระดับลักซ์ชูรีทั่วเอเชีย ซึ่งรวมถึงวิลล่าหรูหลายแห่งในรัฐกัวด้วย โดยในเดือนธันวาคมนี้ กลุ่มดุสิตธานีจะกลับมาให้บริการในประเทศอินเดียอีกครั้งด้วยการเปิดโรงแรมดุสิต ดีทู ฟากู ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาหิมาลัยอันอุดมสมบูรณ์ ใกล้กับเมืองชิมลา นอกจากนี้ กลุ่มดุสิตธานียังมีแผนเปิดโรงแรมอีก 4 แห่งในรัฐกรณาฏกะ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงกลางปี ​​พ.ศ. 2569

'พิชัย' เปิด Thailand Pavilion ยกทัพเอกชน โชว์เสน่ห์ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ในงาน CIIE ที่จีน ชวนคนทั่วโลกเป็น ‘ลูกค้าประจำของสินค้าไทย‘ ใช้แล้วติดใจ! 

เมื่อวานนี้ (6 พ.ย.67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิด Thailand Pavilion แสดงภาพลักษณ์ประเทศไทย ในฮอลล์ Country Exhibition ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นำผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน China International Import Expo หรืองาน CIIE ครั้งที่ 7 ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์พาวเวอร์ จำนวน 20 บริษัท อาทิ อาหาร ไลฟ์สไตล์ แฟชั่น และธุรกิจบริการเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ บนพื้นที่กว่า 250 ตารางเมตร คาดเกิดมูลค่าเจรจาการค้าไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท และสาธิตการทำอาหาร เมนูแกงมัสมั่น บริโภคกับข้าวหอมมะลิไทย เพื่อแจกจ่ายให้ผู้เข้าร่วมงานได้ทดลองชิม และช่วยโปรโมตซอฟต์พาวเวอร์ไทยด้วย

นายพิชัย กล่าวว่า งาน CIIE เป็นงานที่ประเทศจีนจัดเพื่อเปิดกว้างสำหรับทุกประเทศให้เข้ามาขายของ ถือว่าเป็นโอกาสดีของไทยในการเข้ามา ครั้งนี้มี 80 บริษัทเข้าร่วม โดยเป็นของกระทรวงพาณิชย์ 20 บริษัท มีทั้งเรื่องอาหารไทย ซอฟต์พาวเวอร์ ฟิล์ม มวย ข้าวและปีนี้มีข่าวดี ที่พึ่งได้รับรายงานจากกรมการค้าต่างประเทศว่า ไทยส่งออกข้าวได้มากเกินเป้าจากที่คาดว่าจะได้ 8.2 ล้านตัน ตอนนี้ทะลุ 9 ล้านตันแล้ว ปลายปีต้องมากกว่านี้ ถือเป็นข่าวดีของชาวนาไทย  ขอเชิญชวนคนจากทั่วโลกให้มาช่วยซื้อของไทยเยอะๆ มาเป็นลูกค้าประจำของสินค้าไทย มาอุดหนุนเสน่ห์ซอฟพาวเวอร์ไทยกันให้มาก ถ้าท่านทดลองใช้ของไทยแล้วจะติดใจ ทั้ง อาหาร ผลไม้ นวด ชกมวย มาใช้ของไทยแล้วจะชอบ

ต่อจากนั้น รมว.พาณิชย์ยังได้เป็นประธานเปิดบูธจัดแสดงสินค้าของหน่วยงานพันธมิตร เช่น หอการค้าไทยจีน ที่ขนทัพแบรนด์สินค้าไทย เช่น มาม่า ส.ขอนแก่น ชบา มาร่วมจัดแสดง จับคู่ธุรกิจ จำหน่าย แจก รวมถึงเอกชนไทยรายใหญ่ที่มีแบรนด์สินค้าซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย เช่น CP มาร่วมแสดงศักยภาพของสินค้าและบริการไทยด้วย สำหรับสินค้าไฮไลต์ที่นำมาโชว์ในงาน เช่น ผงน้ำมะพร้าวฟรีซดราย กะทิอัดเม็ด น้ำมะพร้าวพร้อมดื่ม น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ขนมครกและขนมบ้าบิ่นสำเร็จรูป น้ำจิ้มฟรีซดราย เครื่องแกง ผงปรุงรส ทูน่าสเปรดแบบวีแกน อาหารแพลนต์เบสพร้อมรับประทานและพร้อมปรุง ผลไม้ฟรีซดราย ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น

นายพิชัย เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สำหรับการโปรโมตซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทยในจีน ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ในจีน 7 แห่ง ได้ผนึกกำลังกันโปรโมตอย่างเต็มที่ โดยใช้โอกาสช่วงที่ภาพยนตร์ “หลานม่า” เข้าไปฉาย ได้ร่วมมือกับร้านอาหาร Thai SELECT 37 แห่ง ใน 13 เมือง (ปักกิ่ง ชิงต่าว หนานจิง ซูโจว เซี่ยงไฮ้ หางโจว เซี่ยเหมิน ฝูโจว กวางโจว หนานหนิง คุนหมิง ฉงชิ่ง และเฉิงตู) ในการเป็นจุดโปรโมต และบางร้านได้จัดเสิร์ฟเมนูพิเศษจากภาพยนตร์หลานม่า เช่น ปลาทอดสมุนไพร ก๋วยเตี๋ยว และโจ๊กอาม่า เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการได้ลิ้มลองรสชาติเมนูจากภาพยนตร์ดังกล่าวด้วย

“อนาคตผมเชื่อว่าประเทศจีนจะเป็นประเทศที่มีรายได้ประชาชาติสูงสุดในโลกและหวังว่าประเทศไทยจะร่วมมือกับจีนในการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยกัน ปัจจุบันประเทศจีนมีการลงทุนในประเทศไทยสูงที่สุด หวังว่าการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับจีนจะต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หวังว่าทางจีนจะเห็นไทยเป็นคู่ค้าและเป็นพี่น้องกัน ขอบคุณประเทศจีนที่เปิดกว้าง เราจะขายของให้ประเทศจีนได้มากขึ้น เมื่อวานตนได้พบผู้ประกอบการ 16 ราย กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายหลักในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยค้าขายในจีนหรือประเทศต่างๆได้มากขึ้น เราอยากสนับสนุนส่งเสริม 80% อีก 20% เป็นแค่เรกูเลเตอร์กำกับดูแล เน้นส่งเสริมสินค้าไทย ผู้ประกอบการไทยออกมาขายของได้มากๆ อยากเห็นการค้าไทยขยายตัวมากๆ เห็น GDP เราทะลุเกิน 4-5% ขึ้นไป อยากตามจีนให้ทัน ในความรู้สึกของคนไทยคนจีนมีความผูกพันกันเยอะ และปีหน้าจะเป็นปีที่จะ เฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ไทย-จีน ครบรอบ 50 ปี ผมว่าความรู้สึกนี้เกินกว่าการค้าหรือการลงทุน ความรู้สึกรักใคร่กันเป็นเรื่องที่สำคัญ จะนำมาซึ่งการค้าที่ดีต่อไปในอนาคต ผมเชื่อว่าไทยกับจีนจะต้องก้าวหน้าไปด้วยกันในอนาคตอย่างแน่นอน“ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว

พ.ต.ท.สำรวย สมาน สว.ตม.จว.อุทัยธานี รับรางวัล ITA AWARDS 2024 อันดับที่ 1 ของประเทศ

พ.ต.ท.สำรวย สมาน สว.ตม.จว.อุทัยธานี รับรางวัล ITA AWARDS 2024 อันดับที่ 1 ของประเทศ(หน่วยงานส่วนราชการระดับต่ำกว่ากรม ผ่านดีเยี่ยม) และข้าราชการตำรวจดีเด่น ด้านบริหารหน่วยงานดีเด่น เนื่องในวันตำรวจ ปี 2566 และ ปี 2567 

พ.ต.ท.สำรวย สมาน สว.ตม.จว.อุทัยธานี บก.ตม.5 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่า ที่ได้รับรางวัล “การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ITA AWARDS 2024 อันดับที่ 1 ของประเทศ ของหน่วยงานระดับต่ำกว่ากรม (สำนักงานเขต กรุงเทพมหานคร อำเภอ และสถานีตำรวจ ทั่วประเทศ ประจำปีงบประมาณ 2567” เป็นอันดับที่ 1ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศ และอันดับที่ 1 ของส่วนราชการในจังหวัดอุทัยธานีได้รับคะแนน คิดเป็นร้อยละ 99.41 (เต็ม 100 คะแนน) ด้วยผลคะแนนรวมทั้ง 3 ด้าน ผ่านประเภท ดีเยี่ยม โดย จำแนกการประเมินข้าราชการตำรวจ ทุกนาย มุ่งมั่น ร่วมแรงร่วมใจ เพื่อปฏิบัติติหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ ตามหลักธรรมาภิบาล นำมาซึ่งผลคะแนนที่บ่งบอกถึงคุณภาพในการปฏิบัติติราชการ โดยได้นำเอาหลักการมีส่วนร่วมของข้าราชการที่ปฏิบัติงานในหน่วย ลูกจ้าง ภาคีเครือข่าย ร่วมแรงร่วมใจ ในการทำงานโดยมุ่งหวังในมิติการมีส่วนร่วมของข้าราชการตำรวจและประชาชนร่วมในการมีส่วนร่วม

ซึ่งผลคะแนนทั้ง 3 ด้านประกอบด้วย 
1. ด้านการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน : IIT ได้ 100 คะแนน 
2. ด้านการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก : EIT ได้ 98.02 คะแนน 
3. ด้านการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ : OIT ได้ 100 คะแนน

โดยที่ผ่านมาได้รับรางวัลตำรวจดีเด่น 2 ปีซ้อน ตามที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีนโยบายให้จัดทำโครงการคัดเลือกข้าราชการตำรวจดีเด่น เนื่องในวันตำรวจ ประจำปี 2566 และ ปี 2567 เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชู สร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้แก่ข้าราชการตำรวจที่ผลการปฏิบัติราชการดีเด่น ในรอบปีงบประมาณ พ.ศ.2566 และ พ.ศ.2567 โดยจัดพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่ข้าราชการตำรวจที่ผลการปฏิบัติราชการดีเด่น โดย พ.ต.ท.สำรวย สมาน สว.ตม.จว.อุทัยธานี ได้รับคัดเลือกด้านบริหารหน่วยงานดีเด่น ระดับ สว.ตม.จว. 2 ปีซ้อน ด้วยคะแนนสูงสุดใน บก.ตม.5 โดยมีผลงานดีเด่นด้านพัฒนาสถานที่ทำการและพื้นที่ให้บริการ ด้านพัฒนาบุคลากรและส่งเสริมสวัสดิการ และด้านพัฒนารูปแบบการทำงานและระบบเทคโนโลยี
  
พ.ต.ท.สำรวย  กล่าวต่อไปอีกว่า ตั้งแต่ได้ดำรงตำแหน่ง ได้นำแนวคิดเรื่องธรรมาภิบาลหรือการบริหารบ้านเมืองที่ดี (Good Governance) นโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มาใช้ในด้านการบริหารงาน นำไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ ภายใต้อำนาจหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้ ในการปฏิบัติราชการตามกรอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

การทำงานแบบบูรณาการทำงานเป็นทีม ซึ่งปรากฏว่าด้วยการรวมพลังการทำงานบูรณาการทำงานเป็นทีม ทำคนน้อย ให้เป็นคนมาก ใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการทำงาน ร่วมแรง ร่วมใจกันของข้าราชการตำรวจและพนักงานจ้างทำให้ผลการประเมิน ในปี 2567 ได้รับคะแนนรวมทะลุถึง 99.41 (เต็ม 100 คะแนน) เป็นหน่วยแรก และหน่วยเดียวของ สตม.และของ จว.อุทัยธานี ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงคุณภาพในการปฏิบัติราชการในทุกมิติทั้งด้านการบริหารจัดการ ด้านการบริหารงานบุคคลและการมีส่วนร่วม ด้านการบริหารงานการเงินและการคลัง ด้านการบริการสาธารณะ ด้านธรรมาภิบาล 

 อีกทั้งได้นำระบบศูนย์ราชการสะดวก (GECC :Government Easy Contact Center) มาขับเคลื่อนเพื่อให้เป็นหน่วยงานที่ให้บริการประชาชนที่มุ่งเน้นการอำนวยความสะดวก โดยมีมาตรฐาน ระบบงาน เชื่อมโยงการทำงานร่วมกัน ส่งมอบบริการด้วยใจ การบริการเหนือความคาดหมายเช่น บริการในวันหยุด เพื่อให้ประชาชน ได้รับความสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย ประชาชนมีความพึงพอใจต่อบริการ ของภาครัฐ

องค์กรแห่งความสุข (Happy Workplace)โดยมีแผนงานสอดคล้อง มีการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติราชการ ได้แก่ แอพพลิเคชัน “Uthai on Mobile” เพื่อให้ประชาชน ได้รับความสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย สามารถใช้บริการได้ทุกที่ทุกเวลา สอดคล้องกับการนำหลักองค์กรแห่งความสุข (Happy Workplace) มาใช้ในการปฏิบัติราชการ โดยใช้ความสุขพื้นฐานแปดประการ ในการทำงาน(Happy 8) ประกอบไปด้วย Happy Body (สุขภาพดี) ,Happy Heart (น้ำใจงาม) ,Happy Society (สังคมดี) ,Happy Relax (ผ่อนคลาย) ,Happy Brain (หาความรู้) ,Happy Soul (ทางสงบ) ,Happy Money (ปลอดหนี้) และ Happy Family (ครอบครัวดี)

ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของบุคลากรของ ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดอุทัยธานี ที่ยึดถือแนวทางนี้ในการปฏิบัติราชการ เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล เพื่อการบริหารจัดการบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดคืนสู่ประชาชนต่อไป

 ตม.จว.อุทัยธานี สร้างองค์กรให้มีมาตรฐานสากล เป็นต้นแบบของหน่วยงานราชการขนาดเล็กที่ดีเยี่ยม แม้ขาดแคลนกำลังพล แต่ได้เสริมด้วยการจ้างเหมาบริการบุคคลภายนอก และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน ทำให้ประชาชนสะดวก สบาย ในการมาติดต่อราชการ จัดทำอาคารสถานที่ ให้สะอาด สวยงาม ทันสมัย มีมุมพักผ่อน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน 

อีกทั้งให้ความสำคัญ เรื่องสวัสดิการข้าราชการตำรวจ ครบทุกด้าย อาทิ โครงการอาหารกลางวัน ,โครงการประกันชีวิต "ออมสิน อุ่นใจ ให้คุ้มๆ"  ,โครงการตัดผมฟรี ,โครงการส่งเสริมการออกกำลังกาย ,โครงการมอบทุนการศึกษาให้บุตรหลานข้าราชการและลูกจ้างในสังกัด เป็นต้น อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนอย่างจริงจังและจริงใจ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน ลดขั้นตอนการติดต่อ ลดขั้นตอนการสัมผัส ทำธุรการผ่านระบบ Application “Uthai on Mobile” ถือเป็นต้นแบบได้รับการชื่นชมจากกรรมาธิการบริหารราชการแผ่นดินวุฒิสภา เมื่อครั้งตรวจเยี่ยม จว.อุทัยธานี และหลายหน่วยงานได้เข้ามาศึกษาดูงานเพื่อนำไปปรับใช้ในหน่วยงานของตน

การที่ ตม.จว.อุทัยธานี ได้รับรางวัล ITA AWARDS 2024 ไม่เกินความคาดหมายมากนัก ผลตอบรับได้กับประชาชนที่มาติดต่อราชการ ลดต้นทุนหน่วย เป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจที่สุด และยังได้รับรางวัลข้าราชการตำรวจดีเด่น ด้านบริหารหน่วยงาน และด้านอำนวยการอละสนับสนุน เนื่องในวันตำรวจแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ.2567 อีกด้วย

ตม.จว.อุทัยธานี มีสถิติผลการปฏิบัติงาน ตามมาตรการเชิงรุก 5 ด้าน อยู่ในระดับดีเยี่ยม ของ สตม. ตอบสนองนโยบายผู้บังคับบัญชาสืบสวนขยายผลจับกุมเครือข่ายขนคน ตม.จว.อุทัยธานี ร่วมบูรณาการขยายผลร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง กรณีจับกุมเครือข่าย น.ส.เมเตและพวก รวม 11 ราย ขยายผลแจ้งข้อกล่าวหา 1 ราย ออกหมายจับ 4 ราย จับกุมแล้ว 3 ราย จัดทำ Application Line OA เป็นต้นแบบเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับชาวต่างชาติ และผู้ประกอบการตม.จว.อุทัยธานี ได้คะแนนการตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ 2567 เป็นลำดับที่ 2 ของ บก.ตม.5 ด้วยคะแนน 99.38 คะแนน

ปณิธาน ความมุ่งมั่นของ ตม.จว.อุทัยธานี "เป็นองค์กรใช้กฎหมาย ที่ประชาชนเชื่อมั่น และศรัทธา บริการ เหนือความคาดหมาย รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม นำองค์กรสู่ ความเป็นเลิศ"

‘สนธิ’ สวมกอด ‘ชูวิทย์’ อธิษฐานให้หายป่วย พร้อมให้อภัยทุกอย่าง – ลืมทุกเรื่องที่เคยขัดแย้ง

‘สนธิ’ กอดอธิษฐาน ให้ ‘ชูวิทย์’ น้องรักหายป่วย ลืมทุกเรื่องที่ผ่านมา ชูวิทย์ อวยพรให้พี่ชายเจริญ ๆ มีกำลังปราบมารต่อไป ส่วนผมเห็นปลายทางแล้ว

วันนี้ (7 พ.ย.67) ณ บ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือผู้จัดการ นำคณะผู้บริหาร พนักงาน ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 9 รูป เนื่องในโอกาสครบรอบวันก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ครบรอบ 34 ปี และเนื่องด้วยเป็นวันคล้ายวันเกิดของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุครบรอบ 77 ปี ซึ่งในงานได้มีแขกคนสำคัญหลายคนที่เข้ามาร่วมอวยพรในวันเกิด

โดยช่วงเวลา 10:30 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ทันทีที่ได้เดินทางมาถึงบ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ได้เดินเข้าไปประคองตัวนายชูวิทย์และโผเข้ากอด พร้อมกับบอกว่า ”น้องรักเอ็งกอดพี่แน่น ๆ ขอหายใจเข้าลึก ๆ” และกล่าวต่อว่าจะถ่ายพลังที่ตนเองได้ปฏิบัติธรรมให้กับนายชูวิทย์ พร้อมกับกล่าวต่อว่า “หายใจเข้าลึก ๆ พุทธ หายใจออกโธ ” พร้อมอธิษฐานที่ได้สะสมบุญบารมีที่ตนมีมอบให้กับนายชูวิทย์ ที่เป็นน้องรัก และก็ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองพร้อมกับให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ

ก่อนที่นายชูวิทย์ จะมอบพวงมาลัยที่เตรียมมามอบให้นายสนธิ โดยนายชูวิทย์ บอกว่า "ขอบคุณพี่ที่อวยพร ขอให้พี่เจริญๆ ขอให้พี่มีกำลังใจที่เข้มแข็ง และช่วยปราบพวกมารต่างๆ ขอให้พี่ทำหน้าที่นี้ให้คนไทยสังคมไทย ส่วนผมเห็นปลายทางแล้ว"

ก่อนที่นายสนธิ จะบอกว่า "ไม่ ๆ ชูวิทย์ยังต้องอยู่ต่อ ชูวิทย์เป็นคนมีคุณูปการต่อสังคม ไม่ด้านใดด้านหนึ่ง พี่คิดว่าประชาชนทั้งหมดเขาซาบซึ้งจริง ๆ ที่ชูวิทย์ทำ แล้วทุกคนทุ่มเทกำลังใจให้ชูวิทย์ให้หาย พี่บอกมานานแล้วว่าพี่ลืมไปแล้ว พี่รู้แต่ว่าชูวิทย์เป็นน้องพี่ ไม่ต้องมาขอโทษพี่ มาให้พี่กอด เท่านั้นเป็นสิ่งที่พี่ต้องการ

ก่อนที่นายชูวิทย์จะบอกว่า มาถูกวัน มาวันที่พี่ไม่ด่าผม นายสนธิบอกว่า "ไม่...โถ่เอ้ย เอ็งจำได้ไหมเอ็งก็เคยมาหาพี่วันเกิด" ก่อนที่นายชูวิทย์จะตอบว่า "จำได้"

จากนั้นทั้งคู่ก็จูงมือกันเข้าไปด้านใน ในบ้านพระอาทิตย์ ท่ามกลางสื่อมวลชนที่มารอติดตามทำข่าว

นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่า เคยมีประธานบอร์ดคนไหน แสดงอำนาจใหญ่โต สร้างความเสียหายให้แบงก์ชาติ ก่อความพินาศให้เศรษฐกิจไทย จะมีก็แต่ผู้บริหารแบงก์ชาติทำพังเอง เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ 2540

(6 พ.ย. 67) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ส่วนตัว ระบุว่า ความเคลื่อนไหวต่อต้านการแต่งตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ซึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกัน ทั้งในกลุ่มอดีตผู้ว่าฯ นักวิชาการ นักธุรกิจ และกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในวิถีประชาธิปไตย

แบงก์ชาติต้องดำเนินการโดยอิสระเป็นหลักสากล ผมเห็นด้วย แต่เท่าที่ตามดูทั้งข้อกฎหมายและแนวปฏิบัติ ผมยังชั่งใจอยู่ว่าประธานบอร์ดแบงก์ชาติ จะมีฤทธิ์เดชขนาดที่บางฝ่ายกำลังวาดภาพหรือไม่

ผู้ว่าฯคนปัจจุบันจะหมดวาระกลางปีหน้า การแต่งตั้งคนใหม่ทำโดยกรรมการอีกคณะหนึ่ง ซึ่งตั้งโดยรมว.คลัง จากบุคคลที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย บอร์ดไม่มีอำนาจเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

อาจมีข้อสังเกตว่าผู้ว่าฯ มีข้อเห็นต่างกับรัฐบาลหลายครั้ง จะตั้งประธานบอร์ดเพื่อปลดผู้ว่าฯหรือไม่ กฎหมายก็เขียนว่าการปลดเป็นอำนาจครม.โดยคำแนะนำของรมว.คลัง เพราะประพฤติเสื่อมเสียร้ายแรง หรือทุจริต หรือครม.ปลดออกโดยการเสนอของรัฐมนตรี โดยคำแนะนำของบอร์ด ซึ่งถ้าดูจากข้อเท็จจริงก็ยังไม่มีเหตุถึงขั้นนั้น และอีกไม่กี่เดือนจะมีผู้ว่าฯคนใหม่อยู่แล้ว รัฐบาลจะหาเรื่องปลดให้ยุ่งไปทำไม

กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจบอร์ดไปก้าวก่ายนโยบายการเงิน นโยบายสถาบันการเงิน และระบบชำระเงิน เรื่องพวกนี้มีกรรมการที่มีผู้ว่าแบงก์ชาติเป็นประธาน ทำงานโดยอิสระ อำนาจหน้าที่หลักของบอร์ดคือการควบคุมดูแลโดยทั่วไป ไม่ใช่ล้วงลูกลงลึก 

ผมนั่งนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่า เคยมีประธานบอร์ดคนไหน แสดงอำนาจใหญ่โต สร้างความเสียหายให้แบงก์ชาติ ก่อความพินาศให้เศรษฐกิจไทย

จะมีก็แต่ผู้บริหารแบงก์ชาติทำพังเอง เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ที่เอาเงินทุนสำรองซึ่งกู้ IMF มา ไปสู้ค่าเงินกับกองทุนต่างชาติจนเจ๊งกันระเนระนาดทั้งประเทศ นายกรัฐมนตรีเผชิญแรงเสียดทานต้องลาออก แต่จนบัดนี้ยังไม่มีการแสดงความรับผิดชอบใดๆจากแบงก์ชาติ ทั้งในนามบุคคลและองค์กร หรือก่อน 2540 ก็เคยมีเหตุความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ถูกบันทึกว่าเกิดจากแบงก์ชาติมาแล้ว 

แบงก์ชาติต้องอิสระจากรัฐบาลแน่นอน แต่ดูไปบางมุมคล้ายอิสระจากสังคมและประชาชนด้วยหรือไม่

ผมพยายามค้นระเบียบ หลักเกณฑ์ภายใน พบว่าหายากมาก ทั้งที่หลายเรื่องน่าจะสัมผัสได้ เช่น มีส.ส.ฝ่ายค้านท่านหนึ่ง บอกว่าตั้งประธานบอร์ดแล้วก็จะใช้อำนาจตั้งกรรมการกนง. แทนคนเก่าซึ่งจะหมดวาระ 2 คน พูดจนคนเข้าใจไปว่างานนี้บอร์ดชงเองกินเอง ตั้งพวกตัวเองแน่ ๆ

ทั้งที่สอบถามจากผู้อาวุโสที่เคยเป็นบอร์ดเขายืนยันว่าไม่ใช่ บอร์ดต้องตั้งกนง.จริง แต่ตั้งตามชื่อที่แบงก์ชาติเสนอไม่ใช่คิดเอาเอง เช่น ถ้าว่าง 2 ที่ แบงก์ชาติจะเสนอชื่อมา 3 คนขึ้นไปแล้วบอร์ดพิจารณา ยังไงก็ต้องเป็นคนในโผจากผู้ว่าฯ

เรื่องนี้ก็หาระเบียบไม่พบ แต่ได้รับคำยืนยันว่าเป็นแนวปฏิบัติที่ทำกันมา

การเสนอชื่อประธานบอร์ดขณะนี้มี 3 คน กระทรวงการคลังเสนอชื่อ 1 คน แบงก์ชาติ 2 คน หนึ่งในสองคนที่เสนอมาเป็นนักกฎหมาย ไม่เคยปรากฏว่าเชี่ยวชาญเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง 

อดีตผู้บริหารแบงก์ชาติและกลุ่มต่างๆค้านชื่อจากกระทรวงการคลัง แบบนี้ประชาชนมีสิทธิ์คิด
ว่าจะล็อคเป้าให้เข้าทางเฉพาะชื่อที่แบงก์ชาติเสนอเท่านั้นหรือไม่

ถ้าชื่อจากกระทรวงการคลังถูกมองว่าเป็นฝ่ายการเมือง แล้วชื่อจากแบงก์ชาติเป็นฝ่ายทางการเมือง หรือเคยเลือกข้างทางการเมืองมาบ้างหรือไม่

หลักคิดของผมคือ เรื่องนี้อย่าเอาการเมืองเป็นตัวตั้ง เสียงค้านรัฐบาลต้องฟัง แต่ฝ่ายเห็นต่างก็ต้องใช้เหตุผลด้วย ว่ากันที่คุณสมบัติก่อน ถ้ามีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ และคุณสมบัติตามกฎหมาย ทุกคนย่อมมีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือกได้ 

องค์กรที่ต้องเป็นอิสระย่อมต้องอิสระ แต่ความอิสระก็ไม่ควรล้นเกิน จนอาจถูกมองเป็นแดนสนธยา ที่ซึ่งตาเปล่าของประชาชนยากจะมองเห็นได้

หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กของท่าน ‘ทนายวิชัย ทองแตง’ เห็นว่ามีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์จึงนำมาแบ่งปันเป็นข้อคิด สอดรับกับกระแสความร้อนแรงของทนายโซเชียล! ซึ่งกระทบภาพลักษณ์ทนายความอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

(7 พ.ย. 67) นายประกิจ เพชรรัตน์ อดีตประธานสภาทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานี โพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 67 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า วันนี้ผมมีเวลาหยิบหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กของท่านทนายวิชัย ทองแตง “เคล็ดลับความสำเร็จของทนายมือทอง” ซึ่งได้อ่านมา 2-3 รอบแล้ว เห็นว่ามีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์จึงนำมาแบ่งปันเป็นข้อคิดให้กับผู้สนใจในบางตอน สอดรับกับกระแสความร้อนแรงของทนายโซเชี่ยล! ซึ่งสร้างความสั่นคลอนและเป็นหลุมดำกระทบภาพลักษณ์และวิกฤตศรัทธาของประชาชน สังคม ต่อองค์กรสภาทนายความอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนครับ!!

สำหรับ “เคล็ดลับความสำเร็จของทนายมือทอง” มาจากหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กชื่อ จากทนายความมือทอง สู่เซียนหุ้นหมื่นล้าน  ‘ลงทุนสไตล์ วิชัย ทองแตง’ ไขรหัสลับสู่ความสำเร็จ The Last Masterpieces ที่ถ่ายทอดความลับ การลงทุนหมื่นล้าน! ของ ‘คุณวิชัย ทองแตง’ เจ้าของฉายานักเทคโอเวอร์หมื่นล้าน นักลงทุนหุ้น เทิร์นอราวด์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยติดอับดับมหาเศรษฐีหุ้นอันดับ 5 ของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันได้หันมาให้ความสำคัญกับการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ตอัปให้เติบโต จนได้ฉายาใหม่ว่า ‘godfather of startup’ หรือแปลเล่น ๆ ว่า ‘พ่อทูนหัว’ ของวงการสตาร์ตอัปนั่นเอง

บีโอไอ เร่งดึงผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย เข้าสู่ซัพพลายเชนอีวี ผนึกกำลัง GAC AION จัดงาน 'AION Sourcing Day'

(7 พ.ย.67) บีโอไอจับมือ GAC AION ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่จากจีน เร่งดึงผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเข้าสู่ซัพพลายเชน EV ผ่านการเจรจาธุรกิจในงาน 'AION Sourcing Day' ยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรในอาเซียน เผยยอดเจรจาธุรกิจ 74 บริษัท คาดเกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศเพิ่มอีกกว่า 2,250 ล้านบาท  

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 บีโอไอ และบริษัท GAC AION ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ ได้ร่วมกันจัดงาน 'AION Sourcing Day' ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯ เพื่อจัดหาชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศสำหรับสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท ซึ่งได้เริ่มเปิดโรงงานผลิตตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยเน้น 7 กลุ่มชิ้นส่วนสำคัญ ได้แก่ Interior Parts, Exterior Parts, Electrical and Electronics Parts, Chassis Parts, Car Body Parts, Traction Motor Parts และ Battery Parts โดยมีผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศเข้าร่วมงานกว่า 400 คน จาก 220 บริษัท และในจำนวนนี้ มีผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เจรจาธุรกิจเป็นรายบริษัทกับ GAC AION จำนวน 74 บริษัท คาดว่าจะทำให้เกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศกว่า 2,250 ล้านบาท  

บริษัท ไอออน ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทในเครือ GAC Group ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำระดับโลกจากประเทศจีน ด้วยยอดขายสะสมกว่า 2.5 ล้านคันทั่วโลก และเป็นบริษัทที่ใหญ่อันดับ 165 ของโลกจาก Fortune Global 500 โดย GAC AION ได้ตัดสินใจสร้างฐานการผลิตแห่งแรกนอกประเทศจีนที่ไทย ณ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ด้วยมูลค่าเงินลงทุนกว่า 5,600 ล้านบาท โดยเฟสแรกได้ลงทุน 1,300 ล้านบาท เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) กำลังการผลิต 20,000 คันต่อปี โดยมีแผนจะขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันยังใช้สำนักงานในไทยเป็น Regional Headquarters ในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย

“การจัดงานครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำความร่วมมือระหว่างบีโอไอกับ GAC AION ในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยเฉพาะการยกระดับผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ให้มีโอกาสเข้าสู่ Supply Chain ของ EV ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศ การรับช่วงการผลิต การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ ซึ่งจะเกิดประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย โดย GAC AION ก็จะได้พบกับซัพพลายเออร์ในประเทศที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับค่ายรถยนต์ระดับโลกมาแล้ว อีกทั้งมีที่ตั้งอยู่ใกล้โรงงานของ GAC AION จะช่วยให้โรงงานสามารถผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีต้นทุนโลจิสติกส์ที่ลดลง ขณะที่ผู้ประกอบการไทยก็จะได้เรียนรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากการเข้ามาลงทุนของบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศ” นายนฤตม์ กล่าว

นายโอเชียน หม่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า GAC AION ต้องการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต จำหน่าย และการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำระบบการผลิตที่ครบวงจรมาใช้ในประเทศไทย ไม่เพียงแค่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่รวมถึงชิ้นส่วน แบตเตอรี่ และสถานีชาร์จ โดยจะร่วมกันส่งเสริมระบบซัพพลายเชนที่แข็งแกร่งในประเทศไทย เพื่อผลักดันอุตสาหกรรม EV ในไทยสู่ตลาดโลก โดยปัจจุบัน GAC AION มีโชว์รูม 50 แห่งทั่วประเทศ และจะเพิ่มเป็น 100 แห่งในปี 2568 และตั้งเป้าหมายขยายสถานีชาร์จให้ครบ 1,000 แห่ง ภายในปี 2570 นอกจากนี้บริษัทจะเริ่มขยายสายการผลิตเพื่อผลิตรถรุ่น AION V ในช่วงกลางปี 2568 อีกด้วย

“GAC AION มีความเชื่อมั่นในอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และพร้อมที่จะสนับสนุนนโยบาย 30@30 ของรัฐบาลไทยอย่างเต็มที่ ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย ให้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเราจะดำเนินงานตามแนวคิดการพัฒนาที่เน้นการเติบโตในระยะยาว ผลประโยชน์ร่วมกัน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยตั้งใจที่จะขยายฐานในประเทศไทย และนำระบบที่ครบวงจรเข้ามาพัฒนาต่อยอดในประเทศ งาน sourcing day ในครั้งนี้เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของ GAC Aion ที่จะช่วยผลักดันผู้ประกอบการไทยให้สามารถเติบโตสู่ระดับโลก” นายโอเชียน หม่า กล่าว

นอกจากนี้ GAC AION มีเป้าหมายชัดเจนที่จะพัฒนาซัพพลายเชน รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนในไทย โดยปัจจุบันมีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศกว่าร้อยละ 47 และมีแผนจะเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนในประเทศให้มากขึ้นในอนาคต โดยเหตุผลสำคัญของ GAC AION ในการเลือกผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยมี 3 ประการ คือ 1) ชิ้นส่วนจากผู้ผลิตไทยมีคุณภาพและมาตรฐาน 2) กลุ่มชิ้นส่วนที่เป็นชิ้นขนาดใหญ่จะมีโอกาสมาก เพราะหากนำเข้าจากต่างประเทศ จะมีต้นทุนการขนส่งสูงกว่าการจัดซื้อในประเทศ และ 3) การจัดซื้อในประเทศมีข้อได้เปรียบเรื่องการบริการหลังการขาย ที่มีความสะดวกและรวดเร็วกว่า 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บีโอไอได้จัดกิจกรรม Sourcing Day ร่วมกับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้ว 5 ราย ได้แก่ BYD, NETA, MG, CHANGAN และ BMW ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดมูลค่าซื้อขายชิ้นส่วนในประเทศกว่า 45,000 ล้านบาท

‘พุธิตา’ ปชน. ป้อง ‘อุ๊งอิ๊ง’ วิ่งเล่นกับลูกที่ตึกไทยคู่ฟ้า ชี้ ไม่ควรโจมตี เพราะนอกจากเป็นนายกฯ ยังเป็นแม่ด้วย

(7 พ.ย. 67) สส.พุธิตา พรรคประชาชน ชี้ กรณีดราม่าอุ๊งอิ๊ง วิ่งเล่นสนามหญ้ากับลูกสาวที่ตึกไทยคู่ฟ้า ท่านนายกฯ เป็นแม่ด้วย ไม่ควรโจมตี

จากกรณีมีคลิปนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และบุตรสาว วิ่งเล่นในสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีชาวเน็ตจำนวนมากแสดงคิดเห็นทำนองว่า สถานที่ทำงานไม่ควรจะนำลูกมาวิ่งเล่น 

ล่าสุด นางสาวพุธิตา ชัยอนันต์ สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่าน X  ระบุว่า

คุณอุ๊งอิ๊ง นอกจากจะเป็นนายกแล้ว เขายังเป็นคุณแม่ที่มีลูกยังเล็กด้วย การที่ลูกมารอคุณแม่ทำงานเด็ก ๆ จะวิ่งเล่นในสนามบ้างเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ ไม่ควรจะเอามาประเด็นโจมตี ชี้เจตนาที่เกินจริงเลยค่ะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top