Friday, 27 June 2025
TheStatesTimes

สหรัฐเตรียมคืนโบราณวัตถุบ้านเชียง กรมศิลปากรจัดงานรับมอบวันที่ 14พ.ย.นี้

(7 พ.ย. 67) สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ร่วมกับสำนักงานยูเนสโกภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ณ กรุงเทพฯ และกรมศิลปากร จะจัดพิธีส่งมอบโบราณวัตถุจากแหล่งมรดกโลกบ้านเชียง ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

พิธีส่งมอบโบราณวัตถุบ้านเชียงและการเสวนาในโอกาสวันสากลเพื่อการต่อต้านการลักลอบค้าทรัพย์สินทางวัฒนธรรม จะจัดขึ้นในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เวลา 10:30 - 15:00 น. ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร

ในการนี้ ฯพณฯ โรเบิร์ต แฟรงก์ โกเด็ค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และ ฯพณฯ ราฟีค แมนซัวร์ รองผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา จะทำพิธีส่งมอบโบราณวัตถุแก่ ฯพณฯ สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม โดยมี ซูฮย็อน คิม ผู้อำนวยการสำนักงานยูเนสโกภูมิภาค ณ กรุงเทพฯ เป็นสักขีพยาน พร้อมกับมีการแถลงข่าวให้สื่อมวลชนเข้าร่วมสอบถามข้อมูล

นอกจากนี้ ภายในงานทางยูเนสโกได้จัดการเสวนาผู้เชี่ยวชาญเนื่องในวันสากลเพื่อการต่อต้านการลักลอบค้าทรัพย์สินทางวัฒนธรรม โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย พิพิธภัณฑ์ และองค์กรนานาชาติ มาร่วมพูดคุยถึงความท้าทายและแนวทางแก้ไขปัญหาการลักลอบค้าโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันอาชญากรรมดังกล่าว

ผู้ร่วมอภิปรายประกอบด้วยตัวแทนจากสำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศิลปากร และพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน จากนิวยอร์ก จะร่วมกันอภิปรายในประเด็นกรอบกฎหมาย ความร่วมมือระหว่างประเทศ และหลักการซื้อขายอย่างมีจริยธรรมในตลาดศิลปวัตถุและโบราณวัตถุ

‘สุริยะ’ ยังไม่ชงแก้สัญญารถไฟเชื่อม 3 สนามบินเข้า ครม. ยัน ไม่ติดพรรคร่วม แต่ต้องให้นักกฎหมายดูให้รอบคอบ

‘สุริยะ’ ชี้ แก้ 'สัญญารถไฟเชื่อม 3 สนามบิน' ยังไม่เข้าครม. เพราะต้องดูให้รอบคอบชัดเจนและรัฐไม่เสียเปรียบก่อน ยัน ไม่ติดพรรคร่วม

(7 พ.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่อง การแก้สัญญารถไฟเชื่อมสามสนามบิน ว่า สัปดาห์หน้าน่าจะยังไม่นำเข้าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพราะยังมีเรื่องรายละเอียดที่ต้องดูกันให้รอบคอบอีกครั้ง

เมื่อถามว่า มีปัญหาติดขัดที่ทำให้ล่าช้าหรือไม่ นายสุริยะกล่าวว่า ตนมองว่าหลักๆคือการแก้ไขครั้งนี้มันเป็นการไปเปลี่ยนหลักการ ก็ต้องไปเช็กให้ชัดเจนก่อน

เมื่อถามต่อว่า ไม่ได้ติดอยู่ในพรรครวมใช่หรือไม่ นายสุริยะกล่าวว่า ไม่เกี่ยว

เมื่อถามว่า แล้วจะนำเข้าครม. ได้ในปลายเดือนนี้หรือต้นเดือนธ.ค.หรือไม่ นายสุริยะกล่าวว่า ก็ต้องดูรายละเอียดให้เรียบร้อยก่อน เรียบร้อยเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

เมื่อถามว่า การแก้ไขสัญญาครั้งนี้อาจจะทำให้การก่อสร้างยื่นออกไปอีกใช่หรือไม่ นายสุริยะ กล่าวว่า การแก้ไขสัญญาณนี้มันเป็นเรื่องหลักการเพียงอย่างเดียว ที่เปลี่ยนจากสร้างจนเสร็จแล้วทางรัฐค่อยจ่าย เป็นการสร้างไปจ่ายไป และมีการวางเงินค้ำประกัน ก็ต้องไปเช็กดูว่าตรงนี้จะขัดหลักการหรือไม่ แต่ตนจะต้องขอย้ำอีกทีว่าที่เปลี่ยนสัญญาเป็นจ่ายรายปีต่อปีนั้น เพราะทางภาคเอกชนก็ไม่สามารถทำตามสัญญาที่ว่าจะต้องจ่ายเงินโครงการได้ตามเวลาที่กำหนด และทางฝ่ายรัฐบาลเองก็ไม่สามารถส่งพื้นที่ให้กับทางเอกชนได้ เมื่อต่างคนต่างผิดสัญญา ก็ต้องหาทางออกว่าจะทำอย่างไรให้โครงการนี้ ซึ่งเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เดินต่อไปได้ จึงต้องแก้ไขสัญญา แต่การแก้ไขสัญญานี้ก็จำเป็นจะต้องมีนักกฎหมายมาดูเพื่อที่ทางรัฐจะไม่เสียเปรียบ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดพิธีมอบรางวัลโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ครั้งที่ 1 

(7 พ.ย.67) เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , คุณพรรณี ปิติกุลตัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด พร้อมหน่วยงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมพิธีมอบรางวัลสุภาพบุรุษจราจร ประเภทบุคคลและหน่วยงาน ตามโครงการ “สุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย” เพื่อพัฒนาศักยภาพการทำงานของตำรวจจราจร ลดอัตราการเสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน เพื่อให้ประชาชนมีความพึงพอใจและสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชน ภาคีเครือข่าย และตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตำรวจจราจร ประชาชนมีความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ    

สำหรับ 'โครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย' ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด โดยได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อดำนินตามโครงการ เป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท ต่อเนื่องปีที่ 2 โดยให้ทุกกองบัญชาการ กองบังคับการ และสถานีตำรวจในสังกัดทั้ง 1,484 สถานี ขับเคลื่อนดำเนินการให้ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่จราจรทุกนาย ปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลัก 5S อันได้แก่ SMILE (ยิ้มแย้มแจ่มใส) , SMART (มีบุคลิกภาพที่ดี) , SALUTE (ปฏิบัติต่อประชาชนด้วยความสุภาพ) ,SERVICE MIND (ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตใจบริการ) , STANDARD (ยกระดับการปฏิบัติให้มีมาตรฐานเดียวกัน) และให้หน่วยงานระดับกองบัญชาการ และกองบังคับการ ควบคุมกำกับดูแลให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ลดลงได้มากกว่าร้อยละ 5 หรือ 10 คนขึ้นไปเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี

ตามปีปฏิทิน (ปี พ.ศ.2564 ถึงปี พ.ศ.2566) , ข้อมูลการตั้งด่านตรวจ จุดตรวจกวดขันวินัยจราจร เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี และผลการการบังคับใช้กฎหมาย (หมวก/เมา/เร็ว) เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 จากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง ตามปีปฏิทิน รวมทั้งมีการตรวจสอบติดตามประเมินผล เพื่อพิจารณาคัดเลือก สุภาพบุรุษจราจรประเภทบุคคล กองบังคับการละ 2 นาย แบ่งเป็น ระดับชั้นสัญญาบัตร 1 นาย และชั้นประทวน 1 นาย รวมจำนวนทั้งสิ้น 194 นาย และคัดเลือกสุภาพบุรุษจราจรประเภทหน่วยงานในสังกัดแต่ละกองบัญชาการที่ชนะเลิศ 1 หน่วยงาน รองชนะเลิศ 2 หน่วยงาน รวมทุกกองบัญชาการจำนวนทั้งสิ้น 32 หน่วยงาน โดยมอบรางวัล จำนวน 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 (เดือนพฤษภาคม ถึงสิงหาคม 2567) มอบรางวัลเดือนกันยายน 2567 และครั้งที่ 2 (เดือนกันยายน ถึงธันวาคม 2567) มอบรางวัลเดือนมกราคม 2568 และยังมีรางวัลนวัตกรรมที่มอบให้กับหน่วยงานนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการลดอุบัติเหตุทางถนน โดยจะมีการมอบรางวัลในเดือนมกราคม 2568 

จากผลการขับเคลื่อนดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรได้เพิ่มความเข้มข้นในการกวดขันวินัยจราจร และการบังคับใช้กฎหมาย ส่งผลให้การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ลดลงจากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ใน เดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม จำนวน 356 ราย คิดเป็น -8.55 เปอร์เซ็นต์

โดยในวันนี้เป็นการมอบรางวัลสุภาพบุรุษจราจรครั้งที่ 1 (ห้วงเดือนพฤษภาคม ถึงสิงหาคม 2567) โดยเป็นรางวัลประเภทบุคคล จำนวน 30 นาย เป็นสุภาพบุรุษจราจรในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล , มอบรางวัลสุภาพบุรุษจราจรประเภทหน่วยงาน ชนะเลิศ ระดับกองบังคับการ จำนวน 11 หน่วยงาน และมอบรางวัล ระดับกองบัญชาการ 3 หน่วยงาน โดยครั้งนี้ ตำรวจภูธรภาค 2 เป็นหน่วยงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ การจัดพิธีวันนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับตำรวจจราจร ที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่และหน่วยงานที่ขับเคลื่อนโครงการฯได้เป็นอย่างดีต่อไป

'เผ่าภูมิ' บินเกาหลี หารือ KODIT ถกโมเดลค้ำสินเชื่อ เตรียมพร้อมก่อนตั้ง NaCGA ไทย 

ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมด้วยนางสาวสภัทร์พร ธรรมาภรณ์พิลาศ รักษาการที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน และนายสุพัฒน์ เมธีวรพจน์ ประธานกรรมการบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมหารือกับ Korea Credit Guarantee Fund (KODIT) สถาบันค้ำประกันสินเชื่อของสาธารณรัฐเกาหลี 

โดยหารือเพื่อยกระดับและพัฒนาการค้ำประกันสินเชื่อ เสริมสร้างกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ แบบจำลองทางการเงิน การบริหารจัดการความเสี่ยง สนับสนุน SMEs เข้าถึงสินเชื่อ รวมทั้งหารือการยกระดับโมเดลการให้คะแนนเครดิตค้ำประกันสินเชื่อ หรือ Credit Scoring ไปใช้กับรูปแบบธุรกิจใหม่ ปรับปรุงและยกระดับการดำเนินงาน

นอกจากนั้นยังได้หารือความพร้อมการจัดตั้ง “สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ” หรือ นากก้า (NaCGA : National Credit Guarantee Agency) ของรัฐบาล โดยขยายขอบเขตการค้ำประกันสินเชื่อในรูปแบบการค้ำประกันโดยตรง (Direct Guarantee) ด้วยการเป็นผู้ประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ประกอบการ ตั้งแต่การตรวจสอบข้อมูล การประเมินความเสี่ยงรายบุคคล การคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Pricing) ซึ่งจะให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการได้มากยิ่งขึ้น ครอบคลุมความต้องการของผู้ประกอบการในทุกๆ กลุ่มได้มากขึ้น

ทั้งนี้ KODIT เป็นสถาบันค้ำประกันที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลาง มีรูปแบบการค้ำประกันรายบุคคล (Individual Guarantee) และการให้บริการแบบโดยตรง Direct Approach Guarantee โดยมีกระบวนการอนุมัติค้ำประกันที่มีการวิเคราะห์และประเมินศักยภาพทางธุรกิจของ SMEs ด้วยการใช้แบบจำลองทางการเงิน KODIT Rating System และใช้ Corporate Rating System; CCRS Rating เพื่อพิจารณาระดับความเสี่ยงของ SMEs และสามารถกำหนดระดับอัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันตามระดับความเสี่ยง

โดยมีธุรกรรมหรือผลิตภัณฑ์ค้ำประกันที่หลากหลายเพื่อรองรับผู้ประกอบการ SMEs ในแต่ละกลุ่ม การบริหารจัดการข้อมูลด้านสินเชื่อ การให้คำปรึกษาทางการเงินและด้านบริหารจัดการองค์กรหรือบริษัท และการลงทุนแบบ Guarantee-aligned Equity Investment เป็นต้น 

ฉางอันแจงดราม่าราคา EV เป็นแคมเปญเฉพาะ Motor Expo 2024 เท่านั้น

(7 พ.ย. 67) CHANGAN Automobile ผู้ผลิตรถไฟฟ้าแบรนด์ DEEPAL ชี้แจงกรณี ดราม่าการลดราคารถยนต์ DEEPAL S07 โดยบริษัทขอยืนยันว่าไม่มีนโยบายลดราคารถยนต์ DEEPAL S07, S07L และ L07 แต่เป็นเพียงแคมเปญ Motor Expo และ Big Surprise Deal เพื่อมอบข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่ทำการจองและวางมัดจำระหว่างวันที่ 1 พ.ย. -  10 ธ.ค. 67 และทำการส่งมอบรถภายในวันที่ 31 ธ.ค. 67 เท่านั้น 

ทั้งนี้ แคมเปญสุดพิเศษในช่วง Motor Expo 2024 และช่วงสิ้นปีที่กำลังจะมาถึง มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าทุกท่านที่ซื้อรถยนต์ DEEPAL S07, DEEPAL S07 L และ DEEPAL L07

โดยข้อเสนอที่น่าสนใจของ DEEPAL S07 และ DEEPAL S07 L ยกตัวอย่างเช่น ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่งพร้อมพ.ร.บ. นานสูงสุด 2 ปี มูลค่า 60,000 บาท, รับข้อเสนอพิเศษ Motor Expo 2024 อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0% เมื่อดาวน์ 25% และผ่อนชำระ 60 เดือน

นอกจากนี้ยังฟรีฟิล์มติดรถยนต์ มูลค่า 10,000 บาท รวมไปถึงรับเงินคืน 34,000 บาท หลังส่งมอบรถภายในวันที่ 31 ธ.ค. 67 และยังมีสิทธิพิเศษ Big Surprise Deal ช่วยผ่อน 4 เดือน เดือนละ 25,000 บาท มูลค่ารวม 100,000 บาท เป็นต้น

รมว.อุตสาหกรรม เรียกกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ 10 สมาคมเหล็ก ถกเร่งแก้วิกฤตอุตสาหกรรมเหล็กของไทย

(4 พ.ย. 67) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเปิดกระทรวง เชิญแกนนำกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ 10 สมาคมเหล็ก ร่วมหารือปัญหาวิกฤตอุตสาหกรรมเหล็ก และหาแนวทางแก้ไขเพื่อความอยู่รอดตลอดจนการพัฒนาอย่างยั่งยืน

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม  เป็นประธานในการประชุมที่กระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม หารือกับผู้แทนอุตสาหกรรมเหล็กไทย นำโดย นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก คณะกรรมการกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก ส.อ.ท. และ 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งมีสมาชิกรวม 510 บริษัท จ้างงานโดยตรงกว่า 50,000 อัตรา และจ้างงานทั้งระบบกว่า 3 แสนคน

นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานส.อ.ท. กล่าวขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญต่อการรักษาและพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทย โดยอุตสาหกรรมเหล็กเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของระบบอุตสาหกรรม เพราะเหล็กเป็นวัตถุดิบที่นำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากมาย ได้แก่ ก่อสร้าง รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ โดยหลายประเทศต่างก็ปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศเพื่อรักษาความมั่นคงแห่งชาติของตน แต่ขณะนี้โลกเผชิญวิกฤตกำลังการผลิตเหล็กของโลกล้นเกินความต้องการใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศจีนซึ่งประสบปัญหาเศรษฐกิจและธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ถดถอย ส่งผลให้ความต้องการใช้เหล็กภายในประเทศของจีนลดลง ในขณะที่ผู้ผลิตเหล็กในจีนยังคงผลิตเหล็กในสัดส่วนสูงมากราวร้อยละ 58 ของการผลิตเหล็กของทั้งโลกรวมกัน จีนจึงมุ่งส่งออกสินค้าเหล็กไปยังภูมิภาคหรือประเทศที่มีช่องโหว่ซึ่งจีนสามารถทุ่มตลาดได้ โดยในช่วง 9 เดือนแรก ประเทศจีนได้ส่งออกสินค้าเหล็กแล้ว 81 ล้านตัน และคาดว่าทั้งปี 2567 จีนจะส่งออกสินค้าเหล็กมากสุดในรอบ 8 ปี ปริมาณสูงถึง 109 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากปีก่อนหน้า โดยสินค้าเหล็กจากจีนที่ส่งมายังประเทศไทยปีนี้มีแนวโน้มปริมาณมากกว่า 5.1 ล้านตัน และครองส่วนแบ่งปริมาณเหล็กนำเข้ามากที่สุดร้อยละ 44 ส่งผลให้ผู้ผลิตเหล็กในไทยมีการใช้กำลังการผลิต (Production Capacity Utilization) ถึงขั้นวิกฤตต่ำกว่าร้อยละ 30 แล้วจนหลายโรงงานเหล็กต้องทยอยปิดกิจการและเลิกจ้างแรงงานไป ดังนั้น กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ 10 สมาคมเหล็ก จึงขอเสนอ 7 แนวทางบรรเทาวิกฤตอุตสาหกรรมเหล็ก ดังนี้

มาตรการห้ามตั้งห้ามขยายโรงงานเหล็กเฉพาะประเภทที่มีกำลังการผลิตมากเกินความต้องการใช้ภายในประเทศไทยแล้ว ได้แก่ โรงงานเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต และโรงงานผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อน เป็นต้น มาตรการส่งเสริมให้โครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐใช้สินค้าเหล็กในประเทศที่ผลิตจากโรงงานที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ตั้งแต่ระดับ 4 ขึ้นไป เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนปรับปรุงเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Carbon การเร่งกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เหล็กโครงสร้างสำเร็จรูป มาตรการสงวนเศษเหล็กเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเหล็กในประเทศ นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมจัดการซากรถยนต์ เพื่อให้มีการบริหารจัดการและสามารถนำวัสดุต่างๆ มาแปรใช้ใหม่ (Recycle) ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด นโยบายส่งเสริมการใช้สินค้าที่ได้รับการรับรองจากส.อ.ท. ว่าผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand หรือ MiT) ไม่เพียงแค่เฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเท่านั้น โดยขยายไปยังโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public – Private Partnership หรือ PPP) และโครงการก่อสร้างของกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment หรือ BOI) ด้วย

การสนับสนุนให้ใช้มาตรการทางการค้าต่างๆ โดยเข้มข้นขึ้นตามสถานการณ์และทันท่วงที เนื่องจากปัจจุบัน ประเทศไทยมีการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping หรือ AD) มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยง (Anti-Circumvention หรือ AC) กับสินค้าเหล็กบางประเภทเท่านั้น โดยไม่มีการใช้มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty หรือ CVD) และมาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard หรือ SG) แต่อย่างใด ในขณะที่ประเทศไทยยังคงถูกจีนส่งสินค้าเหล็กมาทุ่มตลาดปริมาณเฉลี่ยกว่า 4.2 แสนตันต่อเดือน

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับทราบข้อเสนอดังกล่าวและยืนยันว่าอุตสาหกรรมเหล็กเป็นหนึ่งในหลายอุตสาหกรรมของประเทศไทยต้องสนับสนุนด้วยมาตรการต่างๆ อย่างทันท่วงที โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กก็ต้องมีการปรับตัวรับการพัฒนาในด้านต่างๆ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและประโยชน์ของประเทศชาติด้วย ทั้งนี้หลายข้อเสนอจากกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กก็สอดคล้องกับนโยบายและมาตรการที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำลังดำเนินการอยู่ ได้แก่ มาตรการห้ามตั้งห้ามขยายโรงงานเหล็กบางประเภท การกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) อาคารโครงสร้างเหล็ก มาตรการที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมเศษเหล็ก รวมถึงการจัดการซากรถยนต์ เป็นต้น โดยจะเร่งรัดผลักดันมาตรการต่างๆ ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้อุตสาหกรรมเหล็กยังคงอยู่เป็นพื้นฐานสำคัญในห่วงโซ่อุตสาหกรรมต่อเนื่องภายในประเทศไทย

ณัฐธภพ พันสาย / จ.ประจวบคีรีขันธ์   0649646443

รร.นานาชาติโชรส์เบอรี เปิดอาคารใหม่ ซิตี้แคมปัสสร้างสิ่งแวดล้อมเป็นครู

(7 พ.ย.67) โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส หนึ่งในโรงเรียนนานาชาติชั้นนำของประเทศไทย ประกาศเปิดตัวอาคารเรียนส่วนต่อขยายเพื่อการรองรับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล (Early Year) วัย 2-5 ปี อย่างเป็นทางการที่สาขาซิตี้แคมปัส ใจกลางย่านสุขุมวิท-พระราม 9 เพื่อรองรับความต้องการสมัครเรียนของนักเรียนระดับวัยอนุบาลที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันในธุรกิจโรงเรียนนานาชาติที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย 

โดยโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีกรุงเทพ ซิตี้แคมปัส เป็นโรงเรียนหลักสูตรอังกฤษสำหรับเด็กปฐมวัย พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกิจกรรมต่างๆ และสภาพแวดล้อมการเรียนรู้มาตรฐานระดับโลก เปิดรับนักเรียนตั้งแต่อายุ  2-11 ปี

อแมนดา เดนนิสัน ครูใหญ่และครูผู้บริหารรุ่นก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมบัส กล่าววว่า ปัจจุบันโรงเรียนตั้งเป้ารับนักเรียนวัยอนุบาลเพิ่มเป็น 232 คนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 33% จากแผนเดิม ซึ่งส่วนต่อขยายนี้เป็นการรองรับความต้องการของผู้ปกครองที่จะส่งบุตรหลานเข้ามาศึกษาที่โรงเรียนมาขึ้น ด้วยความโดดเด่นของโรงเรียนที่ให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานการเรียนรู้ที่แข็งแกร่งแก่เด็กนักเรียนตั้งแต่ยังเล็ก เรามีการออกแบบหลักสูตรที่ให้เด็กเป็นผู้นำการเรียนรู้ บรรยากาศภายในห้องเรียนจึงเน้นการเรียนและเล่นอย่างผสมผสาน สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนเชิงบวกให้กับเด็กครบทุกด้าน

นางอแมนดา ยังกล่าวอีกว่า ในเชิงการออกแบบอาคารมีการคำนึงถึงการสร้างแวดล้อมแห่งการเรียนรู้เป็นพิเศษ โดยได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด 'Environment as the Third Teacher' หรือการสร้างสิ่งแวดล้อมให้เป็นครูคนที่สามแก่เด็กๆ ช่วยส่งเสริมกระตุ้นการเรียนรู้และความยากรู้อยากเห็นของเด็กตามธรรมชาติ

สร้างบรรยากาศการเรียนที่ผ่อนคลาย มีความสุขพัฒนาทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต โรงเรียนจึงได้สร้างอาคารขึ้นมาอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อให้เด็กเล็กใช้เท่านั้น ทั้ง ห้องเรียน เฟอร์นิเจอร์ สิ่งของต่าง ๆ รวมถึงต้นไม่และสวนโดยรอบอาคาร ได้รับการออกแบบจัดวางอย่างเหมาะสมแก่เด็ก ๆ นอกจากนั้นยังมี Early Years Hub ซึ่งเป็นพื้นที่ตรงกลางเชื่อมต่อห้องเรียนเข้ากันอย่างกลมกลืน ไม่มีระเบียงกั้นทางเดินเหมือนกับโรงเรียนโดยทั่วไป เพื่อให้เด็กสามารถเคลื่อนไหวร่างกายและใช้พื้นที่เพื่อทำกิจกรรมเสริมทักษะได้อย่างอิสระ นอกจากนั้นบริเวณพื้นที่นี้ยังสามารถให้ผู้ปกครองสร้างปฏิสัมพันธ์กับเด็กและระหว่างผู้ปกครองด้วยกันได้อีกด้วย

ด้านนางแคธเทอรีน โอคิล ผู้ช่วยครูใหญ่ฝ่ายอนุบาลและประถม กล่าวว่า โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส เปิดสอนมาตั้งแต่ปี 2561 นับเป็นการขยายสาขาของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ริเวอร์ไซด์ ที่เปิดการสอนครั้งแรกในกรุงเทพตั้งแต่ปี 2546 โดยสาขาซิตี้ แคมปัส เป็นการขยายเพื่อรองรับการเรียนการสอนนักเรียนระดับก่อนอนุบาล จนถึง ระดับประถมต้น จากนั้นนักเรียนสามารถไปเรียนต่อจนถึงอายุ 18 ปีที่สาขาริเวอร์ไซด์ เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย

สำหรับระบบการเรียนการสอนของสาขาซิตี้แคมปัส นางโอคิล กล่าวว่า ด้วยความโดดเด่นของทีมครูผู้สอนที่พร้อมด้วยคุณวุฒิรับรองจากกระทรวงศึกษาของประเทศอังกฤษ (UK's Qualified Teacher Status-QTS) มีการนำหลักสูตรพัฒนาเด็กเล็กของอังกฤษ Early Years Foundation Stage และแนวทางการเรียนรู้แบบ Reggio Emillia Approach มาใช้กับการสอนที่นี่ ทำให้ในแต่ละปีมีเสียงเรียกร้องจากผู้ปกครองรายใหม่อย่างต่อเนื่อง ทางโรงเรียนจึงขยายเพิ่มเติมออกมาจากอาคารหลังเดิม ด้วยเป้าหมายที่จะมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีคุณภาพ

"ที่สำคัญเราไม่ได้เพียงแค่เตรียมความพร้อมและให้การศึกษาที่มีคุณภาพสูงแก่นักเรียนเท่านั้น แต่ยังเน้นสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เชิงบวก ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานการเรียนรู้อันแข็งแกร่งที่จะอยู่ติดตัวเด็กๆ ต่อไปในอนาคตอย่างยั่งยืน ภายหลังจบการศึกษาแล้ว” เดนนิสัน กล่าวทิ้งท้าย

อาคารอนุบาลหลังใหม่นี้ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่ตอบโจทย์การเรียนรู้และการเล่นของเด็กนักเรียนอย่างเต็มที่ มีสวนธรรมชาติติดกับห้องเรียนทุกห้อง ตั้งแต่ระดับ Nursery ถึง EY2 นักเรียนยังได้รับสิทธิ์ใช้พื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ของโรงเรียนอย่างครบครัน เช่น โรงยิม ห้องกีฬา สระว่ายน้ำขนาดใหญ่สองสระ หาดทรายจำลอง สนามฟุตบอลหญ้าธรรมชาติ และศูนย์การเรียนรู้สร้างสรรค์ของโรงเรียน ที่จัดไว้รองรับกิจกรรมด้านดนตรี ศิลปะ การออกแบบ และเทคโนโลยี ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของโรงเรียนที่มุ่งเน้นคุณภาพการศึกษาที่ดีที่สุด

ผบ.นย. ตรวจเยี่ยมกองพลนาวิกโยธิน เพื่อขวัญกำลังใจและความพร้อมรบสูงสุด

(7 พ.ย. 67) พล.ร.ท.อภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (ผบ.นย.) พร้อมด้วยคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่และฝ่ายอำนวยการของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ตรวจเยี่ยม กองพลนาวิกโยธิน (พล.นย.) พร้อมทั้ง ได้รับฟังการบรรยายสรุป การปฏิบัติที่สำคัญรับทราบปัญหาข้อขัดข้องและข้อเสนอแนะของหน่วย อีกทั้งได้ตรวจสภาพความพร้อมรบของ หน่วย อาทิ กองพันทหารราบหนุน กองกำลังด้านจันทบุรี-ตราด และกองร้อยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน โดยเป็นการตรวจความพร้อมของกำลังพล อาวุธ และยุทโธปกรณ์ ให้มีความพร้อมตามระดับความพร้อมรบระดับ 2 (พ.2) เพื่อให้มีความพร้อมทุกสถานการณ์ สามารถปฏิบัติตามแผนป้องกันประเทศและตอบสนองต่อภัยคุกคามทุกรูปแบบ โดยมี พล.ร.ต.โยธิน ธนะมูล ผู้บัญชาการกองพลนาวิกโยธิน ให้การต้อนรับ ณ บก.พล.นย. ค่ายพระมหาเจษฎาราชเจ้า อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

กบง. ปรับสูตรน้ำมันดีเซล ป้องกันราคาพุ่ง หลังราคาน้ำมันปาล์มดิบดีดตัวสูง เริ่ม 21 พ.ย. นี้

(7 พ.ย. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อพิจารณาแนวทางการกำหนดสัดส่วนของน้ำมันไบโอดีเซล B100 ในช่วงที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) สูงขึ้นมาก 

ภายหลังจากการประชุม นายพีระพันธุ์ฯ กล่าวว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ราคา CPO ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาไบโอดีเซลอยู่ที่ประมาณ 48 บาทต่อลิตร หรือ 2 เท่าของราคาเนื้อน้ำมัน ทำให้ต้นทุนน้ำมันดีเซลสูงขึ้นตามไปด้วย และจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลที่ขายให้ประชาชนมีราคาสูงขึ้น ดังนั้น เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและ เพื่อให้การจัดการราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ประชุม กบง. จึงมีมติเห็นชอบการกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล ดังนี้ 
น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 และไม่สูงกว่าร้อยละ 7 โดยปริมาตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 20 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 19 และไม่สูงกว่าร้อยละ 20 โดยปริมาตร ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์แต่อย่างใด 

ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีมติ กบง. เปลี่ยนแปลง โดยมอบหมายให้ กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ออกประกาศ ธพ. เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. 2567 ให้สอดคล้องกับการกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล และ มอบหมายให้ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) นำเสนอการกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซล ต่อคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เพื่อทราบต่อไป

สพฐ.ตร.เตรียม MOU กับ GIT เพื่อร่วมกันพัฒนาการตรวจพิสูจน์โลหะมีค่า อัญมณี และเครื่องประดับ ลดการถูกหลอกลวง พร้อมเปิด App CSI เสริมการตรวจที่เกิดเหตุ

 (7 พ.ย. 67) เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.ไตรรงค์  ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (ผบช.สพฐ.ตร.) เป็นประธานแถลงข่าวการหารือเพื่อลงนามบันทึกความเข้าใจโครงการความร่วมมือด้านงานวิจัยและพัฒนาวิธีการตรวจพิสูจน์หลักฐาน ระหว่าง สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ กับ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT โดยมี นายสุเมธ  ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันฯ นายทนง  ลีลาวัฒนสุข รองผู้อำนวยการ (เทคนิค) และคณะทำงาน พล.ต.ต.ทนงค์  ทองประดับเพชร ที่ปรึกษา (สบ7) สพฐ.ตร. พล.ต.ต.วาที  อัศวุตมางกุร ผู้บังคับการ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง (พฐก.) พล.ต.ต.กัลป์  ทังสุพานิช ผู้บังคับการสถาบันฝึกอบรมและวิจัยการพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สฝจ.) และข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมหารือในครั้งนี้ ณ ห้องประชุม กคม.พฐก. ชั้น 5 อาคาร 9 ชั้น กองพิสูจน์หลักฐานกลาง (สวนพลู)

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ฯ กล่าวว่า ภายหลังมีผู้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีเกี่ยวกับทองคำในหลายข้อหา โดยเฉพาะข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ไม่ว่าจะเป็นของตัวเองหรือผู้อื่น ทำให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อได้รับความเสียหายจำนวนมาก อีกทั้งในปัจจุบันในการหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยความห่วงใยพี่น้องประชาชนจะถูกหลอกในลักษณะเดียวกัน สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ จึงหารือกับทาง GIT อย่างใกล้ชิด โดยในอนาคตจะจัดทำบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ (MOU) เพื่อดำเนินนโยบายความร่วมมือทางด้านวิจัยและพัฒนาทางด้านการตรวจพิสูจน์โลหะมีค่า อัญมณี และเครื่องประดับ เพื่อพัฒนาด้านบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจพิสูจน์หลักฐาน ส่งเสริมการให้บริการทดสอบ วิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ สนับสนุนเครื่องมือ และร่วมการจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจในการตรวจพิสูจน์โลหะมีค่า อัญมณี และเครื่องประดับ ณ ห้องปฏิบัติการชั้น 6 ของกลุ่มงานตรวจทางเคมี ฟิสิกส์(กคม.) กองพิสูจน์หลักฐานกลาง (สวนพลู) เมื่อมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ  พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องการให้ตำรวจทั่วประเทศปรับการบริการและพัฒนางานสถานีตำรวจ พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน อีกทั้ง สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คือ “เป็นตำรวจมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชน”

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ได้ยกระดับการตรวจสถานที่เกิดเหตุ ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ได้แก่ Application CSI ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตรวจเกิดเหตุ ใช้บันทึกข้อมูลการตรวจพิสูจน์แทนการบันทึกด้วยกระดาษ ซึ่งมีข้อดีดังนี้

1. Application CSI รองรับฟังก์ชันการพิมพ์ และฟังก์ชันการแปลงเสียงพูดเป็นข้อความได้สะดวกและรวดเร็ว ทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุสะดวกมากยิ่งขึ้น
2. สามารถกำหนดพิกัดที่เกิดเหตุ ผ่านละติจูดและลองจิจูด ได้อัตโนมัติ ทำได้ถูกต้องและรวดเร็ว โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องมืออื่นๆประกอบ
3. มีฟังก์ชั่นการส่งและมอบวัตถุพยาน โดยกำหนดให้มีลายเซ็นดิจิตอลไว้ในระบบ ทำให้การส่งมอบวัตถุพยานได้ถูกต้องและรวดเร็ว
4. สามารถนำออกข้อมูลที่บันทึกไว้ในระบบ แปลงเป็นไฟล์เอกสารที่มีเนื้อหาถูกต้องแบบอัตโนมัติ ช่วยลดขั้นตอนการทำงาน
5. สามารถบันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลนิติวิทยาศาสตร์โดยอัตโนมัติทั่วประเทศ ทำให้ผู้บังคับบัญชาสามารถติดตามคดีสำคัญต่างๆได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว และที่สำคัญที่สุด ระบบดังกล่าวยังช่วยติดตามผลการตรวจพิสูจน์ การสังเคราะห์ผลตรวจพิสูจน์ หรือข้อมูลนิติวิทยาศาสตร์ได้ทั้งประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top