Friday, 27 June 2025
TheStatesTimes

หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ประดับเครื่องหมายยศนายทหารสัญญาบัตร

(7 พ.ย. 67) เวลา 09.00 น. พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นประธาน ในพิธีประดับเครื่องหมายยศให้แก่นายทหารสัญญาบัตรที่ได้รับการเลื่อนยศสูงขึ้น จำนวน 66 นาย ณ ห้อง พลเรือเอก ประพัฒน์ กฤษณจันทร์ กองบัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ได้กล่าวให้โอวาทแก่ผู้ร่วมพิธีว่า การที่ท่านทั้งหลายได้รับการเลื่อนยศสูงขึ้นนั้น ย่อมถือได้ว่าท่านเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ ในการปฏิบัติงานอย่างดี สำหรับผู้ที่ได้รับการเลื่อนยศสูงขึ้น ตามแนวทางการรับราชการ ซึ่งเป็นไปตามหลักการบริหารกำลังพลที่ได้ให้ความเชื่อมั่นในความเจริญก้าวหน้าของอาชีพรับราชการอีกระดับหนึ่ง ในการปฏิบัติงานของหน่วยที่ผ่านมา มีปัจจัยแห่งความสำเร็จเกิดมาจากความร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจ จากกำลังพลทุกนาย ซึ่งท่านเป็นส่วนหนึ่งแห่งความสำเร็จในครั้งนี้ และที่สำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ราชการนั้น จะต้องยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต ความเสียสละ ความจริงจัง และจริงใจ ทั้งต่อหน่วยงานและเพื่อนร่วมงาน อันจะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการยิ่ง ๆ ขึ้นไป

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

ส่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ‘นางงามเมียนมา’ ทิ้ง เหตุรับไม่ได้กับพฤติกรรมเจ้าของเวที – วิธีให้คะแนนไม่แฟร์

ช่วงที่ผ่านมาเหมือนจะมีประเด็นใหญ่อยู่ 2 เรื่องที่ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ในประเทศไทย

เรื่องแรกเหมือนเป็นเรื่องเป็นราวไม่รู้จบกับเวทีนางงามที่มีแต่เรื่องฉาวได้ทุกปี และปีนี้ก็เช่นกันกับเรื่องที่เกิดกับนางงามตัวแทนของเมียนมาและผู้จัดของเขา แต่ความต่างอยู่ตรงที่ฝั่งนางงามและผู้จัดขอยกเลิกสัญญาและไม่รับตำแหน่งด้วยเหตุผลการตัดสินที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะเรื่องการโหวตที่ทางผู้จัดฝั่งเมียนมาอ้างว่ามีคนของเจ้าของฝั่งไทยพยายามให้โหวตโดยจ่ายเงินนอกระบบและรางวัล Country Popular Vote ที่ในนาทีสุดท้ายก่อนประกาศผลนางงามเมียนมาอยู่ในอันดับ 1 แต่ปรากฏว่าพอประกาศกลับไม่ใช่ชื่อเขา โดยเจ้าของฝั่งไทยออกมาบอกว่านับผลโหวตแค่นี้  Follower ซึ่งถ้าคิดแบบนี้ดูคงจะไม่แฟร์กระมัง  

อย่างไรก็ตามทั้งนางงามและผู้จัดฝั่งเมียนมาเลือกจะทิ้งมงกุฎและยกเลิกสัญญาหรือกล่าวง่าย ๆ คือเลือกจะทิ้งอนาคตเพราะความไม่เป็นธรรมนั้น แต่ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่าที่น่าตกใจคือผู้จัดฝั่งไทยกลับเป็นคนเล่นนอกเกมขุดคุ้ยอดีตมาด่า รวมถึงกล่าวหาว่าผู้จัดเมียนมาขายบริการและนางงามเมียนมาอยากได้ที่ 1 เพราะมีเสี่ยมาเปย์ หากข้อสังเกตของผู้เขียนเป็นจริงคือมันเป็นการเล่นนอกเกมส์ที่สกปรกมาก และไม่ดูเป็นมืออาชีพเลย อีกทั้งในโซเชียลฝั่งไทยก็ผสมโรงจนเหมือนดูจะขาดสติทั้งที่ควรจะคิดพิจารณาก่อนว่าใครเป็นผู้เสียโอกาสจากการเลือกทำแบบนี้แต่เขายังเลือกที่จะทิ้งโอกาสนั่นแปลว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลหรือไม่

อีกทั้งการประกวดในปีนี้ได้มีหลายประเทศทั้งขอถอนตัวและถูกถอนออกก่อนไปนับ 10 ประเทศได้ ถ้าเอาคร่าว ๆ แค่ประเทศที่เป็นเรื่องนอกจากเมียนมาแล้วก็ยังมี

1. กัมพูชา ที่ทางกองประกวดอ้างว่าไม่มีความพร้อมในการจัดการประกวดกรณีมีคลิปหลุดเรือทานอาหารแต่ภายหลังก็มีภาพเรือที่ถูกเตรียมไว้หลุดออกมาพร้อมกับเหตุผลวว่าผู้จัดฝั่งไทยขอเปลี่ยนในนาทีสุดท้ายเพราะในขณะนั้นอาหารยังไม่เสร็จเพราะผู้จัดไม่รอ

2. ยูเครน โดยมิสแกรนด์ยูเครนให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่าเธอขอถอนตัวเพราะเธอไม่ได้พักผ่อนเลยตลอดเวลาในการประกวด 11 วันในการเก็บตัวเธอต้องตื่นและเข้าร่วมกิจกรรมจนถึงดึกดื่น ทั้งที่เธอเป็นไข้สูง 37.5-38.2 ตลอดทั้งวัน ทำให้เธอไม่สามารถรับได้ถึงมาตรฐานการประกวดเพราะแพทย์ประจำตัวของเธอที่พัทยาและแพทย์ของโรงแรม Wyndham พัทยา ได้บันทึกถึงสุขภาพที่เสื่อมลงของเธอ ซึ่งยืนยันว่าความดันโลหิตของเธออยู่ในระดับอันตราย นั่นทำให้เธอเลือกจะเก็บชีวิตมากกว่าเลือกจะชิงมงกุฎ

3. กรณีล่าสุดคือการปลดนางงามตัวแทนหมู่เกาะเวอร์จิ้น ของสหรัฐอเมริกาโดยให้เหตุผล 3 ข้อคือ
- เปลี่ยนแปลงสายสะพายอย่างเป็นทางการอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ ทำลายโลโก้ขององค์กรและบ่อนทำลายความสำคัญของตำแหน่งที่ได้รับ
- ล้มเหลวในการใช้บริการเที่ยวบินที่องค์กรจัดให้ ส่งผลให้สูญเสียเงินหลายพันเหรียญสหรัฐ
- ไม่สนใจเสื้อผ้าที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการซึ่งองค์กรจัดซื้อและจัดเตรียมโดยผู้สนับสนุน โดยเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงการออกแบบชุดประจำชาติเดิม และไม่สวมชุดราตรีที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ซึ่งออกแบบโดยนักออกแบบควบคู่ไปกับองค์กรที่ได้รับการอนุมัติล่วง

เอาเป็นว่าเรื่องแบบนี้ผู้อ่านลองไปใช้ความคิดพิจารณาเองว่าทำไมการประกวดอื่นๆก็น่าจะมีปัญหาไม่ต่างกันแต่กลับไม่เคยมีข่าวพวกนี้ออกมา แต่ที่สำคัญคือการวิจารณ์ใดๆก็ตามที่เป็นการกระทำที่บูลลี่ทั้งต่อนางงามและผู้อยู่เบื้องหลังเป็นสิ่งที่ไม่ควรเพราะนี่เราคือภาพลักษณ์ของประเทศไม่ใช่แค่ปัจเจกชนที่แสดงออกสู่สายตาชาวโลก อย่าลืมว่าถ้าเราไม่อยากให้ใครมาดูถูกชาติเราหรือคนในชาติเรา ก็ควรเริ่มต้นจากการไม่ดูถูกใครเช่นกัน

อีกเรื่องเป็นเรื่องที่ ครม. เห็นชอบจะมอบสัญชาติไทยให้แก่ คนไร้สัญชาติ 483,000 คน โดยตั้งเป้ามอบให้แก่คน 4 กลุ่มที่เป็นผู้ที่อพยพมาอยู่ที่ประเทศไทยเป็นเวลานาน
กลุ่มที่ 1 คือ ตั้งแต่ปี 2527-2542 มีประมาณ 120,000 คน
กลุ่มที่ 2 เมื่อปี 2548-2554 มีประมาณ 215,000 คน
ส่วนกลุ่มที่ 3 กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย ของชนกลุ่มน้อย มีประมาณ 29,000 คน
กลุ่มที่ 4 กลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย ของบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนโดยมีการสำรวจไปแล้วประมาณ 113,000 คน

ประเด็นคือทาง ครม. รับทราบไหมว่าที่ผ่านมามีการคอร์รัปชันทางทำบัตรหัว 0 และสวมบัตรคนตายกันมากมาย โดยเฉพาะราคาสวมบัตรคนตายพุ่งไปเป็นหลักล้านและนั่นเองทำให้คนบางกลุ่มไม่เชื่อว่าจำนวนนี้คือจำนวนที่แท้จริง แต่นี่คือการฟอกขาวในคนต่างด้าวจำนวนหนึ่งที่มีเงินพอหาซื้อบัตรหัว 0 หรือบัตรคนตายเข้ามาเป็นคนไทยได้อย่าง

เอย่าขอแนะนำว่ารัฐบาลควรให้มีการสอบสัมภาษณ์ด้วยก็ดีนะ ถ้าอยู่ไทยมานานจริงควรพูดไทยได้ อ่านไทยคล่อง เขียนไทยเป็น มิฉะนั้นคงได้ฟอกขาวให้ตนบางคนได้เป็นคนไทยสมใจอยาก

วิกฤต Nissan!! เลิกจ้างพนักงาน 9,000 คน หั่นเงินเดือน CEO เซ่นกำไรฮวบรอบ 15 ปี

(8 พ.ย.67) บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น Nissan รายงานผลประกอบการขาดทุนในไตรมาสล่าสุด ทำให้ต้องประกาศเลิกจ้างพนักงาน 9,000 คน หรือประมาณ 6% ของพนักงานทั้งหมด เนื่องจากยอดขายของรถยนต์ Nissan หลายรุ่นในสหรัฐอเมริกาไม่ดีในไตรมาสที่ผ่านมา

ตามรายงานของ AP Makoto Uchida ซีอีโอของ Nissan กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า สถานการณ์นี้ 'เป็นเรื่องร้ายแรงมาก' โดยเขาได้ตัดสินใจลดเงินเดือนตัวเองลงครึ่งหนึ่ง และยังมีแผนลดกำลังการผลิตทั่วโลกลง 20% อีกด้วย

ในปี 2022 Uchida มีรายได้รวม 673 ล้านเยน (ประมาณ 4.5 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตามรายงานของ BBC

"นิสสันจะปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น" Uchida กล่าวเสริม

ทั้งนี้ Uchida ไม่ใช่ซีอีโอคนแรกที่ลดเงินเดือนเมื่อธุรกิจประสบปัญหา ในปี 2023 Eric Yuan ซีอีโอของ Zoom ได้ลดเงินเดือนตัวเองลง 98% ท่ามกลางการเลิกจ้าง และต่อมา Satish Malhotra ซีอีโอของ Container Store ก็สมัครใจลดเงินเดือนลง 10% เพื่อให้พนักงานได้รับโบนัสตามผลงาน

นอกจากนี้ ในปี 2013 ซีอีโอของ Nintendo ก็เคยลดเงินเดือนตัวเองลงครึ่งหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการเลิกจ้างเช่นกัน

ออสเตรเลียเล็งออกกฎเข้ม ต่ำกว่า 16 ปีห้ามใช้โซเชียลมีเดีย คาดบังคับใช้ปลายปีหน้า

นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบาเนซีของออสเตรเลียประกาศว่า รัฐบาลออสเตรเลียเตรียมออกกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ทุกรูปแบบ โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการทดสอบระบบตรวจสอบอายุผู้ใช้งาน เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยคาดว่ากฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ได้เร็วที่สุดในปลายปีหน้า

ผู้นำออสเตรเลียกล่าวว่า การใช้งานโซเชียลมีเดียที่มากเกินไปส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเด็ก โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่อาจถูกล่อลวงให้เผยแพร่ภาพร่างกายที่ไม่เหมาะสม หรืออาจเผชิญกับปัญหาการถูกกลั่นแกล้ง (Bullying) ผ่านทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งทางรัฐบาลได้วางแผนจะนำเสนอร่างกฎหมายนี้ต่อรัฐสภาในปีนี้ และหากได้รับความเห็นชอบ จะมีผลบังคับใช้ใน 12 เดือนหลังจากที่รัฐสภาให้สัตยาบัน

ปัจจุบันหลายประเทศได้มีการออกกฎหมายควบคุมการใช้งานโซเชียลมีเดียของเด็ก โดยออสเตรเลียถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเข้มงวดมากที่สุด เนื่องจากจะไม่มีข้อยกเว้นให้เด็กใช้งานได้ แม้ได้รับการอนุญาตจากพ่อแม่ ขณะที่ในฝรั่งเศสได้มีการเสนอให้ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีใช้โซเชียลมีเดีย แต่อนุญาตให้ใช้ได้หากได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง และในสหรัฐอเมริกาได้มีการเรียกร้องให้บริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ติดตั้งระบบปิดกั้นการเข้าถึงโซเชียลมีเดียสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 13 ปีหากไม่ได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครอง

‘รถถัง’ เคลื่อนไหวหลังตกตาชั่งเสียแชมป์โลก ONE มวยไทย ลั่นทำเต็มที่แล้ว พร้อมขอร้องชาวเน็ต “อย่าว่าเมียผม”

(8 พ.ย.67) หลังจาก 'รถถัง จิตรเมืองนนท์' เจ้าของฉายา ดิไอรอนแมน ยอดนักชกชาวไทย ตกตาชั่งอีกครั้ง ทำน้ำหนักไม่ผ่านตามกำหนด ก่อนคิวเตรียมขึ้นชกกับ จาค็อบ สมิธ ผู้ท้าชิงจากสหราชอาณาจักร เพื่อป้องกันแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นฟลายเวต ที่สนามมวยลุมพินี (รามอินทรา) ในวันที่ 9 พ.ย. นี้ ทำให้ รถถัง ต้องถูกริบเข็มขัดแชมป์โลกตามกฎ ONE Championship แต่การชกจะยังคงมีอยู่ตามกำหนดการเดิม โดยถ้า สมิธ ชนะ จะคว้าแชมป์ไปครองทันที หาก สมิธ แพ้ แชมป์จะว่างลง

โดยทางรถถัง ได้เคลื่อนไหว ด้วยการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า "7ปีที่เราอยู่ด้วยกันมา ผมเต็มที่ที่สุดแล้ว จากกันแล้วก็จะไม่จากไกลผมสัญญาว่าจะเอากลับมาให้ได้ #ไม่ต้องด่าคนอื่นนะพี่ ๆ ด่าผมคนเดียวผม ผมเต็มที่ที่สุดแล้ว" โดยมีแฟนคลับเข้าไปให้กำลังใจจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือ 'บอย ท่าพระจันทร์' โดยได้คอมเมนต์ว่า 

ไม่ว่าใครจะด่า หรือว่าน้องยังไง อยากให้รู้ว่าพวกพี่ ๆ และเพื่อน ๆ เป็นกำลังใจให้น้องเสมอ #สู้

นอกจากนี้ รถถังยังได้ออกมาโพสต์ขอร้องทุกคนอย่าคอมเมนต์เสีย ๆ หาย ๆ ถึงภรรยาของตน เพราะเป็นคนที่คอยกำลังใจตนอยู่ตลอด โดยระบุว่า

"ใช่ คุณด่าได้เต็มที่เลยว่าผมไม่มืออาชีพ แต่อยากบอกอะไรให้นะ คุณมาลองอยู่กับผมสักไฟต์สิว่าผมทำอะไรบ้างแต่ละวัน ผมแม่งโคตรอยากทำให้ได้เลย ผมอยากไลฟ์สดให้ดูเลยว่าผมต้องอดทนขนาดไหน ผมแม่งโคตรอยากรักษาเข็มขัดเส้นนี้ไว้ไห้นานเลย พวกคุณรู้มั้ย"

"คุณลองมาเป็นผมดูมั้ยก่อนที่จะด่าจะว่าอะไรออกมาเคยลองคิดกลับไปมองตัวเองมั้ยว่าด่าเขาแล้วผมจะทำได้มั้ย ผมไม่เคยด่าเลยนะ เพราะผมรู้ว่าถ้าผมอยู่จุดแต่ละคนแล้วผมคงทำไม่ได้แน่ สักวันคุณจะเข้าใจ และขอฝากไว้นะครับ ทุกวันนี้ผมทำเพื่อครอบครัวและประเทศไทยจริงๆ มวยไทยผมรักมากที่สุด ขอบคุณที่ทนอ่านนะครับและขอร้องอย่าเมนต์เสีย ๆ หาย ๆ ว่าเมียผมเลยเขาคือคนที่ให้กำลังใจผมตลอดเวลา"

คลื่นนักท่องเที่ยว 39 ล้าน จ่อทะลักไทยในปี 68 ‘อโกด้า’ เชื่อ จะทุบสถิติสูงสุดก่อนโควิดระบาด

อโกด้า คาดการณ์คลื่นนักท่องเที่ยว 39 ล้านคน จ่อทะลักไทยในปี 68 มาเยือนสูงเป็นประวัติการณ์ ทุบสถิติก่อนโควิดระบาด

(8 พ.ย.67) อโกด้า โฮลดิงส์ (Agoda Holdings) แพลตฟอร์มสำรองห้องพักออนไลน์ชั้นนำ คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนสูงสุดในประวัติการณ์ในปี 2568 โดยมีกระแสการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั่วโลกเป็นตัวกระตุ้น 

ออมรี มอร์เกนสเติร์น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอโกด้า เปิดเผยว่า การยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวและความคึกคักของการบินระหว่างประเทศมายังไทย จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามา โดยอโกด้าคาดว่าจำนวนจะสูงถึงกว่า 39 ล้านคนในปีหน้า

การคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงมุมมองเชิงบวก จากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย ซึ่งมองว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากที่เคยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโควิด - 19 สอดคล้องกับการที่จำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

มอร์เกนสเติร์น กล่าวว่า อโกด้าเชื่อมั่นว่าจำนวนผู้เยือนไทยจะสูงเกินสถิติปี 2562 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเกือบ 40 ล้านคนเดินทางเข้ามา สร้างรายได้ให้กับประเทศถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์ เขาเสริมด้วยว่า ข้อมูลของอโกด้าชี้ให้เห็นถึงความนิยมของประเทศไทยในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดย 46% ของนักท่องเที่ยวที่คาดการณ์จะเดินทางเยือนไทยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นครั้งที่สอง สาม หรือสี่ 

ทั้งนี้ ประเทศไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมอันดับสองรองจากญี่ปุ่นในการกลับมาเที่ยวซ้ำตามข้อมูลจากอโกด้า

จากข้อมูลของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก เผยว่านับตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วกว่า 29 ล้านคน ซึ่งกำลังขยับเข้าใกล้เป้าหมายของรัฐบาลที่กำหนดไว้ที่ 36.7 ล้านคนสำหรับปี 2567 ทั้งนี้ การฟื้นตัวในภาคการท่องเที่ยวนี้ถือเป็นสัญญาณบวกสำหรับเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเสาหลัก

เส้นทางขนส่ง 'MIDDLE Corridor' กระตุ้นการค้าระหว่าง ​​ประเทศในเอเชียกลางและประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

กรุงเทพ, 30 ตุลาคม 2567 สถานทูตคาซัคสถานประจำประเทศไทยได้จัดสัมมนาในหัวข้อเส้นทางขนส่งระหว่างประเทศทรานส์แคสเปียน (Middle Corridor) และประเทศคาซัคสถานในฐานะจุดยุทธศาสตร์เชื่อมโยงที่มีศักยภาพ ผู้ร่วมงานสัมมนาในครั้งนี้ประกอบไปด้วยตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศ, นักวิชาการ ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการขนส่งที่มีประสบการณ์

​นาย อาร์มัน อิสเซตอฟ เอกอัครราชทูตคาซัคสถานประจำประเทศไทย กล่าวเปิดงานโดยเน้นย้ำว่าประเทศคาซัคสถานที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญบนเส้นทาง ทรานส์แคสเปียน คาซัคสถานประเทศซึ่งเป็นศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญในภูมิภาคยูเรเชียน โดยมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงด้านการค้าและการแลกเปลี่ยนทางด้านวัฒนธรรมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในศตวรรษที่ 21 คาซัคสถานได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ณ วันนี้มีจุดผ่านแดนประเทศของเราถึง 11 จุด โดยเส้นทางที่สำคัญที่สุดคือเส้นทางทรานส์แคสเปียน

​ข้อมูลจากองค์กรระหว่างประเทศที่เผยแพร่โดยธนาคารโลกเมื่อปี 2023 ระบุว่าเส้นทางขนส่ง Middle Corridor ช่วยย่นระยะเวลาขนส่งระหว่างประเทศจีนและยุโรปอีกทั้งเพิ่มการขนส่งขึ้นถึงสามเท่าจนถึงระดับ 11 ล้านตันภายในปี 2030 UN ESCAP ในแผนนโยบายที่ได้แถลงเมื่อปี 2023 กล่าวว่า Middle Corridor และเส้นทางรถไฟจากประเทศจีนเชื่อมสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวที่เปิดในปี 2021 จะช่วยกระตุ้นการค้าระหว่างภูมิภาคเอเชียกลางและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

​การสัมมนายังได้เชิญผู้ประกอบการขนส่งจากบริษัท Rhenus Logistics นายศิวาพัชญ์ เผ่าพรหม ตัวแทนบริษัทฯ ขึ้นพูดเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ด้านการขนส่งที่เชื่อมโยงจากประเทศไทยสู่ประเทศคาซัคสถาน โดยเน้นถึงโอกาสการเติบโตทางด้านการค้าและศักยภาพที่สำคัญในการเชื่อมโยงการขนส่ง และ นายพีระพล พิภวากร ตัวแทนจาก Kazakh Thai Alliance มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการเปิดตลาดคาซัคสถาน รวมถึง วิธีการ และ แนวทางในการนำสินค้าเข้าไปเปิดตลาดในประเทศคาซัคสถาน

​ช่วงท้ายของการสัมมนาได้เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น รวมไปถึงการพูดคุยกับหน่วยงานต่างๆที่มาร่วมงานเพื่อสร้างความร่วมมือในอนาคต สถานทูตคาซัคสถานขอขอบคุณผู้ร่วมงานทุกท่านและวิทยากรที่สละเวลามาร่วมงานในครั้งนี้ อีกทั้งอยากเน้นย้ำถึงความสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศคาซัคสถานและประเทศไทย

'รัสเซล โครว์' เยือนไทยอีกครั้ง แวะชิมเมนูดัง 'เจ๊ไฝ' พร้อมอวยยศฉ่ำ “เธอเป็นร็อคสตาร์ตัวจริง”

(8 พ.ย.67) นักแสดงฮอลลีวูดชื่อดัง ‘รัสเซล โครว์’ กลับมาไทยอีกครั้ง ไม่พลาดทำหน้าที่ทูตท่องเที่ยว แวะหา ‘เจ๊ไฝ’ ชิมเมนูดัง พร้อมบอ “เธอเป็นร็อคสตาร์ตัวจริง” หยอดคำชมกรุงเทพฯ ฉ่ำ

กลับมาทำหน้าที่เป็นทูตเที่ยวไทยอีกแล้ว สำหรับ 'Russell Crowe' (รัสเซล โครว์) นักแสดงชื่อดังแห่งวงการฮอลลีวูด เจ้าของรางวัลออสการ์ระดับตำนาน ที่ฝากผลงานไว้ให้โลกจดจำมากมาย

ไม่ว่าจะเป็น Gladiator (2000),A Beautiful Mind (2001), American Gangster (2007), Les Misérables (2012), Proof of Life (2000), The Insider (1999)

หลังเคยเดินทางมาถ่ายทำภาพยนตร์ 'The Greatest Beer Run Ever' ที่เมืองไทย ในปี พ.ศ. 2564 และได้โพสต์ภาพต่าง ๆ ในเมืองไทย จนกลายเป็นไวรัลเรียกเสียงฮือฮา ชาวเน็ตแห่แซวว่า เหมือนเป็นทูตด้านการท่องเที่ยว

ล่าสุด นักแสดงคนดัง ก็ได้ออกมาโพสต์ภาพคู่กับ 'เจ๊ไฝ' ในแพลตฟอร์ม X พร้อมบอกว่า
“Popped in to see my friend Jay Fai at her unique and wonderful restaurant.
Crab curry!
Crab omelette!!
If you know, you know.
If you don’t … you should.
She is an absolute rockstar!
Bangkok remains an exhilarating experience. So nice to be back in amazing Thailand !!”

โดยแปลเป็นไทยว่า “แวะมาเยี่ยมเพื่อนของผม เจ๊ไฝ ที่ร้านอาหารอันเป็นเอกลักษณ์และยอดเยี่ยมของเธอ แกงปู! ไข่เจียวปู!! ถ้าใครรู้จัก ก็จะรู้ว่าอร่อยแค่ไหน ถ้าใครยังไม่รู้จัก… ควรต้องมาลอง
เธอเป็นร็อคสตาร์ตัวจริงเลย!

กรุงเทพฯ ยังคงเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น ดีใจมากที่ได้กลับมาเมืองไทยอันน่าทึ่งอีกครั้ง!!”

แน่นอนว่า นี่เป็นการพบกันของสองตำนานจากสองวงการอีกครั้ง ซึ่งการพบกันในครั้งนี้ ก็ทำชาวเน็ต รวมถึงแฟน ๆ เข้ามาคอมเมนต์รอตามรอย 'รัสเซล โครว์' เป็นจำนวนมาก และลุ้นว่าเจ้าตัวจะไปเที่ยวที่ไหน ในประเทศไทยอีกบ้าง จนมียอดชมกว่า 1 แสนครั้ง

รู้จัก ‘Maruti Suzuki’ ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่อินเดีย แจ้งเกิดด้วย ‘MARUTI 800’ รถที่คนอยากขับก่อนยอมจ่าย 2 เท่า

MARUTI 800 รถยนต์นั่งส่วนบุคคลราคาประหยัดแห่งชาติแบบแรกของอินเดีย

ในบรรดารถยนต์รุ่นต่าง ๆ บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะ Ford Model T ของสหรัฐฯ Volkswagen Beetle ของเยอรมัน และ Maruti 800 ของอินเดีย ปัจจัยที่เหมือนกันคือเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลราคาประหยัดรุ่นแรกที่ผลิตภายในประเทศเป็นจำนวนมาก

Sanjay Gandhi และมารดานายกรัฐมนตรี Indira Gandhi

จุดเริ่มต้นของ Maruti ในอินเดียเป็นเรื่องราวที่ไม่เหมือนใครมาจาก Sanjay Gandhi บุตรชายคนเล็กของนายกรัฐมนตรี Indira Gandhi พยายามก่อตั้งธุรกิจรถยนต์ในอินเดีย เขาเสียชีวิตในปี 1980 ด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก Indira แม่ของเขาซึ่งขณะนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีของอินเดียต้องการทำตามความปรารถนาที่ยังไม่สมหวังของเขาในการมีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลราคาประหยัดที่ผลิตในอินเดีย 

ในปี 1981 Maruti Udyog Ltd. ได้ถือกำเนิดขึ้นโดยรัฐบาลอินเดีย แม้ว่าจะมีบุคลากรที่มากความสามารถอยู่ในทีมมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่มีประสบการณ์ในการจัดตั้งบริษัทผลิตรถยนต์มาก่อน แต่ท้ายที่สุดแล้ว โครงการนี้ก็เกิดขึ้นทันทีด้วยความตั้งใจของนายกรัฐมนตรี Indira รัฐบาลอินเดียได้ส่งผู้แทนไปพบกับยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น Fiat, Peugeot, Volkswagen, Renault, Nissan เป็นต้น แต่กลับถูกปฏิเสธจากบริษัทเหล่านั้นทั้งหมด ด้วยบริษัทเหล่านี้เชื่อว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของอินเดียไม่น่าที่จะเกิดได้และไม่น่าจะมีอนาคตเลย 

แต่หลังจากนั้น Daihatsu บริษัทผู้ผลิตยานยนต์ญี่ปุ่นก็ได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วน และในเวลาเดียวกัน Osamu Suzuki CEO ของ Suzuki ยังได้ส่งทีมงานไปยังอินเดียเพื่อทำข้อตกลงกับ Maruti อีกด้วย Osamu มองเห็นศักยภาพในอนาคตในตลาดอินเดีย ซึ่ง Indira นายกรัฐมนตรีอินเดียดำรงบทบาทเป็นผู้นำในโครงการนี้ โดยมีการสร้างโรงงานใหม่เอี่ยม ฐานซัพพลายเออร์ และเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย/การจัดจำหน่ายทั้งหมดถูกจัดตั้งขึ้นภายในเวลาเพียง 14 เดือน Maruti และ Suzuki ได้ลงนามในกิจการร่วมค้าเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1982 กลายเป็น Maruti Suzuki India Ltd.

วันที่ 14 ธันวาคม 1983 อันเป็นวันครบรอบวันเกิด 37 ปีของ Sanjay นายกรัฐมนตรี Indira ได้มอบกุญแจของ Maruti 800 คันแรกมูลค่า 47,500 รูปีให้กับ Harpal Singh (พนักงานของ Indian Airlines) และ Gulshanbeer Kaur สามี-ภรรยาชาวเดลี ซึ่งกลายมาเป็นเจ้าของ Maruti 800 คันแรกของอินเดีย เป็นครั้งแรกในอินเดียที่ประชาชนทั่วไปสามารถบรรลุความฝันที่จะเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ ความต้องการ Maruti 800 เพิ่มขึ้นอย่างมากจนผู้คนเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่มเป็นสองเท่าของราคาเพื่อแซงคิว

Tata Indica รถยนต์ที่ผลิตในประเทศ 100% คันแรกของอินเดีย

ด้วยการที่นายกรัฐมนตรีอินเดียสนองความต้องการของลูกชายที่ล่วงลับของเธอและมิตรภาพของญี่ปุ่น การปฏิวัติรถยนต์ของอินเดียจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยการเกิดขึ้นของ Maruti 800 แล้วอีก 15 ปีต่อมา Rata Tata ผู้ล่วงลับจึงได้เปิดตัวรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ 100% คันแรกของอินเดีย นั่นคือ Tata Indica ในปี 1998 เวลาต่อมารัฐบาลอินเดียได้ค่อย ๆ ลดสัดส่วนการถือหุ้นออกจากธุรกิจ Maruti Suzuki โดยแปลงเป็นบริษัทมหาชนในปี 2003 จากนั้นจึงขายหุ้นที่เหลือทั้งหมดให้กับ Suzuki Motor Corporation ในปี 2007 

ปัจจุบัน Maruti Suzuki กลายเป็นบริษัทในเครือ Suzuki ที่ใหญ่ที่สุดทั้งในแง่ของปริมาณการผลิตและยอดขาย ณ เดือนกันยายน 2022 บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดชั้นนำ 42% ในตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของอินเดีย Maruti Suzuki มีโรงงานผลิตสองแห่งในรัฐ Haryana ( Gurugramและ Manesar ) และมีโรงงานผลิตอีกแห่งหนึ่งในรัฐ Gujarat ซึ่ง Suzuki บริษัทแม่จัดหาวัตถุดิบทั้งหมดให้กับ Maruti Suzuki โรงงานผลิตทั้งหมดมีกำลังการผลิตรวมกัน 2,250,000 คันต่อปี (1.5 ล้านคันจากโรงงานสองแห่งของ Maruti Suzuki และ 750,000 คันจาก Suzuki Motor Gujarat โดยในปี 2024 Maruti Suzuki มีรายได้เพิ่มขึ้น 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รายได้สุทธิเพิ่มขึ้น 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และรวมส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีพนักงานรวม 40,004 คน

สำหรับบ้านเราแล้ว MARUTI 800 ก็คือรถยนต์นั่ง Suzuki Fronte นั่นเอง

จีนก้าวหน้าสร้างอาวุธล้างโลก ตามแบบหนัง Star Wars สำเร็จแล้ว

(8 พ.ย.67) นักวิทยาศาสตร์จีนประกาศความสำเร็จในการพัฒนาปืนเลเซอร์พลังสูงที่มีลักษณะคล้ายอาวุธล้างโลกในภาพยนตร์ไซไฟชื่อดังอย่าง 'Star Wars' ซึ่งในภาพยนตร์นั้น ปืนเลเซอร์ 'Death Star' มีหลักการทำงานโดยการรวมคลื่นไมโครเวฟพลังงานสูงจำนวนมากให้กลายเป็นลำแสงที่มีพลังทำลายล้างสูง สามารถยิงทำลายเป้าหมายเฉพาะจุดได้ และแม้กระทั่งดาวเคราะห์

นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนได้นำแนวคิดนี้มาพัฒนาระบบอาวุธไมโครเวฟพลังสูง โดยใช้ยานส่งสัญญาณหลายตัวซิงโครไนซ์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าด้วยกันด้วยเทคโนโลยีจับเวลาที่แม่นยำ เพื่อสร้างลำแสงเลเซอร์ที่เข้มข้นเพียงลำเดียวสำหรับเล็งโจมตีเป้าหมายเฉพาะจุด 

อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์ของปืนเลเซอร์นี้ไม่ได้พัฒนาเพื่อทำลายดาวเคราะห์ ทีมวิจัยของจีนระบุว่าเทคโนโลยีนี้มุ่งใช้เพื่อปิดการทำงานของดาวเทียม โดยเฉพาะการตัดสัญญาณดาวเทียม GPS ของสหรัฐฯ และดาวเทียมเป้าหมายอื่น ๆ จีนได้ทดสอบการใช้งานอาวุธนี้และยืนยันว่าสามารถรบกวนการทำงานของดาวเทียม GPS และกระทบการส่งข้อมูลของดาวเทียมเป้าหมายได้ นอกจากนี้ ในอนาคตจีนยังจะใช้เทคโนโลยีนี้ระงับสัญญาณดาวเทียมจากสหรัฐฯ หรือชาติพันธมิตร ในกรณีที่ต้องการฝึกอบรมหรือทดสอบเทคโนโลยีใหม่ภายในประเทศ เพื่อป้องกันการสอดแนมจากดาวเทียมต่างชาติ

สื่อจีนรายงานว่าอาวุธนี้จะใช้ในอวกาศเท่านั้น ไม่ได้ใช้บนภาคพื้นดิน ทางทะเล หรือในบรรยากาศโลก ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของทีมนักวิทยาศาสตร์จีนที่สามารถนำแนวคิดจากโลกจินตนาการมาสู่เทคโนโลยีจริง 

น่าสังเกตว่า การประกาศความสำเร็จของปืนเลเซอร์ 'Death Star' ของจีนนั้นเกิดขึ้นหลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะและดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ซึ่งทั่วโลกจับตาดูสงครามการค้าระลอกใหม่ระหว่างจีน-สหรัฐฯ เนื่องจากทรัมป์ได้ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าจีนถึง 60% รวมถึงความขัดแย้งในน่านน้ำทะเลจีนใต้ ที่คาดว่าจะทวีความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top