Friday, 27 June 2025
TheStatesTimes

เลขาฯ 'อารี' ร่วมขับเคลื่อนความปลอดภัยเพื่อลูกจ้าง ตั้งเป้าลดอุบัติเหตุในการทำงานไม่เกิน 1.5 คน : 1,000 คน ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้

(6 พ.ย. 67) เวลา 09.00 น. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงานประชุมวิชาการเสวนาการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนเงินทดแทน โดยมี นายจิรวัตร์ มณีโชติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นางมารศรี  ใจรังษี ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารสำนักงานประกันสังคม พร้อมด้วยคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน คณะอนุกรรมการพัฒนาส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงาน ผู้ร่วมงานเสวนาและสื่อมวลชนให้การต้อนรับ ณ โรงแรมบุรีศรีภู จังหวัดสงขลา

​นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ มาเป็นประธานในพิธีเปิดงานประชุมวิชาการเสวนาการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน โดยความร่วมมือในการดำเนินการส่งเสริมและป้องกันเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน แก่ลูกจ้าง ระหว่าง สำนักงานกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงาน (ประเทศไทย) ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย 

ในการดูแลลูกจ้างที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน วัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นสร้างการรับรู้และการตระหนักถึงความปลอดภัยในการทำงาน และเมื่อเกิดการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน ก็จะได้รับสวัสดิการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัยฯ ที่ดี จากผลการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยของลูกจ้างในช่วงปี  2562 – 2566 มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราการประสบอันตรายกรณีร้ายแรงลดลงจาก 2.53 ต่อ 1,000 ราย เหลือ 2.13 ต่อ 1,000 ราย และมีเป้าหมายในปี 2567 อัตราการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานต้องน้อยกว่าปี 2566 โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 อัตราการประสบอันตรายเท่ากับ 1.55 ต่อ 1,000 ราย นั้น
​การจัดงานประชุมเสวนาฯ 

ในครั้งนี้ นับว่าเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องแรงงานเป็นอย่างมากที่ทุกหน่วยงาน จะได้สร้างการรับรู้ผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยฯ รวมถึงผลงานของคลินิกโรคจากการทำงานที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานกองทุนเงินทดแทน อีกทั้งยังได้แลกเปลี่ยนความรู้ เสนอข้อคิดเห็น และแนวทาง สร้างความปลอดภัยในการทำงานให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งการจัดกิจกรรมดังกล่าวมีความสำคัญ เพราะนอกจากจะใช้เป็นเวทีแห่งการรับฟังและเสนอข้อคิดเห็นฯ 

จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมวิธีป้องกันความปลอดภัย เพื่อลดอุบัติเหตุในการทำงานให้ลูกจ้างเพิ่มมากขึ้นแล้ว กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมยังใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร และประชาสัมพันธ์ ในการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และก้าวทันตามกระแสเปลี่ยนแปลง ของเทคโนโลยียุคใหม่ เพื่อให้สังคมแรงงานเข้าถึงข้อมูลของสำนักงานกองทุนเงินทดแทนได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ โดยกิจกรรมในครั้งนี้ ยังได้มีการมอบโล่และประกาศเกียรติคุณให้สถานประกอบการที่สามารถส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงานฯ ซึ่งเป็นรางวัลที่ยืนยันถึงผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน ที่สามารถใช้เป็นต้นแบบและจูงใจให้สถานประกอบการอื่น ๆ เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมความปลอดภัยและป้องกันอันตรายให้แก่ลูกจ้างอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

​ด้าน นางมารศรี ใจรังษี ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงานประชุมวิชาการเสวนาฯ ในครั้งนี้ว่า เพื่อเป็นการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจความสำคัญของงานกองทุนเงินทดแทนแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะในการดำเนินการสนับสนุนงบประมาณด้านการป้องกันและส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงาน จากการเสวนาทางวิชาการเกี่ยวกับความปลอดภัย ในการทำงาน ยังมีการจัดนิทรรศการสร้างการรับรู้งานประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนอีกด้วย มีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้กว่า 350 คน โดยความคาดหวังให้เกิดความปลอดภัยและการตระหนักถึงการลดอุบัติเหตุในการทำงานในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ให้ไม่เกิน 1.5 คน ต่อลูกจ้าง 1,000 คน และให้ครอบคลุมทั่วประเทศในอนาคต

‘ลุงป้อม’ ไฟเขียวกดปุ่มลุยยกเลิก MOU 44 สั่งลูกพรรคชักธงรบรักษาผลประโยชน์ชาติ

บ่ายวันที่ 5 พ.ย.2567 ที่ผ่านมา ประมุขบ้านป่ารอยต่อ..พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ที่กำลังถูกพลพรรคเพื่อไทยตีโต้เรื่อง..MOU 2544 สั่งให้ลูกน้องโทรหาแกนนำพรรค และคณะที่ขับเคลื่อนเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก MOU 2544 ประชุมด่วนตอนสายวันที่ 6พ.ย.

เป็นการนัดประชุมด่วน ณ สถานการณ์ที่พล.อ.ประวิตรและพรรคพปชร.กำลังถูกบดขยี้ว่า...สมัยรัฐบาลลุงตู่ ลุงป้อมเคยรับบทเป็นหัวหน้าคณะเจรจาด้านเทคนิคหรือ JTC ตามกรอบของ MOU ดังนั้นถ้าไม่หิวแสงหรือเมาหมัดแล้วไฉนทำไมจึงปล่อยให้ลูกพรรคออกมาก่อการเรื่องนี้

สายข่าวแจ้งว่าหลายคนที่ถูกเรียก โดยเฉพาะธีรชัย ภูวนารถนรานุบาล, สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์, ดร.มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ออกอาการสะดุ้ง..เดาว่าลุงป้อมเรียกไปสั่งให้เพลาๆ ลงหน่อย...แต่ของจริงการณ์กลับเป็นตรงกันข้าม เพราะเมื่อเริ่มประชุม  ลุงป้อมถามว่า..เอาไงต่อวะ...

พูดคุยกันนานสองนาน...บทสรุปของประมุขบ้านในป่าคือ..ลุยต่อ เอาให้จบภารกิจ...

ภารกิจที่ว่าคือ..กระทำทุกวิถีทางโดนสันติ มีเหตุผลและหลักการให้รัฐบาลยกเลิก MOU2544 หรือชื่อเต็ม ‘บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปซับซ้อน ค.ศ.2001’ ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณเมื่อปีพ.ศ.2544

ไม่มีการขีดเส้นไทม์ไลน์ว่าจะจบภารกิจวันไหน..แต่ความหมายของ ‘ลุงป้อม’ คือทำต่อไปเรื่อย ๆ ทำให้เต็มที่...ซึ่งการชักธงรบเรื่องนี้ต่อไปทำให้วงประชุมหัวใจพองโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งอ.ธีระชัยกับ ‘หม่อมกร’ ที่กำลังเดินสายออกทีวีช่องต่างๆ ด้วยข้อมูลที่สามารถประดาบกับอีกฝ่ายได้สูสีหรือโชว์เหนือในบางครั้ง...

อีกประมาณสองสัปดาห์ฝ่ายรัฐบาลจะตั้งคณะกรรมการ JTC ขึ้นมา ซึ่งคาดว่า ‘รองอ้วน’ ภูมิธรรม เวชยชัย เจ้าของวลี ‘อย่าคลั่งชาติ’ อันลือลั่นจะเป็นประธาน..และโครงสร้างกรรมการก็คงมีตัวบุคคล/รัฐมนตรีที่ดูน่าเชื่อถือมาผสมโรง..แต่ก็นั่นล่ะJTCที่ว่าก็เน้นการเจรจาเรื่องเขตแดน...ในขณะที่ในMOUข้อ2 กำหนดไว้ชัดเจนว่า การเจรจาจะต้องทำสองเรื่องพร้อมกันคือเรื่องเขตแดนและการพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อน...

‘พื้นที่ทับซ้อน’อันเกิดจากกัมพูชาลากเส้น(ไหล่ทวีป)นักเลงผ่าเกาะกูด เมื่อปี 2515 โดยไม่มีกฎหมายรองรับ ส่วนไทยลากเส้นเมื่อปี 2516 มีกฎหมายระหว่างประเทศรองรับ..

ดังนั้นต่อให้ตั้งJTCอีก10 ชุดก็ยังจะเดินหน้าเจรจาต่อไปไม่ได้...พรรคพปชร.ก็เคยเสนอให้รัฐบาลบอกกล่าวกัมพูชาว่าไทยจะขอยกเลิก MOU2544แล้วให้กัมพูชาลากเส้นไหล่ทวีปใหม่ให้ถูกต้องแล้วมาทำMOU2568 ร่วมกัน จะได้เอาขุมทรัพย์พลังงานมาใช้...

พปชร.ก็คงจะรู้ว่าข้อเสนอทำนองนี้ออกจะ ‘โลกสวย’ ไปไม่น้อย แต่ไม่มีทางเลือกอื่น..และถ้าไม่ยกเลิกMOU2544 แผนที่แนบท้ายMOU ที่แสดงพื้นที่ทับซ้อน 26,000 ตร.กม.ก็จะบาดตาบาดใจคนไทยไปอีกนานแสนนาน..

รายการนี้จะจบลงอย่างไร ยากจะคาดเดา..หากจะบอกว่า ‘ลุงป้อม’ และพลพรรคบ้านในป่ามาถูกทาง สู้ด้วยข้อมูลเหตุผลและจุดยืนที่สร้างสรรค์ ไม่ได้นั่งท่องคาถา ‘เกาะกูด’ เป็นของไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ อันนั้นรู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่ที่คนไทยเป็นห่วงคือเราจะสูญเสียอธิปไตยทางทะเล ที่อาจจะนำไปสู่การสูญเสียเกาะกูดจริงๆ ในอนาคตหากยังคิดกันในกรอบแคบ ๆ..

ก็น่าจะกล่าวได้..ใช่หรือไม่?

เปิดปัจจัย คามาลา แฮร์ริส พ่ายแพ้ แม้แต่ผู้ใช้แรงงานยังโหวตทรัมป์

(7 พ.ย.67) นางคามาลา แฮร์ริส ได้ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้หลังทราบผลการเลือกตั้ง ต่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ โดยกล่าวกับผู้สนับสนุนว่า จะต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง และเผยว่าก่อนหน้านี้ได้ต่อสายถึงโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน พร้อมแสดงความจำนงว่าร่วมมือถ่ายโอนอำนาจการบริหารประเทศ พร้อมกับโจ ไบเดน ผู้นำคนปัจจุบัน

ภายหลังการทราบผลเลือกตั้ง สำนักข่าวรอยเตอร์ได้เผยบทความวิเคราะห์ถึงความพ่ายแพ้ของนางแฮร์ริสซึ่งถือว่าเธอทำคะแนนได้แย่กว่าที่คาดคิด โดยรอยเตอร์วิเคราะห์ว่า นางแฮร์ริสซึ่งมาจากพรรคเดโมแครตนั้นกลับไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากสหภาพแรงงานทรงอิทธิพลแห่งหนึ่งซึ่งเคยเป็นพันธมิตรของพรรคเดโมแครตมาอย่างยาวนาน กลายเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เธอพ่ายแพ้ 

ในการประชุมระหว่างแฮร์ริสกับสหภาพแรงงาน (International Brotherhood of Teamsters) ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของเดโมแครตเมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา แฮร์ริสกล่าวว่าเธอเองจะปกป้องงานของสหภาพแรงงานและความเป็นอยู่ของคนงานได้ดีกว่า โดนัลด์ ทรัมป์  

แต่สหภาพแรงงานกลับไม่เชื่อมั่นในคำพูดของเธอ แม้เธอจะแย้งว่าทรัมป์ไม่ใช่ผู้สนับสนุนชนชั้นแรงงาน ผู้นำสหภาพแรงงานจึงถามเธอว่า ตัวเธอเองและประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้ช่วยเหลือคนงานเพียงพอแล้วหรือยัง ไม่กี่วันหลังจากนั้นสหภาพแรงงานทีมสเตอร์ได้ออกมาปฏิเสธที่จะสนับสนุนผู้ชิงตำแหน่งจากพรรเดโมแครต ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี ที่สหภาพแรงงานออกมาเคลื่อนไหวไม่สนับสนุนพรรคฝ่ายซ้ายอย่างเดโมแครต

รอยเตอร์ยังวิเคราะห์ต่อว่า แคมเปญหาเสียงของทีมแฮร์ริสก็เป็นอีกปัญหาที่ทำให้เธอต้องพ่ายแพ้ เพราะเธอนอกจากผู้สมัครชิงตำแหน่งแล้วยังถือเป็นรองประธานาธิบดีที่อยู่ในรัฐบาลไบเดน ซึ่งประสบปัญหาในการเอาชนะเงินเฟ้อและการย้ายถิ่นฐาน ซึ่งเป็นประเด็นคู่ขนานที่การสำรวจความคิดเห็นแสดงให้เห็นว่าทรัมป์ได้คะแนนจากเรื่องเหล่านี้ 

“การพ่ายแพ้ของเธอเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการการเมืองของอเมริกาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นคนใช้แรงงาน (Blue-collar voter) หันมาสนับสนุนพรรครีพับลิกันมากขึ้น" เมลิสสา เด็กแมน (Melissa Deckman) นักรัฐศาสตร์และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทวิจัย พับลิก รีลิเจียน รีเสิร์ช อินสทิทิวต์  ให้ความเห็นว่า แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐในยุคหลังโควิด-19 จะเติบโตค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เจริญก้าวหน้าขึ้นในทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ทีมหาเสียงของแฮร์ริสอธิบายได้ไม่ดีนักว่านโยบายของเธอจะช่วยเหลือชนชั้นกลางได้อย่างไร ข้อความในการหาเสียงของเธอไม่ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากนัก

ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ประดับเข็มเครื่องหมายผู้บังคับการเรือ ตำแหน่งที่สำคัญที่สุด เพราะเรือ คือหัวใจของกองทัพเรือ

(6 พ.ย. 67) เวลา 17.30 น. พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นประธานในพิธีประดับเข็มเครื่องหมายผู้บังคับการเรือ เพื่อเป็นเกียรติ เป็นขวัญ กำลังใจ และให้เกิดความภาคภูมิใจให้กับนายทหารผู้เข้าร่วม ประดับเข็มเครื่องหมายผู้บังคับการเรือ โดยมีคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ร่วมแสดงความยินดี ที่บริเวณดาดฟ้าเรือหลวงช้าง ท่าเทียบเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

โดย พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ กล่าวให้โอวาทว่า ตำแหน่งผู้บังคับการเรือ ถือได้ว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของกองทัพเรือตำแหน่งหนึ่ง เพราะเรือคือหัวใจของกองทัพเรือ เมื่อท่านได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับการเรือ ท่านจะต้องใช้ความรู้ความสามารถในการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมาย ให้สำเร็จจะต้องดูแลความเรียบร้อยของเรือ ให้มีความพร้อมอยู่เสมอและจะต้องปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาให้อยู่ในระเบียบวินัย รวมทั้งดูแลทุกข์สุขของผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งในเรื่องหน้าที่การงานความเป็นอยู่ ชีวิตและครอบครัวด้วย ผมหวังว่า ท่านจะปฏิบัติหน้าที่ผู้บังคับการเรืออย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลดีต่อกองทัพเรือต่อไป      ขอให้ท่านทั้งหลาย จงมีความภาคภูมิใจและรักษาเกียรติยศที่ได้รับในครั้งนี้เพื่อตัวของท่านเองและวงศ์ตระกูลสืบไป

นิราช ทิพย์ศรี /นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 0909535645,0945565622/086-3684323

นราธิวาส - แม่ทัพภาคที่ 4 พบปะคณะสื่อมวลชน 3 จชต. แลกเปลี่ยนมุมมองการสื่อสาร ร่วมสร้างความเข้าใจ ร่วมใจแก้ปัญหา นำพาสันติสุข

(6 พ.ย. 67) เวลา 12.40 น. ที่ ห้องประชุม 1 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พลโท ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย พลตรี กรกฎ  ภู่โชติ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ให้การต้อนรับสื่อมวลชนจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นำโดย นายสุไลมาน  แวมามะ นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ และคณะสื่อมวลชนจากจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส เข้าพบแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อหารือแนวทางการนำเสนอข้อมูลข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์ต่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

นายสุไลมาน แวมามะ นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า วันนี้ทางคณะสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้มีโอกาสเข้าพบแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อร่วมกันแลกเปลี่ยนแนวคิด นำเสนอแนวทางในการขับเคลื่อนภารกิจงานและเป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์ ซึ่งด้านสื่อมวลชนในพื้นที่เองมีความตั้งใจมาก ๆ กับการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ เป้าหมายคือเพื่อประชาชนรับทราบข้อมูลข่าวสารและสร้างพื้นที่ให้การรับรู้ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ด้าน พลโท ไพศาล  หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า มุ่งมั่นที่จะสร้างความเข้าใจนำพาสันติสุขกลับคืนพื้นที่ ด้วยการสร้างพื้นที่ปลอดภัยเหตุ ประชาชนปลอดภัย ซึ่งการสร้างความเข้าใจนั้น ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทั้งฝ่ายปกครอง ฝ่ายความมั่นคง สื่อมวลชน ร่วมกับหน่วยต่าง ๆ เป้าหมายคือสร้างการรับรู้แก่พี่น้องประชาชน ทั้งด้านการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาพื้นที่ โดยสื่อมวลชนจะเป็นกระบอกเสียงหลักในการประชาสัมพันธ์ ที่ผ่านมาสื่อมวลชนในพื้นที่ จชต. มีบทบาทสำคัญเป็นบุคคลในพื้นที่ ร่วมขับเคลื่อนและนำเสนอข่าวสารมาอย่างต่อเนื่อง และขอฝากถึงการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวในชุมชน และโบราณสถานในพื้นที่ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น เพื่อสร้างรายได้ให้เกิดความเข้มแข็งและยั่งยืน ทั้งนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมที่จะเดินหน้า “สร้างความเข้าใจ ร่วมใจแก้ปัญหา นำพาสันติสุข” ร่วมกัน

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

การฝึกผสมกองทัพบกไทย ร่วมกับ 'กองทัพบกอินเดีย รหัส MAITREE 2024'

กองทัพบกไทย ร่วมกับ กองทัพบกอินเดีย จัดการฝึกผสมร่วมกัน ภายใต้รหัส 'MAITREE 2024' ประจำปี 2567 ในช่วงวันที่ 2 - 14 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ จังหวัดตาก เป็นการฝึกตามโครงการฝึกระหว่างหน่วยของกองทัพบกไทย กับกองทัพมิตรประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการทหาร และการทำงานร่วมกัน ในระดับยุทธวิธี 2) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถส่วนบุคคลในการปฏิบัติการร่วมกับกำลังทหาร 3) เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้, ประสบการณ์, เทคนิคการปฏิบัติทางการทหารแนวความคิดในการปฏิบัติการและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ และ 4) เพื่อฝึกแผนปฏิบัติการร่วม ตลอดจนการฝึกควบคุมบังคับบัญชาหน่วยกำลังผสม มีผู้เข้าร่วมการฝึกฯ จำนวน 154 นายประกอบด้วย ฝ่ายไทย จำนวน 76 นาย และฝ่ายอินเดีย จำนวน 78 นาย

กองทัพภาคที่ 3 ได้รับมอบหมายให้จัดกำลังพลในส่วนของการฝึกฯ ในครั้งนี้ โดยจัดจากกรมทหารราบที่ 14 กองพลทหารราบที่ 4 จำนวน 76 นาย เรื่องที่ทำการฝึก ประกอบด้วย 1) การจัดแสดงสาธิตอาวุธยุทโธปกรณ์ กองทัพบกไทย Static Display 2) อาวุธศึกษา 3) การติดต่อสื่อสาร 4) แผนที่เข็มทิศ 5) การฝึกลงทางดิ่ง 6) การดำรงชีพในป่า 7) การต่อต้านระเบิดแสวงเครื่อง 8) การปฏิบัติการร่วมกับสุนัขทหาร 9) การฝึกแลกเปลี่ยน (Cross Training Exercise (CTX)) 10) mรฝึกภาคสนาม (Field Training Exercise (FTX)) 11) การฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง 12) การยิงปืนเวลากลางคืน และ 13) การฝึกปฏิบัติการทางยุทธวิธี 48 ชั่วโมง

สำหรับการฝึกผสม MAITREE 2024 ประจำปี 2567 ถือเป็นการฝึกระหว่างกองทัพบกไทย และกองทัพบกอินเดีย โดยถือเป็นความสำเร็จในการพัฒนาขีดความสามารถในการปฏิบัติการทางทหารระดับยุทธวิธีร่วมกันทั้งสองกองทัพ และทั้งสองกองทัพจะได้นำไปประยุกต์ใช้ต่อการปฏิบัติการทางทหารที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับความร่วมมือในการฝึกผสมฯ ดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมในการสร้างความร่วมมือกับมิตรประเทศ ในการพัฒนาการฝึกผสมฯ กับมิตรประเทศอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของกองทัพไทย รวมถึงเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ในการสร้างผลประโยชน์ของชาติให้มั่นคงยิ่งขึ้นสืบไป

รัฐ-เอกชน-นักวิชาการ ชี้ ก๊าซฯ แหล่งพื้นที่อ้างสิทธิไทย-กัมพูชา จำเป็นต่อความมั่นคงด้านพลังงานของไทย

(7 พ.ย.67) รัฐ-เอกชน-นักวิชาการ หนุนเดินหน้าเจรจาแหล่งพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา (OCA) ดึงก๊าซฯ มาใช้ประโยชน์สร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้ประเทศ ปตท. ระบุ ก๊าซ LNG ยังจำเป็นในช่วงที่ OCA ยังไม่มีความชัดเจน พลังงานแนะเอกชนนำเข้า LNG ในอนาคตควรเน้นเป็นสัญญาระยะยาว ช่วยลดต้นทุนราคาก๊าซฯ และค่าไฟฟ้าประชาชนได้

นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวในงานเสวนา 'พลังงานราคาถูก ทางรอดเศรษฐกิจไทย' ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจว่า การใช้ไฟฟ้าของไทยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วง 2 ปีนี้ เนื่องจากสภาพอากาศร้อนมากขึ้น โดยในปี 2566 ยอดการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 7% จากปกติจะเติบโตประมาณ 2% ทุกปี และในปี 2567 นี้ คาดว่าจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นประมาณ 5-6% แสดงให้เห็นว่าไทยยังมีความต้องการปริมาณไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้ากลับลดลง จากเดิมเคยผลิตก๊าซฯได้ 70-80% ปัจจุบันเหลือเพียง 56% ของความต้องการใช้ก๊าซฯ ส่งผลให้ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มาทดแทน ซึ่งในอดีตเมื่อ 8 ปีที่แล้วไทยเคยนำเข้า LNG ประมาณ 4-5 ลำเรือ แต่ปัจจุบันต้องนำเข้าถึง 90 ลำเรือ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ก๊าซฯ ในอ่าวไทยกลับลดลงและแหล่งผลิตก๊าซฯ เริ่มถดถอยลงหลังจากใช้งานมานาน ส่วนปริมาณน้ำมันที่จัดหาได้และใช้ในประเทศก็เริ่มลดลงจากเดิมเคยจัดหาได้ 15% แต่ในปี 2567 เหลือเพียง 7% ของความต้องการใช้ทั้งหมด

ดังนั้นจะเห็นว่า สิ่งสำคัญสำหรับไทยในปัจจุบันคือการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ ซึ่งคุณภาพการให้บริการไฟฟ้าของไทยยังอยู่ในระดับต้นๆ ของอาเซียน โดยไทยใช้เกณฑ์ความมั่นคงไฟฟ้า LOLE ที่มีดัชนีโอกาสเกิดไฟฟ้าดับตลอด 1 ปีไม่เกิน 0.7 วันต่อปี ดังนั้นไทยยังมีความมั่นคงด้านพลังงานและยังเป็นประเทศที่น่าลงทุน จะเห็นได้จากในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มียอดการขอรับการสนับสนุนการลงทุนกว่า 722,500 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยการลงทุนกว่า 93,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนด้าน Data Center และ Cloud Service โดยเรื่องหลักที่ผู้ลงทุนต้องการคือ ไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งกระทรวงพลังงานมีความพร้อมทั้งด้านปริมาณ คุณภาพ ราคาและความยั่งยืน เช่น การเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าสีเขียวตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2567-2580 หรือ PDP 2024 ให้มากขึ้นจาก 26% เป็น 51%

ทั้งนี้กระทรวงพลังงานไม่ได้มองแค่ราคาพลังงานถูก แต่ยังมองเรื่องความมั่นคง การรักษาเสถียรภาพด้านราคา ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในประเทศ ไปพร้อมกันด้วย

นายสาร์รัฐ ประกอบชาติ รองผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า การใช้ไฟฟ้าของไทยมีความเปลี่ยนแปลงที่ต้องคำนึงถึงในอนาคตให้มากขึ้น ได้แก่  1.การเกิดยอดการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีคไฟฟ้า) ที่เปลี่ยนจากช่วงกลางวันมาเป็นกลางคืน 2.การเปลี่ยนแปลงด้านไฟฟ้า ที่เกิดการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองมีมากขึ้น 3.การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เติบโตแบบก้าวกระโดด และ 4.การเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นตามแผนพลังงานชาติ

ดังนั้นในร่างแผน PDP 2024 จึงมุ่งดูแลใน 3 มิติ ได้แก่ 1. การเพิ่มเป้าหมายไฟฟ้าสะอาดมากขึ้นเป็น 51% ภายในปี 2580 โดยลดการใช้ก๊าซฯ ลงจาก 60% เหลือ 41% แต่ก๊าซฯ ยังจำเป็นต่อการรองรับความมั่นคงด้านพลังงานประเทศ 2.นโยบายยังยึดมั่นด้านความมั่นคงพลังงาน สิ่งแวดล้อม และราคาที่เป็นธรรม และ 3.ต้องบริหารจัดการระบบสมาร์ทกริดรองรับไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่จะเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตามในแผน PDP 2024 ไม่ได้พิจารณาถึงการจัดหาก๊าซฯในแหล่งพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ( Overlapping Claims Area หรือ OCA) เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอ ซึ่งแผน PDP 2024 จำเป็นต้องพิจารณาเฉพาะแหล่งพลังงานที่มีความชัดเจนก่อน ส่วน OCA ก็ยังถือว่าจำเป็น เนื่องจากจะเป็นแหล่งก๊าซฯ ราคาไม่สูงเกินไป และราคาไม่ผันผวนเมื่อเทียบกับ LNG ถ้าสามารถเดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรม ก็จะสอดคล้องกับแผนพลังงานชาติที่ต้องการก๊าซฯ ระยะยาว แต่หาก OCA ยังไม่เกิดขึ้น การบริหารจัดการก๊าซ LNG แบบสัญญาระยะยาวก็จำเป็นและต้องมีสัดส่วนที่มากขึ้น เนื่องจากจะได้ราคาที่ถูกกว่าซื้อจากตลาดจร

นายคุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมและพลังงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ยืนยันว่าการเจรจา OCA ภายใต้กรอบความร่วมมือ MOU 2544 ควรเดินหน้าต่อไป เพราะเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงด้านพลังงานประเทศ เนื่องจากจะเห็นได้ว่าปัจจุบันการนำเข้า LNG มีมากขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อราคาค่าไฟฟ้าประชาชน ขณะที่ OCA จัดเป็นแหล่งก๊าซฯ ที่อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ซึ่งใช้เวลาเพียง 3 เดือนก็สามารถวางระบบท่อเพื่อนำก๊าซฯ มาใช้ได้เลย เพราะไทยมีท่อก๊าซฯ อยู่ 3 เส้นรองรับก๊าซฯ ได้ 3,800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แต่มีการใช้งานจริงเพียง 2,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งหากเกิดการใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพจะทำให้ค่าผ่านท่อถูกลงได้ด้วย

สำหรับในเรื่องพลังงานนั้นเห็นว่าสิ่งที่ไม่ควรทำคือ อย่าอุดหนุนราคาพลังงานแบบเหวี่ยงแห อย่าฝืนกลไกตลาดเสรี และปิดประเทศ รวมทั้งอย่าอ้างการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเกินควร จนกระทบความมั่นคง ราคา และธรรมาภิบาล นอกจากนี้อย่าสร้างกระแสเกลียดชังพลังงาน โดยอ้างเกี่ยวกับการระแวงเพื่อนบ้าน, ปัญหาสิ่งแวดล้อม, สินค้าแพง หรือตลาดทุนนิยม เป็นต้น

แต่สิ่งที่ควรทำด้านพลังงานคือ ตั้งงบประมาณมาช่วยเฉพาะกลุ่มเปราะบางทั้งราคาน้ำมัน ราคาค่าไฟฟ้า, ปล่อยให้ราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้ม (LPG) ลอยตัว ไม่ฝืนกลไกตลาด เพราะจะเสี่ยงขาดแคลน, เร่งเจรจาแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ( TC-OCA ) เพื่อเปิดพื้นที่สำรวจและเพิ่มปริมาณสำรองก๊าซฯ แทนที่จะปล่อยให้นำเข้า LNG มากขึ้นเรื่อย ๆ, ปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการซื้อไฟฟ้าให้มีการแข่งขันมากขึ้น ไม่ต่อสัญญาโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) หรือ โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP) ที่จะหมดอายุ แต่ให้มาแข่งขันเสนอค่าไฟฟ้าในตลาดเสรีแทน และการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ แต่ควรมีกติกาที่โปร่งใส การซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศควรใช้ระบบประมูลค่าไฟฟ้า ไม่ใช่เจรจารายโครงการ

ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ไม่อยากให้ยึดนโยบายราคาพลังงานถูก เพราะจะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม แม้ราคาถูกในวันนี้ แต่จะแพงในวันหน้าได้ และการตรึงค่าไฟฟ้าระยะยาว จะนำไปสู่ภาระหนี้ที่ประชาชนต้องจ่ายในภายหลัง ดังนั้นควรให้ความสำคัญกับพลังงานที่เป็นธรรม รักษาสมดุลเศรษฐกิจ ที่รับได้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

สำหรับทางออกด้านพลังงานของประเทศไทยคือ 1.ปรับบทบาทโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ให้ทำหน้าที่เสริมความมั่นคงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ไม่เพียงพอแทน ส่วนกรณี OCA ถือว่ามีประโยชน์อย่านั่งทับไว้เฉยๆ 2. เร่งลงทุนพลังงานสะอาด โดยเฉพาะระบบแบตเตอรี่ การมีส่วนร่วมลดการใช้ไฟฟ้าภาคสมัครใจ 3.รัฐควรปรับระบบผลิตและซื้อขายไฟฟ้า ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น ในรูปแบบกิจการไฟฟ้าเสรี ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด   

นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ก๊าซฯ ยังมีความจำเป็นต่อประเทศไทยอยู่ การแสวงหาก๊าซฯ จากแหล่งใหม่ๆ ทั้ง OCA และแหล่งอื่นๆ ก็จะช่วยลดต้นทุน และเสริมความมั่นคงด้านพลังงานได้ แต่ถ้าแหล่งก๊าซฯ อยู่ใกล้ไทยจะดีกว่าเพราะมีโครงสร้างท่อก๊าซฯ รองรับอยู่แล้ว และลักษณะทางธรณีวิทยาก็ใกล้เคียงไทย ซึ่งรูปแบบความร่วมมือก็มีหลายรูปแบบที่จะทำให้เกิดต้นทุนที่ต่ำลงได้

สำหรับ OCA ยังไม่ชัดเจนว่าจะนำก๊าซฯ ขึ้นมาใช้ได้เมื่อไหร่ ดังนั้นการทำแผนพลังงานต้องมีหลายทางเลือกไว้ โดยเมื่อยังไม่มีความชัดเจน ก็ต้องนำเข้า LNG มาใช้ไปก่อน ซึ่งบางช่วง LNG ก็มีราคาถูกและเป็นประโยชน์ต่อประเทศเช่นกัน

กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ เปิดการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธี กองเรือ กองบิน และหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ประจำปี 2568

(6 พ.ย. 67) กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ เปิดการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธี กองเรือ กองบิน และหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ ประจำปี 2568 โดยมี พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ผบ.กร.) เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกฯ ณ ท่าเรือแหลมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ (ผบ.กร.) เปิดเผยว่า กองเรือยุทธการเป็นหน่วยกำลังรบหลักของกองทัพเรือ ที่จะต้องมีความพร้อมในการจัดเตรียมกำลังสำหรับการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ สำหรับการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธีกองเรือฯ โดยกำหนดห้วงการฝึกระหว่างเดือน พฤศจิกายน 67 - มกราคม 68 ซึ่งเป็นไปตามภารกิจของกองทัพเรือ ด้านการเตรียมกำลังและป้องกันราชอาณาจักร รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และช่วยเหลือประชาชน ตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือ

โดยมีวัตถุประสงค์การฝึก เพื่อให้มีความพร้อมในการปกป้องอธิปไตยทางทะเล และการช่วยเหลือประชาชน ทั้งนี้หน่วยที่รับการฝึกจะต้องมีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจในสถานการณ์ที่สมจริง ให้สอดคล้องกับแนวทางการใช้กำลังของกองทัพเรือ รวมถึงจะต้องมีความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ Combat Staff ของกองเรือเฉพาะกิจปฏิบัติการระยะไกล และกำหนดให้การฝึกต้องผ่านมาตรฐานในระดับ Safe To Sail และBasic Tactic

ส่วนการฝึกในปีนี้ จะมีการฝึกตามสภาวะแวดล้อมที่ต่างกัน ทั้งสงครามรัสเซีย ยูเครน รวมถึงยุทธศาสตร์ บลูดราก้อนของจีน หรือด้านอินโดแปซิฟิก และจะเห็นการใช้กำลังในเรื่องของสงครามอิสราเอล ที่เกิดขึ้นที่ตะวันออกกลาง ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหลานี้ ทางกองเรือยุทธการ จะนำมาศึกษาและนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาพัฒนาการฝึก การฝึกจะเป็นการฝึกแบบเก่าไม่ได้ พร้อมกับจะมีการประเมินผลและแจงแผนการฝึกไปยังกองทัพเรือ ในการพัฒนากำลังรบทางเรืออย่างไร ต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการฝึกเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนที่เกิดภัยพิบัติ โดยมุ่งเน้นการเตรียมการล่วงหน้าทั้งด้านกำลังพล ยุทโธปกรณ์ แนวทางปฏิบัติ เพื่อให้สามารถดำเนินการช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ กองเรือยุทธการ ได้ให้ความสำคัญในการฝึกองค์บุคคลและยุทธวิธีฯ และการเสริมสร้างกำลังพลให้มีความเป็นทหารอาชีพ เพื่อให้กองเรือยุทธการเป็น "หน่วยกำลังรบหลักของกองทัพเรือ ที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ" โดยได้มีการนำนโยบายของ ผบ.ทร. ที่ได้กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ หรือ “NAVY-SAFETY 2025” พลเรือเอก ณัฏฐพล  กล่าวเสริมอีกว่า ทั้งนี้ได้มีการนำนโยบายด้านความปลอดภัยของ ผบ.ทร. ที่ได้กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ หรือ “NAVY-SAFETY 2025” ถ้ากำลังรบหลักไม่ปลอดภัย ถือเป็นเรื่องใหญ่ของกองทัพเรือ บทเรียนที่ได้รับมา จะมีการนำมาเป็นบทเรียนในเรื่องของ SAFETY ในความปลอดภัยของบุคคล ในความปลอดภัยของเรือ และอากาศยานต่าง ๆ โดยจะมีการนำบทเรือมาวิเคราะห์ ศึกษา และนำมาปฏิบัติต่อไป ส่วนในเรื่องสถานการณ์เกาะกูดนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้กล่าวไว้แล้วในส่วนกำลังทางเรือนั้นมีหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญ ส่วนกองเรือยุทธการ มีหน้าที่เตรียมกำลังทั้งองค์บุคคล และองค์ยุทธวิธี ให้มีความพร้อม อยู่ตลอดเวลา

นิราช ทิพย์ศรี /นันทพล  ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 0909535645,0945565622/086-3684323

สีจิ้นผิงแสดงความยินดี โดนัลด์ ทรัมป์ กลับทำเนียบขาว

(7 พ.ย. 67) ซินหัวรายงานว่า โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่าจีนขอแสดงความยินดีกับโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

โฆษกกล่าวคำข้างต้นระหว่างตอบคำถามเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ออกมาแล้ว และโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันเป็นผู้คว้าชัยชนะ

โฆษกระบุว่าจีนเคารพการเลือกของประชาชนชาวอเมริกัน และขอแสดงความยินดีกับทรัมป์ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

"จีนเคารพการเลือกของประชาชนชาวอเมริกัน และขอแสดงความยินดีกับทรัมป์ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ"

เหมาหนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ยังกล่าวว่าอีกว่านโยบายของจีนที่มีต่อสหรัฐฯ นั้นยังคงมีความสอดคล้องกัน

เหมากล่าวระหว่างการแถลงข่าวประจำวันเพื่อตอบคำถามในประเด็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นกิจการภายในของสหรัฐฯ และ “เราเคารพในทางเลือกของประชาชนชาวอเมริกัน”

ทั้งนี้ เหมาระบุว่า “นโยบายของจีนต่อสหรัฐฯ ยังคงมีความสอดคล้องกัน” โดยชี้ว่าจีนจะยังคงมีมุมมองและจัดการความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ โดยยึดหลักการความเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

กมธ.อุตฯ หนุนออกกฎหมายจัดการกากอุตสาหกรรม ย้ำชัด ต้องเพิ่มโทษผู้ทำผิด - เร่งปราบปรามอย่างจริงจัง

กมธ.อุตสาหกรรม หนุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ออกกฎหมายจัดการกากอุตสาหกรรมเพิ่มโทษผู้ทำผิดกฎหมาย เดินหน้าปราบปรามอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความยั่งยืนด้านอุตสาหกรรมของประเทศ

เมื่อวานนี้ (6 พ.ย.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม พร้อมด้วยกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ได้แถลงข่าวถึง การจัดการกากของเสียอุตสาหกรรม ว่า จากกรณีเมื่อไม่กี่วันมานี้ได้มีการเข้าตรวจค้น รวมถึงปราบปรามผู้กระทำความผิดจากกรณีการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งปิดโรงงานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในพื้นที่อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี จนนำมาสู่การจับกุมรวมถึงตรวจยึดของกลางได้เป็นจำนวนมาก

ทางคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ได้เคยลงพื้นที่ไปยังโรงงานแห่งนี้ครั้งหนึ่ง และได้มีการกำชับให้มีการดำเนินการตามมาตรฐาน รวมถึงกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งต่อมาได้มีการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม แต่ผู้ประกอบการยังคงลักลอบเปิดโรงงานจนนำมาสู่การตรวจค้นและจับกุมดังกล่าว และยังตรวจพบกากของเสียอุตสาหกรรมอันตรายที่มีน้ำหนักรวมมากกว่า 41 ตัน 

โดย จังหวัดปราจีนบุรี เป็นหนึ่งในจังหวัดที่จะต้องมีการดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อเป็นต้นแบบของการปราบปรามการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมที่ไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากมลภาวะต่าง ๆ 

ซึ่งทางนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีแนวนโยบายชัดเจนว่าจะต้องปราบปรามการกำจัดของเสียที่ไม่ถูกวิธีอย่างจริงจัง เพื่อคืนน้ำที่สะอาด คืนอากาศที่บริสุทธิ์ให้กับพี่น้องประชาชน ทางคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมเห็นด้วยกับแนวนโยบายดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง 

เพราะก่อนหน้านี้ได้มีหลายครั้งที่การจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมไม่ถูกวิธีนำมาซึ่งอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งทางคณะกรรมาธิการก็ได้มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในกิจการเกี่ยวกับการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว (โรงงานประเภท 101 105 และ 106) โดยทางคณะกรรมาธิการได้ติดตามอย่างใกล้ชิดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ เมื่อเกิดเหตุการณ์พบสารแคดเมียม เรื่อยมาจนถึงการพบสารอะลูมิเนียมดรอส โดยได้มีการเสนอให้แก้ไขพระราชบัญญัติโรงงาน ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในสมัยการประชุมสมัยต่อไป 

นอกจากนี้ยังได้รับทราบว่ากระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้การนำของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จะได้มีการเสนอกฎหมายอีกฉบับหนึ่งในเรื่องนี้ด้วย คือ พ.ร.บ.จัดการกากของเสียอุตสาหกรรม ซึ่งต้องขอชื่นชมและสนับสนุนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ได้มีวิสัยทัศน์ในการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรม เพื่อการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน

โดยจะมีการกำหนดโทษทางอาญากับผู้ที่กระทำความผิดเกี่ยวกับการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างหนัก เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ที่กระทำผิดเกี่ยวกับการจัดการของเสียโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ดังนั้นการเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำผิดดังกล่าวย่อมจะทำให้การบังคับใช้ และการป้องกันการกระทำความผิดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 

แต่อย่างไรก็ดียังมีข้อห่วงใยว่า แม้จะมีการควบคุมการจัดการกากของเสียในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม พบว่า มีการลักลอบนำเข้ากากอุตสาหกรรม เช่น ของเสียอิเล็กทรอนิกส์ และกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ในหลากหลายช่องทาง 

ข้อห่วงใยดังกล่าวมาจากการที่เจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรไม่สามารถเปิดตู้สินค้าเพื่อตรวจสอบได้ครบถ้วน ซึ่งในลำดับต่อไปทางกรรมาธิการจะเร่งศึกษาเพื่อหาแนวทางป้องกันไม่ให้มีการนำเข้ามาในประเทศได้ เพื่อไม่ให้กากของเสียอุตสาหกรรมสามารถทำลายสิ่งแวดล้อม และสร้างมลภาวะให้แก่พี่น้องประชาชน

จึงต้องขอเรียนไปยังพี่น้องประชาชนที่ติดตามการทำงานของคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมว่า ทางคณะกรรมาธิการดำเนินการทำงานในเรื่องการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงขอชื่นชมในการทำงานของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ที่เอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการจัดการของเสียอุตสาหกรรมที่ผิดกฎหมาย เพื่อปกป้องพี่น้องประชาชนจากมลพิษที่จะเกิดขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top